ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิญญาณจอมจุ้น วุ่นพารัก(ชื่อชั่วคราว)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ยัยผีตัวยุ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 53


    บทที่ 1

    ยัยผีตัวยุ่ง

              ยามเช้ามาเยือน...

    นกน้อยส่งเสียงดังขับขานราวกับเสียงเพลง แสงสีขาวนวลส่องแสงผ่านหน้าตามาแยงตาผมที่กำลังหลับสบาย ผมผลิกตัวไปมาเพื่อหลบแสงแดดเพื่อนอนต่อ อากาศอันแสนเย็นสบายที่ผัดผ่านร่างกายในยามเช้านี้มันช่างชวนให้ผมอยากจะนอนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเสียจริง ถ้าไม่ติดว่าวันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกแล้วล่ะก็...มีหวังผมคงไม่ลุกจากเตียงเป็นแน่

    ผมลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจพลางหาวหวอดใหญ่อย่างเกียจคร้าน ก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า นกน้อยที่ร้องเพลงกันเมื่อครู่ต่างตกใจบินหนีไปเฉยๆ ผมยิ้มน้อยๆทักทายพวกมันพลางบิดขี้เกียจรับอากาศอันแสนเย็นสบายอย่างสดชื่น อา...วันนี้คงเป็นวันที่สดใสอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว

    ถ้าไม่มียัยนั่นล่ะนะ...

    “อรุณสวัสดิ์ค่า”นั่นไง...พอคิดถึงปุ๊บก็มาปั๊บ ผมนึกในใจพลางหันไปมองเจ้าของเสียง

    ร่างของสาวน้อยน่ารักที่ดูยังไงอายุก็ไม่เกิน  18 ยืนอยู่นอกระเบียงห้องนอน รอยยิ้มที่มีลักยิ้มน้อยๆทำให้เธอดูน่ารักสดใส ผมยาวสยายถึงกลางแผ่นหลังของเธอก็เข้ากับเครื่องหน้าอันงดงามได้รูป รูปร่างอันเพรียวบางก็ยิ่งทำให้ดูน่าหลงไหลเข้าไปใหญ่ เรียกได้ว่าสาวน้อยตรงหน้าของผมนี้สวยใสไม่มีที่ติจริงๆ

    ทุกคนคงคิดว่าผมคงมีความสุขมากเลยสินะ ที่มีสาวน่ารักอย่างนี้มาปลุกให้ทุกเช้า...ใช่ผมจะมีความสุขมากๆเลย

    หากห้องนอนของผมไม่ใช่ชั้น 2 ล่ะก็นะ...

    “ที่รักวันนี้หลับสบายดีไหมคะ”เธอพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักที่ทำให้ใจละลายได้เลย แต่ผมในตอนนั้นกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย

    “บอกว่าผมไม่ใช่ที่รักของเธอไง”ผมพูดเสียงเครียดพลางเบือนหน้าหนี และนั่นทำให้ผมต้องปวดหัวตั้งแต่เช้าทันที เมื่อเธอก้มหน้าลงสะอื้น

    “ฮึกๆ คุณสามีไม่รักข้าแล้ว...ทำไมคุณสามีช่างใจร้ายกับข้าเยี่ยงนี้”เมื่อเธอพูดจบ ก็ปล่อยโฮลั่นบ้าน เล่นเอาประสาทผมแทบจะกินเลยทีเดียว แน่ล่ะ...เมื่อมีสาวน้อยน่ารักมาร้องไห้อยู่ตรงหน้า ใครมั่งล่ะจะอดไม่ใจอ่อนไหว แต่เจ็ดวันที่ผ่านมานี่ มันก็ครั้งที่ 10 ได้แล้วนะ นี่เธอไม่เบื่อบ้างเลยหรอ

    “จะเล่นไปถึงไหนกัน...พอได้แล้ว”ผมตวาดออกไปด้วยความรำคาญ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่ เสียงร้องไห้สะอิ้กสะอิ้นดังขึ้นไม่หยุด เอาอีกแล้ว...แล้วอย่างนี้ผมจะอดใจไหวได้ยังไง  และแน่นอน...ในที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้เธอจนได้

    “อ่า...”ผมพูดออกไปอย่างกระดากปากสุดๆ พอคุณเธอได้ยินเข้าก็รีบหยุดร้องไห้ทันทีและหันมาจ้องผมตาแป๋ว

    “เมื่อคืน...หลับสบายดีจัง”ผมพูดเบาๆอย่างจำใจ ซึ่งทำให้เธอ บินเข้ามากอดผมด้วยความดีใจทันที

    ใช่แล้ว...พวกคุณฟังไม่ผิดหรอก เธอ”บิน”เข้ามาหาผมจริงๆ...

