ตอนที่ 2 : Chapter 1 : New one in me 100%
New one in me
ผมมองผู้ชายที่กำลังยืนน้ำตาคลอตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยติดจะเยาะเย้ยนิดๆ ด้วยซ้ำ
“ที่ผ่านมานายไม่เคยรักฉันเลยเหรอ”
“โห นายนี่คิดไปไกลเหมือนกันนะ เวลาแค่ไม่นานฉันจะหลงรักผู้ชายหน้าโง่ที่มีดีแค่รวยอย่างนายได้ยังไง ฝันสูงไปหรือเปล่า”
“แต่นายก็ยอมไปดูหนังกับฉัน ไปค้างที่คอนโดฉัน และให้ฉันหอมแก้มนี่”
ผมคลี่ยิ้มสดใสแต่คำพูดกลับสวนทางกันอย่างเลือดเย็น “แล้วไงล่ะ...แค่นั้นน่ะไม่ได้ทำให้ฉันรักนายได้หรอกนะ”
“ทำไมนายทำแบบนี้ นับหนึ่ง...นายก็รู้นี่นาว่าฉันคิดยังไงกับนาย”
ผมทำตาโตแบบเสแสร้งสุดฤทธิ์ก่อนจะหัวเราะคิกออกมาราวกับว่าคนตรงหน้าได้ยิงมุกที่ตลกที่สุดออกมา
“รู้สิ ทำไมฉันจะไม่รู้ว่านายรักฉัน” พูดประโยคแรกจบผมก็ใช้นิ้วชี้ไล้ตั้งแต่จมูกของเขาลงมายังริมฝีปากแดงนั่นและลากลงมายังไหปลาร้าสวยๆ ที่อยู่ใต้เสื้อกล้ามสีดำสนิทก่อนจะพูดประโยคที่สองเพื่อจบประเด็นการทำงานในวันนี้ของผมเสียที “เสียอย่างเดียวนะ...คือฉันไม่เคยรักนายเลย! นายก็เป็นแค่ของเล่นโง่ๆ ในสายตาฉันเท่านั้นแหละ!”
พอพูดให้เขาตะลึงจบผมก็หันหลังสะบัดก้นเดินจากไปทันที ทิ้งให้เขาคนนั้น...ผมจำชื่อเขาไม่ได้แล้วล่ะ ยืนคอตกเหมือนหนุ่มน้อยอกหักอยู่ตรงนั้น
แค่นี้งานผมก็เสร็จไปอีกหนึ่งงานแล้ว รอรับทรัพย์ดีกว่า!
ผมเดินออกมาจากร้านกาแฟข้างตึกคณะแล้วลัดเลาะตามซอกตึกมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงบริเวณโรงอาหารของคณะอักษรศาสตร์ที่ผมเรียนอยู่ จากนั้นจึงเดินไปทางร้านข้าวห่อไข่เจ้าประจำที่มีใครคนหนึ่งรอผมอยู่ตรงนั้น
“นับหนึ่ง เป็นยังไงบ้าง?”
หนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักสดใสเหมือนไอดอลเกาหลีคนนี้คือผู้ว่าจ้างรายล่าสุดของผมเองครับ
ผมยิ้มจางๆ แล้วโบกมือไปมาตรงหน้า “สบายมาก หมอนั่นหน้าซีดเป็นไก่ต้มไม่ใส่ผงชูรสเลย”
“ว้าว จริงเหรอ ดีเลยๆ ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้นายนี่ผู้ชายคนนั้นคงหลงคิดว่าตัวเองดีที่สุดไปเรื่อยๆ แหงเลย”
“ก็นะ หลังจากนี้ไปคงไม่กล้าเจ้าชู้ไปอีกนานเลยล่ะ”
“โอเค อันนี้เงินค่าจ้างนะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนมีเรียนวิชาเลือกภายในสิบนาทีหลังจากนี้น่ะ”
เด็กหนุ่มข้างหน้ายื่นซองพัสดุสีน้ำตาลเข้มมาให้ก่อนจะลุกเดินไปอีกทาง ผมเลยเปิดซองพัสดุนั้นออกมามีธนบัตรสีเทาอยู่จำนวนสิบใบ จำนวนเงินแค่นี้คงจะนิดเดียวสำหรับลูกคนรวยในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ล่ะนะ
พอเก็บเงินนั้นใส่กระเป๋าหนังสะพายข้างแล้วเอาซองพัสดุที่ว่างเปล่านั้นไปทิ้งในถังขยะก่อนจะออกเดินไปตามทางเพื่อไปเรียนวิชาของคณะตอนบ่ายนี้
ผมมีชื่อจริงและชื่อเล่นว่า ‘นับหนึ่ง’ ครับ อารมณ์แบบนับหนึ่งถึงสิบประมาณนั้นเลย รู้สึกขอบคุณพ่อกับแม่มากที่ตั้งชื่อดีๆ และความหมายเพราะพริ้งแบบนี้ให้ ทุกครั้งที่ผมเหนื่อยหรือท้อจากการพยายามทำอะไรก็จะหยุดสิ่งเหล่านั้นลงชั่วครู่เพื่อเริ่มนับหนึ่งใหม่ไปเรื่อยๆ เหมือนที่เคยได้ยินใครพูดว่า ‘ไม่มีคำว่าสายสำหรับคนจะเริ่มต้นใหม่’ นั่นเอง
การกระทำเมื่อสักครู่ที่ผ่านมานั่นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นะครับ เพราะหากว่าเรากำลังรู้สึกดีกับใครสักคนจริงๆ แต่วันหนึ่งดันรู้ว่าเขาแค่หลอกเราเพื่อจุดประสงค์บางอย่างน่ะมันเจ็บปวดมากนะครับ เหมือนอดีตของผมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อแทนภูมิ เขาก็มองผมว่าเป็นหมากในเกมที่เขาต้องจัดการให้สำเร็จเพื่อแลกกับเงินแค่ก้อนเดียวโดยไม่สนใจเลยว่าความรู้สึกของคนที่รักเขาจะเป็นยังไง
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเกลียดการกระทำในลักษณะนี้แต่ทำไมตัวเองยังทำอยู่ เรื่องมันเริ่มมาจากหลายเดือนก่อนหลังจากที่ผมเลิกกับแทนภูมิ ผมเสียใจมาก ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ อยู่กับช่วงเวลากับคราบน้ำตาอันแสนทรมานจนเพื่อนคนหนึ่งในคณะต้องการจะเลิกกับแฟนคนปัจจุบันซึ่งเขาเบื่อแล้วเลยลองมาถามผมให้ช่วยดูเผื่อจะรู้สึกดีขึ้นบ้างที่ได้เอาคืน ตอนแรกเองผมไม่เห็นด้วยหรอกนะครับ เรื่องแบบนี้ความรู้สึกใครความรู้สึกมัน แต่พอได้ลองหลอกให้ผู้ชายคนนั้นรักและหักอกเขาอย่างเลือดเย็นมันกลับทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนต้องการในตัวผมบ้าง แม้จะชั่วครั้งชั่วคราวก็ตามที
จากนั้นมาเวลาเพื่อนคนไหนต้องการแก้แค้นผู้ชายที่ทำให้ตัวเองอกหักหรืออยากสลัดผู้ชายที่มาตามเกาะแกะตัวเอง ผมก็จะรับจ้างจัดการสลัดผู้ชายพวกนั้นออกไปแลกกับค่าจ้างเล็กๆ น้อย ตามแต่ที่คนจ้างจะให้เพราะบางครั้งผมอาจจะต้องใช้ตัวเข้าแลกสักเล็กน้อย
ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อยๆ พยายามลบความทรงจำที่ส่งผลร้ายต่อตัวเองออกไปจนดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่กลับไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำเป็นไอ้บ้าอีก
ต้องขอบคุณความเจ็บปวดที่เขามอบให้สินะ ที่ทำให้ผมกลายเป็นคนเข้มแข็งและเย็นชาอยู่แบบทุกวันนี้น่ะ!
