ตอนที่ 2 : PROLOGUE {2/2}
เป็นผู้หญิงที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แววตาที่ฉายชัดไปด้วยความมุ่งมั่นทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเราในชั้นปีหลายคนเผยรอยยิ้มที่มุมปากเมื่อสัมผัสได้ถึงความสบายใจจากพี่มิ้น
ได้ยินดังนั้นพวกเราจึงรีบไปนั่งเข้าแถวรวมกันตรงนั้นทันที ผมได้แต่ถอนหายใจเดินตามไปอย่างเซ็งๆ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเข้ามาคุยกับผมเลย จะเข้าไปตีสนิทหรือขอนั่งข้างใครก็รู้สึกเขินอายไปหมด สุดท้ายจึงตัดสินใจให้คนไปนั่งข้างหน้ากันก่อนให้หมด แล้วหย่อนก้นนั่งลงแถวสุดท้ายกับเด็กผู้ชายอีกสองคนที่น่าจะมาจากโรงเรียนเดียวกัน เพราะเห็นเขาคุยกันเปิดเผยดี กูมึงมาเต็มแบบไม่มีกั๊ก และอาจจะเป็นคนภาคกลางเหมือนผม (มั้ง) เพราะไม่ได้หลุดภาษาถิ่นออกมาเลย
“มึงดูดิ พี่คนพูดแม่งโคตรแจ่มเลยว่ะ ขยับตัวไปมาทีหนึ่งนมแทบจะทิ่มหน้ากูอยู่แล้ว”
“ไอ้เหี้ย! เสียมารยาทว่ะ อย่าไปส่องพี่เขาแบบนั้นดิโว้ย ให้เกียรติพี่เขาบ้าง ถ้าเขามาได้ยินประโยคเมื่อกี้ กูกับมึงมีหวังโดนรุ่นพี่ปีอื่นหมายหัวแน่”
“แหม ไอ้ห่านี่ กูก็แค่พูดเล่นพอสนุกไปแบบนั้นเอง ของสูงแบบนั้นกูเอื้อมไม่ถึงหรอก”
“มึงมันก็หื่นไม่รู้จักเวล่ำเวลาแบบนี้ตลอดแหละ”
ผมหลุดยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ ท่าทางจะสนิทสนมกันมากเสียด้วยสิ แต่ว่าเนื้อหาการสนทนาเมื่อสักครู่ออกจากล้ำเส้นพี่มิ้นไปหน่อยแหะ เอาเถอะ...คนเราทำผิดพลาดกันได้ แค่แก้ไขให้ถูกต้องแล้วไม่ทำผิดอีกก็พอ
“เอาล่ะค่ะ น้องๆ ฟังกันทางนี้หน่อยนะคะ” เสียงนั้นดังมาพร้อมกับเสียงปรบมืออีกรอบทำให้พวกเราเงียบกันไปโดยอัตโนมัติ พอเงียบแล้วพี่เขาถึงเริ่มพูดต่อ “สวัสดีอีกครั้งนะคะ พี่ชื่อมิ้น เป็นเจ้าของโพสต์ที่เรียกรวมตัวน้องๆ ไปเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมานี้เองค่ะ หวังว่าทุกคนจะยังจำกันได้นะคะ”
“สวัสดีครับ/ค่ะ” เด็กปีหนึ่งยกมือไหว้สวัสดีอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกพี่ปีสองที่นั่งด้านหลังก็ยกมือรับไหว้พวกเราด้วยรอยยิ้มเช่นกัน…บรรยากาศระหว่างพี่น้องชั้นปีอบอุ่นกว่าที่ผมคิดเยอะเลย บางทีอะไรหลายๆ อย่างที่ผมนึกกังวลอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้
พี่มิ้นยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ที่เรียกน้องทุกคนออกมาเจอกันวันนี้เพราะอยากมาทำความรู้จักกันเบื้องต้นก่อนเฉยๆ อยากให้น้องๆ ทุกคนได้มาทำความรู้จักกัน และวันนี้พวกพี่เตรียมข้าวกล่องกับขนมมาให้พวกเรากันด้วย อยากให้ทุกคนรับประทานอาหารร่วมกันค่ะ!”