    ถ้าถามผมว่าเธอบินได้ยังไงน่ะหรอ...งั้นผมถามคุณสักข้อแล้วกัน

    คุณเชื่อเรื่องวิญญาณไหม

    หากเป็นผมเมื่อก่อนคงจะตอบได้แทบจะทันทีเลยล่ะ ว่าผมไม่เชื่อเลยสักนิด แต่ถ้าคุณมาเจออะไรแบบผมดูล่ะก็ คุณอาจจะต้องเปลี่ยนความคิดไปเลยทีเดียว

    ส่วนผมไปเจอเธอยังไงน่ะเหรอ...คงต้องย้อนไปเมื่อตอนที่ไปเข้าค่ายเมื่ออาทิตย์ก่อนล่ะนะ...

     

             

                ผมชื่อแสงกล้า เป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัย ก. ในกรุงเทพฯธรรมดาคนหนึ่ง ชีวิตในแต่ล่ะวันของผมก็คือเรียน เมื่อเรียนเสร็จแล้วก็เที่ยว แล้วก็ล้อมวงดูเพื่อนก๊งเหล้ากันยามเย็น เนื่องจากผมแพ้ส่าเหล้าจึงทำได้แต่นั่งดูเพื่อนๆดื่มเหล้ากันอย่างครื้นเครง โชคดีที่บ้านของผมอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก จึงทำให้ผมไปกลับบ้านได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องไปเช่าหอให้เปลืองเงินเหมือนกับเพื่อนๆผมหลายๆคน

              “เฮ้...ไอ้กล้า แกเป็นอะไรไปวะ”ไอ้หนึ่งเพื่อนสนิทผมร้องทักเมื่อเห็นผมทำท่าแปลกๆไป ไม่แปลกเลยที่มันจะทักผม เพราะถ้าตอนนี้มีคนเดินมาเห็นผมกำลังใช้สองมือกุมหัวด้วยความเจ็บปวดอยู่ล่ะก็ คงจะถามคำถามแบบเดียวกันแน่ๆ

              “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ...จู่ๆก็ปวดหัวขึ้นมา”ผมตอบมันกลับไป

                “เฮ้ยๆ ท่าแกไม่ไหวแกก็ไปพักได้นะ”ไอ้หนึ่งบอกด้วยความเป็นห่วง แต่ภาระหน้าที่ของผมในค่ายมันไม่ใช่หน้าที่เล็กๆนี่สิ ไม่งั้นตอนนี้ผมคงจะยินดีตอบสนองความห่วงใยของมันแน่ๆ

                “ไม่เป็นไรหรอกว่ะ แค่นี้จิ๊บๆ”

                “จิ๊บกับผีน่ะสิ หน้าซีดเป็นปลาร้าเน่าแบบนี้ ยังจะบอกว่าสบายดีอีก”

                “แล้วงานบายศรีคืนนี้ล่ะ ถ้าข้าหนีไปพักคนอื่นก็เหนื่อยแย่สิ”ผมโต้เขากลับไป

              “โห...พ่อคนขยัน ถ้าใครมาเห็นแกในสภาพแล้วล่ะก็ ชั้นที่ไม่ให้แกไปพักจะโดนกุดหัวเอาน่ะสิ”มันสวนกลับทันควัน

                “ไปพักซะ ไปๆๆๆๆ...เดี๋ยวที่เหลือชั้นจัดการเอง”

                เมื่อไอ้หนึ่งเพื่อนซี้กึ่งดึงกึ่งลากผมนานๆเข้า ผมก็เลยต้องจำใจยอมไปพักผ่อนตามที่มันบอก แล้วก็เดินโซซัดโซเซมาหาเพื่อนหน่วยพยาบาลได้สำเร็จ ผมล้มตัวลงนอนทันทีที่ถึงเตียง และพล็อยหลับลงแทบจะทันทีที่ด้วยถึงหมอนเลยทีเดียว

                “พี่กล้า...”เสียงๆหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืด

                “ใครน่ะ...”ผมที่รู้สึกตัวท่ามกลางความมืดแห่งนิทราเอ่ยขึ้น แม้เสียงที่ได้ยินในตอนแรกจะเบามาก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น

                “พี่กล้า...ในที่สุด..ในที่สุด พี่ก็กลับมาแล้ว”เสียงยังดังขึ้นเรื่อยๆ ผมมองไปรอบๆพลันนึกฉุนที่มีคนมารบกวนการนอนอันแสนสุขที่มีเวลาไม่มากนักของผม...

