คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : sugar sugar
SUGAR SUGAR
(kim do young & ten)
bg musuc - sugar , laboum
ps. อัพอีกรอบเพราะอยากแยกบทความตุ่ยเต็นมาเลย (คิดว่ามีอะไรที่อยากเขียนสั้นๆ เยอะค่ะ 55)
sugar
sugar
เตนล์ไม่รู้ว่านักศึกษาปีสองที่มาเรียนต่างประเทศส่วนใหญ่เขามีเพื่อนกันกี่คน
แต่สำหรับเตนล์ เตนล์มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ...ก็ไม่อยากจะนับมันเป็นเพื่อนสักเท่าไหร่หรอก เพราะถ้าให้สาธยาย จะรู้เลยว่าไอ้บ้านั่นมันไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนของเตนล์เลยสักกะนิด
เพราะหนึ่งล่ะแม่งกวนตีน เจอหน้ากันทีไร ริมฝีปากของหมอนั่นก็จะเหยียดออกจนแทบจะเป็นโจ๊กเกอร์ก่อนจะส่งมาให้เตนล์เสมอ (และมันน่าเกลียดมาก รวมทั้งก็น่ากระโดดถีบอีกมากๆ เช่นกัน) ส่วนตากลมๆ ที่ชอบทำให้พวกสาวๆ ในมหาวิทยาลัยหลงใหลก็มักจะมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าทุกครั้งที่เจอหน้า มองแบบให้ความหมายว่า อี๋ แต่งตัวอะไรของเอ็งเนี่ยอะไรประมาณนั้นเลย
ส่วนข้อสอง แม่งปากเลี้ยงฟาร์มสุนัขไว้เป็นฝูง เรื่องจิกกัดเตนล์นี่ต้องยกให้มันเป็นอันดับหนึ่ง อย่างวีรกรรมตอนรู้จักกันครั้งแรกที่หมอนี่หันไปพูดกับเพื่อนของตัวเองว่าเด็กปอ.สองเข้ามาในคณะเราได้ยังไงนั่นเตนล์ไม่มีวันลืม เพราะฟังแล้วมันแบบโอ้โห จะด่าว่าเตี้ยก็ด่ามาเลยดีกว่าป้ะ! ตอนนั้นแทบจะวางมวยกันเลยล่ะ ยังดีที่โดนจับแยกออกจากกันได้ทันเวลาซะก่อน แต่นั่นแหละ เอาเป็นว่าหลังจากนั้นเตนล์กับหมอนั่นก็ไม่เคยพูดจาดีๆ กันอีกเลย
และข้อสามนี่สำคัญเลย มันชอบหาว่าเตนล์ไม่มีใครเอา! หน้าตาน่าเกลียด! ไร้เสน่ห์! โตก็โตปานนี้แล้วแต่ยังไม่เคยมีแฟนสักคน อ่อนด๋อยไร้ประสบการณ์ไม่เหมือนมันที่ฟาดเรียบมาหลายรายตั้งแต่ดาวมหาวิทยาลัยยันเด็กเนิร์ดก้นคณะ และเพราะแบบนี้ไงล่ะ เตนล์ถึงไม่ค่อยอยากจะยอมรับว่ามันเป็นเพื่อน
นิสัยเสียแบบนี้แค่สถานะคนรู้จักกันก็ขนลุกขนพองจะแย่!
