ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Black Memories

    ลำดับตอนที่ #5 : Memories -4-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 415
      1
      8 ก.พ. 57

     
     
       Black Memories

    -4-










     

     

    ชานยอลสาวเท้าเข้าห้องของอี้ฟานด้วยความรีบร้อน หลังจากได้รับสายจากบอดี้การ์ดหนุ่มของเพื่อนสนิทเขาจำต้องทิ้งสาวที่คั่วมาหวังจะสนุกด้วยทั้งคืนแต่เพราะเป็นเรื่องของคนไข้ตัวเล็กที่เขาเป็นเจ้าของเคสจึงไม่รอช้าที่จะรีบบึงมาที่นี้ทันทีแม้จะแอบเสียดายสาวๆของเขาอยู่มากก็ตาม

     

    “เกิดอะไรขึ้น” ชานยอลถามออกไปโดยที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ สายตากว้างเลื่อนมองไปยังร่างของมินซอกที่นอนหายใจสม่ำเสมอบนเตียงกว้างที่ดูยับเยิ่นทั้งเตียงและร่างบนเตียง เนื่องจากไม่มีอาภรณ์ปกปิดทำให้ผิวเนียนสว่างเผยชัดต่อเขาอย่างชัดเจน แอบลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย

     

    “ความทรงจำของมินซอก” อี้ฟานกล่าวเสียงเรียบหลังจากสงบสติของตัวเองพอได้บ้างแล้ว ชานยอลไม่ได้เอยอะไรต่อ เดินเข้าไปล้มตัวลงข้างร่างของมินซอก มือหน้าเลื่อนยกข้อมือเล็กขึ้นมาวัดชีพจรของคนบนเตียงด้วยความชำนาญ คลี่เปลือกตาสำรวจดูทั้งสอง

     

    “มึงทำอะไรมินซอก?” ปากขยับพูด แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากหน้าอกสวยของคนไข้ อี้ฟานยกมือขึ้นเกาท้ายทอย เค้นเสียงตอบกลับ

     

    “มึงก็รู้ยังจะถาม” 

     

    “ไอ้คริส!” เป็นชานยอลเสียเองที่เริ่มอารมณ์ขึ้นกับท่าทีแบบนั้นของคนเป็นเพื่อนเขา หงุดหงิดจนเผลอหลุดคำบางคำที่ไม่สมควรเอยออกมา แต่เมื่อคนตัวสูงหันมาเห็นใบหน้าจริงจังของคนเป็นเพื่อนจึงหันหน้าหนีด้วยความหงุดหงิดแทน

     

    “มึงก็รู้ว่ามันจะส่งผลยังไงมึงก็ยังจะทำ กูเคยบอกแล้วไงจนกว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์มึงห้ามทำอย่างเคยๆ กับมินซอกจนกว่าจะครบ 1 ปี”

     

    “1 ปี!? กูก็คนกูไม่ได้อารมณ์ตายด้าน มึงก็เห็นว่ามินซอกน่าฟัดแค่ไหน?แล้วจะให้กูได้แต่มองแต่ไม่มีสิทธิ์เรื่องอย่างว่า ใครมันจะทนไหวว่ะ!” อี้ฟานตอบกลับด้วยสายตาเกรียวกราด ชานยอลเองก็ไม่ขอเถียงเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะอี้ฟานพูดถูกทุกอย่าง มินซอกมันชวนให้เกิดอารมณ์จริงๆนั้นแหล่ะ

     

    “หรือมึงอยากจะให้ทุกอย่างที่ผ่านมาพังหมด! ความพยายามตลอด 8 เดือนล้มเหลว” เป็นอี้ฟานที่นิ่ง ได้แต่กัดฟันกรอด ที่เพื่อนของเขาพูดมันถูกทุกอย่าง

     

    “.....”

     

    “มึงกำลังจะทำให้เวลา 8 เดือนสูญเปล่า และที่แย่ที่สุด ความทรงจำเก่าๆที่เลวร้าย ..จะถูกทำให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่มึงต้องการสินะ?” อี้ฟานเบี่ยงหน้าหลบ รู้สึกเหมือนถูกต้อนจนจนมุม เขาไม่ชอบเลยไม่มีแม้ช่องทางที่เขาจะเถียงขึ้น ยิ่งอีกฝ่ายยกเหตุผลขึ้นมาอ้างเขายิ่งไปไม่เป็น

     

    “แล้วมึงจะให้กูทำไงมึงไม่เป็นกู มึงไม่เข้าใจ” น้ำเสียงของอี้ฟานเริ่มอ่อนลงเมื่อเขาเริ่มรู้ตัวว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดจริงๆ

     

    “เป็นกูจะรอ รอเวลาที่พร้อมเพราะอะไรนะหรอ? ..เพราะถ้ากูรักมินซอกจริงกูจะรอ” คำพูดของคนเป็นเพื่อนสะกิดคนตัวสูงเล็กน้อย สายตาทอดมองร่างมินซอกความรู้สึกบางอย่างก็ค่อยๆผุดขึ้นมา แต่เพียงแวบเดียวเขาก็กลบมันไว้ที่เดิม ชานยอลลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

     

    “มึงเอายานั้นให้มินซอกกินแล้วใช่มั้ย?”

     

    “เออ”

     

    “งั้นก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ถ้ามึงยังไม่วางใจพรุ่งนี้ก็พามาตรวจอย่างละเอียดที่ ร.พ กูก็ได้ และหวังว่ามึงจะไม่ลืมคำพูดกู” กระตุกยิ้มบาง มือใหญ่บีบเข้าที่ไหล่กว้างของอี้ฟานเหมือนให้กำลังใจกลางๆ ขาที่กำลังจะก้าวเดินออกไปของชานยอลหยุดเพราะนึกอะไรขึ้นได้เสียก่อน

     

    “ใส่เสื้อให้มินซอกซะ จริงอย่างที่มึงบอกแม่งน่าฟัดจริงๆนั้นแหละ หึ”  ทิ้งท้ายแค่นั้น แล้วจึงเดินออกจากห้องไป ร่างสูงเดินไปหยิบเสื้อมาเปลี่ยนให้คนรักของตัวเองตามคำที่ชานยอลบอก เพราะมัวแต่เป็นกังวลเลยไม่ทันคิดว่ามินซอกยังเปื่อยอกอยู่นาน  ไม่นานมินซอกก็อยู่ในชุดเสื้อไหมพรมนุ่ม และกางเกงนอนขายาวเพื่อที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น อี้ฟานยกนิ้วเกลี่ยปอยผมนุ่มที่มันตกลงมาปิดใบหน้าหวานของมินซอกให้พ้นทาง ก่อนจะโน้มลงมากดจูบซับที่หน้าผากนู้นเบาๆ แล้วจึงค่อยทิ้งตัวลงนอนข้างมินซอก ดึงเข้ามาซุกอ้อมกอดพลอยหลับลงช้าๆ

     

     

    “อื้อ”  มินซอกครางฮือขัดใจเล็กน้อยที่การนอนถูกรบกวนโดนแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามา มือเล็กป้อมยกขึ้นบังดวงตาของตนให้พ้นจากแดด กระพริบปรับเปลือกตาช้าๆซ้ำๆ จนสามารถชินแสงภายนอกได้ ลูกแก้วใสวาวกวาดสำรวจรอบตัวแล้วจึงขยับยันตัวลุกขึ้น สายตากวาดมองรอบๆห้องที่เขาคุ้นเคยดี  

    ห้องอี้ฟาน

     

    คำหนึ่งผุดขึ้นมาบนหัว มินซอกที่ตั้งท่าจะยันตัวลุกต้องชะงักเพราะเหมือนถูกแรงกดรั้งไว้ เหลือบลงมาเจออี้ฟานที่กอดรั้งเอวคอดเล็กของตนไว้เหมือนเด็กที่นอนกอดหวงของรักของตนก็ไม่ปาน

     

    “อืม.. ฟื้นแล้วหรอ” น้ำเสียงอู้อี้ในลำคอเล็กน้อยของอี้ฟานเอยขึ้น แต่มือใหญ่ก็ยังคงกอดคล้องเอวมินซอก มินซอกยิ้มบางๆ แต่ก็ต้องสะดุดกับที่คนตัวสูงพูดขึ้นอย่างลืมตัว

     

    “ฟื้น? หมายความว่าไงผมเป็นอะไรไปงั้นหรอ?” คิ้วโค้งขมวดเข้าหากันแน่น อี้ฟานที่รู้ว่าเผลอพลั้งปากไป ค่อยๆยันตัวลุกขึ้น มือแกร่งวางแหมะลงบนกลุ่มผมนุ่มลื่นเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

     

    “นายเจ็บหัวแล้วก็เป็นลมสลบไป คงเป็นเพราะผลกระทบของอาการความจำเสื่อม” มินซอกยกมือขึ้นจับเบาๆที่สมองตัวเอง พยายามนึกย้อนไปเมื่อวาน หลังจากที่ไอ้บ้านั้นใช้โทรศัพท์เขาสวมรอยโทรหาอี้ฟานไปว่าเป็นแฟน เขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ราวกับ... ความทรงจำช่วงนั้นถูกลบหายไปจนเกลี้ยงไม่ว่าจะพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

     

    “แล้วทำไม? ผมถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ อื้อ..เจ็บ” ยังไม่ทันขาดคำ ริมฝีปากเล็กก็ถูกฟันสวยกัดเข้าแน่นเพราะอาการปวดจี๊ดเบาๆที่มันแล่นขึ้นมาเมื่อเขาพยายามนึกเหตุการณ์เมื่อวาน อี้ฟานรีบจับเบาๆที่แขนมินซอก เอยห้ามแกมดุกลางๆ

