คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แรกพบ
ณ ที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของทางประเทศไทย และขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง ประเภททะเล ที่มีอยู่มากมายใน ณ ที่จังหวัดนี้ แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้ไม่ได้ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับทะเล หรือบ้านของใครอยู่ติดทะเลอะไรหรอกนะ แหะ ๆ แต่เรื่องราวที่แสนจะน่ารัก กุ๊กกิ๊ก น่าหยิกน่าทุบ กำลังจะเริ่มต้นต่อจากนี้ต่างหาก ซึ่งอยู่ในอำเภอ ๆ หนึ่ง ที่อยู่ในจังหวัดชลบุรีนั้นเอง
ในเวลาเย็น ที่แสงแดดเริ่มที่จะอ่อนตัวลงบ้างเล็กน้อย เพราะเป็นเวลาราว ๆ ห้าโมงเย็นเห็นจะได้ ( ถึงแม้ความจริงตอน 5 โมงเย็นนี่โคตรร้อนเลยก็เหอะ ) แต่ด้วยความที่ว่า เดือนนี้เป็นเดือนพฤศจิกายน ที่ลมหนาวเริ่มพัดผ่านเข้ามาเยี่ยมเยียนประเทศไทย ให้คนไทยได้เริ่มรู้สึกกายว่าหนาวตามฤดูกาลกันได้บ้างแล้ว หลังจากที่เพิ่งจะผ่านพ้นหน้าฝนไปได้ไม่นาน
บิว เด็กหนุ่มมัธยมปลายปีที่ 6 คนหนึ่ง สูงราว ๆ 175ได้ เรียกได้ว่าไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป ( ขนาดร่างกายหรอกน่า !! คิดมากกันไปเอง -“- ) ใส่เครื่องแบบชุดนักเรียน ม.ปลาย ที่เด็กผู้ชาย ม.ปลายเขาจะใส่กันและรู้สึกว่าดูดี ผมเริ่มที่จะยาวกว่าเด็กมัธยมปลายคนอื่นได้แล้ว เพราะไม่ได้เรียนร.ด. แต่ไม่ยาวจนเกินหน้าเกินตาเด็กวัย 17 ในวัยเดียวกันนัก ผิวขาวเหลือง ใส่ถุงเท้าลูกฟูกแบบผิดระเบียบ ( ไม่ได้ส่งเสริมน้า แต่ขอดูดีนิดนึง อะนะ ) ใส่รองเท้ายี่ห้อนันยาง ที่จะต้องขาดเป็นรูพอดีสำหรับระบายอากาศได้ ทางฝั่งนิ้วก้อยเท้าทั้ง 2 ข้าง ( จนทุกวันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าทำไมรองเท้าผ้าใบเด็กผู้ชายต้องขาดตรงนั้นกันนัก หรือเป็นแฟชั่น ? ) บ่งบอกได้ว่าผ่านศึกลูกพลาสติกที่สนามโรงเรียนมาอย่างโชกโชน เดินสะพายกระเป๋าผ้าสีดำทีถูกปล่อยสายสะพายให้หย่อนนิด ๆ พอเป็นกษัย เสียบหูฟังสีขาว สายสีขาวไว้ที่หูทั้งสอง และเดินผิวปากกลับบ้านอย่างรีบเริ่งตามเพลง ใจเย็น ของวงแพนเค้ก ที่มาจากไอพ็อทสีขาวที่ระยางสายหูฟังมาจากในกางเกงนักเรียน ซึ่งรู้สึกว่าเจ้าของไอพอทตัวน้อยนี้จะชื่นชอบเพลงนี้เป็นพิเศษ
บิวเดินฉึบ ๆ อย่างเร็วเพื่อรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด เพราะวางแผนไว้อย่างเหมาะเหม็งในสมองว่า เมื่อถึงบ้านเมื่อไร พ่อจะรีบเกะพลาสติกจากหนังสือการ์ตูนวันพีซเล่มใหม่ ( ชอบอ่านเหมือนคนเขียนเลยแหะ @_@) ที่เพิ่งซื้อมาจากหน้าโรงเรียนอย่างทะนุถนอน และจะนอนอ่านลงบนเตียงนอนสุดแสนที่จะรัก ( แนะ ไอ้นี่ รักที่นอนเหมือนคนเขียนอีก -*-! ) ผึ่งพัดลมนอนกินน้ำส้มคั้น ที่แช่เอาไว้ในตู้เย็น ตั้งแต่เมื่อคืนวานให้สบายบุรีกันเลยเชียว เพราะเมื่อตอนเลิกเรียนกว่าจะหลุดจากไอ้พวก 4 กุมารหารกล้า ไอ้ท็อป ไอ้แบงค์ ไอ้ต็อม ไอ้น็อท จากการเข้ามาขู่เข็นขืนใจ ( > - < อะไรของมัน ) ทั้งที่ไม่เต็มใจให้ไปเล่นฟุตบอลกับห้องอื่นด้วยกันตามที่เคยเล่นกันอยู่ทุกวันหลังเลิกเรียนมาได้ ก็แทบจะได้รางวัลตุ๊กตาทองสาขาสตอร์เบอรี่ตบตายอดเยี่ยม แกล้งเนียนทำเป็นปวดหัว 108 สารพัดโรคกันเลยเชียว เพื่อกลับมานอนอ่าน วันพีซและร่วมเดินทางไปกับลูฟี่ นี่สินะ ความสุขของลูกผู้ชาย = w = ( ......)
