ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Twins ภารกิจเสี่ยงตาย (วิชาการเขียนนวนิยาย)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 57


    บทที่ ๒

              “ยังไงพ่อก็ไม่ยอม!

    บุรุษผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน แผดเสียงดังลั่น

                “แต่พ่อครับ มันไม่ได้เสียหายอะไรนี่ครับ...”

    ฝ่ายลูกชายก็พยายามชี้แจง แต่คำว่าไม่เสียหายอะไรของเขากลับทำให้พ่ออารมณ์ประทุมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

                “วริศ แกอย่าเป็นคนมักง่ายนักเลย ! คำก็ไม่เป็นไร สองคำก็ไม่เป็นไร พ่อได้ยินแกพูดมาจนเบื่อแล้ว ! ช่วยคิดเรื่องอนาคตของตัวเองบ้างสิ”

                วริศจ้องหน้าวิสุทธิ์ผู้เป็นพ่อ เขารู้สึกอับจนหนทางที่จะพูดจาอธิบายให้พ่อเข้าใจแล้ว เมื่อครู่เขาเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน พ่อจึงถามเขาเป็นรอบที่ร้อยว่า เขาจะเรียนสายอะไร ซึ่งเขาก็ให้คำตอบเดิม ๆ ที่พ่อไม่มีทางพอใจ นั่นคือเขาอยากจะเรียนสายศิลป์ภาษา ก่อนหน้านี้พ่อบอกให้เขาคิดทบทวนใหม่เป็นร้อย ๆ รอบ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็ไม่คิดอยากจะเรียนสายวิทยาศาสตร์ตามที่พ่อต้องการอยู่นั่นเอง และอีกเรื่องที่เขารู้สึกจนปัญญาคือ วันนี้แม่ของเขาไม่มีท่าทีจะช่วยพูดกับพ่อให้เหมือนคราวก่อน ๆ ท่านยังนั่งอ่านนิตยสารเล่มโปรดที่เพิ่งออกใหม่โดยไม่มีท่าทีสนใจว่าสามีและลูกชายกำลังทะเลาะกันบ้านแทบแตก

                “แกจะเอายังไง จะเรียนหรือไม่เรียน”

                “เรียนครับ”

                “ถ้าอย่างนั้นแกก็เลิกคิดว่าจะเรียนสายศิลป์ได้เลย พ่อไม่อนุญาต”

     วิสุทธิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่า เขาไม่ให้โอกาสลูกชายตัดสินใจด้วยตนเองอีกแล้ว เพราะวริศเฉื่อยชาเต็มทน ขนาดเขาใจกว้างให้เงื่อนไขกับลูกหนึ่งข้อว่า ถ้าหากลูกอยากเรียนสายศิลป์ภาษาจริง ๆ ลูกต้องบอกเขาให้ได้ว่า ลูกอยากเรียนไปทำไม และเหตุผลนั้นต้องฟังขึ้น แต่จนแล้วจนรอด คำตอบที่น่าจะเป็นคำตอบก็ไม่เคยหลุดออกมาจากปากลูกชายของเขาเลย วันนี้เขาจึงตั้งใจจะยื่นคำขาดกับลูกเสียที

    คำว่า”พ่อไม่อนุญาต” ทำให้วริศรู้สึกเหมือนสายตาของเขาบอดสนิท จากเดิมที่เขาแทบจะมองอนาคตของตัวเองไม่เห็นอยู่แล้ว และเขายังรู้สึกเหมือนกับว่าพ่อกำลังจะจับเขาซึ่งตอนนี้เป็นเหมือนลูกเจี๊ยบในกำมือของท่านยัดใส่กรงที่มีสุนัขบ้าเลือดสองตัว เขาต้องดิ้นรน ดิ้นรนให้พ้นคมเขี้ยวของสุนัขที่มีชื่อว่าคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ !

