ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Black Memories

    ลำดับตอนที่ #3 : Memories -2-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 422
      3
      8 ก.พ. 57

    Black Memories


    -2-
     









     

    ปลายเท้าเรียวทิ้งน้ำหนักลงตามแรงย่ำด้วยใบหน้าบูดบึ้งคละหวาดหวั่น มืดเรียวยกขึ้นทาบเบาๆที่อกซ้ายตัวเองแน่น ยอมรับเลยว่าเขายังรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ในห้องน้ำตอนนั้นอยู่ไม่น้อย ยิ่งคิดใบหน้าหื่นกามของร่างโปร่งนั้นก็ยิ่งลอยวนเวียนกลับเขามาให้เขาอกสั่นเล่น

     

    “อ้าว ยังไม่นอนอีกหรอครับ?”  ขาที่ก้าวขึ้นบันไดหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างโปร่งของอี้ชิงบอดี้การ์ดหนุ่มของอี้ฟานที่กำลังเดินลงมา ร่างโปร่งบางของอีกฝ่ายดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะปรับสิ่งยิ้มหวานส่งไปยังมินซอกแทน

     

    “ผมเอาผลสรุปของการประชุมแบบเร่งด่วนมาให้คุณอี้ฟานนะครับ”  อีกฝ่ายพูดพรางยิ้มน้อยๆบอกจุดประสงค์ของตนไป  เท่าที่เขารู้จากชายหนุ่มคืออี้ชิงเป็นลูกชายคนสนิทของพ่อแม่อี้ฟาน จึงถูกนำมาเลี้ยงที่นี้ในฐานะคนสนิทของอี้ฟานตั้งแต่เด็กๆจนปัจจุบัน มินซอกไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าสายตาของอี้ชิงแวบแรกที่เขามองออกคือความรู้สึกเช่นไร แต่ก็เลือกที่จะมองข้ามมัน

     

    “อี้ฟานนี่เรียกอี้ชิงมาใช้งานดึกดื่นขนาดนี้ กะไม่ให้อี้ชิงได้นอนพักบ้างรึไงนะ”  มินซอกกล่าวติดตลก เปลือกตารีสบมองกับใบหน้าหวานแต่กลับต้องเงียบลงสนิทเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาผ่านลำคอขึ้นจมูกโด้ง

     

    “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ขอแค่นายใหญ่สั่งต่อให้ต้องฆ่าคนผมก็ต้องทำ แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกครับ” ประโยคที่เหมือนทีเล่นทีจริงของร่างโปร่งทำให้มินซอกตัวชาวาบประหลาด ทั้งๆที่สีหน้ากำลังยิ้มแท้ๆแต่น้ำเสียงมันช่างเย็นเฉียบเหลือเกิน

     

    “.....”

     

    “ดึกแล้วผมขอตัวก่อนนะครับคุณหนู” 

     

    เมื่อร่างเล็กไม่มีทีท่าว่าจะเอยอะไรออกมานอกจากความเงียบ  อี้ชิงจึงตัดสินใจกล่าวตัดบทแล้วจึงเดินเลี่ยงลงบันไดสูงไป มินซอกเมื่อได้สติจึงหันมองแผ่นหลังสวยที่เดินจนพ้นประตูบ้านเรียบร้อย ชั่งใจอยู่ครู่ จากเป้าหมายเดิมที่เขาจะกลับห้องจึงถูกเปลี่ยนทิศไปยังห้องคนรักของเขาแทน นิ้วเล็กถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ความเย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศทำมินซอกกต้องยกมือขึ้นลูบๆที่ลำแขนปอยๆ

     

     ตาไล่สำรวจเตียงนอนของคนรักช้าๆ ล้มตัวนั่งจนบริเวณเตียงนุ่มยวบลงเล็กน้อย มือเรียบลูบเบาๆ บนพื้นผ้าสีขาวสะอาดตา ความรู้สึกเย็นของเตียงและผ้าปูที่นอนที่ยังตึงเรียบทำให้มินซอกโล่งใจแปลกๆ มันทำให้เขามั่นใจได้ว่า

     

    ไม่มีใครมานอนบนนี้..

     

    “อ อื้อ”  คงเพราะมัวสนใจกับสิ่งตรงหน้า เขาจึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าร่างสูงออกมาจากห้องน้ำและได้ก้าวมาหยุดประชิดกายในระยะลมหายใจรดต้นคอ ปลายจมูกโด้งเป็นสันดูดีราวกับรูปปั้นฝังลงบนต้นคอขาว ลากขึ้นลงช้าๆ ประทับจูบลงเบาๆตบท้าย

     

    “กลับบ้านดึก ต้องโดนทำโทษ”

     

    เอยกระซิบเสียงเบาหวิวข้างหูขาว มินซอกหดคอหลบเล็กน้อยแก้มเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อจากการกระทำของอีกฝ่าย คิดจะหันมาตีเบาๆที่ไหล่กว้าง แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายอยู่ในสภาพกางเกงนอนขายาว ส่วนข้างบนไม่สวมเสื้อ แถมผมที่เปียกลู่ลงมาและแววตาที่เป็นประกายวาววับจับจ้องมองกลับมายังเขานั้นยิ่งทำให้ใบหน้าของมินซอกกระจายไปด้วยเลือดฝาด

     

    “อี้ฟานอ่า”