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะอดยิ้มออกมาอย่างดีใจไม่ได้ รีบสไลด์หน้าจอรับทันที
“ฮัลโหลอั่งเปา เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้โทรคุยกันนานเลย”
[คิดถึงนายจังเลยนับหนึ่ง อยู่ที่นี่ไม่มีใครมานั่งเมาส์เป็นเพื่อนเลย ภาษาอังกฤษฉันก็ใช่ว่าจะดีเสียเมื่อไหร่]
ผมหัวเราะออกมาเต็มเสียงเมื่อ ‘อั่งเปา’ เพื่อนรักของผมซึ่งไปเรียนภาษาชั่วคราวที่อังกฤษเป็นเวลาหนึ่งเทอมบ่นออกมากับสภาพชีวิตอันแสนอึดอัดนั่นแล้วอดสงสารไม่ได้
เราสองคนสนิทกันตั้งแต่เทอมแรกของปีหนึ่ง ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอจนมีข่าวลือไปว่าเราสองคนแอบกินกันเองด้วยซ้ำทั้งที่ความจริงเราเป็นเพื่อนที่รักกันมากเฉยๆ พอตอนเทอมสองอั่งเปาสอบได้ทุนไปเรียนภาษาระยะสั้นที่อังกฤษเป็นเวลาหลายเดือนเลยล่ะ และจะกลับมาอีกครั้งหลังจากเปิดเทอมขึ้นปีสองของเทอมหนึ่งไปสักระยะหนึ่งนั่นเอง โชคดีที่หลักสูตรการเรียนการสอนของที่นั่นรวบกับหน่วยกิตวิชาเดียวกับของมหาลัยทางนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องพักการเรียนแล้วกลับมาเรียนซ้ำใหม่อีกครั้ง พูดได้ว่าเป็นโครงการที่ดีได้เพื่อนใหม่ ได้ภาษาใหม่ แถมยังได้เที่ยวอีก กลับมาก็เรียนวิชาของปีสองพร้อมกันจนผมยังแอบอิจฉา น่าเสียดายที่ทักษะทางภาษาอังกฤษของผมไม่ดีเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเราคงได้ไปเรียนด้วยกันแล้วล่ะ แต่ก็นะ...เราสองคนใช้แนวคิดเดียวกับคนที่เป็นแฟนกันคือเว้นระยะห่างให้คิดถึงกันบ้าง อีกไม่นานอั่งเปาก็จะกลับมาแล้วจะพาไปตะเวนกินอาหารไทยให้หมดเลย คอยดูสิ!
“อดทนนะ อีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้วนี่นา” ผมยกนิ้วตัวเองขึ้นมานับก่อนจะสรุป “เฮ้ย! เหลืออีกเดือนเดียวแล้วนี่ ดีใจจัง ฉันอยากเจอนายมากเลย”
[ฉันก็อยากเจอนายมากเลย แทบจะลืมแล้วเนี่ยว่าประเทศไทยเป็นยังไง ฮ่าๆ]
“จะบ้าเหรอ ลืมให้มันจริงเถอะ ฉันรู้นะว่านายชอบหนุ่มไทยมากกว่าหนุ่มตาสีน้ำข้าวน่ะ”
[โหๆ ทำมารู้ดี ฉันก็รู้เหมือนกันนั่นแหละว่านายชอบหนุ่มไทย]
ยิ้มผมจืดจางลงเล็กน้อยเมื่ออั่งเปาพูดจบประโยคนั้น
[เอ่อ...นับหนึ่ง ฉันขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้นายรู้สึกไม่ดีแบบนั้น]
ปลายสายรีบพูดออกมาทันเมื่อผมเงียบไปนาน เพราะน้ำเสียงรู้สึกผิดของอั่งเปานั่นเองทำให้สติผมกลับคืนมาสู่ปัจจุบันหลังจากนิ่งปล่อยความคิดไปถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดและเสียดแทงใจทุกครั้งที่นึกถึง
ผมยิ้มบางๆ เป็นกำลังใจให้ตัวเองก่อนตอบอั่งเปากลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส “เปล่าสักหน่อย ไม่มีอะไรหรอก เรื่องพรรค์นั้นฉันลืมไปหมดแล้ว”
[จ้า จะเชื่อดีไหมเนี่ย แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่]
“กำลังจะเดินไปเรียนวิชาคณะ ว่าแต่นี่มันตอนบ่ายแล้วนะ ช่วงเวลาของไทยกับอังกฤษมันห่างกันมากเลยนะ ทำไมยังไม่นอน แอบคุยกับหนุ่มที่ไหน”
“ตายแล้ว ทำไมนายรู้ล่ะ นี่ว่าเก็บเป็นความลับไว้อย่างดีแล้วนะ สงสัยมีคนแอบไปบอกแหงๆ”
“นายจะบ้าเหรอ!”