แต่ถึงอย่างนั้นเถอะ
เพราะถ้าให้สาธยายอีกนิด ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแม้จะกัดกันทุกวันทุกเวลาหลังอาหาร แต่เมื่อไหร่ที่เตนล์มีเรื่องเดือดร้อนใจก็มักจะมีแค่ไอ้บ้านั่นแหละที่โผล่มาช่วยได้ถูกที่ถูกเวลาอยู่เสมอ ตั้งแต่เตนล์ตื่นสาย หลงทาง ไปสอบไม่ทัน ตกรถเมล์ ไม่มีข้าวกิน เครียดเรื่องเรียน คิดถึงบ้าน หรือจะเป็นตอนที่เตนล์ร้องไห้เพราะทำข้อสอบไม่ได้ คิมโดยองก็เป็นเพียงคนเดียวที่เดินมาตบหัวเขาเบาๆ พร้อมพูดให้กำลังใจ (?) เสมอว่า ‘ปกติยิ่งขี้เหร่อยู่แล้ว ร้องไห้นี่ยิ่งขี้เหร่ไปกันใหญ่ จะเศร้าทำไม เศร้าไปก็ไม่หายโง่ ทีหลังก็เอาใหม่ อย่าคิดมาก’ รวมทั้งทำให้เตนล์หายเครียดด้วยวิธีกวนโอ้ยหลากหลายอย่าง
ทำให้อุ่นใจมากกว่าการที่ไม่มีใครอยู่ข้างๆ เลยน่ะนะ
ฉะนั้นเลยหยวนๆ ให้แล้วกัน เรียกว่าเพื่อนก็ได้ ไอ้เพื่อนบ้า
เอาเถอะ ยังไงซะ นี่ก็ครบปีแล้วในการมาศึกษาเรียนรู้ที่ต่างแดน ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าหมดเวลาสักที ที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตัวเอง เตนล์เก็บสัมภาระทุกอย่างใส่กระเป๋าเรียบร้อยตั้งแต่สองวันที่แล้ว ดูจากปฏิทินที่ถูกวงกลมเอาไว้ก็เหลือเพียงหนึ่งวันเท่านั้นที่จะเก็บเกี่ยวเอาความทรงจำดีๆ ทุกอย่างกลับไทย และแน่นอนว่าอดที่จะรู้สึกโหวงๆ ในใจไม่ได้ เพราะถึงแม้ช่วงแรกๆ การมาอยู่ที่นี่จะค่อนข้างยากลำบาก แต่ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหรี่ มันก็ยิ่งสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับเตนล์ได้มากขึ้นเท่านั้น
‘คงคิดถึงเตนล์น่าดูเลย’
‘อย่าลืมติดต่อกลับมาบ้างนะ เราอยากรู้ว่าที่บ้านเตนล์เป็นไงบ้าง ทั้งที่บ้านแล้วก็ที่โรงเรียนเลย’
‘ต่อไปนี้ใครจะยิ้มให้เราดูล่ะเนี่ย เฮ้อ’
‘อย่าลืมพวกเรานะเตนล์’
จึงแน่นอนว่าประโยคพวกนั้นที่มาจากเพื่อนร่วมคลาสก็ทำเอาเตนล์น้ำตาซึม ก่อนที่ตัวเล็กๆ ของเตนล์จะถูกดึงไปกอดด้วยฝีมือของคนนั้นทีคนนี้ และเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนจำชื่อกันไม่หวาดไม่ไหว ทีนี้เลยรู้เลยว่าไอ้คนขี้เหร่ที่โดยองว่าน่ะ จริงๆ แล้วเป็นขวัญใจของคนทั้งคณะ และนั่นแหละ ถึงได้ทำให้ไอ้บ้านั่นมันมองเตนล์เหยียดๆ ก่อนจะดึงเตนล์ออกมาจากอกพี่จอห์นนี่รุ่นพี่ปีสามที่กำลังจะวาดแขนยาวๆ มาโอบ แถมยังตะโกนดังลั่นทั้งคณะจนเตนล์โมโห อยากจะชกหน้ามันให้ได้เลือดแล้วหนีกลับไทยไปซะตอนนี้
‘ก็แค่กลับไปเรียนต่อที่บ้าน ไม่ได้ตาย จะอาลัยอาวรณ์อะไรกันนักหนา ไป๊! แยกย้าย’
ไอ้!
ไอ้คนไม่มีหัวจิตหัวใจ! ไอ้คนบ้า! ไอ้ปากพาซวย!!