                โดยที่ตอนนั้นผมไม่คิดเลยซักนิดว่าเจ้าของเสียงนี้จะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

                “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”ผมมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นสิ่งใด นอกจากรุ่นน้องผู้น่ารักกำลังหลับสบายอยู่บนเตียงตรงข้ามกับเขา สาวน้อยน่ารักคนนี้ ผมเองนี่แหละที่แบกเธอที่ล้มพุบไปกลางงานมาที่นี่

                เสียงผู้หญิง...แต่ไม่ใช่เธอคนนี้แน่ เสียงเรียกชื่อผมยังคงดังก้องในหัวไม่หยุด ฉับพลันอาการปวดหัวอย่างรุนแรงก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง

                “พี่กล้า...พี่กล้าสุดที่รักของข้า ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว...”

                “จากนี้ไปเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ...”

     

     

                นานเท่าไหร่ไม่ทราบ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดอีกครั้ง เหงื่อกาฬไหลทะลักออกมาทั้งตัว ผมหอบหายใจถี่ยิบราวกับเพิ่งไปวิ่งมาซักกิโลอย่างไรอย่างนั้น

                เมื่อกี้เป็นแค่ความฝันสินะเมื่ออาการตื่นตกใจค่อยทุเลาลงผมถึงค่อยได้คิด สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คงเป็นแค่ความฝัน เสียงที่ได้ยินก็เป็นแค่เสียงในความฝัน โธ่เอ๊ย...เล่นเอาตกอกตกใจหมด

                ผมมองไปรอบๆห้องที่มีแต่ความมืดมิดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยิ้มให้ที่ปลายเตียง เมื่อไม่มีอะไรผิดปกติ ผมจึงล้มลงนอนต่ออย่างสุดเซ็ง

                เอ๊ะ...เมื้อกี้มันอะไรนะ

                ผู้หญิง???...

                ผมสะดุ้งลุกพรวดทันทีพลางมองไปยังทิศที่ผมเห็นผู้หญิงยืนยิ้มให้เมื่อครู่ แต่สิ่งที่ผมพบกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า...

                หรือว่าเราจะแค่คิดไปเอง...

                ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง และในตอนที่กำลังจะหลับตาลงนั้นเอง...

                “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...ที่รัก” ผมสะดุ้งตัวตื่นทันทีและหันมองไปรอบๆอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่พบกับความว่างเปล่านี่สิ

                ร่างของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฎตัวอยู่ข้างๆเขา เธอนั่งอยู่ตรงขอบเตียงดูเรียบร้อย ชุดของเธอเป็นชุดไทยสีขาวที่ดูงดงามและสูงส่ง  สไบลูกไม้สีขาวเข้าผมที่ยาวสยายถึงกลางหลังจนลูกงดงามยิ่งนัก และแค่เพียงรอยยิ้มอันละมุนละไมของเธอ ก็แทบทำให้ผมหลงไหลซะแล้ว

                แต่สมัยนี้มีผู้หญิงที่ไหนใส่ชุดไทยตอนนี้กันบ้างเล่า...

                “ทะ...เธอเป็นใคร”ผมก็ถามไปได้ทั้งๆที่ก็รู้ๆกันอยู่ สมัยนี้มีผู้หญิงที่ไหนบ้างล่ะที่ใส่ชุดไทย...ถ้าไม่ใช่พวกเด็กนาฎศิลป์ล่ะนะ ยิ่งคำตอบที่ได้มายิ่งทำให้ผมปวดหัวตุ้บเข้าไปใหญ่

                “คุณสามีจำข้าไม่ได้แล้วงั้นหรอ...”คำพูดไม่ได้มาเปล่าแต่คุณเธอยังทำหน้าจะร้องไห้อีกด้วย เล่นเอาผมอิ้งจนทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

                “ที่รัก..ละ ลืมข้าแล้ว ที่รัก...จำข้าไม่ได้แล้ว”ยิ่งเธอพูดก็ยิ่งเหมือนเธอจะร้องไห้ขึ้นมาทุกที