ในขณะที่บิวกำลังเดินยิ้มกรุ้มกริ่มจ้ำอ้าว ทำหน้าหื่นเผยอริมฝีปากยิ้มแสยะกับตัวเองโดยไม่รู้สึกตัวในตัวเองอยู่ได้ไม่นาน ( คงสร้างความประหลาดใจและตกเป็นเป้าการนินทาให้ผู้คนที่เดินผ่านไอ้บิวได้ไม่น้อย ) บิวก็เดินมาจนถึง 4 แยกเล็ก ๆ ในซอยบ้านเข้า โดยบ้านบิวจะตั้งอยู่ทางด้านขวาของหัวมุมถนนทางด้านขวานั้น แต่ก่อนที่บิวจะเดินเข้าบ้าน เขาก็ถอดหูฟังด้านซ้ายออกด้านหนึ่ง เพื่อให้ได้ยินเสียงรอบข้างได้ชัดเจนขึ้น และเดินไปที่หัวมุมถนนตรงสี่แยกเล็ก ๆ นั้น ที่บ้านด้านซ้ายก่อน เป็นบ้าน 1 คูหา 2 ชั้น ทาสีฟ้า ซึ่งชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายข้าวมันไก่อยู่ ซึ้งเหมือนกันกับบ้านของบิว แต่ว่าที่ชั้นหนึ่งบ้านของบิวเปิดเป็นร้านขายของชำ
บิวเดินตรงไปที่หน้าร้านขายข้าวมันไก่ ข้างในร้านมีคนนั่งกินข้าวมันไก่อยู่ 2 โต๊ะได้ จากจำนวนทั้งหมด 5 โต๊ะ พอเห็นได้ว่ามีคนกินอยู่ มีผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของบิว ใส่เสื้อโปร่ง ๆ สีบานเย็น ออกมาเช็ดโต๊ะที่ไม่มีลูกค้านั่ง และที่หน้าร้าน ที่ตั้งของตู้กระจกที่สามารถเห็นได้อย่างเด่นชัดเจนสำหรับผู้ที่เดินไปเดินมาแถวนั้นและเต็มไปด้วยบรรดาไก่ตัวซีด ๆ ที่ไร้วิญญาณที่รอการสับและชำแหระไปวางทับบนหน้าข้าว แหวนเอาไว้อยู่ มีอาแปะคนหนึ่ง รุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อของบิว หัวเกือบโล้น พอมีผมอยู่ประปรายพอเป็นพิธีว่าไม่ล้าน โพกหัวด้วยผ้าสีขาวอยู่ ใส่เสื้อกล้ามสีขาว ยืนสับไก่ต้มทะลุกระดูกไก่อยู่อย่างเอาจริงเอาจังและเอาไปแปะไว้ที่ข้าวมันสีแวว ๆ ที่พอมีน้ำมันอยู่
“ลุงก้วย หวัดดีค้าบ ป้านิ่มหวัดดีค้าบ” บิวยกมือไหว้คนที่สับไก่และ คนที่กำลังเช็ดโต๊ะ ด้วยเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำกึ่ง ๆ ตะโกนด้วยท่าทีที่นอบน้อม ต่อผู้ใหญ่
“อาหวักลี ๆ อาบิว”ตาแปะคนนั้นสับไก่ต่อ ตาแทบจะไม่ได้มองมาที่บิวที่ยืนไหว้อยู่หน้าร้านเลย เพราะเกรงว่ามีดอีโต้เล่มใหญ่จะสับเข้าที่มือแทนที่จะเป็นไก่ที่อยู่บนเขียง
“สวัสดีจ้าบิว กลับมาแล้วเหรอ”ป้าคนนั้น ชะเง้อหน้ายิ้มให้บิวอย่างเป็นมิตร ในขณะที่มือกำลังเช็ดโต๊ะอยู่
เมื่อบิวทักทายญาติผู้ใหญ่ที่รู้จัก แบบที่เขาทำอย่างเฉกเช่นทุกวัน จนเป็นกิจวัตรก่อนกลับบ้านเสร็จ เขาก็เดินข้ามตรอกเล็ก ๆ ที่กว้างเพียง 3 เมตรเห็นจะได้ ก็ถึงบ้านของบิว ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน โดยเปิดเป็นร้านขายของชำ มีของสำหรับขายอยู่เต็มไปหมดชั้นล่าง แต่พอมีทางเดินเข้าบ้านบ้าง ที่หน้าร้านมีชายวัยกลางคนกำลังเก็บเงินลูกค้าที่เข้ามาซื้อยากันยุงอยู่ และมีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งกินก๋วยเตียวบะหมี่แห้งพร้อมกับดูทีวีรายการเพลงลูกทุ่งสุดโปรดอยู่ข้างในบ้าน แบบตาไม่กระพริบ
“พ่อหวัดดี แม่หวัดดี” บิวเดินถอดรองเท้าผ้าใบของเขาอย่างไวเชี่ยวชาญและชำนาญกันเลยทีเดียว (-“-! ก็เขาใส่ ๆ ทอด ๆ ทุกวันนิ ) เดินเข้าร้านขายของชำซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่สุดท้าย ก็คือวิมานหรือบ้านของเขานั่นเอง
“เอ้อ !” ตาคนนั้นตอบกลับอย่างชัดเจนทำทีรับรู้การกลับมาจากโรงเรียนของลูกชาย พลางก้มสอดของขายเข้าเอาไว้ในตู้กระจกที่อยู่ต่ำลงมาเพื่อเตรียมขายคนอื่นต่อไป
“อืม กินเตี๋ยวไหมลูก ?” หญิงกลางคน ๆ นั้นตอบกลับอย่างเป็นห่วงเป็นใยกับลูกชาย พลางดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากอย่างอร่อยปาก และอร่อยตากับนักร้องลูกทุ่งในทีวีขณะที่บิวเดินไปเปิดตู้เย็นที่อยู่ด้านหลังเธอ เพื่อหยิบขวดน้ำส้มคั้นที่บรรจุอยู่เต็มขวดพลาสติกสี่เหลี่ยมขวดเล็ก ที่เย็นจัดพร้อมดับกระหายและอัดแน่นไปด้วยความอร่อยและคุณภาพ
“ยังอะแม่ ยังไม่หิว ไว้ก่อน ค่อยลงมากินข้าวทีเดียว”บิวรีบตอบพร้อมกับ รีบวิ่งขึ้นชั้นสองไปที่ห้องนอนสุดที่รักของเขาทันที
เมื่อเขาเปิดประตูเข้า ก็สะบัดประเป๋าสะพายใบเก่งสีดำ ที่ใช้ใส่หนังสือและสมุดเรียนที่ต้องเรียนในแต่ละวันอย่างรวดเร็วไว้ที่มุมห้อง และรีบปรี่เข้าไปเสียบปลักพัดลม ซึ่งกำลังหันหน้าเข้าหาเตียงนอนของบิว ที่มีหมอนลายดวงอาทิตย์สีแดงลายการ์ตูนวางไว้อยู่ที่หัวนอน และผ้าห่มสีเขียวที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยบนผ้าปูที่นอนสีเหลืองอ่อน มีหมอนข้างสีน้ำเงินอ่อนวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ( แหม !! ที่นอนไอ้นี้ สีสันซะ ) รอการมานอนของเจ้าของของมัน เมื่อบิวเปิดพัดลมเสร็จ ก็เดินไปที่ปลายเตียงเพื่อไปเปิดหน้าต่างที่อยู่เหนือโต๊ะเขียนหนังสือของบิว เพื่อรับลมสักเล็กน้อยเพื่อเพิ่มอรรถรสแห่งความสุข ในการอ่านการ์ตูนของเขา
