แด่เธอ...ผู้เสียสละ
ฉันเขียนเรื่องนี้เพื่อระลึกถึงใครคนหนึ่ง... เธอคือผู้เสียสละชีวิตให้กับฉัน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง... แม้มันอาจจะสายเกินไป
ผู้เข้าชมรวม
2,068
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แด่เธอผู้เสียสละ
แด่น้องสาวผู้เสียสละ
ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา แม้ตอนนี้มันอาจจะสายเกินไปที่พี่จะพูดคำๆนี้แล้วก็ตาม พี่ขอโทษที่พี่ทำให้อันต้องเดือดร้อน พี่สัญญาว่าจะใช้ชีวิตที่อันมอบให้อย่างคุ้มค่า สุดท้ายนี้พี่จะไม่มีวันลืมอัน น้องสาวที่แสนน่ารักของพี่
รักและอาลัย
อินทิรา ศิริเนตร
“กลับมาแล้วค่ะ” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ประตูบ้านจะถูกเปิดออกด้วยมือข้างหนึ่งของเด็กสาวคนเดิม
“สวัสดีค่ะคุณแม่” เด็กสาวกล่าวทักทายพลางยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนผู้เป็นมารดาอย่างนอบน้อม ทำให้ผู้เป็นมารดาที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกยิ้มรับอย่างเอ็นดู
“อ้าวกลับมากันแล้วเหรอจ๊ะลูกอัน มานั่งข้างๆแม่ก่อนสิ” หญิงวัยกลางคนกล่าวขึ้นพลางถักไหมพรมไปด้วย
เด็กสาวผู้ถูกเรียกว่าอันเดินไปนั่งข้างๆผู้เป็นแม่อย่างเรียบร้อยตามคำสั่ง จากนั้นผู้เป็นแม่จึงถามต่อไปว่า
“แล้วพี่อินล่ะจ้ะ”
อันถอนหายใจยาว พลางกล่าวไปว่า
“เดี๋ยวก็คงมาแหละค่ะ พอดีว่า
” ยังไม่ทันที่อันจะกล่าวจบเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กสาวอีกคนที่หน้าตาเหมือนอันอย่างกับแกะ เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามาโดยมีท่อนไม้ท่อนใหญ่คอยค้ำจุน ทั่วร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆที่มีเลือดไหลซิบๆ ผมเพ่ายุ่งเหยิงราวกับเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ
“กลับมาแล้วค่ะ” เด็กสาวผู้มาใหม่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ไร้ชีวิตชีวา บนใบหน้าของเธอฉาบไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆที่เธอผืนทำขึ้นมา เพื่อให้คนในครอบครัวสบายใจ
ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน เด็กสาวคนเดิมก็ทรุดลงไปกองกับพื้นของบ้าน โดยที่มีอันคอยจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะตกไปทับเด็กสาวตรงหน้าผู้เป็นพี่สาวฝาแฝดของเธอ
“เป็นอะไรไหมคะ พี่อิน” อันถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก” อินตอบปฏิเสธทั้งๆที่หน้ายังเบ้อยู่
“อัน ส่งไม้นั่นมาให้พี่สิ พี่จะได้เดินสักที” อินกล่าวแกมบังคับ อันจึงต้องส่งไม้ในมือให้อันไปโดยดี อินรับไม้ท่อนนั้นมาแล้วค่อยๆใช้ไม้ยันตัวขึ้นยืน
“ไหวไหมจ๊ะอิน ให้แม่ช่วยไหม” ผู้เป็นมารดาถามขึ้น ก่อนที่จะเข้าไปช่วยพยุงลูกสาวคนโต และเดินขึ้นบันไปยังห้องนอนของลูก
“วันนี้ไปสอบที่ชมรมการต่อสู้มาเหรอคะ” อันถามขณะที่เตรียมอุปกรณ์ทำแผลไปด้วย
“เปล่าหรอก พี่ไปมีเรื่องมาน่ะ” อินตอบพลางบีบมือที่เมื่อยล้าของตนเองไปด้วย
“หา? มีเรื่อง? กับใครเหรอคะ” อันวางมือจากการเตรียมอุปกรณ์ทำแผลไปครู่หนึ่ง แล้วหันมาถามพี่สาวฝาแฝดเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทน
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่โตราวกับตุ๊กตาจ้องมองอินอย่างอยากรู้อยากเห็น ทำให้อินถอนหายใจอย่างปลงตก จากนั้นก็ค่อยตอบน้องสาวฝาแฝดด้วยน้ำเสียงเบื่อโลกว่า
“ก็ยัยส้มเหมือนเดิมนั่นแหละ ยัยนี่ชอบหาเรื่องพี่อยู่เรื่อย พอออกมาจากชมรมการต่อสู้ได้แปบเดียว ยัยนั่นก็ลอบโจมตีพี่เสียเฉยๆ ไม่รู้จะแค้นอะไรกันนักกันหนา แค่พี่สอบได้มากกว่าคะแนนเดียว ก็เล่นเอาแซ่ฟาดกันแบบไม่ยั้ง ตอนนั้นพี่เก็บดาบไว้ที่ชมรมด้วย เลยไม่มีอาวุธจะสู้ไม่อย่างนั้นยัยนั่นได้ถูกพี่ผ่าออกเป็นสองซีกแล้ว” อินตอบขณะที่บีบขมับของตัวเองไปด้วย โดยที่ไม่ทันสังเกตท่าทีของคู่สนทนา ที่มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“โหดร้าย” อันกล่าวขึ้นลอยๆขณะที่มองแขนเสื้อวอร์มของอิน ที่แขนขาดวิ่นอย่างไม่เหลือเค้าเดิม เผยให้เห็นแผลสดเล็กๆที่ยังมีเลือดไหลซึมออกมานับสิบแผล นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่โตเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าเมื่อเห็นบาดแผลของพี่สาวฝาแฝด
“ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆแต่ยังทำร้ายกันได้มากขนาดนี้ แบบนี้เขาเรียกว่าทรยศกันชัดๆ” อันกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะความสะเทือนใจ หยาดน้ำใสๆเริ่มไหลลงมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยอย่างยั้งไม่อยู่ เมื่ออินเห็นว่าน้องสาวฝาแฝดเริ่มร้องไห้เธอก็เข้าไปโอบไหล่อย่างปลอบประโลม
“โลกใบนี้มันก็โหดร้ายแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ทำใจซะเถอะ มนุษย์ทุกคนเริ่มแข่งขันกันเองเพื่อแก่งแย่งชิงดีกัน มันไม่มีคำว่าเพื่อนในสนามรบหรอกนะอัน” เธอกล่าวขึ้นข้างๆหูของอันพลางคลายอ้อมกอดออก
ส่วนอันก็เริ่มเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของตนเอง จากนั้นเธอก็ค่อยๆถกแขนเสื้อวอร์มของอินขึ้นเพื่อเริ่มทำแผล ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องเพราะต่างคนก็ต่างจมอยู่กับห้วงความคิดของตนเอง โดยไม่ยอมพูดอะไรออกมา
นานเข้าก็ทำให้อินรู้สึกอึดอัด เธอจึงกล่าวทำลายความเงียบขึ้นมาว่า
“ว่าแต่ อันโตขึ้นอยากเป็นพยาบาลใช่ไหม ถึงได้มานั่งทำแผลให้พี่ทุกวันอย่างนี้” อินถามขึ้นเพราะตอนเด็กๆเจ้าตัวเคยบอกว่าอยากเป็นพยาบาลนักหนา แถมตอนนี้เธอก็กลายเป็นว่าที่คนไข้รายแรกที่คอยเพิ่มหน้าที่อันเสียเฉยๆ เนื่องจาก ทุกๆวันหลังการเข้าชมรมการต่อสู้เธอมักกลับมาบ้านพร้อมกับบาดแผลเล็กๆน้อยๆเสมอ และอันก็อาสาที่จะทำแผลให้เธอทุกครั้ง โดยไม่เคยบ่นเลยแม้แต่น้อย
“ค่ะ อันคิดว่า ถ้าหากเราได้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยของคนอื่น เราจะมีความสุข และไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเยือนน่ะค่ะ”อันตอบคำถามของอินด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะที่มือของเธอกำลังสาละวนกับการพันผ้าพันแผลไปรอบๆแขนและขาของอินโดยไม่พักมือ
“งั้น อันคงจะประสบผลสำเร็จ” อินกล่าวพลางอมยิ้มน้อยๆ ทำให้อันที่พันผ้าพันแผลที่แขนของเธอเสร็จพอดี เงยหน้ามองเธออย่างฉงนสงสัย
“ทำไมล่ะคะ” อันถามอย่างเด็กไร้เดียงสา ทำให้อินหัวเราะออกมาน้อยๆ
“ก็พี่คงจะมีแผลกลับมาบ้านอย่างนี้จนกว่าอันจะสอบได้นั่นแหละ” ได้ยินดังนั้นอันก็หัวเราะออกมาอย่างเข้าใจความหมาย
ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอินก็ขออันไปอาบน้ำโดยที่อันก็ยังคงกำชับพี่สาวฝาแฝดเสมอว่า อย่าให้แผลโดนน้ำไม่เช่นนั้นแผลอาจจะเป็นหนองได้
อินพยักหน้ารับเหมือนทุกทีแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำโดยมีเสียงน้ำไหลดังลอดออกมาเป็นระลอกๆ ส่วนอันขณะนี้ก็ได้เปิดบันทึกประจำวันหน้าถัดจากเมื่อวานออก แล้วลงมือจดบันทึกเรื่องราวของวันนี้ลงไป ไม่นานนักเธอก็วางปากกาแล้วปิดมันลง เป็นเวลาเดียวกับที่อินออกมาจากห้องน้ำพอดี
จากนั้นอินก็ลงความเห็นว่าควรจะเข้านอนได้แล้วทำให้อันต้องพยักหน้าตกลงอย่างเสียไม่ได้ ไฟในห้องถูกปิดลงด้วยฝีมือของอิน ทำให้ในห้องนั้นมืดสนิท ไม่นานนักอินก็หลับไปอย่างง่ายดาย คงเหลือแต่อันที่ยังจ้องมองเพดานห้องที่มืดสนิทเบื้องหน้าอย่างล่องลอย
จริงหรือ? ที่พี่อันบอกว่าเธอจะประสบผลสำเร็จและได้เป็นพยาบาลอย่างสมใจนึก? มันไม่จริงหรอก อย่างเธอน่ะเหรอที่จะได้เป็นพยาบาล ทั้งอ่อนแอแถมยังเรียนไม่ได้เรื่องอีกต่างหาก แบบนี้ชาติหน้าก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นเลย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกจากหัวสมองพลางย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีต...