    “ทำไมล่ะครับ เรียนสายศิลป์มันไม่ดีตรงไหน”

    “ก็มันจะไม่ดีตรงที่แกจะเรียนทั้ง ๆ ที่ไม่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนเลยไงล่ะ แล้วจบไปจะทำอะไรกิน หา ! สู้เรียนสายวิทย์ดีกว่า จบไปจะเรียนต่อคณะไหนก็ได้ ทำงานอะไรมีให้เลือกเยอะแยะ”

    “โถ่พ่อ เป้าหมายในชีวิต ? ของแบบนั้นผมจะไปรู้ได้ยังไง อนาคตยังอีกตั้งไกล ไว้ค่อยคิดก็ยังได้ เอาตอนนี้ให้รอดก่อนเถอะ ผมจะตายเพราะเกรดเลขกับวิทยาศาสตร์มันห่วยเนี่ย !

    “แกไม่ต้องมาพูดเลย นั่นมันเพราะแกไม่ยอมทำแบบฝึกหัดทบทวนต่างหาก เกรดมันถึงออกมาห่วยขนาดนั้น จะให้พ่อต้องพูดปากเปียกปากแฉะอีกกี่ครั้ง แกถึงจะยอมฟังพ่อ!

    พอได้ยินคำว่า “แบบฝึกหัดทบทวน” วริศก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม

    อะไรกันนักกันหนา ก็คนมันไม่ชอบ ให้ตายยังไงก็ไม่ทำหรอกไอ้ของพรรค์นั้น !

     “ทำไมพ่อต้องบังคับผมด้วยล่ะครับ ! ผมเกลียดเลข ผมไม่ถนัดเรียนวิทยาศาสตร์ แค่นี้มันยังไม่พอที่จะเป็นเหตุผลที่พ่อต้องการอีกเหรอครับ ? จะให้ผมพูดอีกกี่หนพ่อถึงจะพอใจล่ะ!?”

    “แกว่าไงนะ...แก...เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ!
                 วิสุทธิ์ชี้หน้าวริศอย่างเดือดดาน ซึ่งแทนที่จะทำให้ลูกชายเกรงกลัวเขา กลับทำให้ลูกยิ่งขึ้นเสียงกับเขามากขึ้นไปอีก

    “ก็พ่อไม่ฟังผม ! พ่อไม่เข้าใจผมเลยนี่ครับ!

    “พอได้แล้ว!

     เสียงตวาดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะขึ้นก่อนที่วิสุทธิ์จะเผลอเงื้อมือตีลูกชายที่บังอาจเถียงเขาฉอด ๆ โดยไม่มีความเคารพยำเกรงเขาผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย แต่เสียงของพัชราซึ่งเป็นภรรยาคู่ชีวิตของเขา ได้ดึงสติเขากลับมาอีกครั้ง เขาจึงลดมือลง ในขณะที่เจ้าลูกชายก็เงียบเสียงลงทันที

    “กานต์ ขอโทษพ่อเขาเดี๋ยวนี้”

    วริศเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาทำกริยาไม่เหมาะสมลงไป เขาจึงเงียบเพื่อสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนยกมือไหว้ขอโทษพ่อที่มีอาการใจเย็นลงบ้างแล้ว

    “ขอโทษครับพ่อ”

    เมื่อเห็นว่าเจ้าลูกชายสำนึกผิดแล้ว พัชราก็หันมาพูดกับวิสุทธิ์ต่อ

    “พี่ก็เบา ๆ ลงหน่อย อย่าเครียดกับมันเลยน่า”

    “แม่ครับ ผมขอตัวนะครับ”

    วริศพูดขัดจังหวะขึ้น แล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังบันได เขารู้สึกว่าถึงเขาอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา สู้ไปนั่งคนเดียวในห้อง สงบจิตสงบใจยังจะดีเสียกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกเหนื่อย ใจของเขาเริ่มวิ่งวนหาคำตอบเรื่องอนาคตของตนเองอีกครั้ง และสิ่งที่เขาต้องการตอนนี้คือสมาธิซึ่งจะมาพร้อมกับความเงียบสงบเท่านั้น

