ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Chivalry ทั้งชีวิตนี้ ขอพลีเพื่อเธอ

    ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อเจ้าหญิงพบอัศวิน

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 55


    บทที่หนึ่ง

    เมื่อเจ้าหญิงพบอัศวิน

     

                    แสงอาทิตย์สีส้มสาดส่องไปทั่วบริเวณเมื่อเหล่านกน้อยต่างโบยบินกลับรัง เด็กหญิงชายคู่หนึ่งนั่งเคียงกันเหม่อมองท้องฟ้ายามสนธยา

                    เด็กหญิงนั่งมองเด็กชายที่กำลังกินขนมปังอย่างหิวโหย เธอยิ้มน้อยๆอย่างเป็นสุข

                    “อิ่มไหม ถ้ายังไม่อิ่มเดี๋ยวฉันไปซื้อขนมมาให้นะ” เธอพูดพลางลุกขึ้นยืน แต่เด็กหนุ่มรั้งไว้

                    “ไม่ต้องแล้วล่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว”

     เด็กหนุ่มเก็บกล่องข้าวเปล่าเรียบร้อยก่อนจะยื่นคืนให้แก่เด็กสาว ซึ่งเธอก็เก็บมันลงไปในกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ

                    “ขอบใจมากนะ” พูดจบเขาก็ยิ้ม ร่างกายของเด็กหนุ่มนั้นคลุกเคล้าไปด้วยเศษฝุ่นและรอยขาดวิ่น แต่เด็กสาวก็ไม่นึกรังเกียจ

                    “ไม่เป็นไรหรอก แค่เห็นเธอร่าเริงแบบนี้ฉันก็สบายใจแล้วล่ะ”

                    “เธออยากให้ฉันตอบแทนอะไรไหม”

                    “เอ๊ะ...” เด็กสาวพูดด้วยความประหลาดใจ

                    “อะไรก็ได้ ฉันเป็นหนี้ชีวิตเธอ ไม่ว่าอะไรฉันก็ยินดีทำให้ทั้งนั้น” เขายิ้มกว้างจนตาหยี เด็กสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตอบออกไป

                    “งั้นขอให้เธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย แค่นี้พอแล้วล่ะ”

                    “เอ๊ะ...” เด็กชายพูดขึ้นบ้าง “แค่นี้เหรอ...”

                    “อื้อ...”   

    “ไม่ต้องการอะไรเลยหรอ..จากฉันน่ะ”

                    “อื้อ...”สิ้นเสียงเด็กชายนั้นน้ำตาคลอ

    “เธอนี่มันคนดีจริงๆ ขอบใจนะ...ขอบใจมาก” เด็กสาวยิ้มรับ

    “งั้นเอางี้นะ” เด็กหนุ่มนั่งปาดน้ำตาอย่างเร่งร้อน เมื่อน้ำตาของเขาหยุดไหลก็ร้องตะโกนออกมาดังลั่น

    ราวกับจะให้คำพูดต่อไปนี้เป็นคำสัญญาของเขา...มอบให้แด่เธอ

    “จากนี้ไป...ถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะปกป้องเธอเอง แลกด้วยชีวิตนี้ทั้งชีวิตเลย!!...”

     

                    เสียงกระดิ่งนาฬิกาดังลั่นจนฉันสะดุ้งตื่นนอน

                    เสียดายชะมัดทั้งๆที่กำลังฝันดีอยู่แท้ๆเชียว

                    ฉันลืมตาตื่นมารับเช้าวันใหม่ด้วยอาการงัวเงีย ก่อนจะตบเจ้านาฬิกาปลุกลายน้องหมีดังป้าบ

                    วันนี้อากาศแจ่มใสอยู่พอสมควรเลย ฉันได้ยินเสียงนกร้องจากภายนอกหน้าต่างที่ต่างร้องกันอย่างร่าเริง พอได้ยินดังนั้นฉันเลยขยี้ตาและดีดตัวผึงลุกขึ้นจากเตียง และเมื่อฉันเปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า เหล่านกน้อยต่างก็บินหายไปด้วยความตกใจ