เป็นเวลาสิบสี่ปีมาแล้วที่ฉันอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขพร้อมกับครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และพี่อินคอยดูแลและห่วงใย ถึงแม้ฉันจะเป็นเด็กที่อ่อนด้อยจนแทบจะไร้ความสามารถ แต่ทุกๆคนในครอบครัวก็คอยให้กำลังใจและมอบความสุขแก่ฉันเสมอ
แม้ว่าตอนอยู่ที่โรงเรียนจะโดนอาจารย์ตำหนิอยู่บ่อยครั้งจนขาดความมั่นใจในตัวเองก็ตาม แต่พอกลับมาถึงบ้านฉันก็จะพบแต่รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความอบอุ่นของสมาชิกในบ้าน
จนกระทั่งเมื่อสี่ปีที่แล้ว คุณพ่อที่ทำงานเป็นตำรวจกำลังไล่จับกลุ่มโจรปล่นร้านทองในย่านเยาวราช ก็ถูกพวกของมันคนหนึ่งขับรถและพุ่งเข้าชนคุณพ่อจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่นานนักคุณพ่อก็เสียชีวิตไป ส่วนพวกคนร้ายที่เหลือก็หลบหนีไปได้ โดยที่กรมตำรวจหาตัวไม่เจอ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พี่อินก็เริ่มสมัครเข้าชมรมการต่อสู้ มุ่งสู่เป้าหมายเดียวคือการปูพื้นฐานเพื่อที่จะเป็นตำรวจหญิงในอนาคต แล้วรื้อฟื้นคดีของคุณพ่อแล้วตามจับตัวคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ ส่วนตัวฉันก็เริ่มสมัครเข้าชมรมการประถมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นพยาบาลเพราะไม่ประทับใจการบริการของพยาบาลช่วงที่คุณพ่อรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายของตนเอง ถึงแม้มันอาจจะเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งก็ตาม แต่ใครจะไปล่วงรู้อนาคตได้ล่ะ ไม่แน่ความฝันนั้นอาจจะเป็นความจริงขึ้นมาก็ได้
“อ้าว อันยังไม่หลับอีกเหรอ” อินที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาถามด้วยเสียงงัวเงีย
“อ้อ ยังหรอกค่ะ คิดอะไรเพลินไปหน่อย” อันตอบ อินพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนที่จะกำชับว่า
“อย่านอนคิดนานนะ พรุ่งนี้เราติองไปเรียนที่สยามกันเองตั้งแต่เช้าเพราะคุณแม่มีธุระตอนหกโมง” พูดจบอินก็กลับไปนอนต่อ ส่วนอันก็ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับสลัดความคิดทุกอย่างออกจากหัว ไม่นานนักอันก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันรุ่งขึ้น อินและอันตื่นนอนแต่เช้า และทยอยกันอาบน้ำแต่งตัว อันเลือกที่จะแต่งตัวแบบเรียบร้อยตามสไตร์ของเธอ เธอหยิบเสื้อยืดตัวโปรดสีขาวธรรมดาๆตัวหนึ่ง และกระโปรงยาวสีขาวสว่างอีกตัวขึ้นมาสวม ต่างจากอินที่เลือกแต่งตัวแบบทมัดทะแมงตามความเคยชิน เธออยู่ในชุดเสื้อแขนกุดรัดรูปสีฟ้าใสและกางเกงขาสั้นรัดรูปสีน้ำเงินเข้มเกือบดำยาวเหนือเข่า เน้นให้เห็นสัดส่วนของร่างกายตามแบบฉบับของหญิงไทยอย่างชัดเจน
เมื่อทั้งคู่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็พากันออกจากบ้านเพื่อไปรอรถประจำทางที่ป้ายรถประจำทางหน้าหมู่บ้าน ไม่นานนักรถประจำทางสายที่พวกเธอรอก็มาจอดเทียบป้าย พวกเธอไม่รอช้า รีบขึ้นไปนั่งบนรถทันทีโดยไม่ลืมที่จะจ่ายเงินกับกระเป๋ารถด้วย
ราวๆครึ่งชั่วโมง รถประจำทางคันที่พวกเธอนั่งก็จอดที่หน้าเอมโพเรียมบริเวณสยามสแควร์ พวกเธอรีบก้าวลงจากรถแล้วเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามเอมโพเรียม แล้วตรงไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังที่เธอไม่ค่อยได้แวะมาเพราะไม่ค่อยมีเวลา ร้านนี้มักมีลูกค้าแน่นร้านอยู่เสมอๆ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเพียงแปดโมงกว่าๆเท่านั้น แต่ลูกค้าก็ยังคงแวะเวียนมาอุดหนุนอยู่อย่างไม่ขาดสาย หลังจากที่อินกับอันสั่งก๋วยเตี๋ยวกันไปคนละชามและได้รับประทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็จ่ายเงินกับเจ้าของร้าน แล้วออกเดินต่อไปอีกราวๆหนึ่งร้อยเมตร ก็พบโรงเรียนกวดวิชาที่พวกเธอมาเรียนทุกวันเสาร์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