     

    “พอแล้วไม่ต้องพยายามนึก เจ็บหัวเปล่าๆ” มินซอกพยักหน้าหงึกๆ แม้จะยังคาใจอยู่มากก็ตาม ว่าทำไมความทรงจำช่วงสุดท้ายของเขาถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยขนาดนี้? แต่ก็ต้องสะดุ้งจากภวังค์เมื่อริมฝีปากหนาของอีกคนโน้มลงมากดแช่ค้างที่ริมฝีปากของตัวเอง มินซอกยกมือขึ้นจับเบาๆที่ข้างแก้มเรียวยาวจูบตอบกลับอัตโนมัติ

     

     “มอร์นิ่ง คิส”

     

    “ครับ  อี้ฟานกี่โมงแล้วอ่า?” มือเล็กกระตุกมือแกร่งเบาๆ อี้ฟานไม่ตอบแต่เป็นเลือกที่จะดึงมือเล็กขึ้นพร้อมดันเข้าห้องน้ำ มินซอกมองกลับมาด้วยสีหน้างงงวย

     

    “กี่โมงก็ช่าง วันนี้ไม่ต้องไปมหาลัยหยุดแค่วันเดียว ไม่เป็นอะไรหรอก”

     

    “แล้วทั้งวันจะให้ผมทำอะไรอ่ะ เบื่อแย่” มินซอกยู่หน้าด้วยความเซ็ง อี้ฟานเอื้อมมือหยิกเบาๆที่ข้างแก้มนิ่มด้วยความหมั่นเขี้ยว

     

    “ไปเที่ยว สนใจมั้ย?”

     

    “งื้อ สน สน สนใจสิๆ” มินซอกเอยเสียงดี๊ด๊า พาลทำให้อี้ฟานหัวเราะตามน้อยๆอย่างช่วยไม่ได้ “ว่าแต่... อี้ฟานมีงานต้องเคลียร์เยอะไม่ใช่รึไง? มาเที่ยวแบบนี้จะดีหรอ” แต่ท้ายประโยคมินซอกถามเสียงง่อย

     

    “ฉันฝากให้อี้ชิงเคลียร์แล้วละ ไม่ต้องเป็นห่วง” มินซอกยิ้มกว้างอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะมองรอยยิ้มนั้นกี่ครั้ง ก็ไม่เคยชินสักที ใจสั่นทุกครั้งที่มอง..

     

    “อี้ฟานนี้ใช้งานอี้ชิงหนักเกินไปป่ะเนี่ย? วันก่อนผมก็เห็นเรียกให้อี้ฟานเอางานมาส่งดึกๆดื่นๆกะไม่ให้อี้ชิงพักผ่อนบ้างรึยังไง” มินซอกจ้องหน้าอี้ฟานกล่าวด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่คำบางคำทำอี้ฟานสะอึกเบาๆ เหลือบมองใบหน้าของมินซอกที่ยังจ้องเขาไม่วางตา

     

    “เห็นด้วยหรอ?”

     

    “อ่าห้ะ พอดีอี้ชิงเดินสวนมาพอดีอ่ะ” อี้ฟานยิ้มฝืดๆส่งไป

     

    “ช่วยไม่ได้ ก็งานมันเร่งด่วนจริงๆนี่น่า เป็นห่วงกันจังนะ”

     

    “น้อยใจเป็นเด็กไปได้ ผมไปอาบน้ำละ” ดึงใบหน้าคมมาประทับจูบเบาๆหนึ่งทีแล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อคิดว่ากำลังจะได้ไปเที่ยวก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่

     

     

    ลู่หานเดินบิดขี้เกียจลงมาจากห้องพรางยกมือป้องปากหาววอดๆ รู้สึกเพลียนิดหน่อยเพราะเมื่อคืนมีเรื่องให้ต้องคิดจนนอนหลับแบบตื่นๆหลับๆ พักผ่อนได้ไม่เต็มที่  ทำให้เช้ามานี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยจะสดชื่อเท่าที่ควรเท่าไหร่ ขาเรียวเลือกที่จะเร่งฝีเท้าออกให้พ้นตัวบ้าน หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับคนเป็นพ่อให้ถึงที่สุด คงได้ลงอีรอบเดิมหงุดหงิดทั้งวันอีกเป็นแน่

     

    “ใจคอจะไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนรึไง” ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะรู้ทันความคิดลูกชายจึงมายืนดักทางลงบันไดทันที ลู่หานกรอกตาไปมาพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อ

     

    “ผมมีเรียน”

     

    “คนอย่างแกเนี่ยนะ จะเร่งไปเรียน?” ประโยคเสียดแทงของคนเป็นพ่อไม่ได้ทำให้เขารู้สึกน้อยใจอะไรเทือกนั้นสักนิด สำหรับเขาทุกคำพูดมันชินชาไปหมดซะแล้วละ

     

    “ตามใจพ่อเหอะ อยากคิดอะไรก็คิดเพราะยังไงผมก็ไม่เคยจะดีในสายตาพ่ออยู่แล้วนิ”

     

    “ช่างเถอะ ไปกินข้าว”

     

    “ผมรีบ” ลู่หานตัดบทสนนาทั้งหมดทิ้งด้วยคำพูดสั้นๆ กล่าวเดินผ่านเลยร่างของคนเป็นพ่อไปด้วยใบหน้านิ่งเรียบเฉย

     

    ทิ้งตัวลงนั่งภายในรถ มือหนาเอื้อมเปิดเพลงแก้เครียดเพื่อกลบบรรยากาศความเงียบภายในรถ เสียงเพลงโปรดคงพอทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง วันนี้ไม่มีเรียนลู่หานจึงคิดที่จะเที่ยวให้หน่ำใจทั้งวันสักหน่อย รถหรูพุ่งตัวออกจากที่เดิมด้วยความเร็ว มุ่งเข้าถนนสายใหญ่ ทั้งๆที่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีเหมือนกัน ในสมองตอนนี้ว่างเปล่า

     

    รู้แค่อยากเที่ยวเท่านั้น

     

     

    มินซอกก้าวลงจากตัวบ้านด้วยความร่าเริง นานๆทีเขาจะได้ไปเที่ยวพร้อมอี้ฟานสักที เพราะอี้ฟานต้องดูแลทุกอย่างภายในบ้าน แถมงานที่บริษัทก็รัดตัวอยู่แล้วจึงแทบจะหาเวลาปลีกตัวพาเขามาเที่ยวไม่ง่ายสักเท่าไหร่ แต่ถึงอี้ฟานจะไม่พาเขาไปเขาก็สามารถหาที่เที่ยวได้อยู่แล้ว แต่เที่ยวสองคนมันก็ดีกว่าไปคนเดียวอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะขาเรียวมินซอกก้าวลงมาเมื่อเห็นอี้ฟานที่นั่งรออยู่ข้างล่างก็ฉีกยิ้มกว้าง

     

    อี้ฟานอยู่ในชุดลำลองเสื้อยืดสีดำธรรมดาและกางเกงสแลคขายาวสีดำทำให้เขาดูดีประหลาด รวมไปถึงผมสีทองแกมส้มตะวันยิ่งเพิ่มความดูดีให้อีกฝ่ายเป็นเท่าตัว จนมินซอกเองก็ยังแอบยิ้มตามไม่ได้ อี้ฟานละสายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์เงยมองมินซอกที่วิ่งยิ้มร่าเข้ามาหาเขา

     

     มินซอกในชุดเสื้อขาวลวดลายคล้ายเป้ายิงเพ้นท์เป็นลายอยู่บนเสื้อ  กางเกงดำที่ไม่ต่างจากเขานัก ยิ่งทำให้ผิวขาวๆของมินซอกดูเด่นขึ้นมาจนเขาเองยังอดหวงหน่อยๆไม่ได้ที่จะให้คนอื่นได้เห็นคนรักของเขา

     

    “พร้อมแล้ว ไปเที่ยวกันเถอะ” มินซอกใช้มือคล้องเอวคนตัวสูงเบาๆ เต้นเร้าๆเร่งให้อี้ฟานรีบพาตัวเองไปเที่ยวสักที

     

    “จะกินข้าวที่บ้านก่อน หรือไปกินที่นู้น?” อี้ฟานถามหยั่งเชิง ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจแล้วแท้ๆว่าท่าทีของมินซอกที่เร่งเขาขนาดนั้นก็ยังอยากจะแกล้งอีกฝ่ายเล่น มินซอกส่ายหน้าแรงๆ รีบลากคนตัวสูงให้เดินตามตัวเองเอาแต่ใจ

     

    “ไม่กิน จะเที่ยวแล้ว เร็ว”

    “ฮ๊ะๆ โอเค ไปหากินที่นู้นก็ได้” อี้ฟานเร่งฝีเท้าให้ทันตามที่คนตัวเล็กที่ลากนำเขาออกไป มือใหญ่เปิดประตูรถสปอร์ตคันหรู มินซอกรีบแทรกตัวเข้าไปนั่งรอทันที  อี้ฟานเดินอ้อมเข้าไปในตรงฝั่งคนขับ ทำหน้าที่เป็นคนขับตามใจมินซอกที่เร่งเขาเกือบจะทุกๆสามวินาที

     

    เมื่อมาถึงห้างหรู อี้ฟานจึงเลี้ยวเข้าจอดรถที่โซนวีไอพี เพราะห้างดังแห่งนี้เขาเป็นหุ้นส่วนเกือบครึ่งของที่นี้ เพียงแค่รปภ.เห็นรถและป้ายทะเบียนก็รีบเปิดที่กั้นให้เขานำรถเข้าไปจอดอย่างง่ายดาย มีเพียงอีกคนที่นั่งหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ จนอี้ฟานอดสงสัยไม่ได้

     

    “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าบึ้งขนาดนั้น หึ?”