แล้วเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างสนุกสนานจนนักศึกษาที่เดินอยู่แถวนั้นหันมามองผมอย่างตกใจเลยทีเดียว ด้วยความที่เราสองคนอยู่ห่างกันคนละทวีปทุกครั้งที่คุยกันมักมีเรื่องราวสนุกๆ มาผลัดเปลี่ยนกันเล่าเสมอ เป็นช่วงเวลาเล็กๆ ที่แสนมีความสุขเลยไม่รู้ว่าจะหาเรื่องเศร้ามาพูดเพื่อบั่นทอนจิตใจกันไปทำไม
[เออนี่ นับหนึ่ง ไหนๆ ก็นานทีโทรมา อยากคุยกับนายเรื่องหนึ่งน่ะ]
ผมขมวดคิ้วขณะหยุดยืนพิงกำแพงด้านหลังเพื่อความสะดวกในการคุย จะได้ไม่เดินชนของอย่างอื่น “คุยมาสิ นายก็รู้ว่าฉันเต็มใจตอบทุกคำถามของนาย”
[งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ใส่กางเกงในสีอะไรล่ะ]
“สีเทาของ Valentino Rudy เนื้อผ้าแบบ Spandex”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนผมอดยิ้มตามไม่ได้ [โห่ นายยังเป็นเหมือนเดิมเลยนะ ถามอะไรก็ตอบมาตามตรง อันที่จริงคำถามเมื่อกี้ไม่จำเป็นต้องตอบก็ได้]
“ก็คนมันจริงใจนี่นา นายอยากรู้ฉันก็บอกไปเท่านั้นเอง”
ผมนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ที่เราคุยโทรศัพท์กันแล้วอั่งเปามันดันถามผมว่า ‘วันนี้ช่วยตัวเองหรือยัง’ ผมก็รักเพื่อนไง จริงใจ ไม่อยากให้เพื่อนได้ข้อมูลผิดไปเลยบอกไปตามความจริงว่า ‘เรียบร้อยตอนเช้าแล้วรอบหนึ่ง กะจะจัดตอนเย็นก่อนนอนอีกรอบ’ แบบนี้ อั่งเปามันก็หาว่าผมพูดความจริงออกมาทำไม เก็บเอาไว้ในใจบ้างก็ได้เดี๋ยวมันจะเกิดอารมณ์ตามแล้วไปช่วยตัวเองในห้องน้ำ (?)
จริงๆ แล้วครั้งนี้ผมรู้นะว่าอั่งเปาแค่ถามลองเชิงก่อนจะเข้าสู่หัวข้อสนทนาหลังจากนั้นผมเลยเล่นไปตามน้ำนั่นแหละ!