     

    สายตาคมก้มสำรวจชุดที่มินซอกสวมใส่เพียงครู่แล้วจึงชักสายตาดุๆกลับมามองใบหน้าหวาน ส่งกำปั้นทุบเบาๆที่ศีรษะเล็ก ก็ชุดที่อีกฝ่ายใส่มันช่างล่อเสื้อล่อตระเข้เหลือเกินนะสิ

     

    “ใครใช้ให้ใส่ชุดแบบนี้ออกไปเที่ยว กลิ่นเหล้าหึ่งแบบนี้อีกพี่ห้ามดื่นเหล้านี้เราไม่ฟังเลยใช่มั้ย?”  เป็นมินซอกที่ก้มหน้างุดสำนึกผิด

     

    “อี้ฟาน อื้อ...”  ไม่ทันจะได้เอยแก้ตัวอย่างใจนึกกลีบปากนุ่มสีเชอรี่ก็ถูกทาบทับบดขยี้โดยคนตัวสูงที่พยายามอดกลั้นมานาน จนสุดท้ายความอดทนของเขาก็พังทลายลงพร้อมๆกับร่างเล็กที่ถูกดันราบลงกับเตียงนุ่มกว้าง หน้าอกแกร่งที่เต็มไปด้วยหมัดกล้ามดูดีจนน่าอิจฉาแนบทับตามลงมาไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายดิ้นหนี หรือขัดขื่น

     

    “อืมม ..”  คงเพราะฤทธิ์เหล้าที่เขาดื่มไปมันคงพึ่งมาออกฤทธิ์ ทำให้มินซอกเริ่มจะเคลิ้มและคล้อยตามกับความร้อนแรงของร่างสูง และรสจูบที่บดขยี้อย่างร้อนแรงที่แทบทำให้อารมณ์กระเจิงยากฉุดรั้ง กลิ่นเหล้าไม่ได้ทำให้ร่างเล็กดูแย่ลงไปเลยสักนิด กลับกันมายิ่งน่าลิ้มลองยิ่งกว่าเก่าเสียมากกว่า

     

    “อ อี้ฟาน”

     

    “อืม ฉันรักนาย..มินซอก” 

     

    เมื่อผละออกจากรสจูบอันน่าหลงใหลก็พร่ำเอยเสียงแหบพล่าข้างใบหูขาวที่เห่อแดงขึ้นเพราะความเขินอาย ดวงตาแวววับสวยบัดนี้มันดูหวานเยิ้มจนร่างข้างบนแทบจะยั้งกายไม่ให้เข้าไปบดขยี้มันให้สาแก่ใจอย่างไม่ได้ มือแกร่งทั้งลองเลื่อนลงต่ำลูบผ่านเนื้อผ้าเรียบตั้งแต่ช่วงใต้รักแร้ลงมาถึงเอวคอดกิ่วและสะโพกอวบสวย ค่อยสอดผ่ามือร้อนเข้าใต้พื้นผ้าสัมผัสแผ่วเบากับเนื้อเนียนใต้ร่มผ้า เขาไล่ผ่ามือร้อนสวนขึ้นกับสีข้างเนียนขึ้นลงเหมือนต้องการให้มินซอกเกินอารมณ์คล้อยตามให้มากที่สุด

     

    หากแต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดลงเมื่อมินซอกเป็นฝ่ายที่ขื่นตัวหดถอยห่างเขา และรั้งผ่ามือแกร่งไว้ ผลักเขาออกห่าง

     

    “หยะ หยุด..อี้ฟานหยุดก่อน!” การกระทำของมินซอกทำให้อี้ฟานหงุดหงิดจนคิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น แต่เพราะเสียงที่สั่นเครือของร่างเล็กและแววตาที่หวาดหวั่นฉายชัดทำให้เขาต้องพยายามระงับอารมณ์หยุดตามที่อีกฝ่ายขอ

     

    “ทำไม?”

     

    “ผมยังไม่พร้อม ...ขอโทษ” เขาก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดเต็มประดาเพราะยิ่งสังเกตเห็นเจ้านั้นของอี้ฟานที่มันนู้นเป่งตามแรงอารมณ์จนปิดไม่มิดก็ยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่ ที่ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายปลดปล่อยได้ร่างสูงส่ายหน้าเล็กน้อย

     

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเจ้านี้เอง ...นายไปนอนเถอะ”  พูดอย่างรู้ความหมาย มินซอกพยักหน้าน้อยๆ ใจอยากจะช่วยอีกฝ่ายเหลือเกิน แต่ความรู้สึกบางอย่างมันต่อต้านจนเข้าฝืนใจไม่ไหว ...เหมือนรู้สึกมีอะไรมาต่อต้านเขาทุกครั้งที่กอดจูบกับอี้ฟาน

     

    แต่เขาเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่

     

    มินซอกเหลือบมองอี้ฟานที่เดินเข้าไปจัดการกับอารมณ์ที่ค้างคาในห้องน้ำ ก่อนจะรีบเปิดประตูเดินกลับเขาห้องตัวเองไปเงียบๆ แม้จะจดจำอะไรไม่ได้เลยมาก่อนกับความสัมพันธ์ของเขากับอี้ฟาน น่าแปลก.. หากเขาเป็นคนรักกับอี้ฟานจริงๆ อย่างน้อยเขาก็น่าจะได้รับความรู้สึกถึงความผูกพันแบบคนรัก แต่กับอี้ฟาน ไม่.. มันกลับเป็นความผูกพันบางอย่าง ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่ามันคืออะไรกันแน่...