     

    “อี้ฟานอ่ะ พามันเที่ยวที่ที่ตัวเองเป็นหุ้นส่วนทำไม” มินซอกพองลมจนแก้มป่องใส่คนรัก แต่อี้ฟานกลับมองว่ามันน่ารักมากจนแทบจะดึงมาจูบแรงๆซะมากกว่าเลือกที่จะยกนิ้วจิ้มข้างแก้มนิ่มอีกฝ่ายเบาๆเล่นแทน

     

    “ทำไม? ดีออกไม่ใช่รึไงอยากได้อะไรก็หยิบเลย ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” เอยอย่างอารมณ์ดี มือแกร่งปลดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูอ้อมมาหาอีกคนที่เดินนำไปไกลแล้ว จึงรีบเร่งฝีเท้าตามร่างเล็กที่เดินตัวปลิวเข้าห้างหรูไปแล้วเรียบร้อย

     

    “ดูดิ พวกรปภ.ทำอย่างกับเราเป็นเจ้าของห้างอ่ะไม่ชอบ ไม่เป็นส่วนตัวเลย” มินซอกยู่ปากไปทางที่พวกรปภ.ก้มทำความเคารพเขาทุกครั้งที่เดินผ่าน ทำให้คนอื่นๆมองเขาเหมือนตัวประหลาด มินซอกคิดอย่างนั้น

     

    “เอาน่าๆ ไปเที่ยวกันเถอะอย่าไปสนใจ” มือใหญ่เลื่อนลงมากอบกุมมือเล็กนุ่มนิ่ม ก่อนจะดึงให้เดินตาม พอมินซอกเริ่มเห็นร้านค้ามากมายและผู้คนใบหน้าที่บูดบึ้งตอนแรงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นยิ้มร่า แก้วกลมใสวาววับทุกครั้งที่เห็นอะไรน่าสนใจ เป็นฝ่ายอี้ฟานแทนที่ต้องถูกลากจากอีกคนที่เดินนำไปเร็วเวลาที่เจออะไรน่าสนใจ

     

    แม้จะรู้สึกขัดใจหน่อยๆกับสายตาคนรอบข้างที่มองมายังมินซอก คงเพราะรูปร่างอวบแต่ก็ไม่ถึงกับอ้วนเลยทีเดียว อวบแบบมีน้ำมีนวล ผิวขาวอมชมพูพ่วงด้วยพวงแก้มกลมนุ่มรับกับจมูกโด้งรั้นเล็กและริมฝีปากน่าจุ๊บนั้นก็ไม่แปลกที่ใครต่างก็ต่างให้ความสนใจ ก็มีแต่มินซอกที่มัวแต่เพลินกับของไม่ได้สนใจสายตาที่ใครมองมาเท่าไหร่นัก แต่เขาเองก็ถูกสาวน้อยสาวใหญ่มองไม่น้อยไปกว่ามินซอกเหมือนกัน แต่มินซอกแค่จะหนักไปทางพวกผู้ชายเสียมากกว่า สาเหตุที่เขาหงุดหงิดนี้ละ

     

    “หิวยัง?” อี้ฟานเดินเทียบข้าง ตวัดวงแขนโอบรอบเอวบางเพื่อแสดงความเป็นเจ้า มินซอกละความสนใจจากร้านสร้อยหันมาพยักหน้าให้อี้ฟานหงึกๆ อี้ฟานมองตามไปยังร้านที่มินซอกจ้องอยู่นานแล้วก้มลงกระซิบถามเสียงแผ่ว

     

    “อยากได้หรอ?”

     

    “อื้อ นิดหน่อย” ไม่รอช้าคนตัวสูงคว้าเข้าที่มือเล็กนุ่มดึงเดินนำเข้าร้านไปในทันที มินซกแม้จะยังมึนๆเล็กน้อยยอมเดินตามแต่โดยดี

     

    “สวัสดีครับ สนใจชิ้นไหนเลือกดูได้เลยครับ” พนักงานหนุ่มกล่าวเสียงนุ่ม แม้จะรู้สึกคะเขินเล็กน้อยกับลูกค้าอย่างมินซอก แต่พอเจอสายตาน่ากลัวของคนตัวสูงข้างหลังก็ต้องรีบเก็บพับความรู้สึกลงไปให้มิดที่สุด เพราะพอจะจำได้เหมือนกันว่าผู้ชายตัวสูงที่ตามคนน่ารักนี้มาเป็นหุ้นส่วนของห้างหรูนี้ ขื่นทำสายตาหวานเยิ้มกับคนของอี้ฟาน ตนอาจจะโดนไล่ออกก็ได้ซึ้งเขาไม่ควรเสี่ยงเด็ดขาด

     

    “อี้ฟาน เอาอันนี้ๆ” อี้ฟานลากสายตามองตามนิ้วเรียวที่ชี้ย้ำๆบนกระจกสีใส ข้างล่างเป็นแหวนที่ทางร้านเก็บไว้อย่างดี ตั้งโชว์ดูสวยงาม ข้างๆมีป้ายราคาขนาดเล็กแต่ราคาไม่เล็กตามตั้งไว้ใกล้ๆกับแหวน

     

    “เท่าไหร่” หันไปถามกับพนักงานหนุ่มด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

    “เก้าหมื่นหยวนครับ” 

     

    “เอาวงนี้ครับ”  มินซอกชี้ย้ำให้พนักงาน ฉีกยิ้มหวานเป็นมิตรไปให้ แอบเคลิ้มเบาๆแต่พอเจอสายตานิ่งๆของอี้ฟานก็ต้องรีบสะบัดความคิด เดินไปหยิบแหวนเงินวาวออกจากตู้โชว์อย่างระมัดระวัง อี้ฟานยื่นบัตรแบล็คการ์ดไปให้ พนักงานหนุ่มรีบหยิบรูดกับเครื่องและส่งคืนให้อี้ฟานด้วยความรวดเร็ว  มินซอกหยิบขึ้นกำลังจะยกสวมใส่แต่มือใหญ่ของอี้ฟานก็ชิงดึงไปเสียก่อน

     

    “หื้อ?” มินซอกเงยมองด้วยความสงสัย อี้ฟานยกมือนิ่มขึ้นมาแล้วจึงบรรจงสวมใส่นิ้วนางซ้าย ตามด้วยกดจูบลงบนหลังมือเบาๆ ส่งผลให้ร่างบางยกยิ้มเขินน้อยๆ เอยเสียงหวาน

    “ขอบคุณครับ”

     

     

    “หิวรึยัง?” หลังจากเกินออกจากร้านมาได้ซักพัก อี้ฟานถามประโยคเดิมย้ำอีกรอบ มินซอกพยักหน้าเบาๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าท้องเรียบเบาๆ

     

    “หิวแล้ว หาอะไรกินเถอะ”

     

    “จะกินร้านไหนละ?”

     

    แต่สุดท้ายมินซอกก็ให้อี้ฟานเป็นคนตัดสิ้นใจเลือกร้านที่จะไปอยู่ดี อี้ฟานเลือกร้านที่ค่อนข้างหรูมีระดับ รู้สึกจะมีแต่พวกไฮโซที่เข้ากันซะส่วนใหญ่ เลยดูไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่เพราะอี้ฟานเกลียดความวุ่นวาย มินซอกก็เออออตามไปเพราะเขาหิวตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักอย่าง เพราะมัวแต่เดินเที่ยวจนเพลิน

     

    “รับอะไรดีครับ?” พนักงานเดินเข้ามาถามพวกเขาด้วยท่าทีนอบน้อมสุภาพทันทีที่นั่งถึงโต๊ะ อี้ฟานเลื่อนเมนูมาให้มินซอกตรงหน้า ก่อนจะรับไปเปิดเองบ้าง ร่างสูงไม่ค่อยหิวเท่าไหร่จึงสั่งเพียงสปาเก็ตตี้และเบียร์เท่านั้น จะมีก็แต่มินซอกที่ร่ายรายการอาหารไม่หยุด จนพนักงานหนุ่มจดแทบไม่ทัน

     

    “เอา เสต็กปลาแซลมอน ไก่รมควัน ไก่อบ ปูมายองเนส อืม... สปาเก็ตตี้คาโปนารา ลาซานย่าผักโขม ผักโขมอบชีส แล้วก็โฮลวีทพิซซ่าครับ”

     

    “เครื่องดื่มขอนมปั่นครับ อี้ฟานเอาอะไรอีกมั้ย?” ท้ายประโยคหันมาถามอี้ฟาน อี้ฟานส่ายหน้ายิ้มตอบกลับ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร  มินซอกจึงหันกลับมาพยักหน้าให้พนักงานเพียงแค่นั้น เพราะคงอีกนานมินซอกเลยยกมือถือขึ้นมากดเล่นฆ่าเวลาเพื่อรออาหารที่กำลังจะนำมาเสิร์ฟ

     

    “สั่งเยอะขนาดนั้นจะกินหมดหรอนั้น?”  อี้ฟานอดที่จะแซวคนตัวเล็กไม่ได้ มินซอกเงยหน้าจากเกมส์ขึ้นมายักคิ้วให้คนรักทีนึ่ง แล้วจึงรีบกลับไปให้ความสนใจกับเกมส์โปรดทันที อี้ฟานส่ายกับความเป็นเด็กของคนรักตัวเอง ทั้งขี้อ้อน เอาแต่ใจ และน่ารักสะกดทุกสายตาจนเขาแอบหึงหวงอยู่บ่อยครั้ง อี้ฟานหลุดออกภวังค์เมื่อพนักงานยกอาหารถยอยมาเสิร์ฟจนโต๊ะที่ตอนแรกว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยเมนูอาหารมากมาย ที่เขาคิดว่ากินคนเดียวไม่หมดแน่ๆ มินซอกรีบเก็บโทรศัพท์ จัดการลงมือกินด้วยความหิวทันที อี้ฟานเงยมองคนตัวเล็กที่ไล่กินแทบจะทุกอย่างที่ขว้างหน้าเป็นพักๆ อดยิ้มกับตัวเองเล็กๆไม่ได้

     

    ไม่นานอาหารที่เขาคิดว่าคงเหลือกลับเหลือเพียงจานเปล่าๆและคราบเศษอาหารน้อยนิด มินซอกเลื่อนมือยกแก้วนมปั่นขึ้นดูดสามสีครั้งจนลดเหลือครึ่งแก้ว เงยขึ้นมองอี้ฟานที่กินเสร็จก่อนเขาไปเพียงไม่นานเท่านั้น

     

    “อี้ฟานของหวานละ จะเอาอะไร?”