เมื่อบิวได้เปิดหน้าต่างไม้ที่ติดกับตัวอาคารปูนออกไป ก็เห็นบ้านของลุงก้วย ที่เป็นร้านข้าวมันไก่อยู่ข้าง ๆ บ้านของเขาอย่างชัดเจน โดยอยู่ห่างออกไป แค่ 3 เมตรเท่านั้น เรียกได้ว่า แค่คุยกันธรรมดา อีกบ้านก็ได้ยินกันทีเดียว เมื่อบิวมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เห็นเมื่อได้กวาดสายตาออกไปขณะที่เปิดหน้าต่างคือ ที่บ้านชั้นสองของลุงก้วย มีหน้าต่างไม้บานหนึ่งกำลังปิดอยู่ ตั้งอยู่ตรงข้ามกันกับหน้าต่างของบิวพอดี แต่บิวเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษกับหน้าต่างบานนั้น อาจเพราะความเคยชินทีได้เห็นทุกวันก็ได้ ประกอบกับวันนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า
เมื่อบิวเปิดหน้าต่างเสร็จ ก็ไม่รอช้าปลดกระดุมเสื้อออกเพิ่มอีก 2 เม็ดเพื่อให้หายใจหายคอได้สะดวกขึ้นและให้สายลมจากพัดลมสีส้ม ( ยังสีสันได้อีก ) สามารถพัดเอาลมเย็น ๆ ถ่ายเทเข้ามาภายในร่มผ้า ได้อย่างดียิ่งขึ้น และรีบปี่เข้าไปเปิดกระเป๋าที่ถูกวางทิ้งไว้ที่มุมห้องอย่างไม่มีเยื่อใยเมื่อตอนที่เดินเข้าห้องมา บิวล้วงเข้าไปหยิบเอาหนังสือการ์ตูนวันพีซออกมาอย่างทะนุถนอน ด้วยหัวใจที่พองโต เป็นภาพหน้าปกที่ขึ้นด้วย ลูฟี่ โจรสลัดวัยหนุ่มกำลังเกร็งกำลังแขน อย่างมาดมั่นไม่กลัวกับศัตรูที่จะต้องเจอด้วยเลย
บิวค่อย ๆ เผยอรอยยิ้มออกมาอย่างลืมตัวขณะกำลังถอดพลาสติกที่ห่อหุ้มแนบเนื้อหนังสือการ์ตูนอยู่อย่างไม่มีเยื่อใย ฮา ๆ ลูฟี่จ๋า ลูฟี่ ฉันเฝ้ารอคอยการผจญภัยของนายอยู่นาน ต้องไปดูที่แผงขายหนังสือหน้าโรงเรียนทุกวัน จนคนขายจำหน้าได้ ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง ได้ข่าวว่านายกำลังจะเจอกับเจ็ดเทพโจรสลัด เก็กโค โมเลีย นิ สู้มันนะ วันนี้แหละที่หัวใจฉันละนาย เราสองคนจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ( +_+ สงสัยหมอนี่คลั่งวันพีซสุด ๆ )
และบิวก็ไปนอนอ่าน วันพีซ อยู่ที่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์พลางจิบน้ำส้ม ของโปรดไปด้วย ทำให้ลืมเรื่องเรียน หนัก ๆ ที่ผ่านมาทั้งวันได้อย่างดี
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ในเส้นทางท้องถนนที่บิวใช้เดินจากโรงเรียนมาที่บ้านเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ได้มีผู้มาเดินทับเส้นทาง ทางเดียวกันกับที่บิวเดินมา โดยมาจากโรงเรียนและกำลังมุ่งหน้าเดินกลับบ้านเหมือนกัน
เป็นเด็กผู้หญิง มัธยมปลายปีที่ 6 เหมือนกัน เป็นคนตัวเล็ก แต่ไม่ผอมมากจนเกินไป ผมสั้นประมาณคอ แต่มีแอบซอยผมบ้างตามประสาลูกผู้หญิงที่อยากน่ารักในสายตาผู้ชาย ( แหกกฏฝ่ายปกครองอีกคนและ T_T ) ผิวขาวมาก หน้าตาบ่งบอกได้ถึงต้นตระกูลได้ว่าบรรพบุรุษจะต้องหอบเสื่อผืนหมอนใบจากแผ่นดินใหญ่ มาตั้งรกรากที่ประเทศไทย เมื่อนานกาลมาแล้วแน่นอน ถึงหน้าเธอจะค่อนค้างหมวยแต่ก็มีตาสองชั้น ใส่ก้านพลาสติกสีดำไว้ที่รูของใบหูด้านซ้าย และยื่นออกมาหน่อยพอจะเห็นได้แก่สายตาของประชาชีทั่วไป ใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน ม.ปลาย เข็มขัดที่เหมือนจะเอาไว้เป็นแค่เครื่องประดับ ถูกหนีบด้วยกิ๊บเหล็กสีดำที่เอาไว้หนีบกระดาษ หนีบให้ติดกับกระโปรงสีกรมท่า ขึ้นมาที่เอว โดยความยาวของประโปรงที่เลยเข่าลงมาแค่นิ้วเดียวเห็นจะได้ เดินถือกระเป๋านักเรียนเป็นหนังสีดำยี่ห้อจาคอป ที่มือเดียวกันกับที่ถือประเป๋าถัดออกไปด้านนอกกระเป๋าเป็นถุงพลาสติก ข้างในใส่ซีดี ของบอดีแสลม อัลบัมใหม่ ที่เพิ่งถูกซื้อมา เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมานี้เหมือนกัน ใส่นาฬิกาขาวที่โตไปนิดที่ข้อมือซ้าย และถุงเท้าลูกฟูกคู่เล็กที่ถูกพับลงมาข้างละครึ่ง สีขาวตัดกับสีที่ดำแวววาวของรองเท้านักเรียน ซึ่งทำให้ดูน่ารักดีต่อผู้พบเห็น ( ในอุดมคติสุด ๆ >///< )
เธอเดินมาเรื่อย ๆ อย่างไม่สนใจอะไรรอบด้าน และเพ่งสมาธิไปที่บ้านของเธอ ด้วยความเร็วของฝีเท้าที่เกือบจะเท้ากับความเร็วของ ไอ้คนบ้าวันพีซที่เดินมาก่อนหน้านี้ เมื่อสักครู่ ( ตูอ่านการ์ตูนของตูอยู่ดี ๆ แท้ ๆ : บิว ) ตาเธอมองออกไปข้างหน้าก็จริง แต่...
