ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    `OABGUN | short stories #ทีมโอบกัน

    ลำดับตอนที่ #8 : fight.

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 58


    FIGHT


    ไฝว้


    “ไอ้สัด กูบอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับเด็กกู”


                เสียงหนึ่งในเจ้าของตีนที่กำลังรุมเตะผมอยู่ดังขึ้น ผมไม่รู้หรอกว่าใคร เพราะมันมีกันราวๆสามสี่คน ลำพังแค่ขยับตัวหนีให้ไม่โดนจุดสำคัญๆก็ลำบากมากแล้ว รองเท้าผ้าใบหลายยี่ห้อรุมประทับบนเสื้อนักเรียนสีขาวของผมจนมันกลายเป็นสีมอๆจากฝุ่นและเลือด


                อืม เอาตรงๆนะ ที่ผมมานอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยใต้ตีนคนอื่นแบบนี้ได้ แปลว่าผมใกล้ตายแล้วป่ะวะ แรงจะยกแขนยันพื้นลุกขึ้นยืนยังไม่มีเลย โชคร้ายจริงๆที่วันนี้ดันเดินออกมาจากโรงเรียนคนเดียวเพราะพวกเพื่อนๆผมมันหายหัวไปกับแฟนกันหมด


    “ตำรวจ! คุณตำรวจครับ ทางนี้ครับ ตรงนี้มีคนโดนรุม” เสียงใครไม่รู้ และดังมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ก็ทำให้ไอ้สามคนที่กำลังกระทืบผมอย่างเมามันชะงักเท้าลงไปได้ พวกมันมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะเตะอัดเข้ามาแรงๆที่ท้องผมเป็นการทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทาง


                ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่ผู้หวังดีคนนั้นจะก้มลงมานั่งข้างๆผมที่นอนอยู่บนพื้น


    “นาย .. นาย..เป็นอะไรรึเปล่า” ลืมตาจะยังไม่ขึ้นอยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรมั้ง


    ก็ได้แค่คิดน่ะครับ ไม่มีแรงตอบแล้ว อยากจะขอบคุณเขาเหมือนกันที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตผมเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้


    “เอ่อ ..นายจะตายมั้ย แล้วเราต้องทำอะไรก่อนวะเนี่ย อย่าเพิ่งตายนะเว้ย!” ผู้หวังดีโวยวายเสียงแง้วๆอยู่ข้างหู ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าทิ้งผมไว้ตรงนี้ก็ได้ ถ้าได้หลับสักงีบตื่นมาก็คงมีแรงขึ้น ผมโดนกระทืบแบบนี้ประจำอยู่แล้ว แค่ครั้งนี้ดูจะหนักไปหน่อยก็เท่านั้น


    “โอ๊ย อย่าเพิ่งตายนะ เราเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลแป๊บ”


    ผมอยากจะถามว่าตำรวจที่เขาพามาจนไอ้พวกนั้นวิ่งหนีกระเจิงกันไปไปไหนซะแล้ว ทำไมไม่มาช่วยเขาพาผมไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป จนกระทั่งเขาเรียกรถแท็กซี่ได้ และลุงคนขับแท็กซี่ใจดีช่วยมาลากผมขึ้นรถไป



                ความทรงจำสุดท้ายของผมคือเขาจับมือผมเอาไว้ระหว่างทางไปโรงพยาบาล โดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แต่ว่า ..



    “ขอบ ..คุณนะ”


    “ไม่เป็นไร อย่าตายก็พอ”


    เลิกย้ำเรื่องตายจะได้มั้ยเนี่ย!!

     

    .

    .

    .

    .

     

     

     

    21.00 .


    “โอ๊ย!


    ผมร้องออกมาเมื่อลืมตาขึ้นช้าๆ ตื่นขึ้นจากการหลับลึก ขยับร่างกายเพียงนิดเดียวก็ปวดร้าวไปทั้งตัว


    “ตื่นแล้วหรอ” เสียงที่ผมไม่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างเตียง ก่อนที่เจ้าของเสียงจะลุกมาเกาะขอบเตียงแล้วสำรวจสภาพผมหัวจรดเท้า


    “นายเป็นใคร”


    ผมถามงงๆ มองหน้าเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงแล้วสมองก็ประมวลผลได้ว่าผมไม่รู้จักเขาแม้แต่นิดเดียว แต่อักษรย่อบนอกเสื้อนักเรียนก็ทำให้รู้ว่าเขาอยู่โรงเรียนเดียวกับผม แต่สาบานได้ว่าผมไม่มีเพื่อนหน้าตาคุณหนูแบบนี้หรอกครับ เพื่อนในแก๊งผมก็มีแต่หน้ากวนตีนๆกันทั้งนั้น