จบคำนั้นเสียงพูดคุยรอบข้างก็ดังตามมาทันที ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาอีกครั้ง คนขวางโลกเข้าหาคนอื่นไม่เก่งแบบผมจะมีใครอยากมานั่งกินข้าวด้วยไหมเนี่ย
“เดี๋ยวทุกคนเข้าแถวมารับกล่องข้าวกันทางนี้แล้วไปนั่งล้อมวงกันกินได้เลยนะคะ” สิ้นเสียงพี่มิ้นเด็กปีหนึ่งอย่างพวกเราก็กรูกันเข้าไปหาพี่ผู้ชายใส่แว่นอีกคนที่กำลังแกะถุงกล่องข้าวแล้วเริ่มแจกให้เรา มีรุ่นพี่อีกสองสามคนเดินมาช่วยแจกน้ำกับขนมเพิ่มด้วย
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินตามไปหยิบกล่องข้าวบ้าง พอได้มันมาในมือแล้วก็ได้แต่ยืนเคว้งอยู่แบบนั้น ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นเริ่มพูดคุยแล้วทักทายกันมากขึ้นก่อนจะพากันไปนั่งล้อมวงกินข้าวกันตามจุดต่างๆ มองแล้วช่างเป็นภาพที่อบอุ่นเหลือเกิน คงมีแต่ผมนี่แล้วสินะที่ต้องนั่งกินข้าวคนเดียว
จึกๆ
ในขณะที่กำลังปลงตกกับชีวิต เตรียมทรุดตัวนั่งลงกินข้าวและคิดว่าสงสัยต้องใช้ชีวิตคนเดียวไปตลอดสี่ปีที่เรียนที่นี่ก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างที่จิ้มมาเบาๆ ที่แผ่นหลัง ตอนแรกนึกว่าผมเดินไปชนใครแล้วไม่ได้ขอโทษหรือเปล่า
ผมหันกลับไปมองด้วยความตกใจ ถึงได้รู้ว่าเป็นผู้ชายสองคนที่นั่งข้างผมแล้วพูดคุยกวนประสาทกันตอนแรกนั่นเอง ว่าแต่เขาเข้ามาจิ้มผมทำไมกันอ่ะ (ยังไม่รู้ตัว) ผมกะพริบตาปริบๆ มองกลับไป รู้สึกเป็นใบ้ไปชั่วขณะ เพราะไม่รุ้ว่าสองคนนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่
“เห็นมึงนั่งเงียบอยู่คนเดียวแบบนี้แล้วสงสารชะมัด กูสองคนเลยเข้ามาทำความรู้จักด้วย” คนที่ตัวสูงพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงเขาแฝงด้วยความเป็นมิตร ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากแกล้งอะไรผม ดูจากสายตาแล้วผู้ชายคนนี้สูงกว่าผมอีก น่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตร หน้าตาถือว่าหล่อในระดับหนึ่ง ขนาดอยู่ในชุดนักศึกษายังดูดีขนาดนี้ ผมรองทรงตัดสั้นยิ่งทำให้เขาดูมีความแมนแบบผู้ชายไทยๆ มากขึ้น
“ไปนั่งกินข้าวด้วยกันสิ กูเห็นมึงทำหน้าหงอยตั้งแต่เข้ามาที่นี่แล้ว” คนที่ตัวเตี้ยกว่าพูดขึ้นแล้วยิ้มกว้าง ผู้ชายสองคนนี้พูดกูมึงกับผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเลยเหรอเนี่ย คือจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก ปกติอยู่ที่โรงเรียนกับเพื่อนผู้ชายก็พูดแบบนี้กันเป็นปกติ แต่เจ้าหมอนี่ดันตัวเล็กน่ารักเหมือนตุ๊กตาไปหน่อย ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่ามันน่าจะเหมาะกับคำพูดจาหวานๆ น่ารักมากกว่า (ฮา)