เหอะ ๆ พี่ตูนคะ รู้ไหมคะ ว่าหนูรอการกลับมาของพี่ตูนมาเนิ่นนานขนาดไหน ก็เกือบ 2 ปีแล้วสินะคะ วันนี้แหละ หนูจาค่อย ๆ บรรจงฟังเพลงของพี่ตูนทีละเพลง ๆ ไปจนครบทุกเพลงละคะ หุหุหุ ( T_T พระเอกกะนางเอกเรื่องนี้เป็นอะไรกันหมดน่ออ ! )
จนกระทั้งเธอเดินมาจนถึง 4 แยกเล็ก ๆ ในซอยบ้านเธอ ที่ตรงหัวมุมสี่แยกนั้นที่บิวเดินมาเมื่อสักครู่ ทางฝั่งตรงข้ามของถนนนั้นเองทางด้านซ้ายมีร้านขายข้าวมันไก่อยู่ โดยอยู่ติดกับร้านขายของชำ ที่อยู่ข้าง ๆ แต่มีถนนเข้าตรอกเล็ก ๆ กั้นไว้อยู่ มีความยาวเพียงแค่ 3 เมตรได้ เธอจึงเดินข้ามถนนไป และเดินปรี่ไปที่ร้านขายของชำก่อน มีพ่อของบิวยืนอยู่หน้าร้านกำลังยืนคุยกับภรรยาของเขาซึ่งยังควบตำแหน่ง มารดาของบิว และยังมีตำแหน่งผู้ควบคุมดูแลการเงินและความเป็นไปสำมะโนครัวในบ้านอีกด้วย ( จะขยายให้ยาวเล่นเพื่ออะไร-*-! )
“ลุงเปรมสวัสดีค่ะ ป้าบัวสวัสดีค่ะ”เธอยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับกระเป๋าหนังของเธออย่างนอบน้อม พร้อมส่องสายตาใสแจ๋วของเด็กวัย 17 ปีไปที่ คุณลุงคุณป้าที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“สวัสดีจ้าหนูอิ๋ว”ตาเปรมพ่อของบิวรับใหว้อย่างยิ้มแย้ม
“จ้า สวัสดีจ่ะ หนูอิ๋ว”เช่นเดียวกับแม่ของบิว ที่ยิ้มให้เธอคนนี้ และยกมือขึ้นมารับไหว้แทบไม่ทัน
เมื่อเธอ หรือ อิ๋ว เสร็จสิ้นภารกิจในการทักทายญาติผู้ใหญ่ที่รู้จักเรียบร้อยแล้วก็ เดินกลับมายังร้านข้าวมันไก่ตามเดิม ซึ่งมีลุงก้วยกับป้านิ่มตามที่บิวได้เรียกในตอนต้นอยู่หน้าร้าน โดยกำลังออกมายืนดูคนเดินไปมาแถวนี้อยู่ อิ๋วจึงรีบเดินเข้าไป
“ป๊าหวัดดี ม้าหวัดดี” อิ๋วรีบไหว้พ่อก้วยแม่นิ่มอย่างรีบร้อน พลางรีบถอดรองเท้าอย่างรวดเร็ว
“อืม มีซาลาเปาอยู่ในตู้กับข้าวนะลูก แม่ซื้อไว้ เมื่อกี้มันมาขาย”แม่ของอิ๋วเรียกให้ลูกสาวกินซาลาเปาที่เพิ่งซื้อมาไว้ในตู้กับข้าวเมื่อสักครู่
“ได้ ๆ !! เดี๋ยวหนูลงมากินนะม้า ลิตาร์มานี่เร็ว ๆ ” อิ๋วถอดรองเท้าเสร็จพลางก้มลงไปเล่นกับแมวสีส้มหน้าบ้านที่เข้ามาหาอิ๋ว โดยอายุอานามของแมวตัวนี้ก็มากเต็มที
“อ่า ไม่เจี๊ยะ อั๊วะแย่งเจี๊ยะหมกน้า ของโปกอั๊วเลย”พ่อก้วยพูดล้อเล่นกับลูกสาวสุดที่รัก
“แหม เอาเหอะป๊า ถ้าใจคอจะไม่แบ่งให้ลูกสาวสุดน่ารัก สุดที่รักเลย อิอิ” อิ๋วยอตัวเองไปพลางเลิกเล่นกับแมวและ เดินไปล้างมือกับล้างหน้าที่อ่างล้างหน้า เพราะผจญกับสิ่งสกปรกมาทั้งวัน ก่อนจะรีบขึ้นไปชั้นสองพร้อมตะโกนลงมา “เดี๋ยวค่ำ ๆ หนูลงมาช่วยเก็บร้านนะ”
ที่ชั้นสอง อิ๋วเดินเปิดปะตูเข้าไปในห้องพร้อมกับวางกระเป๋าหนังสุดรักของเธอที่อยู่ด้วยกันกับเธอมานานถึง 3 ปี ในห้องของเธอถูกประดับไปด้วย โปสเตอร์ของวงดนตรีป็อบร็อคของเมืองไทยมากมาย เพราะอิ๋วเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบดนตรีแนวนี้เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าการตกแต่งห้องของเธอจะดูแรง ๆ คล้ายกับห้องของผู้ชายไปนิด แต่ที่เตียงนอนของอิ๋วก็ยังคงสามารถบ่งบอกได้ว่าเธอก็เป็นผู้หญิงธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะเป็นสีชมพูหมดตั้งแต่ผ้าปูที่นอนยันเสื้อของตุ๊กตามินนี้เม้าส์