                    สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ พัทธ์วิรา หรือที่ใครๆต่างก็เรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า น้ำ เป็นนักเรียนของโรงเรียนเซนต์ดาริส ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นม.5 แล้วค่ะ พูดเองก็กระไรๆอยู่แต่ฉันเป็นคนที่ร่าเริงสดใสอยู่เสมอค่ะ หน้าตารูปไข่ได้รูปน่ารัก ผมก็สีดำยาวสลวยถึงแผ่นหลังจนใครๆก็อิจฉา ฉันไม่ได้โอ้อวดตัวเองหรอกนะคะ แต่เพื่อนๆของฉันชมฉันว่าแบบนั้นแหละ(ซึ่งฉันคิดเว่าไม่เห้นจะน่ารักตรงไหน) แต่ตอนนี้ผมมันยุ่งจนฟูไปหมด หน้าตาก็โทรมจนดูไม่ได้ ทุกครั้งที่ตื่นนอนมาทีไรมักจะเป็นแบบนี้ทุกที...เฮ้อ

                    หลังจากที่อาบน้ำแปรงฟันและทำกิจวัตรประจำวันยามเช้า ฉันก็บรรจงใส่ชุดนักเรียนตัวโปรดสำหรับการเปิดเรียนวันแรก...อ๊ะ คุณผู้ชายทั้งหลายที่อ่านอยู่ห้ามคิดลึกเด็ดขาดนะ

                    เมื่อฉันเดินลงบันไดมาด้านล่างก็ได้ยินเสียงมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะ กลิ่นหอมของซุปข้าวโพดลอยเข้ามาเตะจมูกจนเริ่มรู้สึกหิว ฉันจึงวิ่งลงไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว

                    “สวัสดียามเช้าค่ะ คุณพี่” คนอยู่ที่ห้องครัวก็คือพี่สาวของฉันเองค่ะ เราอาศัยอยู่กันสองคนในบ้านหลังนี้ค่ะ

                    “อรุณสวัสดิ์จ้า เมื่อคืนหลับสบายดีไหมจ๊ะ”  อ๊า...รอยยิ้มของพี่ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ ขนาดหนูเป็นน้องสาวของพี่เองยังแทบจะละลายเลย ไม่แปลกเลยที่พี่สาวจะมีหนุ่มมาหลงรักเยอะแยะเต็มไปหมด

                    ถึงแม้เพื่อนๆจะบอกว่าฉันสวยน่ารักไม่แพ้พี่สาวเลยสักนิด แต่ฉันกลับคิดว่าฉันไม่มีทางสู้พี่ได้แน่นอน ก็นอกจากจะสวยแล้วยังใจดีอีก แถมทำอาหารก็เก่ง กิริยาท่าทางก็เรียบร้อยด้วย สุดแสนจะเฟอร์เฟคเลย

                    “หลับสบายยยย......ยันเช้าเลยค่ะ” พูดจบพี่ก็ยิ้มหวานให้ฉัน ก่อนจะลงมือทำกับข้าวต่ออย่างร่าเริง

                    “ข้าวเช้ารอแปปนึงน้า”

                    “ค่า...” ฉันรับคำของพี่สาวก่อนจะพุ่งตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น เพื่อที่จะทำอีกหนึ่งกิจวัตรประจำวันของฉันเองค่ะ

                    ที่นี่มีชั้นไม้ตั้งอยู่เหนือระดับสายตาเล็กน้อย บนชั้นประดับด้วยรูปถ่ายของชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ทั้งคู่เผยรอยยิ้มน้อยๆอย่างอบอุ่น เบื้องหน้าของรูปทั้งสองมีกระถางธูป ถ้วยน้ำชาที่มีชาอยู่เต็มและแจกันดอกไม้ที่ประดับด้วยดอกไม้สีสวยสดใหม่  ณ จุดนี้ของบ้านมักจะถูกดูแลเป็นอย่างดีเสมอจนแทบไม่มีฝุ่นเลย

                    “สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณพ่อ คุณแม่” ฉันจุดธูปหนึ่งดอก พนมมือไหว้และระลึกถึงทั้งสอง

                    แม้พวกท่านด่วนจากไปตั้งแต่สมัยฉันยังเด็ก แต่ฉันก็ยังจำความอบอุ่นของพวกเขาได้เป็นอย่างดี

                    เราสองคนอยู่ด้วยกันมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้นค่ะ และพี่สาวก็เป็นคนดูแลฉันมาจนโตได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นพี่สาวคนสวยคนนี้จึงเป็นคนที่ฉันรักที่สุดในโลกเลยล่ะ

                    “ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งนะคะ” ฉันอธิษฐานกับพวกท่านแบบนี้ทุกเช้า เพราะมันทำให้รู้สึกว่าวันนี้จะเป็นวันที่สดใสอีกหนึ่งวัน

                    แล้วความฝันที่ฉันฝันถึงเมื่อเช้าก็ลอยผ่านเข้ามาในสมอง...