จะว่าโกรธก็โกรธ แต่ยอมรับแบบแมนๆ ว่าน้อยใจมากกว่าที่นอกจากคิมโดยองจะไม่มีท่าทีเสียดายที่พรุ่งนี้เตนล์ต้องกลับไปเรียนต่อที่ไทยแล้วยังชอบทำท่าทางเหมือนอยากจะไล่กันให้ไปพ้นๆ หน้าในทุกลมหายใจอีก
แล้วที่เตนล์คิดมาตลอดว่ายังไงซะเราสองคนก็เพื่อนกันนี่ไม่มีความหมายเลยใช่ไหม
สรุปแล้วในสายตาของโดยอง เตนล์ไม่เคยมีความหมายอะไรเลยใช่หรือเปล่า
ก่อนไปจากเกาหลีคืนนั้นเตนล์เลยเผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ทั้งร้อง ทั้งเช็ดน้ำตา ทั้งก้นด่าไอ้คนใจร้ายนั่นทั้งคืนจนเหนื่อยไปหมด ตื่นมาตาก็ยังบวมปูดเป็นลูกมะนาว มองตัวเองในกระจกแล้วโคตรจะขี้เหร่อย่างที่มันว่าจริงๆ นั่นแหละ
“…”
พอมาเจอกันอีกทีที่สนามบิน เลยไม่อยากจะพูดด้วย ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากเข้าไปเฉียด เตนล์มองคนที่มายืนดักทางในตอนที่เขากำลังจะเข้าไปเช็คอินด้วยสายตาว่างเปล่า ซึ่งถ้าไม่โง่จนเกินไป ก็คงจะรู้ได้ว่าตอนนี้ เตนล์โคตรจะโกรธ
จำเอาไว้เลย ในเมื่ออยากให้ไปนัก เตนล์ก็จะไปให้พ้นๆ !
ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยนะชาตินี้ ถ้าเตนล์กลับมาเที่ยวเกาหลีอีกรอบ สาบานเลยว่าจะไม่บอก ไม่แวะไปหา ไม่ติดต่ออะไรมันทั้งนั้น
ตัดขาด!
“มีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง รีบไปเช็คอินแล้วมาหาฉันตรงนี้”
แต่เหมือนจะทำไม่ได้...
เพราะพอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เตนล์ที่ตั้งท่าจะหนี ก็ถูกแขนยาวๆ ของคิมโดยองลากมาจนมาจมปุกกันที่ร้านกาแฟหลอดเขียวในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวสุดๆ หมอนั่นไม่ยอมให้เตนล์นั่งตรงข้าม แต่กลับดึงปลายเสื้อของเตนล์แรงๆ จนต้องนั่งลงที่เบาะเดียวกันซึ่งยังไม่ทันจะได้อ้าปากโวยวายง จู่ๆ ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางตรงหน้าพร้อมกับสายตาที่เตนล์คุ้นชินมาโดยตลอด
“ถ้าไม่ปอดแหกก็เขียนตามที่ฉันบอกเดี๋ยวนี้”
มันเป็นบ้าอะไรอีก!
คราวนี้เตนล์ไม่ยอม ปัดกระดาษออกแล้วตั้งท่าจะลุกหนี
แต่ไอ้บ้านี่ก็ยังไม่ยอมหยุด
“อย่าดื้อได้ไหม!”
“ใครกันแน่!”
เอาสิ เอาเลย เตนล์ไม่อายหรอก ยอมรับว่าเมื่อกี้เผลอตะคอกกลับไปอย่างโมโห แต่ยังไงซะวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะอยู่ที่นี่ฉะนั้น หากมีอะไร ก็ให้มันจบ มันสิ้นตอนนี้เลย อยู่ๆ ก็มีบังคับ มาถลึงตาใส่เตนล์ มาหาว่าเตนล์ดื้อได้ยังไง โคตรไม่มีเหตุผล และเตนล์ก็ไม่อยากหงุดหงิดใจเพราะไอ้บ้าโดยองอีกแล้ว
“บอกให้ทำก็ทำเตนล์”
“ไม่!”
“เวลาที่เหลือก่อนขึ้นเครื่องคัดลายมือลงกระดาษไปเดี๋ยวนี้ว่าจะลืมทุกคนยกเว้นคิมโดยอง! จะเฟสไทม์หาทุกคืน! จะมาหาทุกครั้งที่ว่าง!! และจะไม่มีใครนอกจากคิมโดยอง คัดลงไป!”
“ไม่!!!”
เตนล์หลับหูหลับตาปฏิเสธ ก่อนที่อะไรบางอย่างจะดังปรี้ดขึ้นในสมองจนต้องเบิกตาโพล่ง
“ว่าไงนะ!!!”