อิ๋วถอดเข็มขัดพร้อมกับกิ๊บสีดำไปแขวนไว้ตรงที่แขวนที่อยู่ตรงฝาผนัง พร้อมกับดึงชายเสื้ออกมาเพื่อคลายความอึดอึด และเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือที่อยู่ติดกับหน้าต่างก่อนจะหยิบที่คาดผมพลาสติกสีดำมันแวว มาคาดผมเพื่อไม่ให้ผมข้างหน้าลงมาสร้างความรำคาญและรบกวนการฟังเพลงของวง บอดีแสลม วงป็อบร็อคในดวงใจของเธอ ที่เพิ่งซื้อมา ก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไป ที่ฝั่งตรงข้ามของหน้าต่างหน้าห้องเธอ อิ๋วเห็นหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามออกไปอย่างพอดิบพอดีกับห้องเธอและเปิดเอาไว้อยู่ ซึ่งเป็นห้องของบิวนั้นเอง อิ๋วชะเง้อนิดๆ หน่อย ๆ พอเป็นพิธีตามสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ว่าจะเจออะไรอยู่ทางหน้าต่างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไหม แต่อิ๋วก็ไม่ได้สนใจอะไรและที่สำคัญตอนนี้ไม่มีอะไรจะมาสำคัญไปกว่าการได้ฟังเพลงของวงดนตรีที่เธอโปรดปรานอีกแล้ว
อิ๋วเริ่มแกะพลาสติกออกจากปกซีดีออกที่บนเตียงขณะเธอกำลังนั่งขัดสมาธิ และเพ่งสมาธิอย่างตังใจซึ่งมันก็ถูกสัมผัสจากมือมนุษย์เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ไม่รอช้า อิ๋วรีบเอี้ยวตัวไปที่หัวนอนทันที ที่ตั้งของวิทยุสีเมทัลลิคที่ดูค่อนข้างคล้ายกับหุ่นยนต์อย่างบอกไม่ถูก ( ก็มันจริงอะ วิทยุสมัยนี้ ) แต่คุณภาพเสียงดีเยี่ยม กลองเป็นกลอง เบสเป็นเบส ได้ยินทุกเม็ด
เมื่อซีดีได้ถูกใส่เข้าไปในเครื่อง โดยครื่องจะเล่นแผ่นโดยอัตโนมีติและอิ๋วก็เพิ่มโวลลุ่ม เพิ้อให้ได้ยินอย่างชัดเจน และทิ้งตัวนอนอิ่มเอมไปกับความสุขของการที่ได้ฟังเพลงของศิลปินที่ตัวเองชอบ พลางร้องเพลงตามไปด้วย ถูกบ้างผิดบ้างอย่างพึงพอใจ
ทั้ง อิ๋ว และ บิว ถึงแม้จะเห็นได้ว่า บ้านของทั้งคู่นั้นจะอยู่ใกล้กันขนาดไหน เพียงแค่ถนน 3 เมตรกันเท่านั้น หรือแม้ว่า หน้าต่างบนห้องนอนของทั้งคู่จะอยู่ตรงกันจนมองเห็นกันได้ก็เถอะ เรียกได้ว่าถุยน้ำลายใส่กันก็ถึงเลยทีเดียว ( ซกมกและ ๆ ) แต่ทั้งคู่ก็แทบไม่ได้คุยกันเลย ไม่ได้เจอกันเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่บ้าน หรือที่โรงเรียน ทั้ง ๆ ที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่อยู่กันคนละห้อง ไปเรียนก็จะออกไปกันคนละเวลา โดยอิ๋วมักจะออกเช้ากว่า แล้วบิวก็ค่อยออกไปเรียนทีหลัง และเวลากลับบ้านก็เช่นกัน ก็กลับไม่พร้อมกัน โดยบิวมักจะอยู่เล่นฟุตบอลกับเพื่อนที่สนามโรงเรียนตอนเลิกเรียน ส่วนอิ๋วก็มักจะไปบ้านเพื่อนสาวที่แสนจะสนิทของเธอ ที่ชื่อว่าอั๋น ทำให้ดูเหมือนว่า บ้านจะอยู่ใกล้ ๆ กันแท้ ๆ และเรียนอยู่ที่เดียวกันแท้ ๆ เดินทางก็เส้นเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับเหมือนอยู่กันคนละที่คนละโรงเรียนกันเลยทีเดียว !! ( เป็นไปได้เนอะ แก : อิ๋ว/บิว) ( เออ เอานะ ๆ ^ - ^ เรื่องมันต่อจากนี้ต่างหาก !! )
ทุก ๆ อย่างเหมือนจะไม่มีอะไร ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้เข้า ( ได้เข้าเรื่องเสียที ^-^! )
เหมือนเดิมที่ หลังเลิกเรียน บิวจะกลับบ้านมาก่อน เมื่อไปใหว้พ่อแม่ของอิ๋วเสร็จก็รีบเดินเข้าบ้าน และหลังจากนั้นอิ๋วก็จะค่อยกลับบ้านมา ไปใหว้พ่อแม่ของบิวก่อน และค่อยเดินเข้าบ้าน เมื่อบิวเปิดหน้าต่างในห้องเสร็จเพื่อรับลม ก็ไปนั่งอยู่ข้างเตียงที่มีทีวีวางอยู่ข้าง ๆ เขาเปิดทีวี และตามมาด้วยเครื่องเพลย์สเตชั่นทู เล่นเกมส์ไฟนอลแฟนตาซีที่เซฟค้างเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน เช่นเดียวกับอิ๋ว ที่เมื่อกลับบ้านมาแล้วก็มาเปิดหน้าต่างเสร็จก็นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างพอดี และนั่งอ่านนิตยสารที่เพิ่งยืม ยายอั๋นเพื่อนรักของเธอมา โดยถูกยายอั๋นกำชับไว้อย่างหนักจนแทยจะจำทุกถ้อยคำที่ มันสั่งมาได้ว่า ห้ามยับห้ามเลอะเปรอะเปื้อนใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะในเล่มนี้ มีสกู๊ปพิเศษ พี่โดม ปกรณ์ ลัมภ์ ที่เธอชอบด้วย ( เนี่ยนะเข้าเรื่องของแก -_-* : อิ๋ว ) ( ใจเย็น ๆ จะต่อจากนี้แล้ว -*- )