โดยไม่รอช้า อินก็ผลักประตูเข้าไปภายใน โดยมีอันตามเข้าไปติดๆ สามชั่วโมงต่อมา อินและอันพากันเดินออกมาจากประตูโรงเรียน
อันเดินออกมาจากประตูโรงเรียนอย่างอ่อนแรงราวกับเพิ่งออกจากสนามรบมาใหม่ๆ
ในขณะที่อินเดินออกมาจากประตูโรงเรียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อันถอนหาใจอย่างปลงตกเพราะวิชาที่เรียนมีทั้งวิชาหลักสามวิชา ได้แก่ ภาษาไทย คณิตสาสตร์ และภาษาอังกฤษ แต่ละวิชาก็มีเนื้อหาเยอะมาก และยากทั้งนั้น เธอถูกจับยัดเนื้อหาทั้งหมดเข้าไปในสมองภายในเวลาเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น
“นี่อัน เป็นไงบ้าง ยากหรือเปล่า” อินถามขึ้นขณะที่เดินข้ามถนนไปด้วย เมื่อเห็นท่าทีของน้องสาวฝาแฝดไม่สู้ดีนัก อันยิ้มแหยๆให้พี่สาวฝาแฝดพลางตอบไปบ้างว่า
“อย่างกับออกจากสนามรบมาเลยแหละค่ะ เดี๋ยวก็รากที่สาม เดี๋ยวก็รากที่สอง แปบๆ ก็เปลี่ยนเรื่องมาเป็นปีทาโกรัสซะแล้ว อันมึนไปหมดเลยค่ะ” อินหลุดขำออกมายกใหญ่ โดยที่มีอันร่วมผสมโรงด้วย
ปี๊บ ปี๊บ
“เฮ้ย!” อินอุทานอย่างตกใจ เมื่อเห็นรถบรรทุกคันสีแดงคันใหญ่ที่กำลังบีบแตรดังลั่น วิ่งตรงมาทางเธอ พอนึกจะหลบก็หลบไม่พ้นเสียแล้ว เธอจึงหลับตาปี๋รอความตายที่พุ่งเข้ามาหาเธออย่างไม่ไว้หน้า
“ระวัง” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของอิน จากนั้นอินก็รู้สึกถึงแรงผลักอย่างรุนแรงที่กระทบเข้ากับแผ่นหลังของเธอ และรู้สึกว่าตนเองพุ่งไปข้างหน้าตามแรงนั้น
ปึก
ท้ายทอยของอินกระแทกเข้ากับวัตถุแข็งๆบางอย่างเข้าอย่างจัง จากนั้นเธอก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเลย
ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
“ที่นี่คือแผนกฉุกเฉินใช่ไหมคะ” หญิงวัยกลางคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาถามพยาบาลสาวที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
เธอพยักหน้ารับ แล้วถามต่อไปว่า “ค่ะ มาติดต่อเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ดิฉันเป็นคุณแม่ของอันสิยา กับ อินทิรา ชื่อว่าอรอุมา ค่ะ” พยาบาลสาวลุกพรวดพราดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทันทีเมื่อได้ยินชื่อจริงของอินกับอัน
จากนั้นก็รีบเดินออกมาจากเคาน์เตอร์แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปเปิดประตู้ห้องตรวจห้องหนึ่ง ก่อนที่จะพูดกับหมอที่นั่งอยู่ในห้องสองสามคำ แล้วตะโกนบอกอรอุมาที่ยังคงยืนรออยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ว่า
“เชิญค่ะ” อรอุมาไม่รอช้ารีบวิ่งไปยังห้องตรวจทันที หลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับหมอและกล่าวทักทายหมอเรียบร้อยแล้ว เธอก็เริ่มถามถึงอาการของอินกับอันทันที
“ลูกของดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ” อรอุมาถามด้วยน้ำเสียงมีความหวังหลังจากเธอได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอุบัติเหตุของลูกสาวทั้งสองคน เธอจึงคิดว่า ลูกทั้งสองคนของเธอต้องรอดชีวิตแน่ๆ
“น้องอินทิรา แค่สลบไปเท่านั้นครับเพราะถูกกระแทกบริเวณสมอง ทางเรารับประกันได้เลยว่า น้องเขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่านี้ แต่...” หมอหยุดชะงักคำพูดเอาไว้ครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีนิลของหมอหลุบต่ำ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า