     

    “นี้ยังกินไหวอีกหรอเนี่ย? ถ้าอิ่มก็พอเดี๋ยวก็ได้อ้วกกันพอดี” เอยน้ำเสียงติดจะติงหน่อยๆ มินซอกบู่หน้าขัดใจ

     

    “ยังไหวน่า ตอนนี้จะกินของหวาน อี้ฟานไม่ใช่มั้ย? จะได้ไม่สั่งให้” อี้ฟานที่ทนความรั้นของมินซอกไม่ไหว พยักหน้าเออออตามใจมินซอกที่ดูจะมีความสุขในการกินจนเขาแทบจะกลายเป็นคนนอกเวลาที่มินซอกอยู่กับของกิน

     

    “น้องครับ” มินซอกเรียกพยักงานหนุ่มคนเดิม ก่อนจะรับเอาเมนูมาเปิด ไล่ดูหน้าของหวานที่อยากจะกิน นิ้วเรียวชี้ตามรูปภาพ

     

    “เอาเชอรี่ช็อกบอล ช็อกโกแลตฟองดูว์ แล้วก็บัตเตอร์ครีมครับ” มินซอกยื่นรายการเมนูคืนให้พนักงานหนุ่ม อี้ฟานมองมินซอกด้วยสายตาติแกมเป็นห่วง เพราะมินซอกที่ร่ายเมนูมาซะยืดยาวขนาดนั้น 

     

    “กินของหวานเยอะขนาดนี้เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”

     

    “ก็ผมหิวอ่ะ”  มินซอกพองลมจนแก้มแทบจะแตกออกมา อี้ฟานเอื้อมมือขยี้ผมนุ่มสีเปลือกไม้นั้นด้วยความหมั้นเขี้ยว ไม่นานของหวานก็ถูกจัดเสิร์ฟแทนที่ของเก่าๆที่มินซอกกินจนเหลือเพียงจาน ซึ่งแน่นอนมินซอกก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษกับของหวานชุดใหม่ที่มาเสิร์ฟไม่น้อยทีเดียว

     

    “ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา” มินซอกพยักหน้าเข้าใจ แต่หน้าก็ยังจดจ่ออยู่กับพุดดิ้งแสนนุ่มลิ้นไม่ได้เงยมองอี้ฟานแต่อย่างใด อี้ฟานหมุนตัวเดินตรงไปทางห้องน้ำของร้าน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทิ้งให้มินซอกอยู่กับคนที่จ้องมองพวกเขาตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในร้านและจนถึงตอนนี้

     

    เมื่อแน่ใจว่าพ้นคนตัวสูงอุปสรรคใหญ่อย่างอี้ฟาน ขาเรียวยาวก็ลุกขึ้นเต็มความสูงก้าวตรงหรี่ไปยังโต๊ะของมินซอกที่กำลังสนใจอยู่กับการกิน จนไม่ได้สังเกตผู้มาใหม่ชายหนุ่มแทรกตัวลงนั่งที่อี้ฟานพาลทำให้มินซอกคิดว่าเป็นอี้ฟาน

     

    “อ้าว.. ไหนบอกไป ..เห้ย! นาย” มินซอกที่สงสัยว่าทำไมอี้ฟานที่กลับมาเร็วเกินไป พอเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่ติดจะหวานแต่ก็ดูหล่อเหล่ามากทีเดียว และเข้าก็จำมันได้แม้นยำ! ที่นั่งด้วยท่าทีสบายๆส่งยิ้มหวานให้ ในขณะที่มินซอกแทบจะพุ่งพุดดิ้งกระเด็น ติดที่ว่าเสียดายของหรอกนะ

     

    “ฉันชื่อ ลู่หานไม่ใช่นาย”

     

    “ใครเชิญให้นั่งไม่ทราบ?” มินซอกกล่าวเสียงหงุดหงิด ลู่หานทำท่าทีไม่หยี่ระ แลดูจะไม่สะทกกับคำถากถางของอีกคนที่เริ่มโกธรจนน่าแดงอีกแล้ว ลู่หานยกยิ้มกับตัวเอง ไม่รู้เขาคิดไปคนเดียวรึเปล่าว่าใบหน้ามินซอกตอนนี้นะมันน่ารักเป็นบ้า

     

    “หวานกันขนาดนี้ คืนดีกันแล้วหรอ” ลู่หานที่เห็นสองร่างที่เดินเข้ามาในร้านตั้งแต่ต้น จากที่เขากะจะมาหาอะไรกินสักหน่อย แต่พอเห็นคนคุ้นเคยก็เลยจ้องสังเกตมาตั้งแต่ต้น พอสบโอกาสที่อี้ฟานเดินไปเข้าห้องน้ำ จึงรีบลุกพรวดเข้าไปหามินซอกที่นั่งกินอย่างมีความสุข

     

    “คืนดีอะไร ฉันไปทะเลาะกับอี้ฟานตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็ลุกไปซะ! เดี๋ยวอี้ฟานกลับมาจะเข้าใจผิด!  ท้ายประโยคเอยปากไล่ลู่หานอย่างเหลืออด แม้จะยังคุมเครือกับคำพูดอีกฝ่ายก็ตามที ลู่หานรู้สึกเคืองขึ้นมาตงิด ๆ ที่มินซอกลืมอย่างง่ายดายทั้งๆที่แผลบนใบหน้าของเขายังเด่นชัดถึงเพียงนี้

     

    “ความผิดของคนรักนายนี้ลืมง่ายจังนะ ทั้งๆที่แผลบนใบหน้าฉันรู้สึกจะยังไม่หายไปง่ายๆซะด้วยสิ!  ลู่หานกล่าวเสียงเรียบเหมือนพยายามระงับอารมณ์กรุ่น มินซอกมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง พอสังเกตดีๆใบหน้าหวานนั้นก็มีแผลช้ำที่ข้างแก้มเพิ่มขึ้นมาอีก อยากจะถามแต่เขากับลู่หานไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่จะพูดคุยกันดีๆได้

     

    “พล่ามเสร็จก็ลุกไปได้แล้ว”

     

    “ฉันไปแน่ แต่ขออยู่ทักทายอี้ฟานของนายก่อนดีกว่า” ลู่หานกระตุกยิ้ม เมื่อคิดเรื่องสนุกๆได้ ในขณะที่มินซอกเริ่มกลัวว่าเรื่องมันจะวุ่นวายไปกันใหญ่ มือเล็กกวักเรียกพนักงานที่เดินไปมา

     

    “น้องครับ เช็คบิล!” เสียงเล็กนุ่มเรียกพนักงานหนุ่มของร้าน ก่อนมือเล็กจะหยิบการ์ดเครดิตแทนเงินสด แล้วจึงยันตัวลุกขึ้นเต็มความสูง แม้ในใจอยากจะกินต่อแต่ขื่นอยู่ต่อแล้วอี้ฟานมาเจอ เขากลัวอี้ฟานเข้าใจผิดและก็ขี้เกียจอธิบายอะไรด้วย จึงรีบตัดไฟแต่ต้นลมค่อยไปหากินที่อื่นต่อก็ได้

     

    “นายไม่ไป ฉันไปเอง!” หากแต่ขาที่กำลังจะก้าวออกจากโต๊ะชะงักเพราะถูกมือของลู่หานคว้าจับไว้แน่น พยายามสะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด

     

    “เดี๋ยวก่อนสิ จะรีบไปไหน”

     

    “ปล่อย! ฉันจะกลับ”  เป็นจังหวะที่พนักงานเดินเอาบัตรที่ชำระเงินเสร็จแล้วมาคืนเขา มินซอกเอยขู่เสียงเบา “ถ้านายไม่ปล่อยฉันจะเรียกให้คนช่วย”

     

    “โอเค” ลู่หานยอมปล่อยแต่โดยดี มินซอกเช็ดมือลวกๆ ก่อนจะคว้าบัตรของตนยัดใส่กระเป๋ากางเกง ยกมือถือขึ้นต่อสายไปหาอี้ฟาน

     

    “อี้ฟานผมจะไปรอที่รถนะ ..เงินจ่ายแล้ว แล้วเจอกัน” เมื่อหมดธุระ โทรศัพท์ราคาแพงก็ถูกยัดลงเข้าที่เดิม ลู่หานจิ๊ในลำคอด้วยความหงุดหงิดแล้วจึงรีบเดินตามมินซอกไปทันที เขาไม่ชอบให้ใครมาเดินหนี ...แต่สำหรับมินซอกแบบนี้ชักอยากจะปราบพยศเสียจริง ส่วนถ้าอี้ฟานอะไรนั้นมาเห็นเขากับมินซอกมันก็ผลพลอยได้ หึ

     

    “นี้นาย! เลิกเดินตามฉันสักที!!” ความอดทนของมินซอกไม่เคยยาวครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะความเหลืออดมินซอกจึงตวาดลั่นห้าง จนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามองเขาครู่นึ่ง

     

    “ฉันบอกฉันชื่อลู่หาน ..ไหนเรียกสิ ลู่-หาน”

     

    “ไอ้-โรค-จิต” มินซอกกรอกตาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะอ้าปากพูดเน้นทีละคำ ลู่หานมองค้อนกลับมา ยังไม่ทันจะว่าอะไรมินซอกก็รีบหมุนตัวเดินออกไป จนเขาต้องเร่งฝีเท้าตามให้ทัน

     

    ขาก็สั้นทำไมเดินเร็วจังวะ!