ที่ชั้นหนึ่ง มีเสียงเอะอะโวยวาย ดังลั่นลอยขึ้นมา เข้าหูของทั้งคู่ เมื่อพินิจพิเคราะห็กันดูก็รู้กันได้ทันทีว่า อ่าวนี่มันเสียงของพ่อตูนี่หว่า +[]+ ไม่ต้องงงว่าเป็นเสียงพ่อของใคร เพราะเป็นเสียงของพ่อทั้ง 2 คนนั้นแหละ เสียงดังเอะอะโวยวาย จากขอบเขตประสบการณ์ของทั้งคู่ที่ได้ลองพินิจพิเคราะห์ความเข้มข้นของเสียงมาเป็นค่าเดซิเบลกันดู ก็รู้ได้ทันที ว่ากำลังทะเลาะกันอยู่แน่ ๆ ( นี่ ไงละโชว์พาววิทย์ด้วย >///< ) ก่อนที่อิ๋วจะรีบลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือที่ตั้งอยู่ตรงหน้าต่างพอดี มาชะเง้อออกมานอกหน้าต่าง และมองลงมาว่ามีอะไรกัน เช่นเดียวกับบิว ที่สตอปเกมส์เอาไว้ และรีบเดินมาที่หน้าต่าง เขาเห็นอิ๋ว เพื่อนข้างบ้านวัยเดียวกันกำลังชะเง้อใช้ความนิ่งของสายตามองลงมาที่จุดเกิดเหตุข้างล่างอยู่ เมื่อบิวเห็นอิ๋วมองลงมาข้างล่าง ทำให้สัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวทุกคน ชะเง้อมองตามลงไปที่ชั้นหนึ่งบ้าง แต่ถึงแท้อิ๋วจะไม่ออกมามองก่อน เขาก็จะชะเง้อมองลงไปข้างล่างอยู่ดี เมื่อบิวมองลงไปก็เห็นคู่กรณี หรือพ่อของเขากับพ่อของอิ๋ว กำลังยืนอยู่ปากทางเข้าตรอกเล็ก ๆ นั้น ที่ตรงนี้เอง ที่มีถังขยะเอาไว้สำหรับให้ทิ้งขยะของทั้ง 2 บ้านอยู่ แต่ถังขยะบ้านของอิ๋วมีขยะอยู่และมีน้ำเจิงนองออกมา แต่ถังขยะบ้านของบิวไม่มีขยะอยู่ เพราะคนเก็บขยะได้มาเก็บไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“ก็แกนั้นแหละ ไม่ยอมเอาออกมาทิ้งให้เร็วก่อนหน้านี้วันหนึ่ง” ตาเปรม พ่อของบิว ตวาดใส่ตาก้วยพ่อของอิ๋ว ด้วยอาการเสียงแข็งพร้อมหน้าตาที่ดุดันเอาจริงเอาจัง สร้างแรงดึงดูดสายตาให้แก่ผู้พบเห็นที่เดินผ่านมาแถวนั้นได้เป็นอย่างดี
“หน่อย ลื้ออย่ามาซี้ซั่วต่างนะ อ้ายเปรม อั๋วก็ทิ้งขยะของอั๋ว มานไปหนักอารายส่วงหนายของลื้ออะ” ตาก้วย พ่อของอิ๋วเถียงกลับด้วยหน้าที่ออกอารมณ์จนปากเบี้ยว และตาที่แทบจะปิดสนิท เหมือนกับมองโลกไม่เห็น ( ด่าพ่อฉันเหรอ เดียะ ๆ -_-* : อิ๋ว )
“ใช่ มันไม่หนักส่วนไหนของฉันหรอกเว้ย แต่มันเหม็นเว้ย เพราะไอ้ซากไก่เน่าๆ ของแก มันส่งกลิ่นเหม็นมาบ้านฉันนี่หว่า” ตาเปรมเถียงกลับด้วยเหตุผล ทำให้บิวเห็นด้วย และเริ่มเข้าข้างพ่อตัวเองนิด ๆ
“มางเหม็งก็เรื่องของแกสิ ก็อั๊วะชอก รวม ๆ กังว้ายและค่อยทิ้งไปพร้องกังทีเลียว อ่า”ตาก้วยเถียงกลับข้าง ๆ คู ๆ อิ๋วถึงกับ ตบหน้าผากตัวเองในความไร้สาระของคำพูดที่พ่อเธอพูดออกไป นี่เหรอ พ่อ ฉ้านนนน ( คงโมโหจัด จนพูดแก แทนคำว่าลื้อ 555+ )
“อะโด่เอ๊ย แกก็หัดนับวันบ้างสิว้ะ ว่าทางการเขาจะมาเก็บทุก ๆ วันจันทร์กับวันพฤหัสแค่เนี้ย แกไม่มีสมองไว้จำหรือไงว้ะ” ตาเปรมเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ และหลอกด่าตาก้วยกลับ
“ก็แล้ว ทามมายละ อั๊วะจะทิ้งวันหนาย มานก็เรื่องของอั๊วะ และทีลื้อละ ทิ้งคาหยะม่ายเป็งที่เป็งทาง จนล้นเละเรี่ยราดมาจนถึงบ้านอั๊วะละ” ตาก้วยเริ่มขึ้นบ้าง และอ้างสิทธิ์ที่ตนเองเคยโดนตาเปรม คู่อริเอารัดเอาเปรียบมาก่อน อิ๋วเริ่ม มีอารมณ์ร่วมไปกับพ่อตัวเอง เอาเลยพ่อ เอาเลย อย่าไปยอม
“ก็แล้วจะทำไงได้ละ ก็บ้านอั๊วะ เอ๊ย !! ขอโทษที ก็บ้านฉันขายของชำนี่หว่า ก็ต้องมีขยะเยอะกว่าบ้านแกนะสิ” พ่อเปรมสุดที่รักของบิว กำลังทำให้ลูกชายอายในวาจาที่ไม่รับผิดชอบของตัวเอง
“อ่าวลื้อพูกอย่างงี้ ก็มีเรื่องสี่ว้า อ้ายเปรม”อาแปะข้าวมันไก่เริ่มขึ้น