จะว่าช็อคก็ช็อค แต่เตนล์คิดว่าตัวเองหูฝาดมากกว่า เพราะคนอย่างคิมโดยองน่ะเหรอที่จะพูดแบบนี้
ใช่ อย่างโดยองไม่มีทางที่จะพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้นออกมาแน่
ยิ่งพูดกับเตนล์แล้ว ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ไปกันใหญ่
“ฉันบอกว่าให้คัดลงไปบนกระดาษจนกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่องว่าเตนล์จะลืมทุกคนยกเว้นคิมโดยอง”
ใช่
เป็นไปไม่ได้หรอก
“จะเฟสไทม์หาโดยองทุกคืน จะมาหาที่เกาหลีทุกครั้งที่ว่างและจะไม่มีใครนอกจากคิมโดยอง”
“…”
“จะมีแค่คิมโดยองคนเดียว คัดลงไป”
มันต้องเป็นเรื่องโกหก เตนล์พยายามขยับตัวออกห่าง ทำหน้าเหมือนเห็นผี นี่ถ้าไม่ติดว่าถูกแขนยาวๆ นั่นล็อคเอวเอาไว้ ป่านนี้เขาอาจจะขังตัวเองไว้ในห้องน้ำสักที่ของสนามบิน ก็ได้
เพราะทนไม่ไหวหรอก ทนไม่ไหวแน่ที่จะมานั่งสบตากับคิมโดยองที่มองเตนล์แบบนี้
มองในแบบที่ทำให้เตนล์เผลอกลั้นลมหายใจ มองในแบบที่สามารถคิดไปไกล
...ว่ามีใจให้กัน
“ฉ ...ฉันไม่เข้าใจ”
“ทำไมถึงโง่”
แต่โดยองก็คือโดยอง
เป็นโดยองที่ไม่เคยพูดดีๆ กับเตนล์เลย
เป็นโดยองที่มักจะทำเหมือนเตนล์เป็นเด็กป.สอง
เป็นโดยองที่ใจร้าย
และเป็นโดยองที่อยู่ใกล้กับหัวใจเตนล์ที่สุด
“ทั้งๆ ที่แค่นี้มันง่ายมากเลย”
“ที่บอกว่าให้ลืมทุกคนยกเว้นฉันนั่นก็หมายความว่าฉันอยากให้นายจำแค่ฉันคนเดียว ที่บอกให้เฟสไทม์มาหาก็หมายความว่าฉันอยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้านายก่อนนอนทุกคืน ที่บอกให้มาหาที่เกาหลีทุกครั้งที่ว่างนั่นก็หมายความว่าฉันต้องการใช้เวลากับนาย และเมื่อฉันว่าง ฉันก็จะไปหานายที่ไทยเหมือนกัน”
“แล้วที่บอกให้คัดว่าจะมีแค่คิมโดยองคนเดียว นั่นก็หมายความว่า หากกลับไทยไปแล้ว ห้ามไปสนิทกับใครอีก ห้ามให้ใครกอด ห้ามไปทำตัวโง่ๆ กับใครเหมือนที่ทำกับฉัน ห้ามไปยิ้ม ห้ามไปทำหน้าขี้เหร่ อะไรพวกนั้นต้องทำแค่กับฉันคนเดียว”
“ไอ้บ้า!”
เตนล์โคตรไม่เข้าใจ
จากที่งงอยู่แล้วก็ยิ่งงมากขึ้นไปอีก
คงมีแต่แก้มแดงๆ และหัวใจที่เต้นเร็วนี่แหละ ที่เพิ่มเติมเข้ามา
“ทำไมเข้าใจอะไรยาก!”
“แล้วทำไมไม่พูดให้มันง่ายๆ !!!”
“โอ้ย งั้นก็ไม่ต้องพูดแม่งแล้ว!!”