     

    “เห้! ด่าแล้วคิดจะเดินหนีรึไง”

     

    “ไม่ได้หนีแล้วก็เลิกตามฉันได้แล้ว รำคาญ!” มินซอกโต้กลับ แม้จะยังเดินต่อไปไม่หันกลับมามองหน้าลู่หานตรงๆก็ตาม

     

    “นายก็หยุดเดินสิ ฉันเหนื่อยนะ” ลู่หานพูดความจริง เขาเริ่มเหนื่อยแล้วจริงๆนั้นแหล่ะ มีก็แต่มินซอกที่ยังคงเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ ลู่หานตัดสิ้นใจคว้าแขนเล็กจนมินซอกปลิวเข้ากระแทกกับหน้าอกกว้างของเขา

     

    “ทำบ้าอะไร! เจ็บนะ” มินซอกดีดตัวออกอย่างรวดเร็ว คิ้วโค้งสวยตีกันยุ่ง เขาไม่ชอบให้คนไม่สนิทหรือพวกไม่รู้จักมาแตะตัว ไม่ชอบ! และลู่หานก็คงจะอ่านสายตาของอีกฝ่ายออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

     

    “โอเค ไม่จับก็ได้แต่ช่วยหยุดเดินก่อนได้มั้ย มันเหนื่อย” มินซอกเริ่มสงบลง แม้จะหายใจฟึดฝัดเพราะความหงุดหงิดอยู่ก็ตาม เขาเองก็เหนื่อยที่จะต้องเดินหนีคนจอมตื๊อแบบลู่หานแล้วเหมือนกัน

     

    “มีอะไรจะพูดก็รีบพูด”  ลู่หานยกยิ้ม เชื่อว่ารอยยิ้มนี้ของลู่หานอาจจะทำให้สาวๆหลอมละลายก็ตาม แต่ในสายตาของมินซอกมันช่าง...

     

    “ยิ้มจนตีนกาจะโผล่ออกมาอยู่แล้ว น่ากลัวชะมัดเลยนายเนี่ย” ดวงตาเล็กเรียวของมินซอกหยีตาเบะปากยื่น ยกมือลูบแขนตัวเองปอยๆแสดงท่าทางที่อาจดูน่ารักสำหรับคนผ่านไปมา แต่มันช่างกวนประสาทลู่หานเป็นบ้า

     

    “นายว่าฉันหรอ!

     

    “อยู่กันสองคนฉันคุยกับตีนกานายมั้ง พูดไม่คิด” มินซอกแลบลิ้นสะใจที่เริ่มเห็นเส้นเอ็ดปูดขึ้นจากการฟันขบกันแน่นของลู่หาน

     

    ยังไม่ทันที่ลู่หานจะตอบโต้อะไร การปรากฏตัวของผู้มาใหม่ทำให้มินซอกที่กำลังแลบลิ้นชะงัก ก่อนใบหน้าหวานจะเจื่อนลงน้อยๆ ลู่หานหันกลับไปมองด้านหลังเจออี้ฟานก็รีบยกยิ้มขึ้นทันที

     

    “ไหนบอกจะไปรอที่รถ” น้ำเสียงราบนิ่งของอี้ฟานทำมินซอกส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้ ขาเล็กก้าวเข้าไปคว้าแขนอี้ฟานออกแรงดึงให้เดินตาม

     

    “ผมว่าจะรออี้ฟานก่อนอ่า งั้นเราไปกันเถอะ”

     

    “เดี๋ยวซี้.. จะรีบไปไหนกันล่ะ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับแฟนนายเลยนะ”  แขนที่ว่างอีกข้างของมินซอกถูกจับไว้โดยลู่หาน มินซอกพยายามสะบัด ยิ่งเห็นสีหน้าร้อนรนของมินซอกลู่หานก็รู้สึกสนุกขึ้นมาประหลาด แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด เมื่ออี้ฟานแสดงท่าทีต่างจากที่เขาคิดไว้มากโข

     

    “สวัสดีครับ ผมอี้ฟานคนรักของมินซอก ยินดีที่ได้รู้จัก”  รอยยิ้มละลายใจสาวปรากฏขึ้นน้อยๆบนใบหน้าราวกับรูปปั้นแกะสลักของอี้ฟานทำลู่หานชะงัก ท่าทีของอี้ฟานที่แสดงออกราวกับไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกับเขามาก่อน ทั้งๆที่วันก่อนอี้ฟานที่โกธรเป็นฝืนเป็นไฟแทบจะฆ่าเขาให้ตายเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ท่าทีอีกฝ่ายกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิงจนเขาไปไม่เป็น

     

    “นายเป็นเพื่อนที่มหาลัยของมินซอกงั้นหรอ? ฉันไม่เคยเห็นหน้าเลย” ลู่หานสะดุดกับคำพูดของอี้ฟาน ดวงตากว้างเบิกมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีหยั่งเชิง

     

    ไม่เคยเห็นหน้า!?

     

    “เหอะ! ตลกไม่เคยเห็นหน้าแล้วรอยแผลบนใบหน้าฉันหมาตัวไหนมันฝากไว้ไม่ทราบ” ลู่หานกดเสียงเรียบ อี้ฟานยกยิ้มสะใจเพียงเสี้ยวนาที ก่อนจะแสร้งขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

    “โทษนะ ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด” มือแกร่งดึงมือมินซอกออกจากลู่หาน เอามากุมไว้แน่น มินซอกเองที่ก็สงสัยในคำพูดของลู่หานแต่ก็ไม่ได้เอยถามอะไรออกไป

     

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะ...” อี้ฟานเว้นประโยคเป็นเชิงถามชื่ออีกฝ่ายกลางๆ ลู่หานขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ยอมต่อประโยคอีกฝ่ายกลับ

     

    “ลู่หาน”

     

    “ลู่หาน ..อืม ขอตัวก่อนนะ พอดีฉันรีบกลับไปทำธุระต่ออีกคงไม่มีเวลาพอที่จะคุยกับนายต่อไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน” ไม่รู้ว่าลู่หานเป็นฝ่ายที่คิดไปเองรึเปล่าว่าอี้ฟานจงใจกดย้ำเสียงที่ประโยคท้าย รู้ตัวอีกทีสองร่างนั้นก็เดินออกไปไกลแล้ว

     

    “แม่ง เล่นตลกอะไรกันว่ะ!” ลู่หานสบถกับตัวเองอย่างหัวเสียรู้สึกมึนงงกับทั้งมินซอกและอี้ฟานที่ทำราวกลับเหมือนไม่เคยเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทที่หน้ามหาลัยนั้นขึ้น อย่างกับพึ่งเจอเขาครั้งแรกอย่างไงอย่างงั้น จนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายที่ลู่หานเองที่ต้องเตะอากาศด้วยความหงุดหงิด มือหนาหยิบแว่นดำราคาแพงขึ้นมาสวมก่อนจะก้าวออกจากห้างหรูไป

     

     

    มินซอกทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะหรูด้วยสีหน้าติดจะเหวี่ยงนิดๆ ส่วนมืออีกข้างจับโคนไอศครีมรสช็อกโกแลตรสโปรด ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นเล่นเกมส์ในโทรศัพท์ไม่เลิก เขาสองคนขับรถออกจากห้างหรูมาได้สักระยะนึ่งแล้ว ก่อนจะออกมามินซอกก็อ้อนขอซื้อไอศครีมกินเพราะยังไม่อิ่มอี้ฟานก็ได้แต่พยักหน้าตามใจอีกฝ่าย

     

    “ผู้ชายที่ชื่อลู่หานเป็นเพื่อนกันงั้นหรอ” หลังจากเงียบมานานอี้ฟานก็เอยทำลายบรรยากาศเงียบขึ้น มินซอกส่ายหน้าเบาๆ แม้สายตายังคงจับจ้องที่หน้าจอขนาด 4 นิ้วไม่ห่างก็ตาม

     

     “แต่เขาบอกว่ารู้จักนาย”

     

    “อย่าไปสนเลย พวกโรคจิตน่ารำคาญ” มินซอกหยุดเกมส์หันมาเบะปากใส่อี้ฟานเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงพูดถึงหมอนั้นไม่หยุด อี้ฟานกระตุกยิ้มบางๆ พยักหน้าน้อยๆตามใจอีกฝ่าย มินซอกจึงกลับไปสนใจ

     