                    สิบปีแล้วสินะที่ฉันพบกับเด็กคนนั้น...

                    ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วน้า...จะสบายดีหรือเปล่านะ

                    แต่ฉันก็คิดถึงเขาแค่นี้แหละ  ก็ความเป็นจริงเขาคงไม่กลับมารักษาสัญญาที่ให้ไว้ตั้งสิบปีหรอก เขาเป็นใครฉันก็ไม่รู้ หน้าตาก็แทบจำไม่ได้แล้ว แถมชื่อเราเขาก็ไม่ได้ถามเอาไว้ และแบบนี้เขาจะรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นใคร...เซ่อซ่าจริงๆแหะ

                    คิดไปก็อดยิ้มน้อยๆไม่ได้ คงเพราะช่วงเวลานั้นมันก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าในความทรงจำอันหนึ่งในหลายๆความทรงจำของฉันกระมัง

                    เธอยืนคิดถึงวันวานเก่าๆไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีพี่สาวคนสวยก็ร้องเรียก

                    “นี่...ถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวจะไปสายเอานะ” ได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงเหลือบมองนาฬิกา และพบว่าใกล้ได้เวลาจะต้องออกเดินทางซะแล้ว

                    “ค่า...จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

                    “นี่ น้ำ...” พี่สาวร้องเรียกขณะที่ฉันกำลังจัดสำรับ

                    “เดี๋ยวนี้เขานิยมเอาเสื้อนอนมาทำเป็นเสื้อซับในแล้วหรอ...”

                    “เอ๋!!!!

     

                    “ไปแล้วนะคะ” ฉันพูดบอกลาพี่สาวก่อนจะปิดประตูหน้าบ้าน

                    ฉันออกเดินไปตามถนนสายเดิมที่เคยใช้ไปโรงเรียนไปอยู่ทุกวัน ท้องฟ้าวันนี้แจ่มใสจนฉันรู้สึกร่าเริงไปด้วย ฉันกับคุณป้าข้างบ้านต่างก็ส่งเสียงทักทายกันด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย ฉันรู้สึกสดชื่นจนรู้สึกว่าวันนี้คงจะเป็นอันแสนสนุกสนานอีกวันหนึ่งเลยแหละ

                    โรงเรียนเซนต์ดาริสที่ฉันเรียนอยู่เป็นโรงเรียนนานาชาติที่สอนการเป็นฮันเตอร์ค่ะ เป็นโรงเรียนที่มีคะแนนมาตรฐานสูงจนเรียกได้ว่าน่าตกใจที่ฉันสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้เลย ซึ่งมันทำให้ฉันภูมิใจมากที่ตอนนี้ได้เป็นนักเรียนของที่นี่

                    ฉันเดินไปเรื่อยๆด้วยท่าทีสบายๆ และส่งยิ้มทักทายผู้คนที่ต่างเข้ามาทักเมื่อเดินผ่านย่านการค้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแทบทุกคนโดยเฉพาะผู้ชายถึงเข้ามาทักทายฉัน แต่ว่าฉันก็มักจะยิ้มทักทายตอบพวกเขากลับไปเสมอ

                    ขณะนั้นเอง...บางสิ่งก็ทอดเงาสีดำมืดจนท้องฟ้าเบื้องหน้าของฉันมัวหม่น เสียงปีกของมันพัดแหวกอากาศจนน่าหวาดเสียว ไม่นานมันพุ่งทะยานผ่านหน้าของฉันไปและร่อนลงสู่พื้นด้วยเสียงดังสนั่น

                    เมื่อฝุ่นควันคลายลง ปรากฏร่างของปีศาจร่างยักษ์สีดำ มันมีปีกใหญ่ยักษ์ถึงหกปีก กรงเล็บขนาดมหึมาของมันกวัดแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง และทำลายบ้านที่อยู่ใกล้ๆจนพังยับเยิน

                    “เดสทรอยเยอร์!!” เสียงใครคนหนึ่งตะโกนลั่น ส่งผลให้ทุกคนแตกตื่น เหล่าผู้คนต่างสิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น

                    บ้าน่า เดสทรอยเยอร์มันอาศัยอยู่ในป่านอกเมืองนี่ แล้วมันเข้ามาในเมืองแบบนี้ได้ยังไง

