คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 3
ในที่สุด Lieve ก็โผล่หัวกลับมารายงานตัวพร้อมกับ FE บทที่ 3 ค่ะ
สำหรับบทนี้ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าแต่งเพลินจนเลยเถิดไปหน่อย
ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้ก็ขอให้สนุกกับการอ่านค่ะ ^^
ปล. ขอถามอะไรหน่อยสิคะ ว่าระหว่างขนาดตัวอักษร Angsana 16 แบบตอนที่แล้ว หรือ Angsana 15 แบบตอนนี้อ่านง่ายกว่ากันคะ
จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไข (เอ๊ะ! หรือว่าอ่านยากทั้งสองแบบเลย o_O)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 3
“นี่ แม่สาวน้อยแฟทเทนส์…”
ไอริชเซียหันไปตามคำเอ่ยเรียก ดวงตาสีฟ้าคู่สวยฉายแววแปลกใจ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเมื่อเห็นใบหน้าของผู้เรียกตนชัดๆ ร่างบอบบางดีดตัวออกห่างตามสัญชาตญาณในทันที “เธอ…!”
“ฮะๆ” น้ำเสียงใสหัวเราะ กระตุกรอยยิ้มหวานขึ้นประดับบนใบหน้า ขณะยกนิ้วขึ้นจุ๊ปาก “อะไรกันๆ ทำแบบนี้กับแขก ไม่น่ารักเลยจริงๆ”
“แขก” ไอริชทวนคำเสียงสูง เลิกคิ้วขื้นอย่างงงวย ขณะมือก็ขยับซ่อนเข้าเบื้องหลัง “เธอเป็นแขกตั้งแต่เมื่อไหรกัน ฉันไม่เห็นจะรู้เลย”
“เมื่อกี้ไงล่ะ” เดเธียเอ่ยตอบเสียงหวาน ขยับสาวเท้าเข้าใกล้อย่างเชื่องช้า มือซ้ายก็โบกเบาๆ เพียงพริบตาก็ปรากฏช่อกุหลาบขึ้น “ฝากสิ่งนี้…”
“ให้กับเด็กน้อยคนนั้นด้วยล่ะ”
จริงๆแล้วมันก็คงจะไม่มีอะไร ถ้าคนให้ไม่ใช่เดเธีย แต่มันคงจะไม่มีอะไรยิ่งกว่า ถ้าช่อกุหลาบนั้นไม่ได้เป็นสีดำสนิท ไอริชเบิกตากว้าง อุทานลั่น “เธอ… เธอคิดจะทำอะไร”
รู้สินะ… ปีศาจสาวยกยิ้มหวาน มือก็ยื่นช่อกุหลาบแสนสวยที่ไม่เหมาะสำหรับการเยี่ยมไข้ไปให้ไอริช
กุหลาบดำ โดยทั่วไปมีความหมายว่าความรักนิรันดร์ แต่ว่าความหมายโดยนัยของมันก็คือ…
ความตาย…
“นั่นสินะ…” ร่างนั้นค่อยๆเลือนลางไปทีละน้อย แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่อย่างน่าหมั่นไส้ “ข้าคิดจะทำอะไรกัน…”
สุดท้าย ช่อกุหลาบดำนั้นก็ทิ้งตัวตกตามแรงโน้มถ่วงลงมานอนอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวสด ดวงเนตรสีฟ้าใสของหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ณ ที่ตรงนั้นฉายแววเคร่งเครียด ขณะมองเจ้าช่อกุหลาบเจ้าปัญหาอย่างจนใจ “ผู้หญิงคนนั้น จะทำอะไรกันแน่นะ”
ได้แต่รำพึงกับตัวเอง ก่อนตวัดกายจากไป แต่แล้วก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอจางๆล่องลอยมากับสายลม กลิ่นไออันตรายของเจ้าสิ่งนั้น… “บ้าน่า เป็นไปไม่ได้”
จากความคิดที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านกลับกลายเป็นหันกลับไปทางเดิม หากแต่คราวนี้ต่างกับคราวที่เดินจากมากลิบลับ ยิ่งเดินเข้าใกล้เท่าไหร่ กลิ่นไอก็ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คิ้วเรียวต้องขมวดมุ่น ทำไมกลิ่นไอถึงได้รุนแรงแบบนี้…