    “อ่า..เย็นจัง”  มินซอกร้องออกมาเบาๆ เพราะความเย็นของไอศกรีมโคนที่ตัวเองกำลังเลีย ตอนนี้พวกเขากำลังติดไฟแดงทำให้ได้แต่รอ มีแต่มินซอกที่กำลังกินโดยไม่สังเกตรอบกายอะไรเลย อี้ฟานเหลือบมองเป็นพักๆ คนตัวเล็กจะรู้มั้ยนะว่ากำลังทำให้เขาเกิดอารมณ์ขนาดไหน ทั้งปากเล็กอมชมพูและลิ้นเรียวเล็กน่ารักนั้นที่เลียรอบโคนก่อนจะอมแล้วคายออกมา มันพาลทำให้สติของอี้ฟานกระเจิงได้ไม่ยากจริงๆนั้นแหล่ะ

     

    เพราะเสียงหอบหายใจที่เริ่มดังขึ้นของอี้ฟานทำให้มินซอกหันมาให้ความสนใจ มือเล็กแตะเบาๆที่ต้นขาใหญ่ เขารู้ว่ามินซอกไม่ได้ต้องการยั่วเขาแต่ที่ทำไปเพราะมินซอกไร้เดียงสาเหลือเกินนี้สิ

     

    “อี้ฟาน เป็นอะไรรึเปล่า? ร้อนหรอเหงื่อแตกเชียวปรับแอร์มั้ย?” มือเล็กเอื้อมจะปรับแอร์ แต่อี้ฟานยกมือขึ้นปรามเสียก่อน

     

    “มะ ไม่เป็นไร ฉันโอเค” แม้จะยังสงสัยอยู่ก็ตามแต่ก็ยอมเชื่อฟังคนตัวใหญ่อย่างอี้ฟาน ลดตัวลงนั่งที่เดิม อี้ฟานพยายามข่มความคิดเรื่องอย่างว่าให้หมด นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เกิดอารมณ์ง่ายๆกับใครก็ได้ แต่สำหรับมินซอกราวกับมินซอกมีพลังบางอย่างที่อยู่ใกล้ แค่ได้กลิ่นกายสมองมันก็คิดแต่เรื่องอย่างว่าไม่หยุด แต่จู่ๆคำพูดของชานยอลมันก็ลอยเข้ามากระทบโซนประสาทของเขาเสียงดัง

     

    หรือมึงอยากจะให้ทุกอย่างที่ผ่านมาพังหมด! ความพยายามตลอด 8 เดือนล้มเหลว

     

    มือแกร่งบีบเข้าที่พวงมาลัยแน่น ขบกรามข่มอารมณ์ไว้ให้มากที่สุด สะบัดหัวให้หยุดคิดเรื่องอย่างว่า สายตาคมเพ่งมองทางข้างหน้า ก่อนจะรีบเหยียบให้เร็วเพื่อให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุด รถหรูเลี้ยวเข้าคฤหาสน์กว้าง จอดเทียบให้คนตัวเล็ก

     

    “นายเข้าบ้านไปก่อนเลย พอดีอี้ชิงพึงโทรมาบอกว่างานมีปัญหานิดหน่อยฉันจะรีบไปแก้ แล้วจะกลับมาทานข้าวเย็นด้วย” มินซอกพยักหน้าเบาๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยออก เอื้อมจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากหนาของคนรักนึ่งที

     

    “อ่า ..ครับ”  มินซอกส่งยิ้มหวาน ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตูรถ โบกมือให้อี้ฟานแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้านไป พอลับหลังรถสปอร์ตหรูก็เคลื่อนตัวด้วยความเร็วออกจากบริเวณบ้าน มือแกร่งกดเบอร์ไปยังสายสำคัญทันที

     

    “อยู่ไหน ..ฉันกำลังจะไปหา

     

    ไม่นานรถสปอร์ตหรูก็เคลื่อนเข้าคอนโดที่เขาแสนคุ้นเคยดี ขาเรียวก้าวอาจๆเข้าคอนโดหรู กดลิฟต์ไปยังชั้นที่ตนต้องการ ลิฟต์เปิดอ้าออกกว้างอี้ฟานก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องห้องนึ่ง มือใหญ่หยิบคีย์การ์ดเสียบรูดเข้าก่อนจะเปิดประตูเข้าไปสายตาเฉียวกวาดมองรอบๆห้องเพื่อหาร่างที่ตนต้องการพบ สัมผัสที่หลังทำให้อี้ฟานกระตุกยิ้มวงแขนเล็กที่โอบกอดเอวหนาก่อนนิ้วเรียวจะไล่เข้าใต้เนื้อผ้าที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามสมส่วน

     

    “คิดถึงจังเลย” น้ำเสียงยั่วยวนดังขึ้นเบาๆ อี้ฟานผลิกหน้าก่อนจะคว้าแขนเล็ก ผลักลงบนเตียงนุ่ม โถมตัวเข้าใส่ราวกับคนอดยากเรื่องอย่างว่ามานาน ใบหน้าดูดีก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาวที่เขาลิ้มลองมันทุกครั้ง มือเลื่อยลงกระตุกกางเกงขาสั่นที่อีกคนใส่จนร่นลงไปอยู่บนหัวเข่าเนียน

     

    “นี้มินซอกทำคุณอดอยากขนาดนี้เชียวหรอ อื้อ..อ๊า อี้ฟาน” เสียงเล็กเอยยั่วยวน ก่อนมือเล็กจะค่อยๆยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งเบาๆ อี้ฟานไม่รอช้าปลดเข็มขัดควักไอ้นั้นที่มันพองแน่นเต็มที่ออกมา ก่อนจะสอดใส่ทีเดียวจนสุดริมฝีปากเล็กเม้มแน่นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเซ็กส์ของคนตรงหน้าร้อนแรงไม่เคยเปลี่ยน ..แม้มันจะป่าเถื่อนมากก็ตาม

     

    “หุบปาก อื้ม...ซะ แบคฮยอน

     

     

    มินซอกเดินเข้ามาในบ้านมือเล็กถือของที่ตนได้ซื้อมาเข้าในบ้าน พวกการ์ดที่ยืนประจำจุดโค้งให้ก่อนจะรีบปรี่เข้ามาช่วยถือของกันยกใหญ่ จนมินซอกต้องยกมือเป็นเชิงห้าม

     

    “ไม่เป็นไร ของมีนิดเดียวเอง” ยิ้มหวานจนพวกการ์ดละลายไปตามๆกัน ทุกคนรักมินซอกมากเพราะเป็นคนนิสัยดีและไม่ถือตัว เคลิ้มได้แปบเดียวก็ต้องรีบสะบัดความคิดกลับไปทำงานของตนเอง หากอี้ฟานนายใหญ่มาเห็นตนคงไม่แคล้วมีสภาพเละไม่เป็นคนหรือหนักสุดก็คงกลายเป็นร่างไร้ลมหายใจ ใครใครก็รู้ดีว่าอี้ฟานเป็นคนที่หวงมินซอกมากขนาดไหน มีแต่เจ้าตัวนั้นแหล่ะที่ไม่รู้ถึงความหึงหวงรุนแรงอะไรของอี้ฟานเลยสักนิด

     

    “คุณหนูกลับมาแล้วหรอคะ แล้วคุณอี้ฟานล่ะค่ะ?” มินซอกเงยหน้ามองคุณแม่บ้านที่กำลังหอบของพะรุงพะรัง มือเหี่ยวย่นถือลังขนาดใหญ่ข้างในเต็มไปด้วยของอะไรสักอย่างแต่สภาพแล้วฝุ่นที่เกาะกรังที่แค่เผลอทำสะเทือนนิดเดียวก็อาจฟุ้งเต็มอากาศแน่ คุณแม่บ้านเป็นคนเก่าแก่ของบ้านหลังนี้เลยก็ว่าได้ ทำงานอยู่ที่นี้มานาน ทำให้อี้ฟานค่อนข้างเคารพแกพอสมควร มินซอกเองก็ด้วย

     

    “ครับ อี้ฟานบอกมีงานต้องรีบทำจัดการที่บริษัท พึ่งขับออกไปเมื่อกี้เอง ว่าแต่ป้าจะเอาของพวกนี้ไปไหนหรอครับ?” มินซอกว่าแล้วเบี่ยงตามองของในลัง คุณแม่บ้านยิ้มอ่อนโยน

     

    “พอดีป้าไปทำความสะอาดห้องคุณ.. เอ่อ ห้องเก่าที่ไม่ได้ใช้นะค่ะ” มินซอกขมวดคิ้วแน่น ยิ่งท่าทีเหมือนมีพิรุธของคุณแม่บ้านทำเขาอยากไซร้มากกว่านี้ แต่เพราะความเกรงใจจึงพยักหน้าน้อยๆ

     

    “อ่า..ครับ”

     

    “งั้นป้าขอตัวก่อนนะคะ” มินซอกยิ้มเดินสวนขึ้นไปบนห้อง มือเล็กวางของที่ไปซื้อส่วนใหญ่จะเป็นพวกของกินเสียมากกว่าลงบนโซฟาตัวกว้าง  แล้วเดินมาทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนนุ่ม ตาที่กำลังปิดต้องถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์

     

    “ครับอี้ชิง” มินซอกตอบเสียงสุภาพลงไปในสาย แต่คำถามของคนในสายทำให้เขาต้องขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง

     

    ครับ คุณอี้ฟานอยู่ด้วยมั้ยครับ? 

     

    “เห้ อี้ฟาน?”