                    ฉันได้แต่คิดและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ขาทั้งคู่สั่นเทาด้วยความหวากลัวก่อนที่ฉันจะทรุดลงกับพื้นไม่อาจยืนไหว เจ้าปีศาจเดินเข้ามาใกล้เต็มทีแล้วในขณะที่ฉันคงลุกไปไหนไม่ได้ กรงเล็บของมันง้างสูงก่อนจะตะปปลง

                    วูบ...เปรี้ยง!!
                    เสียงดังสนั่นกึกก้องรุนแรงราวกับจะบดขยี้ทุกสิ่ง เมื่อหันไปมองก็พบว่ากรงเล็บมหึมาของมันฟาดลงตรงจุดที่ฉันอยู่เมื่อครู่  สีดำมืดของมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกกลัวเข้าไปอีก

                    แต่ทำไมเราถึงรอดมาได้กันนะ...

                    เมื่อรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้ฉันถึงได้สังเกตตัวเอง และพบว่าขาของฉันกำลังลอยอยู่กับพื้น!!!

                    “ทันเวลาฉิวเฉียดเลยล่ะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัว ฉันเลยหันหลังขวับไปยังต้นเสียงและพบกับชายคนหนึ่ง

                    วินาทีนั้นถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติอีกอย่าง....

    ระระระ...เรา...เราถูกอุ้ม!!

     ท่าเจ้าหญิงด้วยสิ...

    เขาเป็นผุ้ชายที่มีร่างกายกำยำล่ำสันที่ดูแล้วน่าจะฝึกมาเป็นอย่างดี ส่วนสูงน่าจะราว 175 ซม.ได้ หน้าตาคมเรียวนั้นจัดได้ว่าหล่อเหลาเอาการ ผมสีดำยาวคลุมใบหูช่วยให้รูปหน้าดูเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ท่าทางคงจะเนื้อหอมน่าดูเลย ถ้าไม่คิดตรงที่เขาดูไร้อารมณ์อย่างไรพิกลคงจะน่าสนิทสนมด้วยกว่านี้ เมื่อเราสองคนสบตากันจู่ๆฉันก็รู้สึกอายอย่างมาก เลยหันหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว

    “เรารีบหนีไปยังที่ที่ปลอดภัยกันเถอะ” เขาพูดก่อนจะออกตัววิ่งโดยยังคงอุ้มฉันอยู่ทั้งอย่างนั้น ขณะเดียวกันกับที่เหล่านักล่าต่างออกมาเผชิญหน้ากับมันแล้ว

    เราหนีกันมาไกลพอสมควร รู้ตัวอีกทีเราก็มาอยู่สวนสาธารณะข้างโรงเรียนแล้ว

    “ปลอดภัยแล้ว...ล่ะมั้ง” เขาที่หอบเล็กน้อยยังคงอุ้มฉันไม่ปล่อยพลางไปยังทางที่วิ่งจากมา

    “ปล่อยฉันลงได้แล้วมั้งคะ...”

    “โอ๊ะ โทษที” และในที่สุดเขาก็ปล่อยฉันลง  รู้สึกได้เลยว่าฉันกำลังหน้าแดง แล้วแบบนี้จะกล้ามองหน้าเขาได้ยังไงล่ะเนี่ย

    “ขอบคุณมากนะคะ”ฉันพูดพร้อมก้มหัวลงด้วยความรู้สึกขอบคุณ ใจเต้นไม่ยอมหยุดตั้งแต่ถูกเขาอุ้มแล้ว

    “ไม่เป็นไร สำหรับฉันน่ะ ยังไงก็ต้องปกป้องเธอให้ได้อยู่แล้ว...”เขาพูด

    โหย พูดแบบนี้ คนยิ่งเขินเข้าไปใหญ่เลยสิ บ้าๆๆๆๆ....

    “หวา...สายแล้วๆ ฉันขอตัวก่อนนะ” เขามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนจะพูดและวิ่งออกไป

    “ดะ...เดี๋ยวสิ!!” ฉันเอ่ยรั้งเขาไว้ แต่ทว่าสายไปเสียแล้ว เขาวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็วจนไม่ได้ยินเสียงของฉันแล้ว

    “แล้วเจอกันใหม่นะ!!” เขาหันมาร้องบอกฉันก่อนจะวิ่งต่อไปจนลับสายตา ทิ้งให้ฉันยืนเอ๋อเหรออยู่ลำพัง

    เขาเป็นใครกันนะ จู่ๆก็มาช่วยเหลือฉันเอาไว้ และจู่ๆก็วิ่งจากไปซะดื้อๆ

    แล้วทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขาเหลือเกิน...ทำไมกันนะ...