     

    และอะไรหลายอย่างที่เขายังคงสงสัยเกี่ยวกับคนภายในบ้านหลังนี้ เขาเชื่อเหลือเกินว่า ทุกคนพยายามปกปิดอะไรบางอย่างกับเขา เพียงแค่เขาไม่รู้ว่าทุกคนกำลังปกปิดอะไรกับเขากันแน่เท่านั้นเอง

     

     

    ที่นี้ที่ไหน?

     

    คำคำนี้ผุดขึ้นมาในหัว เมื่อเปลือกตาสวยเปิดขึ้นมาและพบว่าตนได้โผล้ออกมาอยู่ในที่ที่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้เลยว่าที่นี้มันคือที่ไหน ที่สุดท้ายที่เขาจำได้ก็คือ เขานอนหลับที่ห้องของตัวเองแต่พอตื่นขึ้นมาอีกทีที่ที่เขาอยู่กลับเป็นห้องห้องหนึ่ง

     

    ขาเล็กก้าวสำรวจรอบๆ ภายในห้องถูกตกแต่งอย่างสวยงาม เหมือนจะเป็นห้องนอน เพราะดูจากเตียงนอนและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว สภาพเหมือนมีคนใช้อยู่ประจำ สายตาเรียวสำรวจรอบๆก่อนจะหยุดที่บานประตูใหญ่ แสงที่สาดส่องเข้ามา ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นบังไว้เพราะทนความแสบตาไม่ไหว

     

    เสียงเพลงเพลงหนึ่งที่ได้ยินทำเขาหยุดชะงัก..

     

    มันช่างไพเราะจับใจ เสียงร้องนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยน จนรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ แต่ก็กลับเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยจนเขาเองรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาทั้งสอง

     

    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไรไป รู้สึกสะเทือนใจกับบทเพลงนี้เหลือเกิน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้บทเพลงนี้ช่างเศร้าสลด น้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้พลั่งพรูหลั่งไหลลงมาไม่ขาดสาย เขาเองยังตกใจไม่หายว่าตัวเองเป็นอะไรไป ยิ่งเดินเข้าใกล้เสียงเพลงนั้น ยิ่งสัมผัสได้ชัดว่าคนร้องกำลังรู้สึกทุกข์ทรมาน ทั้งๆที่เขาเป็นเพียงคนฟัง กลับรู้สึกเหมือนถูกกรีดอกเป็นริ้วๆ

     

    “พอ .. หยุดร้อง พอได้แล้ว..ฮึก! หยุด” มือเล็กยกมือขึ้นปิดใบหูทั้งสองข้างของตัวเอง เพราะไม่อยากที่จะฟังเพลงนั้น แต่ร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟัง เดินเข้าไปหาเพลงนี้ช้าๆ พอเดินเข้ามาใกล้ทำให้เห็นชัดว่ามีคนคนหนึ่งยืนหันหน้าออกนอกหน้าตา และยังคงขับขานบทเพลงนั้นออกไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

     

    “คุณเป็นใคร”

     

    “.....”  ไม่มีการตอบกลับหรือเอื้อนเอยอะไรออกมาใดใดทั้งสิ้นนอกจากบทเพลงเดิมที่ยังถูกขับร้องออกมา ปากหยักของคนตัวสูงขับขานเสียงอันไพเราะราวกับไม่เห็นเขาอยู่ตรงนี้ ไม่แม้จะหันกลับมามอง มินซอกยกมือขึ้นอุดหูตัวเองอีกครั้ง ยิ่งฟังยิ่งเจ็บปวดหัวใจ เจ็บจนแทบจะร้าว ...

     

    “พอ! พอแล้ว!พอ อย่าร้อง หยุด หยุด!!!!!!!”  มินซอกตะโกนลั่นราวกับคนบ้า ได้ผล... เมื่อคนคนนั้นหยุดร้องลงเพียงเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆหันมามองมินซอกด้วยสายตาอบอุ่น มินซอกเงยหน้าสบมองแววตาอันแสนอ่อนโยนนั้น ราวกับหยุดหายใจเมื่อคนคนนั้นส่งยิ้มมา

     

    “อย่าร้องไห้”

     

    “.....” มินซอกนิ่งค้างไป รู้สึกมึนงงไปหมด ทั้งๆที่ตัวเองมั่นใจว่าไม่รู้จักคนคนนี้ แต่ทั้งน้ำเสียงแววตาของผู้ชายตรงหน้าราวกับรู้จักเขามาเนินนาน ประโยคสั้นๆที่ถูกเอยของผู้ชายคนนั้นช่างอบอุ่น มือหนาที่เอื้อมมาซับคราบน้ำตาของเขาให้จ่างหายไป

     

    “ฉันชอบรอยยิ้มของนายมากกว่าคราบน้ำตานะ ซิ่วหมิน”

     

     

    “มินซอก มินซอก!!