    “กานต์ แล้วข้าวเย็นล่ะ”

    พัชราถามขึ้นในขณะที่วริศกำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดขั้นแรก ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มหยุดยืนที่ตีนบันได และตอบโดยไม่หันกลับมาสบตาแม่ว่า “แม่ทานเลยครับ ผมไม่หิว”
          
    จากนั้นเขาก็เดินขึ้นห้องไปโดยไม่สนใจว่าแม่จะถามอะไรอีกหรือไม่ หรือว่าพ่อจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการแสดงออกของเขา

    เมื่อประตูห้องปิดลง วริศก็ทิ้งตัวลงนอนกับเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นมาก่ายหน้าผาก เมื่อกี้ที่เขาไม่หันไปสบตาแม่ เพราะเขาไม่อยากให้พ่อและแม่เห็นว่าเขาน้ำตาซึม ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุใดก็ตาม แต่ตอนนี้เขารู้สึกทุกข์ท้อเหลือเกิน เขาอยากให้พ่อเข้าใจ เขาอยากให้พ่อยอมรับฟังเขา และปล่อยให้เขาได้เลือกเส้นทางชีวิตด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าเขายังไม่สามารถค้นพบความฝันเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงแม้ว่าเขายังไม่สามารถพูดได้ชัดเจนว่าเขาอยากทำงานอะไร แต่มันก็น่าจะสมเหตุสมผลแล้วสำหรับเหตุผลที่ว่าเขาไม่ชอบเรียนอะไร เขาจึงไม่เลือกเรียนสิ่งนั้น

    มีใครรู้เรื่องอนาคตบ้าง ? มีใครรู้แน่นอนบ้างว่าโตขึ้นตัวเองจะทำงานอะไร ไม่มีหรอก แล้วทำไมพ่อต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ

    เขาตัดสินใจลุกขึ้น และทำในสิ่งที่เขาทำเสมอ ๆ เมื่อพบกับความสับสน หรือความเศร้าหมองในชีวิต นั่นคือเขาจะนั่งลงหน้าเปียโนไฟฟ้า และเล่นเพลงที่เขาชื่นชอบ เขาจะปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวทั้งหมดให้ลอยหายไปพร้อมกับโน้ตแต่ละตัวที่ดังขึ้นและจางลงไป ซึ่งเสียงเปียโนของเขาดังลอดประตูห้องลงไปถึงชั้นล่าง ซึ่งพ่อและแม่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่

    “มันก็ดีแต่เรื่องอย่างนี้ สนุกสนานไปวัน ๆ”

    วิสุทธิ์บ่นไป ตักข้าวใส่ปากไป ทำเอาพัชราตีหน้ายุ่ง

    “พี่นี่ก็แปลก ลูกมีความสุขแทนที่จะดีใจ แล้วนี่แหนะ หัดชมลูกเขาบ้าง ได้ยินไหม ลูกเล่นเปียโนเก่งจะตาย”

    วิสุทธิ์ได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงหึในลำคอ และพูดขึ้นว่า

    “ขืนพี่ชมมัน มันก็เหลิง คราวนี้ไม่ต้องเป็นอันเรียนกันพอดี มันคงได้เสเพลเล่นเปียโนไปวัน ๆ น่ะสิ เธอก็อย่าเข้าข้างลูกให้มากนัก ต่อไปมันไม่มีข้าวจะกินคงคิดแต่จะเล่นเปียโนหาเงินกระมัง”

    “เอ๊ะ! พี่ก็...ฉันก็รักของฉัน ไม่อยากให้มันเครียดเท่านั้นเอง พี่เองเถอะ เป็นอะไรนักหนา เคี่ยวเข็ญมันอยู่ได้ กลัวมันจะหน้าไม่แก่หรือไง”