    “เราช่วยนายไว้ ตอนโดนเด็กโรงเรียนข้างๆรุมเมื่อตอนเย็นน่ะ”


    “อ๋อ” เหมือนจะจำได้รางๆละ “ขอบคุณนะ”


    “หิวน้ำมั้ย”


    “ไม่”


    ผมส่ายหัว ไม่รู้สึกหิวน้ำแต่ปวดตัวมากกว่า ผมเดาว่าผมไม่เป็นอะไรมาก และหวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น


    “นี่เราเจ็บหนักขนาดต้องนอนโรงพยาบาลเลยหรอ”


    “อือ แต่ก็ไม่มีอะไรหักหรอกนะ มีแค่รอยช้ำกับแผลข้างนอก”


    ไม่มีอะไรหักของเขาคงหมายถึงแขนขาหรือกระดูกอะไรพวกนี้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีมาก


    “แต่นายคงเพลียมากเลยหลับไปนานหน่อย”


    “นี่กี่โมงแล้ว”


    “สามทุ่ม”


    “เฮ้ย แล้วไม่กลับบ้านหรอ”


    ผมถามงงๆ คนบ้าอะไรจะใจดีขนาดมาช่วยผมไว้ พาผมมาส่งโรงพยาบาล แล้วยังอยู่เฝ้าจนผมตื่นอีก


    “ก็นายไม่มีใครเลยนี่หว่า มือถือนายก็ล็อครหัสไว้ จะโทรหาใครก็ไม่ได้” เขาโยนมือถือลงมาบนเตียงคนไข้ที่ผมนอนอยู่

    “จะทิ้งให้นอนนี่คนเดียวก็คงจะใจร้ายไป”


    “แล้วถ้าคืนนี้เราไม่ตื่นล่ะ”


    “จริงๆเราก็ไม่คิดว่านายจะตื่นภายในคืนนี้หรอกนะ โดนเข้าไปขนาดนั้น  ตื่นมาได้ตอนนี้ก็น่าแปลกใจจะตายแล้ว”


    “ขอโทษที่เราถึก”


    เขาหัวเราะจนเห็นลักยิ้มที่แก้มขวา ดูน่ารักน่ามองเป็นบ้า


    “อ่ะ กินน้ำก่อน” เขาเดินเอาแก้วน้ำใส่หลอดมาจ่อริมฝีปากผม “ปวดตรงไหนมั้ย ให้เรียกพยาบาลให้รึเปล่า”


    “ก็ดี”


    เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะกดออดเรียกพยาบาลเข้ามาให้


                คุณพยาบาลคนสวยเดินเข้ามาวัดนู่นวัดนี่กับผมอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะเอายาให้กินแก้ปวด กำชับว่าให้ผมนอนพักผ่อนเยอะๆ เพื่อที่พรุ่งนี้ผมอาจจะออกจากโรงพยาบาลได้ เพราะตัวผมไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากช้ำในเล็กๆน้อยๆที่เอ็กซเรย์ดูแล้วก็ไม่ร้ายแรงอะไร เสร็จแล้วเธอก็เดินนวยนาดออกไป ทิ้งผมให้อยู่กับคนเฝ้าที่ยืนมองหน้าผมตาแป๋ว


    “นายจะกลับบ้านเลยก็ได้นะ เกรงใจว่ะ” ผมบอกเขา “เดี๋ยวเราโทรเรียกเพื่อนมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”


    “งั้นเดี๋ยวเราอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าเพื่อนนายจะมาแล้วกัน”


    “เฮ้ย กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะ มันดึกแล้ว”


    ผมบอกด้วยความเกรงใจจริงๆ ตั้งแต่เกิดมานอกจากครอบครัวกับเพื่อนสามคนในแก๊งผมแล้ว ก็ไม่มีใครเลยที่จะช่วยผมแบบไม่ต้องการอะไรตอบแทน ผมไม่รู้ว่าเขาหวังอะไรจากผม เราไม่ได้เป็นแม้แต่คนรู้จักกันด้วยซ้ำ


    “ไม่เป็นไร เราโทรบอกคนขับรถที่บ้านให้มารับได้”


    แหม คุณหนูจริงๆซะด้วย


    “งั้นก็ตามใจ ขอบคุณอีกทีละกัน”


