City of Blood
นิยายสยองขวัญเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากสัตว์สู่คน อ้างอิงจากหลักการทางวิทยาศาสตร์
ผู้เข้าชมรวม
81
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ภาคต้น –ลาง 1 -
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั้งปลุกไว้ตามเวลาเดิมทุกวัน ตอน 7.30 น. ปลุกให้ผมลุกขึ้นจากภวังค์ พร้อมอาการง่วงนอนซึ่งเกิดจากการนอนดึกเมื่อคืน สิ่งนั้นเองทำให้ผมนึกถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่อยากจะจดจำแม้แต่นิดเดียว
ผลันให้สบถคำพูดที่ไม่น่าจะพูดเลยเวลาตื่นนอน
“แม่งเอ๊ย เสมอ 2-2” เป็นคำพูดที่เพิ่งหลุดออกจากปากของผมไป ซึ่งเหตุผลที่ผมสบถแบบนี้ออกมาหน่ะเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ทีมฟุตบอลทีมรัก ดันไปเสมอกับคู่แข่งแบบไม่น่าให้อภัย
ซึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้วันทั้งวันนั้นเหมือนเป็นวันโลกแตก แต่มันเป็นเพียงแค่อาการช้ำใจของคนผิดหวังนิดดหน่อย เมื่อตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นปฏิบัติภารกิจประจำวันเพื่อเตรียมตัวไปทำงานที่แสน จะน่าเบื่อ.........ผมลืมเล่าไปว่าตัวผมนั้นเป็นพนักงานขายของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีสิทธิมีเสียงใดๆทั้งสิ้นในการดำเนินงานของบริษัท
แน่ นอนเพราะผมเองก็ยังเฝ้าโทษผู้คนรอบข้างที่ได้ดีกว่าผมเอง อาจจะเพราะความหมั่นไส้ หรืออาจจะเพราะไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรก ซึ่งถ้ามองจริงๆก็คงพอจะทราบได้ครับว่าเหตุผลที่แท้จริงที่ผมแสดงอาการเหล่า นั้นออกมาก็เพราะผมอิจฉาเค้าเหล่านั้นที่ได้ดีกว่าตนเอง มีความพยายามมากกว่า มีความมุ่งมั่นมากกว่า สิ่งเหล่านี้มันบั่นทอนสภาพจิตใจของผมเหลือเกินจนอยากจะลางานหนีไปไหนซักที่ ที่มันจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์เหล่านี้ออกไปจากตัวผมได้ซะที
ซึ่งถ้าผมรู้ว่าการตัดสินใจของผมในวันนี้มันทำให้ผมต้องเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ผมคงยอมลางานหนีไปซักที่อย่างที่คิดจริงๆ
.
.
.
.
.แต่มันสายไปแล้ว
.
.
.
.
.
.ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว
.
.
.
.
.
.
.ผมก้าวขึ้นบนรถตู้สายอนุสาวรีย์-มีนบุรี พร้อมกับเสียงเพลงลูกทุ่งที่ร้องคลอเหมือนกับต้อนรับผู้โดยสาร
ไผ่ พงศธร.......แน่นอนนี่อาจจะไม่ใช่นักร้องที่ผมโปรดปรานเท่าใดนัก แต่ผมก็สามารถร้องคลอตามได้หลายเพลงเลยทีเดียว
. วี้หว่อ วี้หว่อ วี้หว่อ.........
เสียง ไซเรนรถพยาบาลที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้น พร้อมกับภาพของรถพยายาลที่รีบห้อบึ่งไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อรับผู้ป่วย หรือผู้บาดเจ็บไปทำการรักษาให้เร็วที่สุด ซึ่งภาพที่เราทุกคนเห็นจนชินตาคือนั้นก็คือภาพของรถพยายาลที่พยายามปาดแซง พร้อมทั้งบีบแตรขอทาง(ไล่) รถทุกคันที่ขวางหน้าและพร้อมทั้งทิ้งคำว่า “Ambulance” ให้กับผู้ที่ขับตามหลัง
ซึ่งแน่นอนคงมีหลายคนที่คิดว่ามรึงจะขับเร็วไปไหน จะรีบขับไปรับผู้ป่วยหรืออยากจะทำให้เกิดผู้ป่วยขึ้นอีก
มันผมสบถคำหยาบอีกครั้ง “เชี่ยขับเร็วฉิหายปวดขรี้หรือไงวะ” เป็นคำพูดติดปากที่ผมใช้ทุกครั้งที่มีคนขับรถเร็วจนเกินไปในความคิดของผม
.