                “เอ่อ...”ผมพูดขึ้นขัดจังหวะการสะอิ้นไห้ของเธอ ก็แน่ล่ะ...ถึงเธอจะสวยแค่ไหน แต่จู่ก็มาบอกว่าผมเป็นสามีเนี่ยนะ...จะเกินไปหน่อยมั้ง

                “คุณครับ...ผมไม่ใช่สามีคุณหรอกนะ จำผิดคนรึเปล่าครับ”

                “ฮือๆๆๆ...คุณสามีแกล้งข้า”ผมยิ่งตกใจเข้าไปอีกเมื่อคุณเธอเปลี่ยนกิริยาไวมาก จากสะอื้นเป็นแหกปากลั่นซะแล้ว

                แน่นอน...ไม่มีใครได้ยินเสียงแหกปากของคุณเธอหรอก

                เพราะทำไมน่ะหรือ ก็เหตุผลเดียวกับที่คุณเธอใส่ชุดไทยในเวลานี้นี่แหละ...

              สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าทำไม ผมจะบอกให้ล่ะกัน

                เธอเป็นแบบที่พวกเราเรียกกันว่า”วิญญาณ”หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า”ผี”นั่นแหละ

                ส่วนทำไมผมถึงทนคุยกับเธออยู่ได้จนป่านนี้น่ะเหรอ...ไม่ใช่เพราะว่าผมใจกล้าแข็งแกร่งอะไรหรอก

              ก็แค่ขาผมมันแข็งจนลุกหนีไม่ไหวต่างหาก...

                ผมกึ่งอิ้งกิ่งตกใจ นี่ตกลงเธอเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมอยู่ๆเธอถึงมาเรียกผมว่าเป็นสามีเธอซะอย่างนั้น แถมไม่ว่าจะมองมุมไหน นี่มันก็วิญญาณชัดๆ...แม้จะสวยสุดๆไปเลยก็เถอะ

                ผมนั่งอิ้งและกำลังสับสนสุดขีด และในขณะที่ผมกำลังนั่งเอ๋ออยู่นานสองนานั่นเองแต่ จู่ๆเธอก็ดันเปลี่ยนอารมณ์ขึ้นมาซะดื้อๆ

                แถมเปลี่ยนจากร้องไห้ลั่นห้องเป็นหัวเราะลั่นห้องแทนซะอย่างนั้น โอ๊ยนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่ คุณคนเขียนคร้าบ คุณเขียนเรื่องมั่วซั่วไปหมดแล้วคร้าบ

                “ฮะๆ...เธอนี่มันตลกจริงๆเลย...”เธอพูดขึ้นหลังจากที่หัวเราะลั่นไปได้สักพักใหญ่ แถมอาการที่แสดงออกไม่ว่าจะดูยังไงคุณเธอก็กลั้นหัวเราะอยู่ชัดๆ ทำเอาผมนึกฉุนขึ้นมาทันที

                “ฮะๆๆ ขอโทษๆ พอดีเห็นเธอมันน่าแกล้งน่ะสิ...ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าบูดแบบนั้นสิคะ”เธอพูดหยอกล้อผมเต็มที่ และเมื่อเห็นผมหน้าบูดยังอุตส่าห์ปลอบอีก

                “เธอเป็นใคร...”ผมพูดด้วยน้ำเสียงห้วนและดูเครียดสุดๆ...ก็เท่าที่ผมจะทำได้ล่ะนะ

                “ข้าชื่อจันทร์หอม...เป็นวิญญาณมากว่าสองร้อยปีแล้วล่ะ”

                “วิญญาณ?? คุณเป็นวิญญาณแล้วมาเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ”

                “เกี่ยวสิ...เกี่ยวอย่างมากด้วย”เธอตอบกลับมาทันควัน และเมื่อเธอทำผมมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าไปหมดจนพอใจ เธอก็โพล่งคำพูดออกมาอีกครั้ง...และคราวนี้มันทำให้ผมแทบช็อกเลยทีเดียว

                “เพราะนับตั้งแต่วันนี้ข้าจะเป็นวิญญาณติดตามเจ้าน่ะสิ”

                “ทำไม...”นี่เป็นเพียงคำพูดเดียวที่หลุดออกมาจากปากผม และคำตอบของคุณเธอก็ยิ่งทำให้ผมช็อคหนักยิ่งกว่าเดิม

                “ก็เพราะเจ้าหน้าเหมือนสามีข้า...”

                “ก็เพราะเจ้าหน้าเหมือนสามีข้า...”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×