    พัชราหยอดมุขอย่างทีเล่นทีจริง เธอคาดหวังว่าอย่างน้อยคำพูดของเธอคงจะมีผลให้วิสุทธิ์คลายความเครียดที่มีต่อลูกลงบ้าง แต่เธอก็ต้องผิดหวัง เพราะประโยคที่เขาพูดถัดมา

    “พัช...ฟังพี่นะ พี่เป็นห่วงวริศมันมากจริง ๆ เห็นมันเอาแต่เล่นดนตรี มิหนำซ้ำยังไม่ใส่ใจกับอนาคตของตัวเอง มันเป็นลูกคนเดียวนะ ถ้าพวกเราเป็นอะไรขึ้นมามันจะพึ่งใคร”

    “โถ่พี่ ฉันยังไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องไปเร่งรัดลูกเลย มันก็ยังเล็กอยู่ พอโตขึ้นเดี๋ยวก็คงคิดได้เองแหละ แล้วก็ตามใจลูกเถอะนะพี่ ลูกอยากเรียนอะไรให้ลูกเลือกเอง”

    วิสุทธิ์นั่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นมาเฉย ๆ ว่า

    “พัช บางทีเราอาจจะเหลือเวลาไม่มากแล้วก็ได้นะ”

    พัชรามองหน้าสามีอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอจึงถามเขาอย่างงง ๆ ว่า

    “พี่พูดถึงเรื่องอะไรน่ะ”

    วิสุทธิ์ถอนหายใจ และถามคำถามหนึ่งซึ่งเธอไม่คิดว่าจะได้ยินมันออกมา

    “พัช เธอคงไม่ลืมเรื่องดาร์กวิงใช่ไหม”

    เมื่อพัชราได้ยินคำว่าดาร์กวิง เธอก็หน้าซีดลงฉับพลัน ชื่อนั้นเป็นชื่อที่เธอไม่ได้ยินมานานจนเกือบจะลืมไปแล้ว แต่พอกลับมาได้ยินอีกที ความหวาดกลัวที่มีต่อมันก็หวนกลับมาคุกคามเธออีกครั้ง แต่เธอก็แข็งใจถามสามีต่อว่า

    “ทำไมเหรอพี่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

    “เมื่อเช้านี้พี่ได้ข่าวจากTSJว่ามันเริ่มเคลื่อนไหวอีกรอบแล้ว”

    คำตอบของวิสุทธิ์ทำเอาพัชราลมแทบจับ แม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉยก็ตาม แต่เธอจับความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงของเขาได้ วิสุทธิ์กำลังเครียด แต่เขาก็พยายามเก็บอาการไว้ เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกแย่ไปกว่านี้ เธอจึงพยายามไม่แสดงออกว่าเธอหวาดกลัวเช่นกัน แม้ว่าหน้าของเธอจะซีดลง แต่เธอก็เอื้อมมือไปกุมมือของเขา และสบตาเขาอย่างจริงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

    “มันต้องมีทางออกสิพี่”

    วิสุทธิ์ส่ายหน้า นั่นเป็นกริยาที่แสดงว่าเขาไม่มั่นใจในอะไรทั้งสิ้น เขาไม่พูดอะไรต่อนอกจากวกหัวข้อสนทนากลับมาที่เรื่องวริศอีกรอบ

    “พี่อยากแน่ใจว่าวริศโตพอที่จะอยู่คนเดียว”

    คราวนี้คำพูดของวิสุทธิ์ทำเอาพัชราใจหายวูบ

    อยู่คนเดียว...

    เธอพอจะเช้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ แต่สำหรับเธอคงต้องใช้เวลาทำใจ อย่างน้อยก็คืนนี้อีกคืน...

    ทั้งสามคนในบ้านหลังนั้นไม่รู้ตัวเลยว่า มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาจากบ้านร้างฝั่งตรงข้าม...