     

    “เฮือก!”  เหงื่อจำนวนมากไหลอาบทั่วใบหน้าและลำคอสวย มินซอกเบิกตากว้างเด้งตัวลุกขึ้นแต่ถูกกดให้นอนนิ่งๆจากคนตัวสูง อ้าปากสูดกอบโกยอากาศเข้าให้ได้มากที่สุด มือจิกเกร็งเข้ากับลำแขนแกร่งของอี้ฟานอย่างไม่รู้ตัว

     

    “มินซอก มินซอกนายโอเคมั้ย?”  อี้ฟานเอยถามออกไปด้วยใบหน้าวิตก เมื่อตั้งสติได้มินซอกจึงค่อยๆเงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคน ผ่านม่านดวงตาที่ถูกเหงื่อไหลย้อยลงมาราวกับถูกชโลมด้วยน้ำ มินซอกกลืนก้อนน้ำลายหนืดๆลงคอช้าๆ ก่อนจะโผเข้ากอดอี้ฟานแน่น

     

    “อ อี้ฟาน”

     

    “อะไร? นายเป็นอะไร มินซอก?”

     

    เป็นมินซอกที่เงียบไป ความรู้สึกของเขาบอกว่า ไม่ควรเล่าความฝันนี้ให้อี้ฟานฟัง มันต้านอยู่ในใจจนเขาต้องโกหกคำโตออกไปกับคนรัก

     

    “ไม่ ไม่..ผมโอเคดี”  พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นไปมากกว่านี้ อี้ฟานมองหน้าเขานิ่งราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่พูด แต่เพราะมินซอกเหมือนกำลังอึดอัดใจที่จะเล่าอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะเชื่อแม้อาการของมินซอกมันจะน่าเป็นห่วงมากเกินกว่าที่อีกคนบอกว่าไม่เป็นอะไรเสียอีก

     

    “นี่กี่โมงแล้ว?”  ร่างเล็กเลือกที่จะเบี่ยงประเด็น อี้ฟานยกมองนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนจะเอยตอบกลับไป

     

    “สิบโมง”

     

    “สายแล้วอ่า ทำไมไม่รีบปลุกผม!”  มินซอกทำสีหน้ากระวนกระวายจนอี้ฟานอดหัวเราะไม่ได้ มือใหญ่ยกขึ้นยีหัวเล็กเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

     

    “รีบไปอาบน้ำ วันนี้ฉันจะเข้าบริษัทเดี๋ยวจะเลยไปส่งนายที่มหาลัยด้วยเลย”

     

    “ครับ”

     

     

    “จอดตรงนี้เลยครับ”  มินซอกกระตุกปลายเสื้ออี้ฟานเป็นเชิงให้ชะลอรถ อี้ฟานค่อยๆชะลอรถตามคำขอ พอบอกจะมาส่งมหาลัย มินซอกก็ต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว คาบขนมปังปิ้งมาแค่สองสามแผ่นเป็นอาหารเช้า ใจอยากจะบังคับให้มินซอกกินข้าวเช้าให้เสร็จ แต่เพราะเห็นท่าทีร้อนรนคงเพราะเป็นคาบวิชาสำคัญจึงยอมตามใจ

     

    “ทำไมไม่ให้ส่งข้างใน แอบนัดหนุ่มไว้รึเปล่าเนี่ย?”  อี้ฟานกล่าวทีเล่นทีจริง มินซอกเอือมหน้าเข้าไปกดปลายจมูกลงข้างแก้มอีกฝ่ายหนึ่งที

     

    “บ้า คิดมาก ผมไปล่ะ”  เอี่ยวตัวมาปลดเข็มขัดนิรภัยออก โบกมือน้อยๆพอก้าวลงรถเป็นจังหวะเดียวที่แบคฮยอนเดินเข้ามาทักทายพอดี

     

    “ไง มาสายนะมินซอก”  แบคฮยอนกล่าวล้อเลียน ริมฝีปากสวยยกยิ้มหวานส่งไปให้ มินซอกเบะปากใส่เล็กน้อยตอนท้ายหัวเราะออกมาหน่อยๆ  “มีหนุ่มมาส่งด้วย แฟนหรอ?” ท้ายประโยคกระซิบข้างหูมินซอกเสียงเบา เมื่อทันเห็นจังหวะที่มินซอกเพื่อนตนก้าวลงจากรถหรูราคาแพงที่ยังจอดอยู่ที่เดิม มองเข้าไปเจอใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายคนนึ่ง แม้จะสวมแว่น แต่ก็ไม่ได้ช่วยบดบังความหล่อเหล่าของคนคนนั้นเลยสักนิด

     

    “แบคฮอยน นี่อี้ฟาน พี่เราเอง”  ผายมือส่งไปหาอีกคนที่นั่งอยู่บนรถหรู พยายามเลี่ยงไม่ตอบสถานะที่แท้จริงของตนกับคนตัวสูง แบคฮยอนสบมองใบหน้าหล่อเหลาของอี้ฟานด้วยสายตาหวานเยิ้ม อี้ฟานรับรู้สายตานั้นดีจึงเลือกที่จะกระตุกยิ้ม ก้มหัวให้เล็กน้อยพอเป็นมารยาท

     

    “สวัสดีครับ ผมแบคฮยอนนะครับ”  มือเรียวของแบคฮยอนยื่นเข้าไปหมายจะทำความรู้จัก อี้ฟานยกมือขึ้นจับตอบ เผลอสบตากันนานไปหน่อย สายตาคมที่บังเอิญเหลือบไปเห็นสายตาที่มองมือของตนกับแบคฮยอนที่ยังจับไม่ปล่อยของมินซอก จึงเลือกที่จะผละออกก่อน แบคฮยอนชะงักไปครู่นึ่งก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้