    ในขณะที่กำลังยืนคิดด้วยท่าทางซีเรียส(ไปทำไม)อยู่นั้น เสียงระฆังเข้าเรียนก็ดังขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกตัวทันที

    “ว้าย...สายแล้วๆ” และสุดท้ายก็ต้องออกวิ่งตามเขาไปเช่นกัน...เฮ้อ!!

     

                    “นี่ เมื่อข่าวเราได้ข่าวว่าย่านการค้าถูกปีศาจบุกนี่”

                    “ใช่ๆ เดสทรอยเยอร์ด้วยนะ ชั้นแทบวิ่งหนีไม่ทันแน่ะตอนที่เจอมัน”

                    “มีใครตายไหมนะ...”

                    “ได้ข่าวว่ามันโดนล้มไปเรียบร้อยแล้วนี่”

                    “แต่จนป่านนี้...น้ำยังไม่มาเรียนเลยนะ...เธอต้องเดินผ่านตรงนั้นด้วยนี่” นักเรียนหญิงร่างเล็กคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยท่าทางเศร้าๆ จนเพื่อนหญิงอีกคนตบไหล่เป็นเชิงปลอบใจ

                    ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเธอก็มาเองล่ะน่า...“

                    “อรุณสวัสดิ์!!” ฉันเปิดประตูเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับกล่าวทักทายทุกคนในชั้นซะดังลั่น ซึ่งแน่นอนทุกคนจ้องฉันเป็นตาเดียว จริงๆแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะเสียงดังขนาดนั้นหรอก แต่ว่ามันเหนื่อยจากการวิ่งมานี่นา ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังประกาศชัยชนะหลังจากที่วิ่งเข้าเส้นชัยเลย

                    ในที่สุด...ฉันซึ่งวิ่งเต็มที่ก็มาหยุดหอบหน้าห้องเรียนก่อนเวลาเรียนได้สำเร็จ ตอนนี้เด็กนักเรียนต่างอยู่ในห้องกันเกือบหมดแล้ว โชคดีจริงๆแหะที่อาจารย์ประจำชั้นยังไม่มา

                    “ยังรอดมาได้แหะ เธอนี่อายุยืนจริงๆ” เพื่อนที่ช่วยปลอบพูดแซวฉัน

                    “น้ำ!!” หญิงสาวร่างเล็กโผเข้ามากอดทันทีที่เห็นฉัน ดีนะที่เธอค่อนข้างตัวเล็ก ไม่งั้นเราสองคนได้ลงไปนอนกับพื้นเพราะรับแรงกระแทกเธอไม่ไหวแน่

                    “ไม่เป็นอะไรนะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เธอซุกหน้าลงกับอกของฉันก่อนจะเงยหน้ามองด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาสดใสของเธอจ้องมองฉันด้วยความเป้นห่วง หญิงสาวร่างเล็กกระจิดที่ให้ความรู้สึกเหมือนกระต่ายตัวน้อยๆคนนี้มักให้ความรู้สึกดีๆกับฉันเสมอ

                    เธอคนนี้ชื่อเปิ้ล เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉันเองค่ะ...เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถมด้วยกันแล้ว ก็เลยสนิทกันเป็นพิเศษ

                    “ก็เกือบไปเหมือนกันแหละ ยังงงตัวเองอยู่เลยว่ารอดมาได้ยังไง” ฉันตอบไปหัวเราะแห้งๆไปพลางกอดเพื่อนตัวน้อยตอบ ก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะเรียน และนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า

                    “เหนื่อยชะมัดเล้ย”  

                    “นั่นสิๆ...ก็วิ่งมานี่นา”  เปิ้ลรับคำฉันพลางยิ้มด้วยท่าทางร่าเริง มีเพื่อนแบบนี้ดีนะ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสานั่นมันทำให้ฉันสบายใจได้เสมอเลย

                    “ง่วง...”