แต่พอหักเลี้ยวที่พุ่มดอกไม้ที่ดูเหี่ยวๆยังไงพิกลเบื้องหน้า หญิงสาวก็ไม่แปลกใจอีกต่อไป
จากสวนสีเขียวชะอุ่มที่มีต้นไม้และดอกไม้ออกดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหวานกลับกลายเป็นลานโล่งๆที่มีเพียงทุ่งหญ้าแห้งเหี่ยว ต้นไม้ใหญ่ที่เคยผลิใบก็เหลือเพียงกิ่งก้าน ดอกไม้ที่เคยออกดอกอย่างงดงามกลับหายไป ไม่เหลือแม้แต่สิ่งใดนอกจากโครงแห้งๆของตัวพุ่ม แต่นอกเหนือสิ่งอื่นใด กลับมีบางสิ่งกำลังเติบโตภายใต้สภาวะแวดล้อมแห่งความตายนั้น
ยังใจกลางลานโล่งที่เคยมีช่อกุหลาบดำนอนนิ่งอยู่ บัดนี้ได้ปรากฏพุ่มกุหลาบขึ้น มันผลิดอกอย่างสวยงามท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมนของกลิ่นไอแห่งความตาย กุหลาบสีดำสนิทยิ่งกว่าความมืดของยามราตรีกาลเติบโตทีละน้อย ใบสีคล้ำเกี่ยวกระหวัดโอบล้อมพันไปมา มันช่างงดงามและน่าหวาดกลัวไปในคราวเดียวกัน
“หึ” แค่นเสียงหัวเราะเบาๆ แววตาที่เคยสดใสแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบยิ่งน้ำแข็ง มือข้างขวายกขึ้นสูงเหนือศีรษะขณะริมฝีปากแดงสวยก็แสยะฉีกยิ้มน่าหวาดผวา “ช่างใจกล้ายิ่งนัก…”
“ที่บังอาจมาปลูกฝังกลิ่นไอแห่งความตายไว้ในที่แห่งนี้”
เปรี้ยง!
ในวินาทีที่หญิงสาวสะบัดแขนลง ก็บังเกิดสายฟ้าฟาดลงมายังพุ่มกุหลาบ กลุ่มควันและเศษดินกระจายฟุ้งไปทั่ว เช่นเดียวกับไอเย็นที่แผ่กระจายออกช้าๆ และเมื่อหมอกควันจางลง เจ้ากุหลาบแสนงามนั้นก็กลายเป็นซากกุหลาบแช่แข็งเสียแล้ว ไอริชยกยิ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเช่นที่เคย “เรียบร้อย ที่เหลือก็ต้องฝากด้วยนะคะ”
กล่าวจบก็ค่อยๆเลือนลางหายไปพร้อมกับกลุ่มควันจางๆที่โดนสายลมพัดจางหายไป
“รีส…”
“พี่…” น้ำเสียงหวานกระซิบท่ามกลางความมืดสลัวที่มีเพียงแสงเทียนอ่อนๆคอยนำทาง นัยน์เนตรสีดำขลับประดุจนิลคู่งามตวัดกลับมามองยังหญิงสาวผู้ก้าวเข้ามาใหม่ “หายไปไหนมาน่ะ”
“เดธ?” หญิงสาวเอ่ยเสียงสูง เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจที่เห้นน้องชายนั่งอยู่ในห้องของตน แต่เพียงไม่นานเธอก็ต้องยกยิ้มหวานอย่างเอ็นดูปนเปไปกับความเหนื่อยใจ เธอรู้ดีว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ “ไปป่วนบ้านแฟทเทนส์มานิดหน่อย สนุกดี”
“ป่วน…?” น้ำเสียงนุ่มหวานเอ่ยทวนอย่างงุนงง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจเมื่อนึกอะไรได้ “เพราะแบบนี้สินะ ถึงได้กลับไปที่อีสต์เวิร์ด”