     

    “อี้ฟานครับ  สายแล้วไม่ใช่หรอเรานะ รีบๆไปเข้าเรียนสิ”  ท้ายประโยคหันไปบอกมินซอกที่ยังยื่นนิ่งที่เดิมทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังร้อนรนรีบแทบตาย มินซอกพอนึกขึ้นได้ก็ทำหน้าเหรอหรา รีบวิ่งเข้ามหาลัยไปในทันที

     

    “ครับ แล้วเจอกัน”

     

    คล้อยหลังมินซอกไป จึงเหลือเพียงแบคฮยอนกับอี้ฟานที่ยังคงสบตากับนิ่ง พอนึกอะไรขึ้นได้แบคฮยอนจึงล้วงปากกากับกระดาษจดบางอย่างยุกยิกสักพัก  ยกขึ้นจูบเบาๆที่เศษกระดาษส่งไปให้อี้ฟาน ร่างสูงรับมามอง กระตุกยิ้มพร้อมยกขึ้นจูบที่เดิมกับแบคฮยอนเบาๆ

     

    “แล้วโทรมานะครับ”  ไม่ตอบแต่เลือกจะส่งยิ้มกลับ แล้วจึงหันไปสนใจทางตรงหน้า ค่อยๆเคลื่อนตัวรถออกจากบริเวณหน้ามหาลัยทันที มือแกร่งหยิบเศษกระดาษที่โชว์ตัวเลขเบอร์โทรฯขึ้นมองก่อนจะจับยัดลงกระเป๋ากางเกง ล้วงโทรศัพท์รัวตัวเลขไปยังปลายสายใหม่ทันที

     

    “วันนี้ฉันจะเข้าไปที่บริษัท ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยก่อนที่ฉันจะไปถึงอีก ..5 นาที”

     

    ติ๊ด!

     

    กดตัดสายโดยที่ไม่ต้องรอให้ปลายสายตอบกลับแต่อย่างใด แม้จะดูเป็นคำสั่งที่ดูเอาแต่ใจแต่เมื่อไหร่ที่มันออกมาจากปากเขามันคือคำขาด ที่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำมันให้จงได้ ไม่มีข้อยกเว้น.. เขาคือผู้นำของตระกูล อู๋ ตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาล ใช่.. ร่ำรวย ตระกูลที่ถูกสร้างภาพพจน์ไว้เลิศเล่อ

     

    ทุกอย่างที่เขาจับจ้องหรือหยิบขึ้นมามันมักจะประสบผลสำเร็จงอกเงยเกือบจะทุกๆอย่าง เขาจึงถูกจับตามองจากทุกสื่อ และแน่นอน ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่คู่แข่งที่ไม่หวังดีก็มีมากเป็นดอกเห็ดเช่นกัน ส่วนคุณพ่อคุณแม่ท่านก็จากไปได้2-3ปี  ทำให้ทุกอย่างและหน้าที่ตกไปอยู่ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

     

    ขาเรียวยาวก้าวลงจากรถ เดินตรงเข้าบริษัทเพียงแค่การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้ทุกคนต้องรีบโค้ง 90 องศาทุกที่ที่เขาเดินผ่าน มือแกร่งดึงกรอบแว่นดำลงคีบเก็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อ มองหน้าอี้ชิงที่ส่งยิ้มให้เขาก่อนจะโค้งไม่ต่างจากพนักงานคนอื่น

     

    “หมอนั้นมารึยัง”

     

    “สักครู่แล้วครับ”  บอดี้การ์ดหนุ่มเดินนำคนเป็นนายขึ้นไปยังชั้นบนสุด ห้องผู้บริหาร ห้องทำงานของเขา อี้ฟานทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ใหญ่ เหลือบมองผู้มาใหม่ที่เดินคั่วสาวหุ่นสวยเข้ามานั่งด้วยท่าทีไม่หยี่ระ

     

    “สวัสดีครับ คุณอี้ฟาน”  ผู้มาใหม่โค้งก้มหัวล้อเลียนเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มทำหน้าไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับท่าทางที่ดูไม่เกรงใจเขาสักเท่าไหร่ แต่นั้นเขาก็ชินซะแล้วล่ะ

     

    “เลิกเล่นได้แล้วไอ้ชานยอล แล้วก็สั่งให้นางพยาบาลสุดสวยของมึงออกไปจากห้องซะ”  เสียงเรียบนิ่งเด็ดขาดรวมไปถึงแววตาแสนจะเย็นชา เล่นเอาคนในห้องขนลุกเกรียว ปาร์ค ชานยอล เอื้อมตัวกระซิบสั่งคนของตน ไม่นานร่างสวยหุ่นดีก็ลุกขึ้นเดินออกไป ไม่วายจะหันมากดจูบทิ้งท้ายเบาๆ

     

    ปาร์ค ชานยอล หมอหนุ่มอนาคตรุ่งที่กำลังถูกจับตามองจากทั่วทุกวงการแพทย์ ชานยอลเรียนจบแพทย์ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และคะแนนที่คนทั่วไปไม่สามารถที่จะทำมันได้ ไอคิวระดับอัจฉริยะที่น่าอิจฉา รวมไปถึงรูปร่างหน้าตาที่ดีพร้อมเคียงคู่กันมา หรือแม้แต่ทรัพย์สินที่ทางบ้านมีมากมายที่สามารถใช้แบบฟูมเฟือยได้ทั้งชีวิตก็ไม่อดตาย