    เขาพยักหน้ารับแล้วก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ ส่วนผมก็หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิทที่สุด เล่าเรื่องราวให้มันฟัง แล้วบอกให้มันเก็บข้าวของมานอนเฝ้าผมที่โรงพยาบาลคืนนึง ซึ่งมันก็ไม่ได้อิดออดอะไร ระริกระรี้อยากจะมาไวๆด้วยซ้ำเพราะพรุ่งนี้จะได้หาเรื่องอ้างไม่ไปโรงเรียน เออ เจริญจริงเพื่อนกู


    “นาย.. นึกไงถึงช่วยเราวะ”


    ผมชวนคุย เมื่อทั้งห้องเงียบสงัดจนน่าเบื่อ


    “ก็เห็นคนโดนกระทืบตรงหน้า ไม่ช่วยก็แปลกแล้วเปล่า”


    “แต่เราไม่รู้จักกัน”


    “เราอยู่โรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกัน นับว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นไปก็ได้”


    “หืม?” คำพูดของเขาทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย เพื่อนร่วมชั้นอย่างงั้นหรอ


                ผมกวาดสายตามองทั่วร่างเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ข้างเตียง ใบหน้าเล็กๆ ตากลมใสแจ๋วเหมือนเด็ก จมูกโด่ง ปากเล็กๆจิ้มลิ้ม ผิวขาวแบบที่แทบจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆให้เห็น(ต่างจากผมที่มีแต่แผลกับรอยช้ำแทบทั้งตัวไม่เว้นแต่ละวัน) เดาจากรูปร่างแล้วเขาคงสูงประมาณไหล่ผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นรุ่นน้องด้วยซ้ำไป


    “เราอยู่ชั้นเดียวกันหรอ”


    “อือ ก็มอห้า”


    “ไม่เห็นคุ้นหน้านายเลย” ผมบอกไปตามความรู้สึก แต่เอาจริงๆผมก็ไม่คุ้นหน้าใครทั้งนั้นแหละนอกจากเพื่อนในกลุ่ม กับไอ้พวกแก๊งโรงเรียนอื่นที่ตีกันประจำ แรมสมองผมต่ำเกินกว่าจะจำหน้าใครได้เยอะๆ ขนาดเพื่อนในห้องผมยังจำได้ไม่หมดเลย


    “เราอยู่ห้องหนึ่ง”


    “อาฮะ เข้าใจละ”


    เขาอยู่ห้องเด็กเก่งอย่างที่คาดไว้จริงๆด้วย ส่วนผมคงไม่ต้องบอกมั้งว่าอยู่ห้องอะไร หึหึหึ


                เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆฆ่าเวลารอเพื่อนผมมา เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้างสลับกันไป ทั้งผมเป็นคนเล่า และเขาเป็นคนเล่า ถึงทำให้ได้รู้ว่าชีวิตของผมกับเขาเราต่างกันสุดขั้วจริงๆ เขาเป็นเด็กเรียนธรรมดาๆที่ตื่นมาก็มาเรียน เรียนเสร็จก็กลับบ้านไปทำการบ้าน กินข้าวกับพ่อแม่ แล้วก็นอน ชีวิตไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ส่วนของผมน่ะแล้วแต่วัน บางวันก็ดีหน่อยที่เรียนเสร็จแล้วกลับบ้านเลย ไม่ได้ไปมีเรื่องมีราวกับใคร แต่ก็เป็นส่วนน้อย เพราะปกติเลิกเรียนผมก็ชอบออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่มีศัตรูอยู่รอบตัว โดนหมัดบ้าง ไม้บ้าง ตีนบ้างสลับไปจนชิน (บางทีผมคิดว่าผมน่าจะแยกยี่ห้อรองเท้าผ้าใบของนักเรียนมัธยมชายไทยได้จากการสัมผัสพื้นรองเท้าแล้ว) โชคดีที่ครอบครัวผมอยู่ต่างประเทศกัน เลยไม่ต้องคิดมากเวลากลับบ้านไปด้วยสภาพเน่าๆว่าหม่าม้าจะช็อคมั้ย หรือจะโดนป๊าด่ารึเปล่า


    “ไอ้เหี้ยโอบ กูมาแล้ว!