“เอ๊ะ เงียบแบบนี้ หรือมึงไม่ชอบให้พูดคำหยาบใส่ โทษทีๆ” ร่างเล็กตรงละล่ำละลักพูดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นผมเงียบไปอย่างนั้น แล้วท่าทางตื่นๆ แบบนั้นของเขาทำให้ตัวเองได้สติขึ้นมาทันที
“อะ เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก กูไม่ได้คิดอะไรมาก พูดได้ๆ ปกติอยู่ที่โรงเรียนเดิมกูก็พูดแบบนี้แหละ” พอผมเริ่มพูดจาตอบกลับไป สองคนตรงหน้าก็ยิ้มออกมาทันที
“ไปๆ ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน อย่ามัวแต่ทำหน้าเศร้าแบบนั้นเลย”
“เออๆ ไปกัน”
ผมยิ้มรับเพื่อนใหม่สองคนนี้ รู้สึกดีมากที่ไม่ต้องนั่งเหงาคนเดียวอีกต่อไปแล้ว นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะได้รู้จักเพื่อนใหม่และมีคนเข้ามาหาเราเร็วขนาดนี้ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าการมาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ภาคเหนือคงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอีกเยอะมากแน่ๆ รู้สึกดีจังเลยแฮะ (:
พวกเราสามคนพากันเดินไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ด้านข้างมีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงสี่ห้าคนกำลังนั่งทานข้าวอยู่ ผมกวาดสายตามองไปรอบข้างว่ามีใครนั่งกินข้าวคนเดียวไหม จะได้ไปชวนเขามานั่งกินด้วยกัน กวาดสายตาดูรอบๆ แล้วปรากฏว่าไม่มี ผมจึงเริ่มลงมือจัดการกับอาหารที่วางอยู่ พอเปิดกล่องออกดูผมก็แทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เพราะมันคือข้าวกระเพราะหมูไข่ดาวที่ผมเพิ่งกินไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี่เอง การต้องกลับมากินเมนูเดิมซ้ำอีกครั้งมันให้ความรู้สึกจำเจนิดหน่อย เอาเถอะ อย่าไปซีเรียสนัก พยายามกินให้ผ่านไปเป็นมื้อๆ พอ
“อ้าว ทำไมมึงไม่กินอ่ะ” ไอ้คนตัวเล็กที่ตอนนี้ผมยังไม่รู้จักชื่อตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อยเอ่ยถามผม เขาน่าจะไปเป็นพรีเซนเตอร์การรับประทานอาหารนะ ขนาดกับข้าวธรรมดาแบบนี้เขายังกินอย่างเอร็ดอร่อยได้เลย
“เออๆ กำลังจะกินนี่ไง” ผมตอบรับแล้วจำใจตักข้าวเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้ ค่อยยังชั่วหน่อยที่รสชาติพอไปวัดไปวาได้ ไม่ได้จืดชืดแบบที่คิดตอนแรก
“อร่อยดีนะ แต่เผ็ดไปหน่อย” ผู้ชายตัวสูงที่นั่งข้างคนตัวเล็กบ่นประปอดกระแปดขึ้นมา เขาใช้ช้อนเขี่ยข้าวในกล่องไปมา บางทีหมอนี่อาจจะไม่อยากกินก็ได้
“โธ่เอ้ย! อ่อนว่ะ แค่นี้ก็กินไม่ได้ แมนป่าววะมึง” คนตัวเล็กกว่าแซวออกมาอย่างคะนองปากพลางใช้ช้อนตัดไข่ดาวแบ่งครึ่งออกจากกัน
โป๊ก!