“ฉลาดนี่เรา” เดเธียเอ่ยกลั้วหัวเราะ เธอตวัดมือเบาๆเรียกเอาเจ้ากุหลาบสีดำสนิทขึ้นมา โน้มหน้าลงแตะปลายจมูกเข้ากับกลีบดอกบอบบาง สูดเอากลิ่นหอมจางๆและไอแห่งความตายเข้าไป “แต่กุหลาบดำแห่งอีสต์เวิร์ดเนี่ย ช่างเป็นของที่เหมาะกับการเยี่ยมเยียนจริงๆเลยนะ”
“กุหลาบดำแห่งอีสต์เวิร์ด?” เดธเอ่ยทวนเสียงสูง ตาก็มองผู้เป็นพี่สาวปักเจ้ากุหลาบในมือลงยังแจกันอันสวย “ใช่แล้ว…”
น้ำเสียงหวานของปิศาจสาวเอ่ยย้ำ ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับน้องชาย ช้อนนัยน์ตาสีม่วงสวยสบเข้ากับดวงตาสีดำหวานของชายเบื้องหน้า “เพียงแค่เด็กน้อยคนนั้นสูดกลิ่นไอของมันเข้าไป…”
“ลมหายใจสุดท้ายของเขาก็จะถูกริดรอนลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดลงในที่สุด”
ในทันทีที่เอ่ยจนจบ ดวงเนตรสีม่วงนั้นก็ทอประกายวาววับราวกับจะยกยิ้มเย้ยหยัน “แล้วเขาก็จะกลับมา จริงมั้ย เดธ”
“ครับ”
ไม่นานน้ำเสียงใสก็ประสานเสียงหัวเราะแหลมอย่างพึงพอใจ สองพี่น้องยกยิ้มให้กันผ่านทางดวงตา สื่อสารคำพูดเงียบๆท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังก้องไปทั่ว
ใช่แล้ว… เขาจะต้องกลับมาในไม่ช้านี้เป็นแน่
“อือ…” เสียงครางเบาๆบ่งบอกถึงการรู้สึกตัว ดวงเนตรสีแดงฉานดุจหยาดโลหิตปรือเปิดขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนหนาปลุกเขาออกจากนิทรารมย์อันแสนสุข “เช้าแล้วหรอเนี่ย…”
ว่าพลางยันกายลุกจากเก้าอี้ที่เป็นเตียงให้ตนมากว่าค่อนคืน แขนทั้งสองยืดออก ไล่ความเมื่อยจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน พลันสายตาก็ตวัดกลับไปมองยังเจ้าผ้าม่านผืนหนาที่มีแสงแดดลอดผ่าน เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าใกล้ มือบางจัดการตลบเจ้าม่านขึ้น ปล่อยให้แสงแดดของยามสายลอดผ่านเข้ามาโดนไม่มีสิ่งใดกั้นขวาง “ไม่สิ มันสายแล้วนี่นา…”
ได้แต่หันดวงตาออกจากแดดจ้านั้น พลางบ่นกับตัวเองเบาๆ “แย่จริงๆเลย”
ชายหนุ่มตวัดกายออกมาจากริมหน้าต่างนั้น มือละออกจากผ้าม่านให้มันเลื่อนตกลง ริดรอนแสงสว่างทั้งหมดจนไม่แทบเหลือ หากแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ผู้อยู่ภายใต้ความมืดมิดมาเกือบทั้งชีวิต ดวงตาคู่สวยตวัดมองยังกรอบรูปที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ เศษฝุ่นที่ไม่มีแม้เพียงนิดเดียวผิดกับที่รอบๆที่จับไม่ด้วยฝุ่นจางๆแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของเจ้าของได้เป็นอย่างดี
ในกรอบรูปนั้นเป็นภาพวาด ภาพวาดของเด็กสองคนที่ดูๆแล้วอย่างน้อยก็น่าจะห่างกันประมาณสามปี คนที่ดูโตกว่านั้นมีดวงตาสีแดงเป็นประกายซุกซนตามประสาเด็ก ส่วนอีกคนมีดวงตาสีเขียวมรกตวาววับ เจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากแมวป่า แต่ทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันคือเส้นผมสีทองสว่าง “ป่านนี้ จะเป็นยังไงบ้างนะ”
ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนใบหน้าของเด็กน้อยเจ้าของดวงตาสีมรกตแสนงามนั้น “ท่านพี่…”
“อะไรกัน คิดถึงเขาอีกแล้วหรอ” น้ำเสียงของผู้มาใหม่เอ่ย ปรากฏตัวขึ้นกลางห้องอย่างสบายๆพร้อมลูกไฟกลมๆในมือที่ทอแสงสว่างจางๆ รอยยิ้มกวนประสาทถูกชักขึ้นประดับบนใบหน้าคมคายนั้น แต่แล้วชายหนุ่มก็เป็นอันต้องร้องเสียงหลงกับของต้อนรับจากเจ้าของห้อง “โว้วๆๆ ใจเย็นสิ”
ดาบบางคมกริบแนบลงบนลำคออย่างไม่มีลังเลราวชายหนุ่มพร้อมที่จะปลิดชีพผู้บุกรุกได้เพียงขยับมือนิดเดียว ดวงตาสีแดงฉานเหลือบมองอย่างเย็นชา เผลอๆจะแฝงไปด้วยความโกรธอยู่ไม่น้อยทีเดียว “เจ้ามันไม่รู้อะไร…”
กระซิบลอดไรฟันเสียงต่ำ กดดาบให้เฉือนเข้าไปในเนื้อนุ่มๆเรียกเลือดให้ไหลรินช้าๆ “เฮ้ยๆๆ”
น้ำเสียงเดิมยังคงอุทานลั่น แต่รอยยิ้มกวนประสาทก็ยังคงประดับอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง มือค่อยๆดันเจ้าคมดาบออกไปจากลำคอช้าๆ แต่ก็สะกิดเลือดให้ไหลจากปลายนิ้วได้ไม่น้อย “เจ้านี่นา…”
“จริงๆเลย อิลเลียต”
ถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่ดูยังไงมันก็ดูราวกับแกล้งกันชัดๆ คราวนี้อิลเลียตไม่ทาบดาบบนลำคอแล้ว เขาตวัดปลายดาบหมายจะเสียบมันเข้าตัดขั้วหัวใจของหนุ่มตรงหน้าด้วยซ้ำ ทำให้ผู้ถูกประทุษร้ายต้องวิ่งหลบเป็นพัลวัน “อ๊าก! ใจเย็นหน่อยสิ!”
“ข้าก็กำลังหาทางพาเขากลับมาอยู่นี่ไง!”
เผลอหลุดปากความลับออกไปเต็มๆ ชายหนุ่มหยุดนิ่ง ยกมือปิดปาก ตาเบิกโตอย่างตกใจ ตายล่ะหว่า หลุดปากไปแล้ว…
โครม!
เท้างามๆถูกยกขึ้นถีบชายหนุ่มอย่างไม่ลังเล คมดาบไล้ไปตามคางสวยของผู้ที่ไม่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น แววตาสีแดงคู่สวยช่างเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เช่นเดียวกับเรียวปากอิ่มแดงที่กำลังระบายยิ้มเย็นชา “เจ้าว่าอะไรนะ เฟรซิส…”
“เอ่อ… คือ…” น้ำเสียงเอ่ยตะกุกตะกัก เฟรซิสยิ้มแห้งๆค่อยๆดันตัวถอยหลังให้พ้นคมดาบช้าๆ แต่แล้ว “อั่ก!”
เท้าขวาของอิลเลียตกลับเหยียบลงบนยอดอก พร้อมคมดาบที่ไล้ไปตามโครงหน้าให้หวิวๆเล่น “ว่ายังไงล่ะ เฟรซิส… เจ้ากำลังจะทำอะไรนะ”
แต่ดูเหมือนว่าสติของชายหนุ่มจะไม่ได้อยู่กับน้ำเสียงหวานๆที่กำลังเอ่ยถามอีกแล้ว แต่มันกลับไปอยู่ที่ดวงเนตรสีแดงฉานแสนเย้ายวนคู่นั้นต่างหาก “คือข้า…”
“เจ้านี่สวยเหมือนพี่เลยเนอะ…”
โครม!
อิลเลียตกลอกตาอย่างหมดอารมณ์หลังจากที่กระแทกส้นเท้าส่งหัวของเฟรซิสให้ทะลุพื้นไปเป็นที่เรียบร้อย “ให้ตายเถอะ…”
“แหม อย่าพึ่งงอนสิ…” เสียงเอ่ยต่อแผ่วๆดังออกมาจากหลุมบนพื้น “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ยังไงข้าก็ชอบเจ้ามากกว่านะ ถึงแม้ว่าพี่ชายของเจ้าเป็นเด็กน่ารักเคี้ยวง่ายก็เถอะ”
ฉึก!