[เอาเป็นว่าเราหยุดคุยกันเรื่องลามกก่อนเถอะ พร้อมที่จะฟังฉันพูดยังเนี่ย] ปลายสายปรับเสียงให้จริงจังขึ้น
“อืม...ว่ามาสิ?”
[ฉันอยากให้นายเลิกรับจ้างหักอกคนอื่นเสียที]
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ คิดไม่ถึงว่าอั่งเปาจะเอาเรื่องนี้มาพูดซ้ำอีก เพราะเราเคยคุยกันเรื่องนี้แล้ว ทีแรกอั่งเปาบอกว่าจะไม่ยุ่งในเมื่อมันเป็นเส้นทางที่ผมเลือกเอง แต่พักหลังมานี่ผมรับจ้างหนักขึ้นจนมีผู้ชายหลายคนเสียใจ เรื่องนี้คงไปเข้าหูอั่งเปาผ่านเพื่อนในคณะสักคนนี่แหละ วันนี้เลยถูกยกเป็นประเด็นมาพูดอีก
“ฉันแค่ทำเป็นงานอดิเรกหาค่าขนมเฉยๆ ไม่ได้จริงจังมากมายขนาดนั้น นายอย่ากังวลไปเลย”
[นายจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงได้ยังไงไหว เกิดวันใดผู้ชายคนที่นายไปหักอกเขากลับมาเอาคืนทำร้ายนายล่ะ นายจะทำยังไง ชีวิตนายทั้งชีวิตเลยนะ เกิดอันตรายรุนแรงถึงชีวิตล่ะ พ่อแม่นายไม่เสียใจแย่เหรอนับหนึ่ง]
“เฮ้อ ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะ พูดเรื่องนี้เดี๋ยวนายก็จะเครียดแทนฉันเปล่าๆ เอาเวลาไปตั้งใจอ่านหนังสือสอบย่อยก่อนกลับมาให้ได้คะแนนสวยๆ ดีกว่านะอั่งเปา”
[นายพอเถอะนับหนึ่ง ฉันรู้นะว่าทำไมนายถึงรับจ้างทำอะไรพวกนี้น่ะ เพราะผู้ชายที่ชื่อแทนภูมิในอดีตนั่นใช่ไหมที่ทำให้นายเลือกทำร้ายคนรอบข้างให้เจ็บปวดเองแทนที่ตัวเองจะเจ็บอยู่คนเดียวน่ะ ทำไม? อยากโลกสวยแบ่งปันความเศร้าให้คนอื่นด้วยเหรอไง มันไม่ใช่เกสรดอกไม้นะที่จะมีกลิ่นผ่านไปเรียกผึ้งมาดูดน้ำหวานน่ะ!]
คราวนี้อั่งเปาบ่นออกมายืดยาวจนผมฟังแทบไม่ทัน ต้องยอมรับว่าสิ่งที่คนปลายสายพูดมาเป็นความจริงทั้งหมด สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมยังรับจ้างทำงานทำร้ายจิตใจคนอื่นเนี่ยเป็นเพราะแทนภูมิ...เพราะผมยังไม่สามารถลืมแทนภูมิได้ เพราะอยากให้ผู้ชายพวกนั้นเจ็บเหมือนกับที่ผมเคยเจ็บ ช่างเป็นเหตุผลที่งี่เง่าสิ้นดีเลยเนอะว่าไหม
“ฉันจะลองคิดดูแล้วกันนะ นายอย่ากังวลไปเลย มันไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ไม่ดีหรอก”
ผมได้ยินปลายสายถอนหายใจออกมาแผ่วเบา [นายจำไว้นะนับหนึ่ง ที่ฉันเตือนและบ่นเรื่องนี้กับนายบ่อยๆ น่ะเป็นเพราะฉันรักนาย เป็นห่วงนายและไม่อยากให้นายจมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตเพราะผู้ชายสารเลวคนนั้น เชื่อเถอะว่าฉันอยากเห็นวันที่นายมีความสุขอย่างแท้จริงมากกว่าตอกย้ำความเจ็บปวดของตัวเองอย่างทุกวันนี้]
“ฮ่าๆ รับทราบครับ วันนี้นายดูเครียดกว่าทุกทีอีกนะเนี่ย ไปซื้อขนมกินและผ่อนคลายลงนะ ฉันจะเก็บทุกคำพูดของนายไปคิดและปล่อยวางโดยเร็วที่สุด”
[ทำได้อย่างที่รับปากด้วยล่ะ อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ]