“โอ๊ย! ไอ้เหี้ย! มึงเขกหัวกูทำไมวะ” คนตัวเล็กโวยวายออกมาแล้วยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ เสียงเขกหัวเมื่อสักครู่ดังพอสมควรเลยนะ คงจะเจ็บน่าดูเชียว
คนตัวสูงกว่ายักไหล่เป็นเชิงบอกว่าช่วยไม่ได้แล้วก้มลงตักข้าวในกล่องกินต่อ “ก็มึงปากหมาเอง เจ็บแค่นี้ทำมาโวยวายไม่เข้าเรื่อง ก้มหน้าแดกข้าวต่อให้หมดเลยไป”
“มึงแม่งชอบรังแกคนไม่มีทางสู้ตลอดเลย” เขาส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ถือสาแล้วก้มหน้าตักข้าวกินต่อ
ผมมองผู้ชายสองคนที่เล่นกันอย่างกับเด็กตรงหน้าแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะถามชื่อทั้งคู่ออกไป “มึงสองคนชื่ออะไร กูชื่อเดย์นะ” ในเมื่อสองคนนี้เปิดเผยและใจๆ กับผมแบบผู้ชายอย่างการพูดคำหยาบใส่กันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว ผมเองก็ต้องเปิดใจให้พวกเขาบ้างด้วยการแนะนำตัวเองไปก่อน
คนตัวเล็กกว่าชะงักก่อนจะยิ้มจนตาหยีแล้วตบอกตัวเองเบาๆ เป็นเชิงแนะนำตัว “กูชื่อ ‘ไอหมอก’ นะ เรียกสั้นๆ ว่าหมอกก็ได้”
‘ไอหมอก’ อย่างนั้นเหรอ? เขาชื่อเพราะจังเลย ให้ความรู้สึกอ่อนโยน น่าทะนุถนอมชะมัด ตัดกับท่าทางที่พยายามให้คนอื่นมองตัวเองว่าเข้มแข็งนั่นชะมัด
“ชื่อแม่งอ่อนแอชิบหาย” คนตัวสูงอีกคนที่ผมยังไม่รู้จักชื่อเขาเอ่ยออกมาเบาๆ ทำให้ไอหมอกถลึงตาใส่ทันทีด้วยความไม่พอใจ
“เรื่องของกูป่ะ ทีชื่อมึงโหลขนาดนั้นกูยังไม่ว่าอะไรเลย”
“ฮ่าๆ” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ “กูชื่อคีย์ ยินดีที่ได้รู้จักนะเดย์”
“เออๆ ดีใจมากที่ได้รู้จักพวกมึงทั้งสองคน”
เราสามคนมองหน้าก่อนจะยื่นกำปั้นออกมาตรงกลางแล้วชกกันเบาๆ เป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นมิตรภาพในครั้งนี้
ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขแล้วก้มหน้าตักข้าวในกล่องเข้าปากต่อ ตอนแรกรู้สึกว่ามื้อนี้โคตรไม่อร่อยเลย แต่เพื่อนใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มความรู้สึกอ้างว้างทำให้ผมรู้สึกเอ็นจอยกับอาหารกล่องมื้อนี้มาก รู้สึกดีเหลือเกินกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้าวกล่องที่ดูไม่อร่อยเหมือนเอาเศษกระดาษมาปั่นละเอียดแล้วราดข้าวในตอนแรกจางหายไปทันทีเมื่อเราได้นั่งกินด้วยกันกับเพื่อนแบบนี้
“เชี่ยแม่ง มึงดูไอ้หน้าหล่อนั่นดิ ผู้หญิงนั่งล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมดเลย คนนั้นน่ะๆ” เสียงพูดของไอหมอกทำให้ผมชะงักมือที่กำลังตักข้าวเข้าปากแล้วมองไปทางที่เจ้าตัวเบ้ปากใส่ทันที