     

    แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของหมอหนุ่มก็คือสาวๆ มักจะใจอ่อนกับพยาบาลสาวสวยๆทุกครั้งไปและก็เป็นอี้ฟานที่มองด้วยใบหน้าสุดจะเอือมเต็มแก่ จากเหตุผลข้างตนทำให้เขาไม่ต้องพยายามกระตือรือร้นที่จะเป็นแพทย์อะไรนี่ก็ไม่ได้ทำให้เงินมันกร่อนลงแต่อย่างใด แต่เพราะอะไรกันนี่ก็ไม่มีใครทราบได้ขนาดอี้ฟานที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็กๆก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ

     

    “จริงจังเชียวนะ”

     

    “ของของกูล่ะ”  น้ำเสียงเย็นยังคงเอยเข้าเรื่อง ชานยอลถอนหายใจหน่ายๆกับความใจร้อนของคนเป็นเพื่อน มือหนาล้วงลงไปหยิบขวดแก้วใสในกระเป๋าใบใหญ่ ข้างในเป็นกล่องสีดำที่เก็บความเย็นยกขึ้นมาตั้งบนโต๊ะกว้าง อี้ฟานมองของตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเรียบนิ่ง ใส่รหัสปลดล็อคเมื่อเปิดออกมาไอเย็นจากกล่องใบใหญ่ก็ระเหยออกมาลอยคลุ้งทั่วบริเวณ ข้างในปรากฏขวดแก้วใสเรียงรายถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยภายในขวดทุกขวดมีน้ำสีน้ำเงินข้นวาวอยู่ประมาณครึ่งขวดทุกขวด อี้ฟานมองของสิ่งนั้นพรางกระตุกยิ้ม 

     

    “ทำไมมึงถึงใช้ยาตัวนี้อีก ทั้งๆที่มึงก็เลิกใช้ไปได้เดือนกว่าๆแล้วไม่ใช่หรอว่ะ?”  ชานยอลที่ทนความสงสัยไม่ไหวเอยถามคนเป็นเพื่อนไป สีหน้าจริงจังที่มองกลับมาของอี้ฟานยิ่งเพิ่มความสงสัยของเขาขึ้นไปอีก

     

    “กูก็แค่เอามากันไว้ก่อน เท่านั้นเอง”  อี้ฟานตอบปัด ชานยอลพยักหน้าเข้าใจ ไม่ถามเซ้าซี้คนเป็นเพื่อนให้กวนใจอีก ถ้าเลือกที่จะไม่บอกเขาก็ไม่ชอบที่จะเค้นคำตอบของใคร มือหนาของชายหนุ่มเอื้อมหยิบแก้วใสยกขึ้นมามองด้วยสายตาพินิจ

     

     

    เมื่อเช้ามินซอกโชคดีที่เขามาเรียนทันคาบเช้าเพราะนี้เป็นวิชาโปรดของเขาเลยก็ว่าได้ วิชาดนตรีการเรียนศิลปะก็ต้องควบเข้าไปกับดนตรี ทั้งสองต้องเดินไปด้วยกัน เข้าคิดอย่างนั้น สายตาเรียวจดจ้องสิ่งที่อาจารย์สอนไม่วางตา ต่างจากคนอื่นๆที่แอบงีบหลับกันเป็นแถว มินซอกเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะตัวเองเป็นคนที่เบื่อกับอะไรง่ายมากๆแต่กับวิชานี่เขากับไม่เคยเบื่อ กลับรู้สึกสนุกตลอดเวลา

     

    รู้สึกดีกับวิชานี้ประหลาด

     

    ช่วงกลางวิชาอาจารย์ผู้สอนจะเปิดเพลงให้นักศึกษาฟัง 1 เพลง มินซอกที่หลับตาเตรียมฟังเพลง แต่พอทำนองเพลงที่เริ่มขึ้นทำให้เขาชะงัก

     

    เพลงนี้อีกแล้ว!?

     

    เพลงเดียวกับที่เขาได้ยินเมื่อตอนในฝัน หากแต่เปลี่ยนไปคือเป็นเสียงผู้หญิงที่ร้อง มันยังคงไพเราะ แต่ต่างจากเพลงที่ผู้ชายคนนั้นร้อง เพลงนั้นมันช่างเต็มไปด้วยความเศร้าทรมานจับใจจนเขาเองยังเจ็บปวดไปด้วย

     

    ราวกับความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นถูกถ่ายถอดมายังเขา ทรมานไปทั้งหัวใจ ...เสียงนั้นมันยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาไม่หาย

     

    “นาย ..นาย!

     

    “หะ ห๊ะ?”  มินซอกที่เหม่อลอยไปไกล ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ พอสำรวจรอบห้องก็พบว่าหมดคาบจนทุกคนเริ่มถยอยกันกลับออกไปจนหมด เหลือเพียงเขาและคนที่นั่งข้างๆ เห็นสีหน้าตกใจแกมประหลาดใจของคนข้างๆทำให้มินซอกก็ผาลสงสัยไปด้วย

     

    “มีอะไรรึเปล่า?”  น้ำเสียงอึกอักที่เหมือนชั่งใจอยู่ครู่ของคนตรงหน้า ก่อนจะตัดสิ้นใจเอยถามมินซอกออกไปตรงๆ

     

    “นายร้องไห้ทำไม?”