“อ่าว มีก็มีสิว้ะ ไอ้ก้วย” ตาเปรมถกแขนเสื้อรอ
ในขณะที่เหตุการณ์กำลังระอุอยู่นั้นเอง มีเสียงสวรรค์ดังออกมา ทั้งดังและทั้งแหลมเพื่อหยุดศึกในครานี้ เป็นเสียงประสานที่เพราะพริ้งเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงบรรเลงจากวงคนตรีประสานเสียงเสียอีก ทั้งบิวและอิ๋วเองก็คุ้นเคยดีอีกนั้นแหละ
“หยุดทั้งคู่นั่นแหละ” เป็นเสียงของภรรยาของทั้ง 2 นั่นเอง ทีเดินออกมาท้าวเอว พูดพร้อมกัน
จากที่ทั้งคู่กำลังดุเดือดเลือดพล่านกันอยู่นั่นเอง เมื่อได้ยินเสียงของทั้ง 2 ดังออกมา ก็ทำเอาขนหัวลุกไปทั้งคู่ ทั้งตาเปรมตาก้วย ทำให้สถานการณ์พลิกจากหน้ามือเป็นหลังคา ( บ้าน ) จากที่ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เหมือนว่าจะต้องมีการเสียชีวิตกันไปข้าง ก็กลับกลายมาเป็นสงบศึกยกทัพกลับเมืองกันอย่างกับรักใคร่กันปานจะกินและค่อยกลืนและดื่มน้ำตามมาก ๆ ( แหม!! มุขแพรวพราวจริง ๆ ^-^ )
“จ้า ไงจ้า แม่บัว!” ^-^! ตาเปรมหันกลับมายิ้มให้ภรรยาสุดที่รักที่เดินเข้ามา บิวขำในการเอาตัวรอด ของพ่อตัวเอง
“จ้าว่างายจ้า แม่นิ่มมม !” ^-^!ตาก้วยเองก็พูดไปปาดเหงื่อไป ยิ้มให้แม่นิ่มของอิ๋วแบบไม่มองหน้าแม่นิ่ม เพราะตาแกปิดไปแล้ว ( จะล้อพ่อตูอีกนานไม่เนี่ย -_-* : อิ๋ว)
“นี่พี่เปรมทะเลาะกับพี่ก้วยอีกแล้วใช่ไหม”แม่บัวของบิวสวมวิญญาณกรรมการห้ามมวยปล้ำ ที่กำลังเข้าช้าทเพื่อตัดคะแนน สามีเปรมของเธอ
“อะไรกัน เปล่าซะหน่อย เราเป็นเพื่อนรักกันจะตายเนอะ ไอ้ก้วยเนอะ” ตาเปรมเหงื่อแตกพลัก เดินเข้าไปกอดคอตาก้วยที่แข่งกันเหงื่อท่วมตัว
“จริงเหรอ พี่ก้วยไม่ได้ทะเลาะกันจริง ๆ เหรอ ทำไมเสียงถึงดังเข้าไปถึงในบ้านเลยละ”แม่นิ่ม ถามสามีเธอกลับ ด้วยใบหน้าที่ เย็นชา ไรเลือดฝาด ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว ว่าอีตา 2 คนนี้ทะเลาะกันอีกแล้ว
“อ๋อ เป่าซากหน่อยอั๊วะก็แค่เสียงดังตามปาสาเพื่องก่าว เค้าคุยกานนะ แหะ ๆ”ตาก่วยแก้ตัวไปพลาง กอดคอตาเปรมแน่น ( เลิกล้อและ เดี๋ยวโดนนางเอกดักตีกบาล ^-^! )
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย ไปเข้าบ้าน”แม่บัว ดึงหูพ่อเปรมของ บิว จนหูแทบจะหลุดออกมาจากหน้าตาเปรมเพราะความเจ็บของตาเปรม
“โอย !! จะ ๆ !! ไปแล้วจะ ไม่ต้องดึงก็ได้”ตาเปรมเอามือกุมหู กลัวเมียหงอ เดินตามต้อยๆ เข้าบ้าน
“ใช่ ๆ อะไรกัน เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ สมัยหนุ่ม ๆ แท้ ๆ ยังทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ อีก”เช่นเดียวกับแม่นิ่ม ที่ลากหูของพ่อก้วยของ อิ๋ว เข้าบ้านด้วยเหมือนกัน จากมังกรซ่อนลายแห่งแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้หงอกลายเป็นแค่ ลูกเสือที่ติดอยู่ในกรง เดินตามโซ่ตรวนที่ถูกลากไปเท่านั้น
“อะจ่ะ โอย !! อั๊วะเจ็บ ๆ” ตาก้วยเดินตามเมีย ต้อย ๆ เข้าบ้าน
“นี่ !! ยายนิ่ม ฉันต้องขอโทษแทนตาเปรมด้วยนะ”แม่บัวหันมาขอโทษแม่นิ่ม ขณะลากสามีเข้าบ้าน
“แหม จะต้องมาขอโทษอะไรกัน เราทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเหมือนกันนะ ไม่เคยทะเลาะกันเลย มีแต่เจ้า 2 คนเนี้ยแหละ ทะเลาะกันไม่เลิกไม่รา ตั้งแต่หนุ่มยันแก่”แม่นิ่มดึงหูของพ่อก้วยแรงขึ้น และบิดจนแทบจะเป็นเลขแปดได้อยู่แล้ว พ่อก้วยจึงทำหน้าเบี้ยว ๆ และหมุนไปตามแรงดึงของภรรยา เพื่อลดอาการเจ็บปวด เช่นเดียวกับลูกสาวอิ๋ว ที่ทำหน้าเบี้ยว ๆ และบิดปากตามเพราะเจ็บแทนพ่อ