    นายกานต์นั่นเอง เขามาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้ และก็เริ่มทำหน้าที่ของเขาทันที เขาเฝ้ามองบ้านสองหลังทีอยู่ติดกันของเป้าหมายทั้งสองคนสลับกันไปมาผ่านกล้องส่องทางไกลที่เขาพกติดมาด้วย ข้างตัวเขามีสิ่งประดิษฐ์ที่คล้ายกับวิทยุสมัยเมื่อสองร้อยปีก่อนวางอยู่ มันทำหน้าที่จับสัญญาณเครื่องดักฟังที่เขาแอบติดไว้ที่ประตูหน้าต่างของบ้านทั้งสองหลัง ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าของบ้านทั้งหลายไม่มีใครรู้ตัวเลยแม้แต่คนเดียว และไม่ต้องสงสัยว่าเขาขึ้นไปติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวได้อย่างไร เพราะเขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ เวทมนตร์ทำได้เกือบทุกอย่าง แต่ถ้าเขาเผลอไปทำใครที่มิตินี้บาดเจ็บล่ะก็ เขาต้องรับโทษประหารสถานเดียว

    ตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หน้าต่างห้องของนายกานต์ และขณะนี้เขาปรับคลื่นให้ตรงกับสัญญาณของเครื่องดักฟังที่ติดอยู่ตรงกำแพงนอกบ้านข้าง ๆ หน้าต่างห้องของวริศ ดังนั้นเขาจึงได้ฟังเพลงเปียโนที่วริศกำลังเล่นด้วย เมื่อไม่เห็นว่าจะมีเหตุการณ์น่าสงสัยเกิดขึ้น เขาก็นอนลงบนเตียงโดยที่ยังไม่ปิดเครื่องรับสัญญาณเครื่องดักฟัง และหยิบหนังสือมาอ่านอย่างสบายอารมณ์

    พรุ่งนี้เขาจะตามสะกดรอยวริศและพิมพ์พกาไปที่โรงเรียนด้วย โดยเขากะว่าจะใช้วิชาล่องหน เพื่อตามดูแลเด็กทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ เจ้าตัวก็จะได้ไม่รู้ตัวด้วย

    เมื่อครู่เขาแอบฟังบทสนทนาของพ่อแม่ของวริศแล้วทำให้เริ่มตระหนักได้ว่า อาจจะมีอันตรายวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเด็กทั้งสองคนจริง เพราะชื่อดาร์กวิงที่สองสามีภรรยาพูดถึงนั้นเป็นชื่อที่ร้ายกาจทีเดียว

    ดาร์กวิงเป็นองค์กรลับ ๆ ที่ตั้งขึ้นโดยไม่มีใครทราบวัตถประสงค์ที่แท้จริงของผู้ก่อตั้ง แต่องค์กรนี้ได้ผลิตสารเสพติดออกมามากมาย และพวกมันจะสุ่มตัวอย่างผู้เคราะห์ร้ายมาทดลองสารเสพติดของมัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีการบังคับ สะกดจิต หรือชักจูงก็ตาม เขาไม่รู้หรอกว่าสองสามีภรรยาคู่นี้เกี่ยวข้องอะไรกับองค์กรดาร์กวิง แต่เท่าที่ฟังดู ทั้งคู่น่าจะมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับองค์กรนี้ อาจจะเป็นญาติของผู้เคราะห์ร้าย หรืออาจจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายเสียเอง อันนี้ก็สุดจะคาดเดา

    เอาเถอะ แต่ดู ๆ แล้วสงสารเด็กที่ชื่อกานต์ชะมัดเลย จะว่าไปไม่แน่อนาคตของเด็กคนนี้อาจจะเหมือนกับเราเมื่อสามปีที่แล้วก็ได้...

    กานต์คิดในใจ แล้วลุกขึ้นนั่งเพื่อเฝ้ามองเด็กชายอีกครั้ง เขาเฝ้าอยู่จนวริศปิดไฟนอน เขาจึงล้มตัวลงนอนบ้าง บางทีนะบางที เขาอาจจะกำลังนั่งดูชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองผ่านชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ชื่อเหมือนกันก็เป็นได้

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×