“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ น้องอันสิยาเสียชีวิตทันทีที่ได้รับอุบัติเหตุ พยานกล่าวว่า น้องอันสิยาได้พยายามช่วยพี่สาวฝาแฝดของเธอ แต่ตัวเธอกลับหลบรถไม่ทัน เป็นเหตุให้เธอเสียชีวิตทันทีจากการถูกรถชน ส่วนศพของน้องก็อยู่ที่ห้องดับจิตรครับ”
เรื่องสั้นเรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ อันยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อคนที่เธอรัก แต่ในบ้างครั้ง คนบางคนยังไม่ยอมเสียสละแม้แต่เงินเพียงบาทเดียวเพื่อทำบุญให้แก่ผู้ยากไร้ เพราะฉะนั้นเราควรยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อมอบความสุขแก่คนอื่นๆบ้าง
แล้วคุณล่ะ ยอมเสียสละเพื่อคนอื่นบ้างหรือยัง
ผลงานอื่นๆ ของ ไต้สู่จัง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไต้สู่จัง
"บทวิจารณ์ แด่เธอ... ผู้เสียสละ"
(แจ้งลบ)งานเรื่องสั้น แด่เธอ...ผู้เสียสละ ของ ไต้สู่จัง Kus38 นับเป็นงานวิจารณ์เรื่องสั้นเรื่องแรก เพราะบทวิจารณ์ที่ผ่านๆมาจะเป็นการวิจารณ์นวนิยายทั้งหมด เหตุผลประการสำคัญที่นำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาวิจารณ์มิใช่เป็นเพราะความประทับใจเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพราะ ไต้สู่จัง Kus38 ขอให้ช่วยวิจารณ์ผลงานเรื่องนี้ให้ แด่เธอ...ผู้เสียสละ เรื่องสั ... อ่านเพิ่มเติม
งานเรื่องสั้น แด่เธอ...ผู้เสียสละ ของ ไต้สู่จัง Kus38 นับเป็นงานวิจารณ์เรื่องสั้นเรื่องแรก เพราะบทวิจารณ์ที่ผ่านๆมาจะเป็นการวิจารณ์นวนิยายทั้งหมด เหตุผลประการสำคัญที่นำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาวิจารณ์มิใช่เป็นเพราะความประทับใจเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพราะ ไต้สู่จัง Kus38 ขอให้ช่วยวิจารณ์ผลงานเรื่องนี้ให้ แด่เธอ...ผู้เสียสละ เรื่องสั้นขนาดสั้นที่มีความยาวไม่เกิน 7 หน้า A4 หากพรินต์ออกมาอ่านนั้น มุ่งเสนอแนวคิดหลักของการเสียสละส่วนตัวเพื่อความสุขของผู้อื่น ในที่นี้ ผู้แต่งใช้การสละชีวิตของ อัน น้องสาวที่ให้แก่ อิน พี่สาวฝาแฝด นับเป็นความเสียสละสูงสุด เพื่อมาตั้งคำถามผู้อ่านถึงความเสียสละที่หดหายไปในสังคมปัจจุบัน แม้จะเป็นความเสียสละง่ายๆ คือการสละเงินเพียงบาทเดียวเพื่อทำบุญแก่ผู้ยากไร้ก็แทบจะหาได้ยากแล้วในสังคม จึงไม่อาจเทียบกับความเสียสละสูงสุดของอันได้ ความน่าสนใจในอีกด้านหนึ่งของเรื่องสั้นนี้คือ ฉากเปิดที่เป็นบันทึกความรู้สึกของพี่ที่มีต่อน้อง แต่น่าเสียดายว่าผู้เขียนน่าจะขยายบันทึกนี้ให้ยาวขึ้น เพราะผู้วิจารณ์เห็นว่าหากเรื่องสั้นเรื่องนี้สื่อหรือเล่าเรื่องด้วยบันทึกจากมุมมองของอิน น่าจะจับใจผู้อ่านมากขึ้น และน่าจะตอบโจทย์ประเด็นความเสียสละได้ชัดเจนและกินใจมากขึ้น ผู้วิจารณ์เห็นว่าแนวคิดหลักที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอต่อผู้อ่านนั้นน่าสนใจ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าสารที่ผู้เขียนต้องการสื่ออาจจะไปถึงผู้อ่านได้ไม่แรง และไม่ชัดเจนอย่างที่ผู้เขียนต้องการ นั่นอาจเป็นเพราะการบรรยายเรื่องที่ค่อนข้างเยิ่นเย้อส่งผลให้โทนของเรื่องอืดเนือยมากเกินไป เพราะเรื่องสั้นส่วนใหญ่เป็นการเขียนเพื่อแสดงความคิดหลักเพียงความคิดเดียว หรือบางครั้งก็เป็นการนำเสนอฉากเพียงฉากเดียว เพื่อส่งสะท้อนความคิดหลักที่ต้องการนำเสนออย่างเด่นชัด จะเห็นได้ว่าประโยคบรรยายของผู้แต่งจำนวนหนึ่งหากทำให้กระชับขึ้นก็จะช่วยแก้ปัญหาความเนิบเนือยของเรื่องได้ส่วนหนึ่ง เช่น “กลับมาแล้วค่ะ” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ประตูบ้านจะถูกเปิดออกด้วยมือข้างหนึ่งของเด็กสาวคนเดิม อาจจะเปลี่ยนเป็น ““กลับมาแล้วค่ะ” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เธอจะเปิดประตูบ้านเข้ามา” หรือ ส่วนอันขณะนี้ก็ได้เปิดบันทึกประจำวันหน้าถัดจากเมื่อวานออก แล้วลงมือจดบันทึกเรื่องราวของวันนี้ลงไป อาจจะเปลี่ยนเป็น ส่วนอันก็จดบันทึกเรื่องราวของวันนี้ต่อจากบันทึกประจำวันหน้าเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกประโยคในเรื่องจะต้องตัดหรือทำให้กระชับไปทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในเนื้อความช่วงนั้นๆ อีกอย่างหนึ่งคือ การบรรยายของผู้เขียนที่ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลภูมิหลังของตัวละคร โดยการแสดงให้เห็นความแตกต่างในรายละเอียดของฝาแฝดคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบ นิสัย หรือแม้แต่อาชีพในอนาคต ผู้วิจารณ์เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนช่วยสนับสนุนแนวคิดหลักที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอในเรื่องนี้ ในทางตรงกันข้าม เหตุการณ์สำคัญอันถือว่าเป็นไคลแม็กซ์หรือจุดสูงสุดของเรื่องผู้เขียนกลับไม่ได้เน้น หรือขยายความให้ชัด เพราะผู้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างลวกๆ หากจะเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนคือ ผู้เขียนเขียนถึงภูมิหลังแวดล้อมประมาณ 6 หน้า แต่เขียนถึงฉากที่สะท้อนแนวคิดหลักเพียงหน้าเดียวเท่านั้น จึงทำให้ความเสียสละของอันจมไปกับข้อมูลภูมิหลังของตัวละคร และไม่โดดเด่นขึ้นมา ในที่นี้ หากต้องการสร้างหรือย้ำความแรงทางอารมณ์เพื่อสื่อความคิดเกี่ยวกับความเสียสละของอัน ผู้เขียนจำเป็นต้องขยายหรือให้รายละเอียดเกี่ยวกับฉากนี้ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขณะที่อินจะถูกรถยนต์ชนแล้วอันเข้ามาช่วย หรือเพิ่มมุมมองหรือการสะท้อนความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งจากมุมมองของอิน ของอัน หรือแม้แต่ของแม่ให้มากขึ้น ก็น่าที่จะทำให้เรื่องสั้นเรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้น และอาจจะต้องลดฉากที่ไม่ช่วยส่งแนวคิดหลักลงบ้าง เช่น ฉากเปิดที่อินเป็นแผลและอันทำแผลให้ ฉากการเดินทางไปเรียนพิเศษ ข้อบกพร่องอีกลักษณะที่เห็นชัดในเรื่องสั้นเรื่องนี้คือ ความถูกต้องของการเขียน ผู้วิจารณ์เห็นว่าผู้เขียนยังมีปัญหาทั้งในเรื่องการสะกดคำ และการเลือกคำให้เหมาะกับบริบท เพราะพบว่ามีการสะกดคำผิดอยู่จำนวน หนึ่ง เช่น เขียน “แส้” เป็น “แซ่” หรือ “ทมัดทะแมง” เป็น “ทะมัดทะแมง” หรือ เขียน “ปฐมพยาบาล” เป็น “ประถมพยาบาล” ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็มีปัญหาการเลือกใช้คำที่เหมาะสมกับบริบทด้วย เพราะมีการเลือกใช้คำที่ผิดบริบทอยู่หลายครั้ง เช่น ท่อนไม้ท่อนใหญ่คอยค้ำจุน ควรจะใช้ว่า ท่อนไม้ท่อนหนึ่งคอยค้ำยัน หรือ โดยที่มีอันคอยจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะตกไปทับเด็กสาวตรงหน้า ควรจะใช้ว่า โดยที่มีอันคอยจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะหล่นไปกระแทกเด็กสาวตรงหน้า เมื่ออ่าน แด่เธอ... ผู้เสียสละ จบลง ก็ได้ข้อยืนยันกับตนเองว่าเหตุผลที่ไม่เคยวิจารณ์เรื่องสั้น เพราะเรื่องสั้นที่เขียนได้อย่างลงตัวนั้นหายาก จึงอาจจะต่างความเข้าใจของผู้เริ่มเขียน หรือนักเขียนมือใหม่ที่อาจจะเข้าใจผิดว่างานเรื่องสั้น เขียนได้ง่ายกว่านิยายเพราะสั้นกว่า แต่ในความจริง เรื่องสั้นนับเป็นประเภทงานวรรณกรรมที่เรียกร้องความสามารถในการเขียนที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดที่ชัดเจน การเขียนที่กระชับ ตรง และสื่อแนวคิดอย่างเฉียบคม และการสร้างตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งจะทำให้เรื่องสั้นเรื่องนั้นประทับใจผู้อ่านไปอีกนาน --------------------------------- อ่านน้อยลง