.
.
.
ยังพูดไม่ทันขาดคำรถพยาบาลอีกคันก็วิ่งผ่านรถตู้ของผมไปพร้อมกับเสียงบีบแตรไล่รถที่ขว้างหน้าทุกคัน
และมันเป็นอีกครั้งที่ผมสบถคำพูดออกมาจากปาก “มรึงจะรีบไปตายหรือไง” ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมต้องรู้สึกขัดใจทุกอย่างที่มันไม่เป็นไปตามความคิด ผมบ่อยครั้งที่ผมต้องทะเลาะกับคนรอบข้าง และเพื่อนร่วมงานจากคำพูดที่หลุดออกมา
ยังไม่ทันสิ้นความคิดดังกล่าว
เสียงบีบแตกดังไล่กันมาเป็นทาง
รถพยาบาลอีกนับ 10 คันก็วิ่งตามรถคันหน้ามาและแน่นอนถ้ามีรถพยาบาลจะขาดรถกู้ภัยไปได้ยังไง
ทุกๆคันพยายามขับแซงรถที่อยู่ตรงหน้าราวกับว่ายกสนามแข่งรถฟอร์มูล่าวันมาไว้บนทางด่วน ซึ่งผมคิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้ดูซะแล้ว
ผมคิดว่ารถทุกคันต้องวิ่งไปยังจุดมุ่งหมายเดียวกันแน่นอน
ซึ่งมันดูผิดปกติมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
และแน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่คิด บนรถตู้เริ่มมีเสียงพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการคาดการณ์ต่างๆนาๆ
ผู้ชายข้างๆผมเริ่มเปิดประเด็น
“ผมว่าต้องเกิดไฟใหม้แน่ๆเลย”พร้อมกับเสียงสำทับทฤษฎีที่ชายคนดังกล่าวพูดมา
“นั้นหน่ะซิ”เสียงอีป้าช่างเม้าท์พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เนี่ยๆมีรถพยาบาลวิ่งเต็มเลยอ่ะตัวเอง” น้องนักศึกษาหน้าตาจิ้มลิ้มบอกกับปลายสาย
“แคว๊ก......” เสียงรูดซิปกระเป๋าสะพายใบเก่ง ผมไม่สนเสียงคนรอบข้างหรอกนะมันต้องหาความจริงสิ
ผมหยิบหูฟังและเสียบมันที่โทรศัพท์มือถือพร้อมทั้งเปิดวิทยุเพื่อฟังข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และแน่นอนผู้โดยสารหลายๆคนก็ทำเช่นเดียวกันกับผม
ทุกคนพยายามหาคลื่นวิทยุเพื่อฟังข่าวด่วน
ไม่เว้นแม้กระทั่งคนขับรถที่ยอมปิดเพลงของ”ไผ่ พงศธร”เพื่อทำเช่นเดียวกัน
ผมพยายามหาคลื่นวิทยุเพื่อฟังข่าว
ซ่า...ซ่า....ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า FM.99
ซ่า...ซ่า....ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า FM.97.5
ซ่า...ซ่า....ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า FM.107
ซ่า...ซ่า....ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า...ซ่า FM.95
ไร้เสียงการรายงานข่าวและเสียงเพลงใดๆ ระหว่างที่ความสงสัยกำลังเกาะคลุมจิตใจผมอยู่นั้น
“เอี๊ยดดดดดดดดดด” เสียงรถตู้เบรกยาวจนผู้โดยสารพากันหัวทิ่มหัวตำ จนหัวผู้โดยสารบางคนไปกระแทกกับเบาะหน้า
“ปรี้นนนนนนนนนน”เสียงบีบแตรยาวจากคนขับ
“แมร่งขับรถเชรี่ยไรวะ” ผมสบถอีกครั้ง
หลังจากได้สติผมก็เริ่มหันมองดูผู้โดยสารคนอื่นๆว่ามีใครบาดเจ็บหรือเปล่า
ผมหันไปเห็นผู้ชายที่นั่งข้างผมสะบัดข้อมือเพราะเอามือดันตอนรถเบรกจนมือซ้น