ผมออกเดินไปอีกช้าๆ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองหยุดคุยโทรศัพท์นานเกินไปแล้ว กลัวว่าจะเข้าเรียนไม่ทัน อาจารย์ประจำภาควิชานี้โหดเรื่องการเช็คชื่อมากผมไม่อยากมีปัญหา
สายตาผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่ไปไม่ไกลนัก ร่างสูงที่คุ้นเคยกับแววตาเย็นชานั่นทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนต้องชะงักเท้าอยู่กับที่ฟังสิ่งที่อั่งเปาพูดมามากมายโดยไม่สามารถจับใจความได้เลยแม้แต่นิด
[ฮัลโหลๆ เฮ้ นับหนึ่ง นายได้ยินที่ฉันพูดไหมว่าพาสต้าในโรงอาหารมันรสชาติแย่จนฉันอยากเข้าไปลงมือทำเองเลย]
“อั่งเปา...นายคิดว่าฉันยังรักแทนภูมิอยู่หรือเปล่า”
[หา เป็นบ้าอะไรน่ะ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามคำถามแบบนี้ออกมา]
ผมไม่ได้สนใจคำที่อั่งเปาพูดออกมาแต่ตอบคำพูดทั้งหมดไปแค่ประโยคเดียว “เพื่อความสบายใจของนายฉันจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่าฉันไม่ได้รักผู้ชายที่ชื่อแทนภูมิอีกแล้ว”
มันเป็นความตั้งใจของผมเองที่พูดประโยคนั้นออกมาเสียงดังหวังให้ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ยินและรู้สึกเจ็บปวดไปกับคำพูดเหล่านั้นบ้าง แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อผู้ชายคนนั้นโยนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ก่อนจะแสยะยิ้มร้ายมองมาที่ผมด้วยแววตาเวทนาราวกับผมเป็นแค่เศษดินใต้รองเท้าที่เขาเหยียบอยู่
“เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะอั่งเปา ถึงห้องเรียนแล้ว”
ผมบอกอั่งเปาก่อนกดวางสายและเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายตรงหน้า
“ไม่ได้เจอกันหลายเดือนเลยนี่...คุณแฟนเก่า”
อย่าคิดว่าประโยคนี้ผมเป็นคนพูดนะครับ แค่เห็นหน้าเขาผมก็แทบจะอาเจียนออกมาเป็นขนมปังที่กินเข้าไปแล้ว ทำไมแทนภูมิถึงกล้าใช้คำว่าแฟนเก่ากับผมได้ในเมื่อตอนนั้นแค่ความรู้สึกรักเขายังไม่มีให้ผมเลย!
“อย่าเห่าออกมาด้วยคำพูดน่าเกลียดนั่น ฉันขอเตือน”
แทนภูมิแสะยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจก่อนจะเอามือล้วงกางเกงเดินเข้ามาใกล้ผม “ทำไมพูดจาแบบนั้นล่ะ ไม่น่ารักเลยนะ เมื่อก่อนนายยังร้องครวญครางเวลาฉันอยู่บนตัวนายอยู่เลยนะ ลืมไปแล้วเหรอ”
พลั่ก!
ผมผลักอกแทนภูมิจนเซถอยหลังไปสองก้าวแล้วตะโกนออกมาเสียงดังอย่างหงุดหงิด “ฉันจำอะไรที่มีร่วมกับนายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! ถอยไป...และอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ห่างกันไปตั้งหลายเดือนแล้วแท้ๆ จะสาระแนเอาหน้ากลับมาให้ฉันเห็นอีกทำไม!”