และหลังจากประโยคนั้นเตนล์ก็ถูกคว้าตัวเข้าไปจูบ คิมโดยองไอ้คนที่เตนล์ก่นด่ามาตลอดปีกาศึกษา คนที่เตนล์เสียน้ำตาให้เมื่อคืนประครองแก้มของเตนล์ไว้แน่นพร้อมๆ กับการช่วงชิมริมฝีปากของเตนล์อย่างหนักหน่วงจนระยะห่างของเราเป็นศูนย์ และมันก็สุดแสนจะเอาแต่ใจ ทั้งคล้ายจะทำโทษด้วยที่เตนล์กล้าโง่ได้ขนาดนี้ แต่นั่นแหละ พอเตนล์ส่งเสียงร้องอู้อี้ไม่พอใจที่โดนต่อว่า ไอ้คนใจร้ายมันก็ผละออกมาแล้วกดจูบแรงๆ ลงที่ริมฝีปากของเตนล์อีกหลายๆ ครั้งจนเตนล์แก้มแดงจัด สุดท้าย เลยเผลอขยับริมฝีปากออกจนทำให้คนที่ฉลาดที่สุดในโลกได้เข้ามาอธิบายอะไรที่ยากๆ นั่นให้ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งอย่างไม่แคร์สายตาลูกค้าคนอื่นๆ ในร้าน
“อื้อ โด ...ยอง”
“…”
“นี่มันร้าน ..อื้ม ..กาแฟ”
ทีนี้แหละ ถ้ายังไม่รู้อีก ก็ไม่ต้องกลับแล้วประเทศไทยอะไรนั่น!
เตนล์เลยไม่รู้ว่าตัวเองได้ถูกปล้นจูบไปนานเท่าไหร่ แต่ ....ก็
น่าจะพอทำให้แก้วอเมริกาโน่สองแก้วที่วางคู่กัน มีรสชาติจืดชืด
ตอนที่ถูกจับจูงมาส่งก่อนจะแยกกัน เขาถึงได้ไม่รับรู้เลยว่าที่จริง ...เครื่องดื่มในมือน่ะ มันขมนะ
มันขมมากเลย
“ทำไม่ได้อย่างที่บอกล่ะน่าดู”
แต่นั่นแหละ
คงเพราะจูบของโดยองน่ะหวานจัด
ยิ่งผสมกับสายตาของโดยองที่มองเตนล์ในตอนที่มือของเราสองคนค่อยๆ คลายออกจากกันมันก็ยิ่งหวานขึ้น หวานขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ซึ่งอีกหนึ่งข้อ ที่คงอาจจะไม่รู้
ว่าเตนล์ก็ขี้หวง
ไม่แพ้กันหรอก
“โดยอง..”
“?”
และก็...
“โดยองก็อย่าไปใจร้ายแบบนี้กับใครอีกนะ ใจร้ายกับเราคนเดียวนะ”
“พูดมาก รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวตกเครื่อง”
“โดยอง...”
“อย่ามาทำหน้าตาขี้เหร่นะ”
“:(”
แต่เตนล์ก็ทำ…
ก็ทำแค่กับโดยองคนเดียวนะ...
“ฟัง ฟังแล้วจำใส่สมองทึมๆ ! ”
“…”
“ที่บ้านฉันถูกสอนมาให้มั่นคง จริงจัง และเต็มที่กับสิ่งที่อยากได้”
“…”
“ฉะนั้นจะไม่สัญญาอะไรทั้งนั้น แต่จะบอกไว้แค่อย่างเดียวว่านับตั้งแต่ที่มีเด็กจากไทย เดินหน้าโง่ๆ เข้ามาในคลาส ฉันก็รู้เลยว่า ไอ้หมอนี่แหละ จะต้องเป็นของฉัน และจะต้องเป็นของฉันคนเดียวด้วย”
“…”
“หรือจะแปลความหมายได้ง่ายๆ ว่า...”
หวานสุดๆ ในตอนที่ริมฝีปากของโดยองกดลงมาอีกสองสามครั้งในตอนสุดท้าย
พร้อมกับหนึ่งประโยคที่คิดว่ามันน่าจะทำให้เตนล์น้ำตาลในเลือดเกินปริมาณไปอีกหลายวัน
“ลูกบ้านนี้ ถ้าได้รักใครจะรักแค่คนเดียว รักเดียวใจเดียวน่ะเข้าใจไหม?”
ความคิดเห็น