     

     

    มินซอกเดินเข้าห้องน้ำที่มหาลัย เอาน้ำล้างหน้าตัวเองซ้ำหลายๆครั้ง ไม่เข้าใจตัวเองเหลือเกินว่าทำไมถึงร้องไห้ออกไป ทั้งๆที่เขาเองไม่ใช่พวกบ่อน้ำตาตื้นอะไรขนาดนั้นแท้ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามตั้งสติตบข้างแก้มตัวเองแรงๆสองสามทีดึงสติตัวเองให้กลับมา 

     

    “มินซอกกลับมาได้แล้ว กลับมา!”  แล้วจึงยีหน้าตัวเองแรงๆ ไม่สนว่ามันอาจจะช้ำหรือเปล่า ตามด้วยคลี่ยิ้มกว้างยิงฟันใส่กระจก นึกอะไรขึ้นได้มือเรียวจึงล้วงหยิบมือถือแพงขึ้นละเลงนิ้วมืออย่างคล่องแคล่วตามด้วยยกขึ้นแนบหู ไม่นานเสียงปลายสายก็ตอบกลับมา

     

    “อี้ฟานจะกลับบ้านแล้ว ว่างมารับรึเปล่า? อื้อ..”

     

    ขาเรียวที่หมุนกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำต้องมีอันชะงักเพราะบุคคลที่กำลังเดินสวนตนนั้นใช้มือแกร่งดันคล้ำทางไม่ให้เดินออกไปง่ายๆ คร่าแรกเขาตั้งใจจะหันไปมองด้วยความสงสัยคละหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเสียมารยาทกับตนเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นชัดว่าคนที่หาเรื่องคือใครทำให้ใบหน้าอ่อนวัยอย่างมินซอกเหวอนิ่งไปในทันที

     

    “ไง เจอกันอีกแล้วนะ”

     

    “น นาย!

     

    นิ้วเรียวชี้ไปยังใบหน้าอีกคนอย่างลืมตัว ร่างโปร่งดูดีในชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกับเขาเป๊ะ ใบหน้าสวยหวานติดจะคล้ายคลึงผู้หญิงแต่กลับแต้มความหล่อเหลาลงไปไม่น้อย ถูกสวมทับด้วยแว่นดำที่ดูเผินๆก็รู้ว่าราคาแพงแน่นอน เมื่อตั้งสติได้ขาเรียวที่ตั้งใจจะวิ่งหนีแต่ถูกมือยาวของอีกคนคว้าเข้าที่สะโพกนิ่มก่อนจะดึงรั้งกลับเข้าไปยังห้องน้ำ กระชากปิดประตูล็อกกันคนตัวเล็กฤทธิ์เยอะนี้หนีไป

     

    “ปล่อยฉันไปเถอะนะ”  พอรู้ชะตาตัวเองว่าคงหนีไม่พ้น มินซอกจึงเลือกที่จะหว่านล้อมด้วยเสียงหวานนุ่มหู  ลู่หานนิ่งไปพัก ยอมรับว่ามันอาจจะได้ผลแต่ก็เพียงครู่เดียว พอภาพเหตุการณ์ที่เขาถูกชก แถมรอยแผลยังคาอยู่บนใบหน้าชัดเจน โดนไอ้พวกบ้าในกลุ่มล้ออับอายไม่พอ ไหนเขาจะต้องหอบเอาใบหน้าฟกช้ำมาเรียนอีก

     

    ยังไงนายก็จะต้องรับผิดชอบ หึหึ

     

    “นายคิดว่าพูดหวานๆแค่นี้จะทำให้แผลบนใบหน้าฉันหายรึไง? รู้มั้ย..ฉันลำบากนะ”  ท้ายประโยคคนตัวสูงก้าวเข้ามากระซิบเสียงแผ่วข้างกกหูขาว มินซอกจนมุมเพราะถูกอีกฝ่ายใช่ผ่ามือยันผนังคล่อมไว้ทั้งสองฝั่ง

     

    “ก็ใครใช้ให้นายทำให้ฉันกลัวล่ะ”  พยายามใจดีสู้เสือ เอยเถียงอีกฝ่ายแต่อาการขาสั่นที่ร่างเล็กพยายามคุมมันมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของลู่หานไปอีกเช่นกัน ลู่หานไล่สายตาพินิจใบหน้าหวานที่กลมราวกับลูกซาเปา ปลายจมูกโด้งรั้นเล็ก ไหนจะริมฝีปากแดงเถือกน่ากัดเล่นนั้นอีก

     

    “ทำให้กลัว? ฉันแค่อยากรู้จักกับนายแต่นายก็ดันต่อยฉันเนี่ยนะ?ใครกันที่ควรจะต้องกลัว” ลู่หานส่งสายตาคาดโทษไปยังมินซอก

     

    “โหย กล้าพูด..”  มินซอกเบี่ยงหน้าหลบ แอบพูดเสียงเบาแต่นั้นก็ไม่รอดพ้นหูลู่หานไปได้อยู่ดี  มือใหญ่จับเข้าที่ปลายคางเล็ก ขยับให้อีกฝ่ายมองหน้าเขาตรงๆ

     

    “นายว่าอะไรนะ?”