แทนภูมิมองหน้าผมนิ่งๆ ก่อนจะผลักร่างผมจนหลังเซไปชนกำแพงจากนั้นจึงเอามือมายันกำแพงไว้เพื่อไม่ให้ผมหนีไปไหนได้ บ้าจริง! ในเวลาแบบนี้ทำไมผมถึงได้หัวใจเต้นราวกับได้ย้อนเวลาไปหาความเจ็บปวดในอดีตแบบนี้นะ!
“ก็เพราะฉันคิดถึง ‘ของเล่น’ ที่เคยเล่นยังไงล่ะ ถึงได้กลับมาให้นายเห็นหน้า ไม่ได้เจอกันตั้งนานมีใคร ‘เล่น’ นายไปแล้วบ้างล่ะ”
“ฉันไม่ใช่ของเล่นของนาย! ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปเรียนแล้ว!”
ผมพยายามดิ้นตัวให้หลุดจากอ้อมกอดคนตรงหน้า ทำไมมันช่างยากเย็นเหลือเกินทั้งที่ผมสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าตามแบบมาตรฐานชายไทยแต่สู้ไม่ได้เลยเมื่อยืนเทียบกับแทนภูมิซึ่งสูงร้อยแปดสิบกว่าแบบนี้ ผมเลยเหมือนคนแคระที่พยายามจะปีนขึ้นไปเก็บผลไม้เลย!
“อยู่นิ่งๆ สิ จะรีบไปไหนล่ะ” แทนภูมิพูดเสียงเย็นแล้วใช้สองมือกดไหล่ผมตรึงไว้กับกำแพงไม่ให้ผมขยับดิ้นหนีไปไหน ยิ่งทำให้ผมปวดระบมตรงไหล่มากขึ้นเหมือนกระดูกจะหัก
ไม่ว่าจะร้องส่งเสียงดังขนาดไหนแทนภูมิก็ยังไม่ปล่อยให้ผมหลุดไปจากพันธนาการต้องห้ามนี่เสียที! โอ๊ย! เขานี่มันร้ายกาจชะมัด!
“นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่ พูดมาเลยดีกว่า ฉันไม่มีเวลามายืนคุยกับผู้ชายนิสัยแย่แบบนายหรอกนะ!”
“หึ” แทนภูมิยิ้มเหี้ยมแล้วใช้มืออีกข้างบีบคางผมให้เชิดขึ้นสบสายตาน่ากลัวของเขาจนผมรู้สึกเจ็บไปทั่วทั้งหน้า “ยังปากดีเหมือนเดิมเลยนะนับหนึ่ง แล้วรู้ไหมว่าคนที่ปากดีเนี่ยจะโดนอะไร!”
ผมรู้สึกเจ็บใจตัวเองเหลือเกินที่ดันคิดไปถึงฉากตบจูบในละครไทยหลายเรื่องที่เคยดู ทั้งที่มันคงไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับชีวิตเราสองคนในเมื่อตอนนี้เราเป็นแค่ ‘คนร่วมโลก’ กันเท่านั้น!
“อ้าว! หน้าแดงทำไม คิดอะไรลามกอยู่น่ะสิ ไม่ปากเก่งแบบเมื่อกี้แล้วเหรอ?” เขาถามเสียงยียวนจนผมอยากเอามือตะกุยหน้าหล่อๆ ของเขาให้ได้แผล!
“นายมันสารเลวที่สุด! คนเขาไม่เต็มใจแล้วจะมากักกันไว้อีกทำไม!”
“บอกแล้วไงว่าคิดถึงของเล่นเดิม ไหนๆ ก็เจอแล้วขอเล่นให้หายคิดถึงหน่อยก็แล้วกันนะ...”
“นายพูดบ้าอะ...อุ๊บ!”