    เสียงไอ้ไผ่ดังมาก่อนที่ตัวมันจะเปิดประตูเข้ามาตาม มันทำท่าจะเดินมาตบหัวผมอย่างเคยชินก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคนไม่คุ้นตานั่งอยู่ที่โซฟาข้างเตียง


    “อ้าว กัน มาทำไรที่นี่วะ”


    อ้าว รู้จักกันหรอวะ -_- แล้วผู้หวังดีที่นั่งเฝ้าผมอยู่นานสองนานนี่ชื่อกันหรอ ผมเพิ่งรู้ เมื่อกี้คุยกันตั้งนานก็ไม่ได้ถามชื่อถามแซ่กันเลย


    “ก็เราเป็นคนพาเขามาโรงพยาบาล นี่เพื่อนไผ่หรอ”


    “เออดิ เพื่อนสนิทเราเองอ่ะ โห ไม่รู้นะเนี่ยว่ากันเป็นคนพามันมา เห็นมันบอกว่ามีคนมาช่วยมันไว้ เราก็ไม่คิดว่าจะเป็นกัน”


    “เราผ่านไปเห็นพอดีอ่ะเลยช่วยไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพื่อนไผ่”


    กันยิ้มตอบไอ้ไผ่จนเห็นลักยิ้มบนแก้มขวาชัดเจน เห็นแล้วมันหงุดหงิดยังไงไม่รู้ว่ะ


    “ตกลงจะมาเฝ้ากูหรือจะมาคุยกัน”


    “เอ้า ไอ้เหี้ยนี่ดุจริงเว้ย” ไอ้ไผ่เกาหัวสกินเฮดของมันอย่างงงๆ อย่าว่าแต่มันงงเลย ผมก็งง “แล้วรู้จักกันยังอะ โอบ นี่กันเพื่อนกู กัน นี่โอบ เพื่อนเรา”


    ดูสรรพนามอันแตกต่างของผมกับกันสิครับ ดูก็รู้ว่าไอ้ไผ่มันรักผมมากขนาดไหน


    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ.. โอบ” กันเรียกชื่อผมเป็นครั้งแรกหลังจากที่เรานั่งคุยกันมาเกือบชั่วโมง เขารวบกระเป๋านักเรียนกับหนังสือขึ้นมาไว้ในมือ “งั้นเราไปก่อนนะ บอกให้คนที่บ้านมารับแล้ว”


    “เออๆ กลับดีๆนะ ไม่ต้องลงไปส่งใช่ป่ะ”


    “ไม่ต้องๆ”


    “เคๆ ขอบใจมากนะเว้ยที่พาไอ้เหี้ยนี่มาส่งโรงบาลให้อ่ะ”


    กันไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มให้แล้วลุกเดินไปที่ประตู ก่อนที่มือขาวๆนั้นจะหมุนลูกบิดเปิดประตูออกจากห้องไป เสียงผมก็ดังออกไปก่อนความคิด


    “เดี๋ยว!


    “หือ?”


    “เจอกันที่โรงเรียนนะ ..กัน”


     

    END.

     

     

    กรี๊ดดดดด ฟิคอะไรเอ่ย555555 บ้าไปแล้ว
    งงตัวละครมั้ย ไม่งงหรอกเนอะ จริงๆโอบเรื่องนี้ดึงคาแรกเตอร์ออกมาจากแจ็คในเรื่องฮอร์โมน (อยู่ในแก๊งไฝว้ เป็นเพื่อนไผ่) ก็เลยให้มีเพื่อนชื่อไผ่ไปซะ ฮ่า  ชื่อเรื่องก็เลยมาจากชื่อแก๊งของเจ้าพวกนี้ด้วย แก๊งไฝว้ 
    แต่พูดไปแล้วเราก็ชอบแจ็คนะ (ชอบมากกว่าภูมิในคืนสีน้ำเงินน่ะค่ะ555555555555) ถ้าใครได้ดูฮอร์โมนตอนพิเศษของแก๊งนี้ อาจจะเข้าใจการกระทำของโอบในฟิคเรื่องนี้มากขึ้น ใครยังไม่เคยดูแนะนำให้ดูนะคะ ซึ้งมากๆ (เกือบร้องไห้ตามแน่ะ อยากมีแฟนอยู่แก๊งนี้ เอ้ย อยากกลับไปเรียนมัธยมใหม่เลย) ยังไงก็ขอให้สนุกกับฟิคของเรานะคะ ดีใจจริงๆที่มีคนอ่าน :)

                เรื่องนี้เราแต่งไว้สักพักแล้ว เป็นสต็อกเดียวที่เหลืออยู่ 55555 เป็นเรื่องสุดท้ายที่แต่งไว้แล้ว ตอนนี้ไม่ว่างแต่งเพิ่มเลย ฮือ ไม่รู้จะอัพฟิคได้อีกเมื่อไหร่ แต่ว่าถ้าอัพแล้วจะแปะในแท็กแน่นอนค่า แฮ่ๆ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ รักน้า

    ปล. แปะรูป พี่โอบคนเถื่อนกะลูกแมวโน้ย

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×