                    “แต่เช้าเลยนะยะ” เพื่อนอีกคนแซวฉัน

    ฉันฟุบลงไปกับโต๊ะอย่างแรงจนมันสั่น แล้วจู่ๆซองกระดาษสีชมพูหน้าตาน่ารักก็หลุดมาจากชั้นวางของใต้โต๊ะและตกลงบนตักฉัน อยากกับว่ารอฉันอยู่เลยนะ

                    อีกแล้วเหรอเนี่ย...ตั้งแต่วันแรกของเทอมเลยแฮะ

                    “เธอนี่เนื้อหอมไม่เปลี่ยนเลยแหะ” หญิงสาวคนเดิมที่นั่งอยู่ข้างฉันร้องทัก

                    เธอเป็นหญิงสาวที่น่ารักสมวัย ใบหน้าเรียวรูปไข่สวมแว่นแฟชั่นสีแดงดูโดดเด่นหญิงสาวแม้จะดูเรียบร้อยแต่ก็แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวไม่กลัวใครหน้าไหนเหมือนกัน เธอเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของฉันเองค่ะ ชื่อว่า อลิส เธอเป็นลูกครึ่งอังกฤษ-ไทยค่ะ เลยมีผมสีทองสวยจนฉันนึกอิจฉา ถึงแม้ว่าเราจะเพิ่งรู้จักกันตอนม.4 แต่เธอก็สนิทกับพวกเราได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ถึงขั้นพูดได้เต็มว่าเลยว่าเธอเป็นหนึ่งในเพื่อนรักของฉันเอง

                    “เฮ้อ แต่ฉันว่ามันน่ารำคาญชะมัด”

                    “มีแต่เธอเท่านั้นแหละที่คิดย่ะ ไหนขอดูหน่อยซิ” พูดจบเธอก็แย่งซองจดหมายสีขาวไปจากฉัน เธอดึงเนื้อในออกมาอ่านโดยไม่สนใจใคร และเริ่มอ่านข้อความในนั้น

                    “คุณจะรู้บ้างไหมวันนี้ผมนอนไม่หลับ คุณจะรู้ไหมครับหน้าคุณลอยอยู่เต็มฟ้า...”

                    “แหวะ ลอกเนื้อเพลงมาเฉยเลย จะจีบสาวทั้งทีทำได้แค่นี้เหรอยะ” พูดจบเธอก็คืนจดหมายให้ ฉันหัวเราะแหะๆพลางรับจดหมายคืน

                    “เธอนี่...บางทีก็น่าสงสารเนอะ” อลิซพูดด้วยท่าทางหน่ายๆก่อนจะเข้ามารื้อใต้โต๊ะฉันอย่างนึกสนุก

                    “โธ่ เอาอีกแล้วเหรอเธอเนี่ย...”ฉันพูดด้วยท่าทางหน่ายๆ ตอนแรกก็ต่อต้านเรื่องนี้อยู่บ้างแหละ แต่เธอทำแบบนี้เป็นประจำจนฉันรู้สึกเป็นเรื่องปกติไปแล้วล่ะ

                    อีกอย่างจดหมายพวกนี้มันก็เยอะมากจนฉันไม่ค่อยอยากอ่านเองแล้ว ทำไมถึงส่งมากันเยอะแยะไปหมดเลยนะ ทั้งๆที่คนน่ารักๆกว่าฉันยังมีตั้งเยอะ

                    “ไหนๆ มีจดหายรักจากหนุ่มๆใส่มาอีกหรือเปล่าน๊า...อ๊ะ มีจริงด้วยๆ” เธอหยิบซองจดหมายสีขาวออกมาก่อนจะอ่านอย่างไม่เกรงใจเจ้าของเลย...แต่เอาเถอะ ถึงยังไงฉันก็ปฏิเสธหมดอยู่แล้วล่ะ

                    “โฮ่ๆ อันนี้เขียนดีใช้ได้เลยแหะ...อ๊ะ...ของรุ่นพี่การันต์นี่” เธออ่านเสร็จปุ๊บก็จ้องมองฉันด้วยสีหน้าอึ้ง

                    “โหย สุดยอด รุ่นพี่การันต์เนี่ยสุดยอดเลยไม่ใช่เหรอ ว้ายๆๆ หล่อก็หล่อ เรียนก็เก่ง แถมยังเป็นกับตันทีมฟุตบอลโรงเรียนด้วย สุดยอดเลย!!

                    “นี่ๆ ไม่ลองคบกับเขาหน่อยเหรอ คนๆนี้เจ๋งสุดๆเลยนะ!!

                    “ไม่ล่ะ...”