พูดยังไม่ทันจบประโยคดีแทนภูมิก็โอบตัวผมเข้าไปใกล้จนแผ่นอกเราสัมผัสกันได้ยินเสียงหัวใจเต้นผสานจังหวะที่สม่ำเสมอกัน ใบหน้าผมร้อนผ่าว เหงื่อไหลลงมาตามไรผมราวกับไปวิ่งมาสักสิบกิโลได้ ริมฝีปากเขายังไม่หยุดรุกรานความเป็นส่วนตัวของผม แต่กลับแนบชิดลงมามากขึ้นจนผมหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
“เฮือก...”
แทนภูมิถอนริมฝีปากออกมาให้ผมได้พักหายใจได้ไม่ถึงสามวินาทีดีก็ทาบริมฝีปากตามลงมาอีก คราวนี้มันร้อนแรงกว่าเดิมจนผมอดคิดไม่ได้ว่าหากถอนริมฝีปากออกไปแล้วผมคงละลายลงไปกองกับพื้นแน่ๆ
“อื้อ...”
ผมร้องครางออกมาเบาๆ เมื่อแทนภูมิส่งลิ้นร้อนเข้ามากระหวัดหาความหวานในโพรงปากผมอย่างดื้อรั้นทั้งที่ผมพยายามปิดเอาไว้แล้วแท้ๆ เชียว...ลิ้นของเขาไล้เลียไปตามปากผมจนแทบจะละลายลงไปกองกับพื้น ความรู้สึกทางเพศแบบดิบเถื่อนที่ผมปิดลึกไว้ในจิตใจถูกปลุกให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งด้วยความร้อนแรงจากคนตรงหน้า!
“หึ ไหนบอกว่าเกลียดฉันไง โดนจูบแค่นี้สติก็หลุดไปไกลแล้วเหรอ? ไม่เห็นเก่งแบบที่พูดเลย” แทนภูมิถอนริมฝีปากออกมาและเลื่อนไปกระซิบเบาๆ ข้างใบหูจนผมขนลุกชันไปทั้งร่างกับกระแสเสียงแหบๆ นั่น
สติที่ยังกลับมาไม่ครบของผมทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าแทนภูมิไล้ริมฝีปากตั้งแต่ใบหูผมลงไปก่อนจะหยุดที่ต้นคอขาวเนียนเพื่อขบเม้มเบาๆ สร้างรอยสีม่วงอมแดงแสดงความเป็นเจ้าของไว้ให้ผมอย่างน่าอาย
“จำไว้ นายเป็นของเล่นของฉัน ปฏิเสธฉันให้ได้ก่อนแล้วค่อยบอกว่าเกลียดฉันน่ะ เหอะ!”
แทนภูมิเดินจากไปแล้วทิ้งผมให้เข่าอ่อนทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วเอามือกุมหัวใจที่กำลังเต้นแรงเอาไว้ ใบหน้าผมร้อนเห่อไม่หมด ถ้ามีใครมาตอกไข่ใส่หน้าผากผมตอนนี้รับรองสุกแน่
เจ็บใจ! เจ็บใจชะมัด! ทำไมผมถึงแพ้เขาอย่างหมดรูปแบบนี้กัน! จำไม่ได้เหรอไงว่าเขาทำร้ายผมไว้อย่างเจ็บแสบแค่ไหน จูบสุดร้อนแรงนี่ไม่สามารถทำให้ผมกลับไปรู้สึกดีๆ กับเขาได้หรอก!
ผมยังยืนยันคำเดิมนะว่าผมไม่ได้รักเขาแล้ว และที่สำคัญ ผม-เกลียด-เขา!
ฮึ่ย! สุดท้ายผมก็ไปเรียนสายจนได้! สงสัยโดนสั่งรายงานเดี่ยวเพิ่มนอกจากการบ้านแหงๆ เลย!
ทุกอย่างมันเป็นเพราะนายคนเดียวทั้งนั้นแทนภูมิ!
-100%-
◊ ◊ SQWEEZ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เจิม!!!!