คุณป้าพยายามจับเนื้อจับตัวว่ามีส่วนไหนแตกหักหรือเปล่า
แต่คนที่ผมสนใจจริงๆไม่ใช่ผู้โดยสารเหล่านี้หรอก ผมสนใจน้องนักศึกษาหน้าตาจิ้มลิ้มต่างหาก ในใจก็ได้แต่คิดว่า “พี่อยากเจ็บแทนน้องเหลือเกิน”โดยที่ผมไม่ได้ดูสภาพของตัวเองเลยว่าหน้าผากของผมกระแทกกับเบาะหน้านั้นมันบวมปูดจนเป็นลูกมะนาว
“แม่งเอ๊ย”คำพูดที่ลอยออกมาจากปากของผม
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสบถของผมก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“ตึง......โครม” ดูท่าจะไม่ได้มีเพียงรถตู้ที่ผมนั่งซะแล้วที่ต้องเบรกกะทันหัน รถหลายคันชนท้ายกันจนท้ายบุบหน้าบี้ พร้อมทั้งเสียงโวยวายจากเจ้าของรถ
“พี่ขับรถยังไงของพี่เนี้ย” เสียงของชายเจ้าของรถป้ายแดง ตะโกนถาม
“ก็ข้างหน้าเบรคคุณจะให้ผมทำยังไง” เสียงชายหนุ่มวัยกลางคน ตะโกนกลับไป
พร้อมทั้งเสียงรอบข้างที่เซ็งแซ่ราวกับเสียงจักจั่นในหน้าร้อน...................
.
.
.
.
.
.
ผม ลงจากรถตู้ แล้ว...........................................................................................................................
.................................................................................... ผมคิดดีแล้วหรือเปล่า..................................
.................................. ผมคิดว่าผมไม่น่าลงจากรถตู้ เลย...................................................................
.
.
.
.
.
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคิดผิด
“ครืดดด” เสียงเปิดประตูรถตู้ดังขึ้น ผู้โดยสารหลายคนรวมทั้งผมก้าวลงจากรถตู้ ผมได้แต่เสียดายที่น้องนักศึกษาไม่ได้ลงมาพร้อมกัน
ผมเริ่มเดินพร้อมกันเอามือจับหน้าผากที่บวมปูดของตัวเอง “เจ็บฉิบหาย” พร้อมกับสายตาหันไปมองภาพข้างหน้า
“อะไรของมันวะ แม่งบ้า” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเมื่อภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ รถยนต์คันหนึ่งจอดแน่นิ่งอยู่กลางแยกพระราม 9 ซึ่งแน่นอนมันทำให้รถติดยาวเป็นหางว่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบรถคันดังกล่าว
ผู้ คนรอบข้างที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพ หรือวีดีโอ ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าเค้าเหล่านั้นทำแบบนั้นไปทำไม เรื่องแบบนี้มันไม่อยู่ในความสนใจของผมแม้แต่นิดเดียว เพราะผมสนใจเพียงหน้าผากที่บวมปูดของผม
.
.
.
.
ผมหยิบโทรศัพท์มือถือพร้อมทั้งไล่หาเบอร์ลูกค้าเพื่อโทรแจ้งว่าผมเองจะเข้าไปล่าช้าซักนิด
“แค๊ก แค๊ก” เสียงไอจากปลายสายดังขึ้น
“อ้าวไม่สบายหรอครับ” ผมถามกับลูกค้าที่สนิทกันพอสมควร
“ก็นิดหน่อยครับ” เสียงแหบแห้งของเค้าได้ตอบผมกลับมา
.
.