                    “ว้า...เสียดายจัง...นี่เธอปฏิเสธไปกี่คนแล้วเนี่ย”

                    “ใครจะไปนั่งนับเล่า!!” ฉันตอบ

                    “นับสองคนนี้ก็ 44 แล้วค่ะ”

                    “นี่โบว์ เธอนั่งนับด้วยเหรอ!!

                    “ถามจริง ปฏิเสธเขาไปหมดแบบนี้ ไม่มีใครที่ถูกใจบ้างเลยเหรอ”

                    “ไม่รู้สิ ก็ที่มาสารภาพรักฉันทั้งหมดนั่น มันไม่มีใครที่ฉันชอบเลยนี่นา...” จู่ๆก็เหมือนจะได้ยินสียงปึด แล้วเพื่อนสาวของฉันก็มารัดคอฉันซะแน่นจนรู้สึกเจ็บ

                    “หนอย...ยัยสวยเลือกได้ แบ่งๆมาให้ฉันบ้างสิยะ!!

                    “โอ๊ยๆๆ ฉันก็ไม่อยากได้นักหรอกน่า ปล่อยน้า!...”

                    “ไม่! จนกว่าเธอจะบอกมาว่าเธอชอบผู้ชายแบบไหนแน่...”

                    “นั่นสิๆ...ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน” โบว์ช่วยเสริมอีกแรง

                    “กะ...ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษสักหน่อย”

                    “ไม่ว่าหนุ่มๆสไตล์ไหนเธอก็ปฏิเสธมาหมดแล้วเนี่ยนะ...” เธอรัดฉันแรงขึ้น เจ็บไปหมดแล้วน้า

                    “โอ๊ย ยอมแล้ว บอกก็บอก...” ฉันยอมแพ้...คอของฉันก็เจ็บแปลบไปหมดจนฉันเริ่มไอแค่กๆ นี่เล่นเอาจริงเลยเหรอยะ ฝากไว้ก่อนเถอะ!!

     “เธอรู้จักคำว่า Chivalry ไหม”

                    “คุณสมบัติของอัศวิน?” เธอตอบ

                    “ใช่แล้ว กล้าหาญ รักเกียรติ โอบอ้อมอารี ให้เกียรติสตรี...” ฉันพูดต่อ

                    “เท่านั้นยังไม่พอนะ เขาต้องมาดแบบเดียวกับอัศวินขี่ม้าขาวด้วย อารมณ์แบบว่ายินดีมอบกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องเธออะไรราวๆนี้แหละ” พูดจบฉันก็เคลิ้มอย่างเป็นสุข

                    ยากฟ่ะ...เหล่าหนุ่มๆในห้องทุกคนต่างคิดแบบเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

                    “มันจะไปมีได้ไงยะ ยัยบ๊อง นี่ไม่ใช่ยุคกลางนะยะ!!” โอ๊ย เธอรัดคอแรงขึ้นทุกทีแล้วนะ จะไม่ไหวแล้ว

                    “ก็เธอบอกให้พูดเองนี่นา...ก็ฉันชอบของฉันแบบนี้นี่” จริงๆแล้วก็พูดไปงั้นแหละ สำหรับฉันจริงๆแล้วตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าจริงๆแล้วฉันชอบคนแบบไหน เรียกว่าถ้าเป็นคนที่ใช่ก็คือใช่ล่ะมั้ง แต่ถ้าได้อย่างที่บอกมันก็ไม่เลวหรอก

                    “ชาตินี้ก็ไม่มีวันหาเจอหรอก ฟันธง!!

                    “หนอย...มาดูถูกกันได้นะ...โบว์ ขอมือ!!

                    “ค่า...” พูดจบโบว์ก็ยื่นมือมาจับฉัน ทันใดนั้นเอง ร่างของฉันก็สลายหายไปเหลือเพียงแต่น้ำไหลนองอยู่ที่พื้น ก่อนจะน้ำนั้นทั้งหมดจะรวมกันเป็นก้อน และกลับมาเป็นฉันอีกครั้งหนึ่ง