     

    ครับ พอดีมีงานด่วนเข้านะครับ ผมโทรเข้ามือถือก็ไม่รับ

     

    แต่อี้ฟานบอกว่าอี้ชิงโทรมาตามเข้าบริษัทไม่ใช่หรอครับ พึ่งออกไปไม่นานนี้เองหลังจากส่งผมถึงบ้านปลายสายเงียบไปครู่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ต่างจากมินซอกนัก

     

    คงมีเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ขอตัวครับ

     

    “อี้ชิง เดี๋ยว.. ตู๊ดตู๊ด..” ยังไม่ทันกล่าวอะไร อี้ชิงก็ชิงวางสายไปเสียแล้ว มินซอกบู่หน้า โยนมือถือลงบนเตียงหรือสิ่งที่อี้ฟานพูดจะเป็นเรื่องโกหก? อี้ฟานโกหกเขาอย่างงั้นหรอ?... แล้วจะโกหกทำไม? โกหกเรื่องอะไร? มินซอกล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แม้จะยังคาใจอยู่มากก็ตามว่าทำไมอี้ฟานต้องโกหกเขา แต่เพราะความเหนื่อยล้าทำให้เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งก่อนจะปิดลงเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด

     

     

    “เดี๋ยวสิ คุณจะไปแล้วหรอผมยังไม่หายคิดถึงเลยนะ”  แบคฮยอนกอดรั้งเอวเปื่อยเปล่าของอี้ฟานไว้หลวมๆ หลังเสร็จเรื่องอย่างว่าอี้ฟานก็รีบผละลุกจากเตียงนุ่มทันที ใบหน้าหวานแนบแก้มนุ่มลงแผ่นหลังกว้างอ้อนอีกฝ่ายราวกับลูกแมวน้อยที่ไม่อยากให้เจ้าของทิ้งมันไว้ตัวเดียวอีก ในสายตาของคนอื่นมันอาจจะดูน่ารักและอยากจะอยู่กับเจ้าแมวตัวนี้ตามการอ้อน

     

    แต่ไม่ใช่สำหรับเขา...

     

    “ปล่อย ฉันรีบ” อี้ฟานกล่าวเสียงเรียบดึงมือเล็กของอีกฝ่ายให้หลุด ลุกขึ้นจากเตียงนุ่มคว้ากางเกงขึ้นใส่ แบคฮยอนทำสีหน้าเกรียวกราดแต่ก็ต้องรีบเก็บอาการไว้เพราะถ้าหากอี้ฟานสังเกตเห็นมัน เขานี้แหล่ะ...ที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัว

     

    “ทำไมคุณไม่มาหาผมบ้างเลย ผมคิดถึงคุณนะ” แบคฮยอนกล่าวเสียงสลด แม้จะยังนั่งอยู่บนเตียงด้วยสภาพเปื่อยเปล่าไม่ต่างจากคนตัวสูง มีเพียงผ้าห่มผื่นหนาที่คลุมท่อนล่างไว้เท่านั้น

     

    “ฉันก็มาหานี้แล้วไง”

     

    “แต่แค่แปบเดียว...!! เอ่อ..ผมขอโทษ” แบคฮยอนที่เผลอขึ้นเสียงดัง แต่พอแววตาเรียบนิ่งแสนเย็นชาของอี้ฟานที่ตวัดกลับมาทำให้แบคฮยอนตัวสั่นเกร็ง เอยขอโทษเสียงแผ่ว

     

    “อย่าทำตัวงี่เง่าแบบนี้ให้ฉันเห็นอีก”

     

    “ครับ” แบคฮยอนขานรับเสียงเรียบ แต่มือนุ่มจิกผ้าปูที่นอนแน่นจนมือแดงเถือก โชคดีที่มีผ้าห่มผื่นหนาปกไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเจ้าตัวกำลังทำอะไรอยู่ และอยู่ในอารมณ์รุนแรงขนาดไหน

     

    “แล้วเรื่องของมินซอก ที่มหาลัยมีใครกล้ายุ่งกับคนของฉันรึเปล่า” คนตัวสูงเปลี่ยนประเด็น ยิ่งเสียงทุ้มนิ่มนั้นเมื่อกล่าวชื่อของอีกคนมันก็ทำให้แบคฮยอนแทบอยากจะกรีดร้องด้วยความแค้นเคืองออกมา แต่ก็พยายามปรับโทนเสียงให้เรียบนิ่งที่สุด

     

    “ไม่ ผมไม่เห็นใครมาเจอะแจะกับมินซอกเท่าไหร่”

     

    “แล้วผู้ชายที่ชื่อลู่หาน นายรู้จักมันมั้ย” แบคฮยอนขมวดคิ้วแน่นส่ายหน้าเบาๆ

     

    “ไม่ครับ ผมไม่เคยเห็นมินซอกมีเพื่อนชื่อลู่หานมาก่อน เขาเป็นใครงั้นหรอ?” เสียงนิ่มของแบคฮยอนเอยออกไปด้วยความสงสัย  อี้ฟานไม่ตอบแต่คว้าเสื้อยืดของตนขึ้นมาใส่ ก่อนจะจัดมันให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อสำรวจว่าเรียบร้อยดีแล้วมือแกร่งก็หยิบปากและเช็คเงินสดขึ้นมา

    “ของนาย” กล่าวเสียงเรียบ โยนกระดาษเช็คสีขาวที่ระบุจำนวนเงินที่ทำให้แบคฮยอนมีใช้ทั้งเดือนแบบสบายๆเลยด้วยซ้ำ

     

    “ขอบคุณครับ” ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้น มือเล็กโอบรอบลำคอแกร่งเขย่งตัวขึ้นจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากหนา

     

    “คอยรายงานฉันเกี่ยวกับมินซอกที่มหาลัย แล้วถ้าว่างๆฉันจะมาหา” กล่าวจบ อี้ฟานก็หมุนตัวเดินออกจากห้องหรูไป ไม่ลืมที่จะคว้ากุญแจรถลงไปด้วย ทิ้งให้แบคฮยอนที่ยังยืนนิ่งก่อนยิ้มหวานที่เคลือบบนใบหน้าสวยเมื่อกี้จะลดลงเหลือเพียงแววตาที่ต้องการทุกอย่าง

     

    “สักวันคุณจะต้องเป็นของฉัน แบคฮยอน ไม่ใช่ มินซอก!” มือเรียวจิกเข้าหากันแน่น จนเล็บยาวฝั่งลงกับเนื้อนุ่ม แต่แบคฮยอนกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด สายตาที่ถูกขีดด้วยอายไลเนอร์แพงตวัดไปมองเช็คเงินสดก่อนจะคลี่ยิ้มสวยออกมาอย่างพึงพอใจ มือเอื้อมยิ้มขึ้นมาพินิจตัวเลขบนกระดาษขาว

     

    “สามแสนหยวน ...”

     

    “ฉันต้องได้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่เศษเงินกระจอกๆนี้ คอยดูเถอะ... มินซอก!” แบคฮยอนเดินกลับไปคว้ามือถือเครื่องหรูของตนขึ้น ยกยิ้มตามด้วยจิ้มกดปุ่มสีแดงที่ขึ้นหราบนหน้าจอใหญ่อย่างไม่รีรอ

     

    Record

     

    “อยากรู้จริงๆ.. ถ้าคนของคุณมันได้ฟังเสียงพวกนี้จะทำหน้ายังไงกันน้า? คิกคิก

     

     

    สายลมอ่อนๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้าสวยเบาๆ มินซอกเปิดเปลือกตาหนาขึ้น กระพริบตาติดๆปรือมองรอบๆก็ต้องขมวดคิ้วแน่น คำคำนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเขาขึ้นมาว่า

     

    ที่นี้ที่ไหน?

     

    เขาจำได้แน่ใจว่าที่สุดท้ายที่เขาอยู่คือในห้องและเผลอหลับไป แต่พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็นอนอยู่บนเตียงนิ่มขาวขนาดกว้าง มินซอกชันตัวลุกขึ้นกวาดสายตามองรอบๆ ข้าวของเครื่องใช้ที่ดูเหมือนมีคนใช้ทำให้แน่ใจว่าห้องนี้มีคนอยู่แน่นอน

     

    แอ๊ด

     

    เสียงประตูที่เปิดออกทำให้มินซอกหันไปมองได้ไม่ยาก แต่ผู้ที่มาใหม่ทำให้มินซอกขมวดคิ้วแน่นเข้าหากัน ก่อนจะเบิกตากว้าง

     

    “นาย นายที่อยู่ในฝันของฉัน...” ริมฝีปากเล็กขยับเอยเสียงแผ่ว ใช่แล้วผู้ชายที่มาใหม่คือคนคนเดียวกับที่อยู่ในฝันของเขาเมื่อครั้งก่อน คนที่ร้องบทเพลงอันแสนเศร้าสร้อยนั้น มินซอกหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงทุ้มอบอุ่นนั้นดังขึ้น

     

    “ซิ่วหมิน” เขาเอยเสียงทุ้มหูน่าฟัง ก่อนริมฝีปากหยักจะคลี่ยิ้มอันแสนอบอุ่นที่ขนาดมินซอกยังพลอยรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น

     

    “ฉันไม่ได้ชื่อซิ่วหมิน ฉันชื่อมินซอก” แต่เพราะคำที่อีกฝ่ายเอยมานั้นไม่ใช่ชื่อของตัวเองมินซอกเลยท้วงกลับไปใบหน้าหวานติดงงงวยเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นไม่ตอบกลับมาเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ ส่ายหน้าเบาๆ

     

    “นายชื่อซิ่วหมิน”

     

    “ไม่! ฉันไม่ได้ชื่อซิ่วหมิน” น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดของมินซอกไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดสักนิด กลับทำให้คนตัวสูงกว่าหัวเราะออกมาขึ้นเรื่อยๆจนมินซอกเริ่มจะโมโหจริงๆซะแล้วสิ

     

    “......”  จู่ๆผู้ชายคนตรงหน้าของมินซอกก็หยุดหัวเราะไปเสียดื้อๆ รอยยิ้มจางๆนั้นก็ค่อยๆหุบลงช้าๆ มินซอกเงยมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย จู่ๆเหตุการณ์ต่อไปที่มันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา

     

    ปัง!