     

    “ปล่อยฉัน!!!!”  เมื่อเห็นว่าเจรจาไปก็ไร้ผล มินซอกจึงจับรั้งอีกฝ่ายไว้ ตะโกนเสียงดังลั่นใส่ข้างหูลู่หานดังๆ ลู่หานกระชากตัวเองออก เอามือขยี้หูตัวเองด้วยใบหน้าหงุดหงิด

     

    “โอ๊ย! ตะโกนมาได้ หูจะอื้อมั้ยว่ะเนี่ย”  สบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย มินซอกอาศัยจังหวะ ที่ลู่หานเผลอผลักกระเด็นแต่ทุกอย่างก็ผลาดไป  เพราะลู่หานที่ไม่ทันตั้งตัวจากการโดนผลักจึงเผลอจับรั้งเอวมินซอกไว้ ส่งผลทำให้ล้มลงทั้งคู่ล้มลงไม่เป็นท่า ลู่หานล้มลงนอนแผ่หลาบนพื้นโยมีร่างของมินซอกนอนทับอยู่บนอกแกร่ง คนตัวเล็กร้องโอ๊ย เพราะล้มลงทำให้โทรศัพท์ที่ยัดใส่กระเป๋ากระเด็นไปไกล แขนเล็กที่กำลังจะเอื้อมเก็บถูกลู่หานดึงไว้ ก่อนจะพลิกให้มินซอกนอนอยู่ใต้ร่างบ้าง 

     

    “มันเจ็บนะ ผลักมาได้” 

     

    “ปล่อยฉัน! ฉันจะกลับบ้าน!!!”  ทั้งผลักทั้งทุบอีกฝ่ายเพื่อว่าจะหลุดไปได้ แต่เปล่าเลย แรงของลู่หานมันมากกว่าเขาหลายเท่า แทบจะไม่สะเทือนเลยสักนิด

     

    ครืด ครืด ครืด...

     

    มินซอกละสายตามองไปยังโทรศัพท์ที่อยู่ห่างออกไป โชว์เบอร์ผู้โทรเข้า ชื่อและรูปที่โชว์หลาทำให้มินซอกเบิกตากว้าง พยายามจะเอื้อมมือไปหยิบ แต่ลู่หานที่สังเกตเห็นอีกฝ่ายดูตกใจจึงชิงเอื้อมมือไปหยิบ พอเห็นภาพและชื่อปรากฏในหัวก็ผุดเรื่องสนุกๆขึ้นได้ เพราะเดาจากอาการร้อนรนของมินซอกทำให้คาดว่า ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคนสำคัญมากแน่

     

    อี้ฟาน

     

    “แฟนหรอ?”  ลู่หานแกว่งโทรศัพท์ล่อไปมา มินซอกถลึงตาอย่างเอาเรื่อง คว้าจะเอาโทรศัพท์แต่ก็ไม่ทัน ท่าทียั่วโมโหทำให้มินซอกโกธรจนหน้าแดง แต่ลู่หานกลับรู้สึกสนุกขึ้นไปอีกยิ่งเห็นท่าทีของมินซอกที่ดูเดือดแทบเป็นบ้าก็ยิ่งอยากจะทำให้ร่างเล็กตรงหน้าเข้าไปอีก

     

    “มันไม่ใช่เรื่องของนาย เอาของฉันคือมา!”  ริมฝีปากสวยเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง อยากจะตบสั่งสอนอีกคนสักทีสองที แต่ก็ด้อยเรื่องพละกำลัง จึงได้แต่กัดฟันกรอดอย่างช่วยไม่ได้ ลู่หานส่งยิ้มยียวนกลับ

     

    “อ่า..ถ้าฉันรับเนี่ย จะเกิดอะไรขึ้นน่า?”

     

    “เป็นฉันจะไม่... เห้ย!”  ยังไม่ทันจะได้เอยจนจบ แต่นิ้วเรียวของลู่หานก็สไลด์หน้าจอรับสาย แถมยังกรอกเสียงกลับไปเสียด้วย!

     

    “สวัสดี อ่า.. ฉันเป็นแฟนของมินซอก แล้วนายเป็นใคร?” 

     

    ลู่หานเหลือบมองใบหน้าหวานที่เหวอนิ่งไป  ไม่นานมันก็แปรมาเป็นแดงเถือกทั่วใบหน้า ไม่รู้ว่ากำลังเขินหรือกำลังโกธรจนตัวสั่นกันแน่ 

     



     

     

    TBC.




    ✤✤✤✤

    ตอนนี้ก็ยังเบาๆ(?) แหม๋ ค่ะ-..- อันนี้พูดจริงๆนะ เบาๆอยู่เลย
    ตอนหน้าจะค่อยๆเพิ่มความเบาขึ้น(ห๊ะ)

    ติดตามเค้าด้วยนะตัว~
    นิดนึง : คือเห็นยอดเม้นท์แล้วบับ=.= แหม๋ อยากอัพเพิ่มเร็วๆจังเลยค่ะะะะะ (ประชดT.T)
    แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนอยากอ่าน ไรท์ก็จะแต่งต่อไป ไม่สนเม้นท์ก็แล้วกันเน๊าะ-3-


     

    CRY .q
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×