                    “เล่นใช้พลังเลยเหรอยะ!! ก็ได้...” พูดจบเธอก็ตั้งท่าจะเรียกอะไรบางอย่างออกมา

                    “เอ้า!!...เด็กๆได้เวลาเข้าเรียนกันแล้วนะ” อาจารย์สาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมปรบมือแผ่วเบา ทำให้เหล่านักเรียนทั้งหลายรวมทั้งพวกฉันที่กำลังพูดคุยและเล่นกันอย่างสนุกสนานเมื่อครู่ต่างก็เงียบลงและเข้านั่งประจำที่ตัวเองอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งอาจารย์คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคืออาจารย์กิ่งกนก อาจารย์ประจำชั้นห้องม.5/3 ของพวกเราเองค่ะ      

                    “โอ๊ย เหนื่อย!!”พูดจบฉันก็ฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้ง

                    “อยากใช้พลังทำไมล่ะยะ” อลิซย้อน

                    “ยัยตัวแสบ...ฝากไว้ก่อนเถอะ”

                    “มาเลยค่ะ เมื่อไหร่ก็ได้” พูดจบเธอก็ยิ้ม แล้วเราสามคนก็หัวเราะพร้อมกันเบาๆ

                    คุณครูกระแอมหนึ่งทีเพื่อทำให้พวกเราเงียบเสียงลง

                    “เอาล่ะนักเรียน วันนี้...เราจะมีนักเรียนใหม่มาเรียนกับพวกเราด้วย” พูดจบเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักเรียนก็ดังขึ้นมาอีก

                    “ม.ห้าเนี่ยนะ...” “ผู้ชายผู้หญิงน้า” ”จะเป็นชายหรือหญิงขอให้น่ารักพอแล้ว”

                    “เอ้าๆ เงียบหน่อยสิจ๊ะ” อาจารย์กิ่งกนกพูดปราม

                    “เข้ามาได้เลยจ้า” สิ้นเสียงก็มีเสียงตอบรับเบาๆจากข้างหลังบานประตู ก่อนที่จะมันจะถูกเปิดออกพร้อมกับคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามา

                    จะเป็นใครก็ช่างเถอะ เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ขอนอนดีกว่า

                    จะว่าไปผู้ชายที่เราเจอเมื่อเช้าเป็นใครกันนะ แล้วเราสองคนจะได้เจอกันหรือเปล่า...

                    เหล่าสาวๆในห้องเมื่อได้เห็นเขาต่างก็วิ้ดว้ายกันใหญ่ สงสัยว่าท่าทางจะเป็นหนุ่มหล่อนะ

                    “แนะนำตัวกับทุกคนๆหน่อยสิจ๊ะ” เมื่ออาจารย์พูดจบ เขาก็เริ่มพูด

                    “สวัสดีครับ...ผมชื่อรดิศ จะเรียกผมว่า ดิส ก็ได้ครับ” เขาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับท่องบท

                    “มีเหตุที่ทำให้ต้องย้ายโรงเรียนกะทันหันเพราะเหตุผลทางบ้านน่ะครับ จากนี้ไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกคนด้วยนะครับ”

                    เมื่อเขาพูดจบ เสียงปรบมือของนักเรียนในชั้นก็ดังขึ้น ดูท่าจะเป็นนักเรียนเข้าใหม่ธรรมดาๆคนหนึ่งที่ค่อนข้างขี้อายล่ะมั้ง แต่ไม่นานก็คงมีเพื่อนใหม่ได้แล้วล่ะ

                    “งั้นเธอไปนั่งตรงที่...อ้าว” จู่ๆบรรยากาศก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้สาเหตุ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย และได้ประจันหน้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง...

                    แล้วฉันก็สะดุ้งจนตัวลอยเมื่อพบว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าก็คือ...ชายที่ช่วยฉันเอาไว้เมื่อตอนเช้านั่นเอง

                    ไม่จริงน่า...กะ...ก็ เมื่อครู่ฉันยังคิดถึงเขาอยู่เลย ไม่สิๆ ไม่ได้คิดถึงอะไรนะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ!!

                    “ในที่สุดก็เจอกันอีกครั้งนะครับ” เขาพูดพลางคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะจับมือของฉันไว้ข้างหนึ่งด้วยท่าทีนอบน้อมท่าทีของเขาราวกับอัศวินที่กำลังจะถวายตัวรับใช้องค์หญิงเลย ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งอึ้งด้วยความตกใจ

                    และยิ่งตื่นตะลึงยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำพูดต่อไปของเขา

                    “คุณครับ ได้โปรดให้ผมเป็นอัศวินเคียงข้างคุณ คอยดูแลและปกป้องคุณด้วยเถอะ!!

                    อ..อะ.อะ..เอ๋!!!!!!!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×