ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บูรฉัตรเขียน

    ลำดับตอนที่ #6 : สิบวันกับพ่อ

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 55


    บันทึกเล็ก ๆ ระหว่างพ่อกับลูกชาย ที่เคยไม่เข้าใจกัน ไม่พูดกันเท่าไหร่ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

    วันที่หนึ่ง ผมกลับมาจากที่ทำงาน การเดินทางจากบ้านไปที่ทำงานของผม มันต้องใช้เวลานานมาก แน่นอนการเลิกงานในแต่วัน ผมจะกลับมาด้วยความเหนื่อยอ่อนล้าจน แม่ของผมซึ่งนั่งรออยู่ ผมนึกสงสัยเพราะปกติเวลานี้แม่จะเข้านอนแล้ว

                    “ใหม่ แวะออกจากที่ทำงานได้หรือเปล่า” ผมเลยถามต่อไปว่า

    “จะให้ไปทำอะไรครับแม่”

    “พ่อเข้าโรงพยาบาล” เท่านั้นล่ะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ผมเลยตอบไปว่า

    “ลาครึ่งวันได้ พ่อเป็นอะไรครับ”

    “เบาหวานเขานั้นล่ะ”  เบาหวาน โรคนี้มันอยู่กับพ่อผมหลายปีเหมือนกัน แต่พ่อผมไม่เคยรักษามันอย่างจริงจัง ไม่ยอมพบหมอเท่าไหร่ มีแต่ซื้อยากิน และครั้งล่าสุดก็คือ พ่อกินยาสมุนไพรตัวหนึ่ง มันใช้เหล้าขาวดอง ผมยังจำวันนั้นได้ พ่อผมนอนหมดแรง อาเจียรเป็นเลือด จนแม่ต้องบอกว่า

    “เลิกกินแล้วไอ้สมุนไพรไม่มี อย.เนี่ยเดี๋ยวก็ได้ตายหรอก”  พ่อถึงเลิกกิน

                    “แล้วไม่มีใครเฝ้าเลยเหรอครับ”

                    “พ่อนอนห้องรวมอาการหนัก เฝ้าไม่ได้” คืนนั้นผมเป็นกังวลมาก นอนเกือบไม่หลับ

    วันที่สอง จนตอนเช้าไปทำงาน ผมได้ไปออฟฟิศ และได้บอกเจ้านายว่าต้องลางานไปช่วงบ่าย ซึ่งเจ้านายก็บอกว่า

    “ไปเถอะลูกค้าหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พ่อน่ะมีแค่คนเดียวไปดูแลซะ แล้วอาการเป็นไงบ้างล่ะ”

    “ยังไม่ทราบครับ ผมยังไม่เจอท่านเลย” ผมไปโรงพยาบาลในตอนบ่าย พ่อของผมนอนอยู่ในตึกรวมบรรยากาศมันชวนให้หดหู่เล็กนอน เพราะมีคนป่วยนอนอยู่เต็มไปหมดแต่ละคนก็อาการหลากหลาย ผมเจอพ่อของผมนอนอยู่ และเครื่องช่วยหายใจ เท่านั้นล่ะครับใจผมไปอยู่ที่ตาตุ่ม มันทำอะไรไม่ถูก พอพ่อลืมตาขึ้นมา

    “พ่อเป็นไงบ้างครับ”

    “ไม่เป็นอะไรมาก ก็ดีขึ้นแล้ว แต่หมอให้งดน้ำ งดอาหารไปก่อน” ผมโล่งใจมาก หลังจากนั้นเราก็คุยกันหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานของผม งานเขียนของผม พ่อบอกว่า

    “ถ้าตั้งใจกับมันในทุกเรื่อง ใหม่ทำได้แน่” และก็เรื่องของคนรักของผม ซึ่งพ่อบอกว่า

    “ถ้าใหม่ดูแลตัวเองได้เมื่อไหร่ พ่อว่าแม่เขาจะยอมรับเรื่องใหม่มีแฟนนะ ถ้าใหม่แต่งงาน พ่อเชื่อว่าทั้งพ่อและแม่จะรักลูกของใหม่” ผมกับพ่อแทบไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ และเหมือนกับพ่อจะไม่เข้าใจผมเท่าไหร่ และผมเองก็ไม่เข้าใจพ่อ แต่วันนั้นผมถึงเข้าใจพ่อเข้าใจผมที่สุด ผมเองต่างหากที่ไม่เข้าใจพ่อ

    วันที่สาม วันนี้เป็นหยุดของผม ผมจึงไปเฝ้าพ่อในช่วงเช้าได้ได้ วันนี้พ่อดูแข็งแรงขึ้นแล้ว ผมได้ทำสิ่งหนึ่งที่ทีแรกผมนึกว่าตัวเองจะทำไมไม่ได้ นั้นคือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับพ่อ แต่ผมก็ทำมันเชื่อมั้ยล่ะครับ ผมคิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้ทำมัน และที่ประหลาดที่สุดก็คือ ผมไม่ได้กลิ่นเหม็นเลย

    วันที่สี่ วันนี้เป็นวันหยุดของผมอีกวันหนึ่ง ผมเลยไปเฝ้าพ่อในตอนเช้า วันนี้พ่อบ่นว่าอยาก ล้างหน้าแปลงฟัน ผมเลยไปถามนางพยาบาลและคำตอบที่ก็คือ

    “ทำได้ค่ะ แค่ตอนนี้งดอาหารเท่านั้นเอง”  พ่อของผมเลยได้ล้างหน้าแปรงฟัน นั่นล่ะครับ พ่อของสดชื่นขึ้นมาบ้าง