bluewhale | 21 ส.ค. 52
15
1
"บทวิจารณ์ แด่เธอ... ผู้เสียสละ"
(แจ้งลบ)งานเรื่องสั้น แด่เธอ...ผู้เสียสละ ของ ไต้สู่จัง Kus38 นับเป็นงานวิจารณ์เรื่องสั้นเรื่องแรก เพราะบทวิจารณ์ที่ผ่านๆมาจะเป็นการวิจารณ์นวนิยายทั้งหมด เหตุผลประการสำคัญที่นำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาวิจารณ์มิใช่เป็นเพราะความประทับใจเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพราะ ไต้สู่จัง Kus38 ขอให้ช่วยวิจารณ์ผลงานเรื่องนี้ให้ แด่เธอ...ผู้เสียสละ เรื่องสั ... อ่านเพิ่มเติม
งานเรื่องสั้น แด่เธอ...ผู้เสียสละ ของ ไต้สู่จัง Kus38 นับเป็นงานวิจารณ์เรื่องสั้นเรื่องแรก เพราะบทวิจารณ์ที่ผ่านๆมาจะเป็นการวิจารณ์นวนิยายทั้งหมด เหตุผลประการสำคัญที่นำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาวิจารณ์มิใช่เป็นเพราะความประทับใจเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แต่เป็นเพราะ ไต้สู่จัง Kus38 ขอให้ช่วยวิจารณ์ผลงานเรื่องนี้ให้ แด่เธอ...ผู้เสียสละ เรื่องสั้นขนาดสั้นที่มีความยาวไม่เกิน 7 หน้า A4 หากพรินต์ออกมาอ่านนั้น มุ่งเสนอแนวคิดหลักของการเสียสละส่วนตัวเพื่อความสุขของผู้อื่น ในที่นี้ ผู้แต่งใช้การสละชีวิตของ อัน น้องสาวที่ให้แก่ อิน พี่สาวฝาแฝด นับเป็นความเสียสละสูงสุด เพื่อมาตั้งคำถามผู้อ่านถึงความเสียสละที่หดหายไปในสังคมปัจจุบัน แม้จะเป็นความเสียสละง่ายๆ คือการสละเงินเพียงบาทเดียวเพื่อทำบุญแก่ผู้ยากไร้ก็แทบจะหาได้ยากแล้วในสังคม จึงไม่อาจเทียบกับความเสียสละสูงสุดของอันได้ ความน่าสนใจในอีกด้านหนึ่งของเรื่องสั้นนี้คือ ฉากเปิดที่เป็นบันทึกความรู้สึกของพี่ที่มีต่อน้อง แต่น่าเสียดายว่าผู้เขียนน่าจะขยายบันทึกนี้ให้ยาวขึ้น เพราะผู้วิจารณ์เห็นว่าหากเรื่องสั้นเรื่องนี้สื่อหรือเล่าเรื่องด้วยบันทึกจากมุมมองของอิน น่าจะจับใจผู้อ่านมากขึ้น และน่าจะตอบโจทย์ประเด็นความเสียสละได้ชัดเจนและกินใจมากขึ้น ผู้วิจารณ์เห็นว่าแนวคิดหลักที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอต่อผู้อ่านนั้นน่าสนใจ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าสารที่ผู้เขียนต้องการสื่ออาจจะไปถึงผู้อ่านได้ไม่แรง และไม่ชัดเจนอย่างที่ผู้เขียนต้องการ นั่นอาจเป็นเพราะการบรรยายเรื่องที่ค่อนข้างเยิ่นเย้อส่งผลให้โทนของเรื่องอืดเนือยมากเกินไป เพราะเรื่องสั้นส่วนใหญ่เป็นการเขียนเพื่อแสดงความคิดหลักเพียงความคิดเดียว หรือบางครั้งก็เป็นการนำเสนอฉากเพียงฉากเดียว เพื่อส่งสะท้อนความคิดหลักที่ต้องการนำเสนออย่างเด่นชัด จะเห็นได้ว่าประโยคบรรยายของผู้แต่งจำนวนหนึ่งหากทำให้กระชับขึ้นก็จะช่วยแก้ปัญหาความเนิบเนือยของเรื่องได้ส่วนหนึ่ง เช่น “กลับมาแล้วค่ะ” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ประตูบ้านจะถูกเปิดออกด้วยมือข้างหนึ่งของเด็กสาวคนเดิม อาจจะเปลี่ยนเป็น ““กลับมาแล้วค่ะ” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เธอจะเปิดประตูบ้านเข้ามา” หรือ ส่วนอันขณะนี้ก็ได้เปิดบันทึกประจำวันหน้าถัดจากเมื่อวานออก แล้วลงมือจดบันทึกเรื่องราวของวันนี้ลงไป อาจจะเปลี่ยนเป็น