”ครับสวัสดีครับ” ผม สิ้นสุดบทสนทนาของผม พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มราวกับถูกหวย.......วันนี้ผมว่างทั้งวันเพราะลูกค้า ของผมลาป่วย เรื่องจะให้กลับเข้าไปออฟฟิศหน่ะหรอฝันไปเถอะ
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวผมตอนนี้คือ”กลับไปนอนดีกว่า” เรื่องของลูกค้าทำให้ผมลืมนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วว่ามันคืออะไรความสงสัยทั้งหมดมันหายไปจากใจผมจนหมดสิ้น
10 กันยายน 2554 อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
“พี่หมออ๊อด” เสียงเรียกของสัตว์แพทย์หนุ่มเรียกหมอรุ่นพี่
“ไรวะ” หมอรุ่นพี่หันมาตอบพร้อมใบหน้าซีดเซียว ราวกับผู้ป่วย
“ในไลน์ผลิตแจ้งมาว่า ข้าวโพดส่งไม่ทันอ่ะพี่” ซึ่งคำพูดดังกล่าวไม่ได้สร้างความแปลกใจให้กับหมออ๊อดแม้แต่น้อย
“อีกแล้วหรอ เดี๋ยวพี่ลองโทรถามพี่วิชัยก่อนว่าจะเอายังไง” เสียงของหมออ๊อดตอบแบบราบเรียบราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
“พี่วิชัยครับ ทางไลน์แจ้งมาว่าข้าวโพดไม่พอครับพี่” หมออ๊อดรายงานกับผู้หัวหน้า ซึ่งคำพูดดังกล่าวได้สร้างความฉุนเฉียวให้กับผู้ฟังไม่น้อย
“อะไรกันวะ อีกแล้วหรอ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ไม่ทัน รอบนี้ก็ไม่ทันอีกแล้ว” วิชัยพูดออกมาแบบลอยๆเพราะไม่หวังว่าจะได้คำตอบจากหมออ๊อดแม้แต่นิดเดียว
“เอางี้นะหมอ หมอไปบอกในไลน์นะว่าให้เพิ่มพวกกระดูกเข้าไปก่อน จะได้ทันบรรจุ เพราะตอนนี้ทางกรุงเทพแจ้งมาว่ายอดเข้ามาเยอะ” วิชัยพูดพร้อมกับทำหน้าเซ็งพร้อมกับออกคำสั่งให้กับหมออ๊อด
“เอาใจเซลล์มันหน่อยละกัน เดี๋ยวเราจะโดนด่าว่าไม่มีของให้มันส่ง” วิชัยพูดพร้อมกับก้มหน้าเล่น IPad ของตัวเองต่อ
“ได้ครับพี่” หมออ๊อด ตอบพร้อมกับเดินออกมาจากห้องทำงานของวิชัย
“กึงกัง...กึงกัง...กึงกัง” เสียงเครื่องจักรที่กำลังเร่งผลิตเพื่อให้ได้ตามยอดที่สั่งเข้ามา
“พี่ป้อมอยู่ป่ะ” หมออ๊อดถามกับพนักงาน QC ในไลน์ผลิต
“พี่ป้อมออกไปข้างนอกครับพี่” พนักงานคนดังกล่าวตอบ
“ไปไหนวะ” “ไม่รู้เหมือนกันครับพี่แกไม่ได้บอกไว้” “เออๆ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่โทรหาแกเอง” หมออ๊อดตอบแบบไม่ใส่ใจผู้ฟังซักเท่าไหร่นัก
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น “ใครคะ” เสียงหวานของหญิงสาวตอบกลับมายังต้นเสียง
“พี่เอง” หมออ๊อดตอบพร้อมเปิดประตูห้องเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต
“อ้าวพี่หมอ มาทำอะไรคะ” น้ำผึ้งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิตตอบ
“พี่มาตามหาหัวใจของพี่จ๊ะ” หมอหนุ่มตอบแบบทีเล่นทีจริงพร้อมทั้งทำสายตากระหริ่มกระเหรี่ยส่งให้หญิงสาว
“หัวใจพี่อยู่ที่บ้านไม่ใช่หรอคะ” หญิงสาวตอบพร้อมหน้าตาเหมือนกับคนที่ได้รับชัยชนะ
“อ้าว น้องน้ำผึ้งพูดจาแบบนี้เอามีดมาแทงหัวใจพี่เลยดีกว่า” หมอหนุ่มตัดพ้อเมื่อหญิงสาวพูดถึงภรรยาที่กำลังตั้งท้องอยู่ที่บ้าน
“แล้วสรุปพี่หมอมาทำไมที่ไลน์เนี่ย” น้ำผึ้งถามถึงธุระก่อนที่จะออกนอกเรื่องจนมากเกินไป
“พี่มาหาพี่ป้อมอ่ะ แต่เห็นเด็กข้างล่างบอกว่าแกไม่อยู่” หมอหนุ่มพูดถึงธุระที่ทำให้ต้องมาที่นี่
“ใช่ค่ะพี่หมอเห็นแกว่าแฟนแกไม่สบาย แกเลยขอลาหยุดดูแลแฟน” น้ำผึ้งพูดพร้อมกับทำหน้าปลาบปลื้มถึงพฤติกรรมของหัวหน้าที่เอาใจใส่ภรรยา
“พี่หมอน่าจะดูไว้เป็นเยี่ยงอย่างนะคะ” พร้อมกับหันมาแขวะหมอหนุ่ม
“หนูไม่รู้อะไรซะแล้วพี่ดูแลแฟนพี่ดีจะตาย ข้าวน้ำไม่ให้ขาด แสงเดือน แสงแดนไม่ต้องโดน” หมอหนุ่มพูดพลางกับทำหน้าตาภูมิใจกับสิ่งที่ตนเองทำเพื่อภรรยา
“แหม ก็เพื่อไม่ให้ไอ้ฝนออกมาจับผิดพี่หมอได้ใช่มั้ยหล่ะ” หญิงสาวพูดถึงเพื่อนของตนเองซึ่งเป็นภรรยาของหมอหนุ่ม
“แน่ะ เบื่อจริงพวกรู้ทัน เลิกๆทำงานๆ เออพี่จะมาบอกว่าทางส่วนวัตถุดิบแจ้งมาว่าข้าวโพดจะเข้ามาส่งไม่ทันนะ” หมอหนุ่มด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“ทางพี่วิชัยเลยแจ้งให้เพิ่มกระดูกบดเข้าไปแทนหน่ะ” หมอหนุ่มบอกถึงสิ่งที่เค้าได้รับคำสั่งมา
“แต่เพิ่มมันเส้นเข้าไปแทนมันไม่ดีกว่าหรอพี่หมอ” หญิงสาวฉงนกับสิ่งที่หมอหนุ่มเพิ่งบอกไป
“พี่ก็คิดแบบหนูนั้นแหละ แต่ตอนนี้กระดูกมันกำลังจะเน่าละ เลยต้องรีบเอาไปผสม” หมอหนุ่มบอกถึงสาเหตุทีต้องทำเช่นนั้น
“ก็จริงนะคะพี่หมอ เริ่มมีกลิ่นหน่อยๆละ เดี๋ยวน้ำผึ้งโทรแจ้งในไลน์เลยละกันนะคะ” หญิงสาวรีบดำเนินการตามสิ่งที่หมอหนุ่มได้บอกมา
“ได้จ้า ”หมอหนุ่มตอบ “ขอบคุณมากนะคะพี่หมอ”หญิงสาวรีบตอบกลับหมอหนุ่มในทันทีตามมารยาท
“ไม่ต้องการคำขอบคุณหรอกจ้า ขอเป็นหัวใจของหนูแทนดีกว่า” หมอหนุ่มตอบแบบกวนๆเพื่อยั่วหญิงสาวเล่นๆ
“ได้เลยพี่หมอ แต่เดี๋ยวน้ำผึ้งขอโทรบอกไอ้ฝนก่อนนะว่าพี่หมอขอหัวใจน้ำผึ้ง” หญิงสาวได้ทีตอกกลับไปยังหมอหนุ่ม
“อ่ะอ้ะอ้าว...ระระร้อนร้อนเลย ไม่เล่นด้วยละ เล่นของสูงแบบนี้พี่ก็แย่ซิไปก่อนดีกว่า” หมอหนุ่มจากไปพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าและเสียงหัวเราะของหญิงสาว
.
.
.
.
.
.
ผลงานอื่นๆ ของ jodge of the jungle ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ jodge of the jungle
ความคิดเห็น