    วันที่สี่ ผมลางานครึ่งวัน เหมือนเคย พ่อของผมวันนี้แข็งแรงขึ้นและนั่งตัวตรงได้แล้ว การเห็นพ่อนั่งได้สำหรับผมแล้วเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ

    วันที่ห้า พ่อของผมกินอาหารได้ หลังจากที่ต้องให้น้ำเกลือมาสี่วัน วันนี้แข็งแรง ขึ้นและได้พูดว่าเขาว่าจะทำบุญที่บ้าน ปีนี้เป็นปีชงของพ่อ

    วันที่หก วันนี้แม่โทรบอกผมไม่ต้องลางาน พ่อกลับบ้านแล้ว ผมนึกดีใจ พ่อผมหายแล้ว ในตอนเย็นผมกลับบ้าน กลับผมว่า พ่อผมนอนหมดเรี่ยวหมดแรง และดูอ่อนเพลีย มันเกิดอะไรขึ้น ผมเริ่มกังวล

    วันที่เจ็ด ผมออกมาจากบ้านในตอนเช้า พ่อของผมยังนอนอยู่ ระหว่างที่ทำงานอยู่นั้นผมเกิดความกังวลว่าพ่อจะเป็นยังไงบ้าง เลยโทรหาแม่

    “ตอนนี้มาโรงพยาบาลอีกรอบแล้ว” ผมอึ้งไป เจ้านายผมมาเจอและเห็นท่าทางของผม เขาถามว่า

    “เกิดอะไรขึ้น”

    “พ่อผมเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว นี่เพิ่งหามเข้าไป”

    “รีบไปดูพ่อเถอะ ตอนนี้ใหม่ทำงานไม่ได้หรอก” ผมรีบไปที่โรงพยาบาล พอไปถึงผมเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงคนป่วย สภาพของพ่อดูแย่มากหายใจติดขัด และคว้ามือผมเอาไว้ ท่านพยายามจะพูดอะไรบางอย่างทว่า ตอนนี้ มันกลายเป็นเสียงครางเฮือก ๆ เท่านั้นเอง

    “พ่อใจเย็นนะ พ่อใจเย็น” ปากผมพูดแบบนั้น  แต่ผมสั่นไปหมด น้ำตามันเอ่ออกมาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลย หลังจากนั้นพ่อผมก็ไม่พูดอีก ท่านต้องใช้หน้ากาออกซิเจน

    วันที่แปด ผมลางานครึ่งวัน วันนี้พ่อของผมต้องย้ายไปอีกชั้น ชั้นเป็นชั้นของคนอาการหนัก คนไข้ในแทบจะไม่มีใครได้สติเลย ผมแทบจะอยู่ข้างเตียงดูพ่อไม่ได้ น้ำตามันไหลเกือบตลอด จนแม่ต้องบอกว่า

    “อย่าไปร้องไห้ข้างเตียงพ่อนะแม่ใจไม่ดี”

    วันที่เก้า ผมได้ให้แฟนของผมคุยกับทางโทรศัพท์ เธอบอกให้พ่อหายไว ๆ จะได้มาเจอกัน พ่อกำมือของผมไว้แน่นในตอนนั้น พ่อคงได้ยิน

    วันที่สิบ อาของผมมาเยี่ยมพ่อ เขามากอดผม ตอนนั้นผมได้แต่กลั้นน้ำตาลเอาไว้ มันทรมาณอย่างบอกไม่ถูกแต่เราก็ไม่อยากอ่อนแอ แม่บอกผมว่า

    “พรุ่งนี้ใหม่ไม่ต้องมา ไปซักเสื้อผ้าของพ่อเตรียมเอาไว้ก่อน ถ้าพ่ออกจากโรงพยาบาล จะได้มีใส่นะ”

    วันที่สิบเอ็ด ผมได้ซักเสื้อผ้าให้กับพ่อ ซึ่งผมเองก็คิดว่า ถ้าพ่อหายแล้วได้กลับมาใส่ก็คงจะดีแต่แล้ว น้าของผมได้บอกข่าวร้ายกับผม

    “พ่อเธอไปแล้วนะ” ความรู้สึกของผม ตอนนั้นคงอธิบายไม่ได้ ต้องแข็งโทรหาน้องชายเพื่อแจงข่าวร้าย น้องชายผมได้แต่บอกว่า

    “เราต้องเข้มแข็ง”

    แต่หัวใจผมไม่ใช่หินไม่ใช่ปูน น้ำตาผมไหลออกมา สิบวัน สุดท้ายของผมกับพ่อ มันอาจเหมือนกับสายไป จริง ๆ มันไม่สายแต่มันช้าไปนิด ถ้าเราหันหน้ามาคุยกันเราจะเข้าใจกับทุกอย่างผมเพิ่งรู้ว่า ผมรักพ่อมากแค่ไหน พ่อรักผมแค่ไหนก็คือวันสิบวันนั้น หลายคนที่มีพ่ออยู่กับตัวอาจเบื่ออาจบอกว่าไม่เข้าใจกันแต่ อยากจะบอกว่า ให้เข้าใจกันเร็ว ๆ เถอะ อย่าให้มันช้าไป

    ผมไม่รู้ว่าพ่อจะได้ยินมั้ย ไม่รู้ว่าพ่ออยู่ไหน แต่คงจะบอกได้ว่า ผมดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อครับ และอยากฝากบอกทุกคนที่ป่วยเป็นเบาหวานว่า ให้ไปรักษาต่อเนื่องเถอะครับ มันอาจไม่หาย แต่มันจะอยู่กับคุณอย่างสันติได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×