และทั้งคู่เพื่อนรักอย่าง แม่บัวและแม่นิ่มก็หัวเราะกันเหมือนเดิน ทุกครั้ง ที่บรรดาสามีของเธอทั้ง 2 ออกมาทะเลาะกัน จนเป็นเรื่องธรรมดาไปอยู่แล้ว เช่นเดียวกับ ทั้งอิ๋วและบิวที่อยู่บนชั้น 2 ก็หัวเราะ พ่อของตนเองทั้งคู่ด้วยเช่นกัน ( +{}+! เฮ้อ !! ถึงคิวคู่พระ นาง สักที ) เพราะว่าทะเลาะกันจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว สำหรับสองครอบครัวนี้
หลังจากที่บิวและอิ๋วกำลังต่างคนต่างขำ พ่อของตนเองทั้งคู่เสร็จ ในจังหวะนั้นพอดี ที่ทั้งคู่เง้ยหน้าขึ้นมา เพื่อที่จะหดหัวกลับเข้ามาในบ้านตามเดิมนั้นเอง เผอิญทั้งคู่ก็ได้มองหน้ากัน ในการมองหน้ากันครั้งนี้เหมือนจะเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาทั่ว ๆ ไป ที่คนรู้จักกันจะมองกันก็จริง แต่เนื่องจากว่า ทั้งคู่นั้น เรียกกันได้ง่าย ๆ ก็คือไม่ได้เจอหน้ากันเลยเกือบปี ปีกว่า เกือบ 3 ปีเลยเห็นจะได้ ( o[]o ) อาจจะเป็นแค่ เห็นกันแค่ผ่าน ๆ ที่โรงเรียน แล้วไม่ใส่ใจอะไร แค่รู้สึกว่า อ๋อนี่ ยายอิ๋ว อ๋อนี้ ตาบิว ฉะนั้น การมองหน้ากันครั้งนี้จึงเป็นอะไรที่พิเศษกว่าทุกครั้งของทั้งคู่
อิ๋วได้มองหน้า บิวก็รู้สึกว่า อ๋อ นี่ตาบิวคนเดิม แต่ทำไมนะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า ทำไมดูแปลกตาไป ก็ไม่นี่หน่าเหมือนเดิมทุกอย่างนี้ แต่เพราะอะไรนะ ทำใหรู้สึกเหมือนกับว่า มีอะไรพิเศษกว่าปกตินะ ไม่มีอะไรหรอกมั้ง ก็แค่ตาบิวคนเดิมนะแหละ -*-!
เช่นกันที่บิวได้มองหน้า จะว่าไปแล้ว เราเองก็ไม่ได้เห็นหน้าอิ๋วมานานแล้วนี่หน่า ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน แต่น่าจะนานพอที่เราจะเห็นอิ๋วแล้วรู้สึกแปลกตาแบบคราวนี้ไปเลยแน่ ๆ จะว่าไปก็ดูโตขึ้นแหะ >///<
ทั้งคู่มองหน้ากัน ทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ เด็ก ๆ เหมือนกัน แต่เพราะมีอะไรบางอย่างหรือเปล่า ทำให้มีความรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้เจอกันนาน ไม่สิ เหมือนได้เจอกันครั้งแรกได้เลยทีเดียว
ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มให้กัน ก่อนบิวจะกระดกหัวหัวขึ้น และขมวดคิ้วทำปากเบ้ว่าการทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาของคู่นั้นไปแล้ว เช่นเดียวกับอิ๋วที่ยิ้มให้ บิวอย่างจริงใจ ผ่านแววตาใส ๆ ส่งผ่านมาที่บิว ทำให้บิวชะงักไปกับรอยยิ้มหวาน ๆ ของอิ๋วแปปหนึ่ง ก่อนที่อิ๋วจะผงกหัวหงึก ๆ สื่อไปว่าก็มันเป็นเรื่องธรรมดาของทั้ง 2 คนนั้นจริงๆ นั้นแหละ และก็นั่งลง กับโต๊ะตัวนั้นเพื่อนั่งอ่านนิตยสารต่อ เพราะมีตารางโปรแกรมทัวร์คอนเสิร์ตของบอดีแสลม ทำให้เธอต้องลงทุนไปกอดแข็งกอดขาอ้อนวอนยายอั๋น เพื่อนรักของเธอ กว่าจะได้มา เพื่อมาดูว่า บอดีแสลม จะมาชลบุรีเมื่อไร อย่างเพลิดเพลินใจ
บิวยืนดูละแวกนั้นรอบหนึ่ง ถึงแม้ว่าหัวจะหันมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ไกล ๆ แต่ก็แกล้งกวาดสายตาไปมาบ่อย ๆ โดยหวังจะได้แอบมองอิ๋วด้วยหางตา หลาย ๆ รอบ >///< โดยที่อิ๋วยังคงไม่รู้เรื่อง ยังนั่งหาโปรแกรมทัวน์ตาเป็นมัน ก่อนที่บิวจะกลับมานั่งเล่นเกมส์เหมือนเดิม
ขณะที่บิวกลับมานั่งเล่นเกมส์เหมือนเดิม แน่นอน เมื่อผู้ชายเห็นผู้หญิงที่มีอะไรบางอย่างที่ไปโดนนามสกุลพี่ป๋อเค้า ( สะกิดใจ ) เข้าก็ต้องเก็บมาคิด อย่างตาบิวตอนนี้ มันเป็นเพราะอะไรนะ เราเองก็เล่นกับอิ๋วมาตั้งแต่เด็กแท้ ๆ ทำไมเมื่อก่อนไม่รู้สึกอะไร แต่ทำไมวันนี้แค่ได้เห็น อืม หรือจะเป็นเพราะว่าไม่ได้เห็นอิ๋วมานาน ก็อาจจะเป็นไปได้นะเลยดูแปลกตา แต่ที่รู้ ๆ คือ โตขึ้นแหะ อิอิ จะว่าไปยายอิ๋ว ก็ น่ารักขึ้นเยอะแฮะ >///<
ความคิดเห็น