ส่วนอันก็จดบันทึกเรื่องราวของวันนี้ต่อจากบันทึกประจำวันหน้าเมื่อวาน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกประโยคในเรื่องจะต้องตัดหรือทำให้กระชับไปทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในเนื้อความช่วงนั้นๆ อีกอย่างหนึ่งคือ การบรรยายของผู้เขียนที่ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลภูมิหลังของตัวละคร โดยการแสดงให้เห็นความแตกต่างในรายละเอียดของฝาแฝดคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นความชอบ นิสัย หรือแม้แต่อาชีพในอนาคต ผู้วิจารณ์เห็นว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ได้มีส่วนช่วยสนับสนุนแนวคิดหลักที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอในเรื่องนี้ ในทางตรงกันข้าม เหตุการณ์สำคัญอันถือว่าเป็นไคลแม็กซ์หรือจุดสูงสุดของเรื่องผู้เขียนกลับไม่ได้เน้น หรือขยายความให้ชัด เพราะผู้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างลวกๆ หากจะเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนคือ ผู้เขียนเขียนถึงภูมิหลังแวดล้อมประมาณ 6 หน้า แต่เขียนถึงฉากที่สะท้อนแนวคิดหลักเพียงหน้าเดียวเท่านั้น จึงทำให้ความเสียสละของอันจมไปกับข้อมูลภูมิหลังของตัวละคร และไม่โดดเด่นขึ้นมา ในที่นี้ หากต้องการสร้างหรือย้ำความแรงทางอารมณ์เพื่อสื่อความคิดเกี่ยวกับความเสียสละของอัน ผู้เขียนจำเป็นต้องขยายหรือให้รายละเอียดเกี่ยวกับฉากนี้ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขณะที่อินจะถูกรถยนต์ชนแล้วอันเข้ามาช่วย หรือเพิ่มมุมมองหรือการสะท้อนความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งจากมุมมองของอิน ของอัน หรือแม้แต่ของแม่ให้มากขึ้น ก็น่าที่จะทำให้เรื่องสั้นเรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้น และอาจจะต้องลดฉากที่ไม่ช่วยส่งแนวคิดหลักลงบ้าง เช่น ฉากเปิดที่อินเป็นแผลและอันทำแผลให้ ฉากการเดินทางไปเรียนพิเศษ ข้อบกพร่องอีกลักษณะที่เห็นชัดในเรื่องสั้นเรื่องนี้คือ ความถูกต้องของการเขียน ผู้วิจารณ์เห็นว่าผู้เขียนยังมีปัญหาทั้งในเรื่องการสะกดคำ และการเลือกคำให้เหมาะกับบริบท เพราะพบว่ามีการสะกดคำผิดอยู่จำนวน หนึ่ง เช่น เขียน “แส้” เป็น “แซ่” หรือ “ทมัดทะแมง” เป็น “ทะมัดทะแมง” หรือ เขียน “ปฐมพยาบาล” เป็น “ประถมพยาบาล” ในขณะเดียวกันผู้เขียนก็มีปัญหาการเลือกใช้คำที่เหมาะสมกับบริบทด้วย เพราะมีการเลือกใช้คำที่ผิดบริบทอยู่หลายครั้ง เช่น ท่อนไม้ท่อนใหญ่คอยค้ำจุน ควรจะใช้ว่า ท่อนไม้ท่อนหนึ่งคอยค้ำยัน หรือ โดยที่มีอันคอยจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะตกไปทับเด็กสาวตรงหน้า ควรจะใช้ว่า โดยที่มีอันคอยจับท่อนไม้ไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่มันจะหล่นไปกระแทกเด็กสาวตรงหน้า เมื่ออ่าน แด่เธอ... ผู้เสียสละ จบลง ก็ได้ข้อยืนยันกับตนเองว่าเหตุผลที่ไม่เคยวิจารณ์เรื่องสั้น เพราะเรื่องสั้นที่เขียนได้อย่างลงตัวนั้นหายาก จึงอาจจะต่างความเข้าใจของผู้เริ่มเขียน หรือนักเขียนมือใหม่ที่อาจจะเข้าใจผิดว่างานเรื่องสั้น เขียนได้ง่ายกว่านิยายเพราะสั้นกว่า แต่ในความจริง เรื่องสั้นนับเป็นประเภทงานวรรณกรรมที่เรียกร้องความสามารถในการเขียนที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดที่ชัดเจน การเขียนที่กระชับ ตรง และสื่อแนวคิดอย่างเฉียบคม และการสร้างตัวละครได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งจะทำให้เรื่องสั้นเรื่องนั้นประทับใจผู้อ่านไปอีกนาน --------------------------------- อ่านน้อยลง
bluewhale | 21 ส.ค. 52
15
1
ความคิดเห็น