“คนไหนวะ แล้วมึงจะปากหาเรื่องมองเขาทำไมล่ะ” คีย์มองตามอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนร้องออกมา “อ๋อ กูจำได้ละ ไอ้นี้อยู่หอเดียวกับกูนี่เอง มันฮอตมาก ทั้งผู้ชายผู้หญิงมีแต่คนชอบมัน ไม่แปลกหรอกที่ถูกคนล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น” พูดจบคีย์จึงถอนหายใจออกมา “แม่ง ทำไมไม่เห็นมีใครมาชอบกูบ้างวะ” เขาบ่นแล้วก้มลงตักข้าวเข้าปากต่อย่างไม่สนโลกทำให้ผมหัวเราะออกมากับความเปิดเผยของสองเพื่อนใหม่ตรงหน้า
อ้อ! ผมขออัปเดตหน่อยนะครับ หอพักนักศึกษาของพวกเราสร้างเป็นรูปตัวยูใหญ่นะครับ (U) แล้วจะเลือกฝั่งทางซีกซ้ายว่า U1 ส่วนฝั่งทางซีกขวาเรียกว่า U2 หันหน้าเข้าหากัน สามารถตะโกนไปหาเพื่อนอีกฝั่งได้ (นี่ขนาดผมมาอยู่ได้ไม่ถึงวันยังจำได้เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ฮ่าๆ) ส่วนตรงกลางตรงโค้งครึ่งวงกลมพอดีเราจะเรียกว่าส่วน U เฉยๆ ครับ คาดว่าหอพักทางฝั่งนักศึกษาผู้หญิงคงเป็นเหมือนกัน
กึก!
สายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าแผ่วเบา ผมหลับตาลงเพราะกลัวเศษฝุ่นที่ลอยมาตามอากาศปลิวเข้าตา ไม่ถึงห้าวินาทีจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพื่อปรับโฟกัสให้ชินกับสภาพแวดล้อม
อ๊ะ นั่นมัน...
ในขณะที่ผู้คนรอบข้างกำลังส่งเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทว่าผมกลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลยรอบตัว สายตาผมดันไปจับจ้องเข้ากับบุคคลที่สามเมื่อสักครู่ที่คีย์กับไอหมอกกำลังพูดถึงอยู่พอดี
เขาไม่เหมือนคนธรรมดา แต่เหมือนเทวดาที่ลงมาจากสวรรค์มากกว่า...
ผู้ชายที่มีรอยยิ้มงดงามราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ทำให้ดอกไม้นานาพรรณเบ่งบาน รอบตัวเขามีเพื่อนนักศึกษาหลายคนนั่งรายล้อม เวลาที่เขาพูดจะมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากเสมอ ผมหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อความดูดีของเขากระแทกกลางหัวใจผมอย่างจัง
ตึก ตัก
มือซ้ายผมยกขึ้นแตะบางอย่างใต้อก หัวใจผมเต้นเบาๆ ด้วยจังหวะที่แสนอบอุ่น ราวกับก้อนเนื้อใต้อกด้านซ้ายกำลังค้นพบบางอย่างที่หายไปนานมาแล้วกลับคืนมาอีกครั้ง
ความร้อนแล่นวาบไปทั่วใบหน้าผมทันที เมื่อเขาคนนั้นหันมาสบตากับผมแล้วยิ้มออกมาบางๆ เป็นเชิงทักทาย เพียงเสี้ยววินาทีเขาจึงหันไปให้ความสนใจกับคู่สนทนาของตัวเองต่อ
ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมเชื่อในรักแรกพบ...
‘Love at first sight’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

4,832 ความคิดเห็น
-
#4832 Tawan Subsawat (จากตอนที่ 2)วันที่ 27 เมษายน 2563 / 21:18เดย์ พึ่งเข้าเรียน ลูก ใจเย็นๆ😆#4,8320
-
#6 นิน อนุศรา ศรีสวัสดิ์ (จากตอนที่ 2)วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 / 23:21อัพด่วนๆๆๆๆๆๆๆเลยคัฟรอๆๆๆๆๆๆ#60