     

    เสียงลั่นไกรปืนทำให้มินซอกสะดุ้งโหย่ง แต่ภาพตรงหน้ามันทำให้มินซอกช็อกจนแทบเป็นลม เมื่อจู่ๆผู้ชายตรงหน้าของเขาก็ค่อยๆล้มทรุดลงช้าๆ ก่อนเลือดสีแดงฉาดจะไหลทะลักออกมานองเป็นพื้น มินซอกเบิกตาขึ้นกว้างหายใจติดขัด จู่ๆน้ำตาที่ไหนไม่รู้ของเขาก็ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก สติของเขาแทบกระเจิงกับภาพตรงหน้า ตัวนิ่งงั้นราวกับถูกสาป

     

    “นาย!!!!!

     

     

    “เฮือก!..  เสียงผวาถูกเปล่งออกมาก้องห้องใหญ่ ดวงตากลมเบิกกว้างยันตัวลุกขึ้นนั่ง หอบหายใจถี่ราวกับเขาพึ่งไปวิ่งมาเป็นกิโลๆก็ไม่ปาน ไหนจะเหงื่อที่ท้วมหน้าผากนูนจนมินซอกต้องยกมือขึ้นปาด มือเขาเย็นเฉียบทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีใครไปเร่งอุณหภูมิแอร์เลยสักนิด

     

    “ฝัน... ฝันบ้าอะไรว่ะเนี่ย”  มินซอกล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เมื่อลองยกมือขึ้นกุมที่ใจยังเต้นไม่เป็นสับอยู่จนเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ

     

    ราวกับเรื่องในฝันมันเคยเกิดขึ้นจริงๆ

     

    เหมือนจริง ..เหมือนจริงซะจนเขาหวาดกลัว

     

    ยิ่งเสียงลั่นไกรปืนนั้น มันยังคงดังก้องในหูของเขาไม่หายไปไหน จนมินซอกต้องทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ทั้งๆที่เขาเลิกฝันบ้าๆแบบนั้นแล้วเชียว แต่วันนี้กลับฝันอีกครั้ง..แต่ครั้งนี้มันช่างน่ากลัว น่ากลัวเสียจนเขาไม่อยากที่จะนอน เพราะกลัวฝันแบบนั้นอีก

     

    ไม่เอาแล้ว

     

    ครั้งเดียวก็เกินพอ..

     

    มินซอกตัดสิ้นใจดันตัวลุกขึ้น ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง กะจะลงไปหาอะไรกินสักหน่อย ขาที่ก้าวพ้นประตูห้องไปเพียงนิดเดียวต้องชะงัก เมื่อจู่ๆลมอะไรบางอย่างมันก็ลอยเข้าปะทะกับหน้าเขาอย่างจัง คิ้วโค้งขมวดเข้าหากันแน่น สายตาเหลือบหาต้นตอของลม เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูไม้ของห้องที่อยู่ริมสุดค่อยๆเปิดอ้าออกมา ราวกับต้องการเชิญชวนให้เขาเข้าไป

     

    ที่ที่ถูกปิดร้างมานาน

     

    ที่ที่อี้ฟานสั่งห้ามเขานักหนาว่าห้ามเข้าไป..

     

    แขนเรียวที่กำลังเอื้อมจับลูกบิดเป็นอันต้องต้องชะงัก มินซอกสะดุ้งเล็กน้อยราวกับเด็กที่แอบขโมยของและถูกคุณแม่จับได้ แต่เปลี่ยนแค่คุณแม่เป็น อี้ฟาน เท่านั้น

     

    “นายจะทำอะไร!” อี้ฟานก้าวเท้ายาวๆมาหยุดตรงหน้ามินซอก รั้งจับแขนมินซอกไว้แน่น สายตาวาวโรจน์และดูเหมือนกำลังซ่อนความหวาดหวั่นอะไรบางอย่างทำให้มินซอกเลือกที่จะบิดแขนออกจากผ่ามือแกร่งของคนตัวสูง

     

    “ผมเจ็บ”

     

    “ขอโทษ แต่นายมาทำอะไรที่ห้องนี้” อี้ฟานลดมือลง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวไหววูบและกลายเป็นอ่อนโยนลงอีกครั้ง

     

    “ผมเห็นประตูมันเปิดอยู่ เลยจะเดินมาปิด” สายตาของมินซอกทำอี้ฟานขมวดคิ้วแน่น สายตาของอีกฝ่ายที่มองมาราวกับอี้ฟานมีความผิดติดตัว และกำลังถูกระแวง

     

    “ฉันบอกแล้วไงอย่ามาห้องนี้”

     

    “ทำไม ทำไมผมจะมาไม่ได้?”

     

    “นายไม่เห็นหรอห้องมันร้างมานาน ฝุ่นเยอะนายแพ้ฝุ่นนะ” อี้ฟานพยายามยกเหตุผลมาอ้างจริงอย่างที่บอกมินซอกเขาแพ้ฝุ่นมินซอกจึงยอมพยักหน้าเข้าใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านอี้ฟานไปราวกับคนไม่มีตัวตน อี้ฟานรีบคว้าตัวเข้ามากอดแน่น

     

    “โกธรฉันหรอ?” ก้มลงกระซิบเสียงแผ่วเบา มิฯซอกค่อยๆดึงมืออี้ฟานพลิกหันหน้าเข้ามาตรงๆ

     

    “ไปไหนมา”

     

    “ฉันก็บอกแล้วนิ ว่าไป...”

     

    “อี้ชิงโทรมาบอกว่าโทรเข้าเครื่องอี้ฟานไม่ติดแหนะ” เป็นอี้ฟานที่ชะงักกับคำพูดดักทาง กึ่งคาดคั้นคำตอบจากเขา

     

    “ว่ายังไง ไปไหนมาครับ?” สายตาที่เรียบนิ่งของมินซอกทำอี้ฟานไปไม่ถูก มินซอกเองก็พอจะเดาออกจากรอยแดงๆที่บนลำคอแกร่งนั้นได้ไม่ยาก เขาไม่ได้หึง ไม่ได้โกธร ...

     

    เขาไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น

     

    แต่ที่กำลังยืนคาดคั้นอยู่ตรงนี้ก็เพื่ออะไรเขาเองก็ยังไม่รู้ คงเพราะเขาเป็น คนรักของอี้ฟานละมั้ง ทำให้เขาต้องแสดงอาการเหมือนกำลังหึงหวงแบบนี้ ทั้งๆที่ในใจมันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด...

     

    ทำไมกันนะ

     

    “มินซอกนายหน้าซีดมากนะ เป็นอะไรรึเปล่า?” อี้ฟานเลี่ยงประเด็น มินซอกดูจะขัดใจกับคำตอบคนตัวสูงเล็กน้อย แต่ก็จริงอย่างที่บอกขนาดเจ้าตัวเองยังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ รู้สึกเหงื่อที่มันผุดขึ้นมาเนี่ยเยอะขึ้นแปลกๆ ไหนจะมือที่เย็นเฉียบ

     

    “ไม่ ผมปกติดี” แต่ก็ยังเลือกที่จะตอบปัดไป ขาที่กำลังหมุนตัวเดินออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวล้มพับลงไปกองบนพื้น อี้ฟานตกใจรีบถลาลงไปเขย่ามินซอกในอ้อมแขน

     

    “มินซอก! มินซอก” เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบสนองใดใด อี้ฟานจึงไม่รอช้าที่จะชอนตัวคนตัวเล็กขึ้น ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปในห้องกว้างของมินซอกทันที ค่อยๆวางคนตัวนิ่มที่ร่างกายอุ่นๆก็ร้อนลุ่มขึ้นมาจนเขาเองยังใจหาย มือแกร่งกดต่อสายไปยังคนเป็นเพื่อนที่ควบตำแหน่งแพทย์ที่ดูแลมินซอกอย่างรีบร้อน

     

    “ชานยอล ชานยอลมาหากูที่บ้านเร็ว!

     

    สายตาคมเหลือบมองมินซอกที่บิดหน้าไปมา เหงื่อจำนวนมากที่ผุดขึ้นเต็มหน้าสวย และริมฝีปากที่ซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้เขาแทบคลั่งตายด้วยความกังวล

     

     

     


    TBC.




    ✤✤✤✤

    ไร้คำแก้ตัวที่หายไปเกือบสองอาทิตย์เต็ม
    แอร้ยยย เนื่องจากเขียนยังไม่เสร็จเลยไม่ได้อัพ ซอรี่ๆค่ะ-.-
    บวกกับยังมีหน้าไปติดซีรีย์ญี่ปุ่นอีก ยิ่งไม่ได้เขียนต่อเข้าไปใหญ่เล่ออ
    อย่าพึ่งทิ้งกันนะตัววว #อ้อนๆ
    เค้ามาอัพแล้วนะตัว ตอนนี้ก็ยังเบาะๆเบาๆ-..-? เช่นเคย
    รอตอนต่อไปกันเล๊ย ฟิ้วว~

    (เปลี่ยนธีมกันเล็กน้อยหลังจากสำเนียกได้ว่าพื้นหลังดำตัวหนังสือขาวมันอ่านย๊ากส์ ห๊ะห๊ะ)

     

    CRY .q  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×