ดาบยาวปักทะลุพื้นก้นหลุม เฉียดหัวของเฟรซิสไปแค่หน่อยเดียว “เงียบไปซะ เจ้าคนน่ารำคาญ”
“อา…”
ก๊อกๆๆ
“นายท่านขอรับ…” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอยู่หน้าห้อง “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“อ๋อ เปล่าหรอก ฟรีส” อิลเลียตเอ่ยตอบ ปรายตามองซากของเฟรซิสอย่างไม่ไยดี “แค่ของตกนิดหน่อยน่ะ”
“จริงสิ ข้าไม่ได้มาหาเจ้าเพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะ” จู่ๆน้ำเสียงที่เคยร้องแผ่วๆก็เปลี่ยนไป มันแฝงไปด้วยความโกรธลึกๆผสมกับความแค้นอีกนิดหน่อย “แต่ข้ามาเพราะเรื่องเมื่อเช้าต่างหาก สุดที่รัก…”
คำเอ่ยสุดท้ายนั้นกระซิบเข้าที่ข้างใบหูเล็กพร้อมลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดสร้างความรู้สึกหน้าร้อนได้อย่างทันที แขนแข็งแกร่งโอบเข้ารอบเอวบางของชายเจ้าของห้องขณะแขนอีกข้างค่อยๆพลิกให้ร่างนั้นหันหน้ามามองสบกับตน
อิลเลียตขยับรอยยิ้มเย้ายวน แววตาคู่สวยเต็มไปด้วยความเฉยเมยและเย่อหยิ่งจนดูเย็นชา ทั้งๆที่ลึกๆนั้นกลับแฝงไปด้วยความสั่นไหวอย่างพยายามเก็บความอายให้ได้มากที่สุด แต่อย่างไรเสียก็ไม่อาจลบปื้นแดงๆไปจากบนใบหน้าได้ “เมื่อเช้า… เมื่อเช้าอะไรอย่างงั้นหรอ”
หนุ่มน้อยเจ้าของดวงเนตรสีแดงฉานเอ่ยตอบอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ค่อยๆยืดเวลาออกไปอย่างไม่ลดละ โดยมีเฟรซิสเป็นผู้ร่วมมืออย่างดีเพราะไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้นไปอีกพักใหญ่ ความเงียบเริ่มเข้าครอบคลุมจนรู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจแผ่วๆของคนทั้งสอง “เมื่อเช้าอะไรอย่างงั้นหรอ…”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทวน หากแต่คราวนี้มันไม่ได้แฝงไปด้วยความโกรธเสียแล้ว แต่มันกลับเต็มไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรงเลยต่างหาก ดวงตาคมกริบสีเขียวน้ำทะเลจ้องมองยังดวงตาสีแดงฉานอย่างเหลืออด “เจ้าทำอะไรก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่รึไงกัน!”
ลมหายใจของอิลเลียตกระตุกวูบในทันที เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะโกรธได้ขนาดนี้ ดวงตาคู่สวยฉายแววหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อยก่อนมันจะหายวับไป ร่างบางเม้มปากเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจตนเอง ก่อนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ลมหายใจเบาๆผ่อนออก
เป็นไงเป็นกัน ช่วยไม่ได้แล้วสินะ ก็ดันไปก่อเรื่องไว้เอง…
“นั่นสินะ… ข้าทำอะไรกัน”
“เขาอยู่ไหน…” เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสีแดงฉานเย็นเยียบกวาดมองไปยังร่างของเหล่าคนใช้ที่ยืนตัวสั่นงกๆ “คือ… นายท่านห้ามไม่ให้ใครเข้าพบ…”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” ดูเหมือนยิ่งคนใช้เอ่ยตอบคำถามมากเท่าไหร่ น้ำเสียงของชายหนุ่มก็จะกดต่ำเย็นเยียบลงเท่านั้น ดวงตาคมกริบคู่นั้นมองตรงยังหัวหน้าคนใช้ที่กำลังค่อยๆตอบคำถามอย่างหวาดกลัว ไอเซทถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ให้ตายเถอะ วันนี้เขาจะได้คำตอบมั้ยเนี่ย… “คือ… ตั้งแต่…”
“ตั้งแต่…”
“ขอประทานโทษแทนด้วยนะขอรับ” น้ำเสียงนึ่งเอ่ยพร้อมการปรากฏตัวของร่างบอบบางในชุดคลุมสีดำที่ประตู “พอดีว่าท่านหัวหน้าไม่ค่อยชินกับการรับแขกเสียเท่าไหร่”
ร่างนั้นค่อยๆเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโค้มศีรษะลงเป็นเชิงทักทาย “ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ฟรีเซนเทียสขอรับ ท่านไอเซท เชิญเข้าไปนั่งรอด้านใน…”
แล้วก็ผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ก้าวตามเข้าไปด้านใน พร้อมกล่าวเร่งอย่างอ้อมๆ “เชิญ…”
ไอเซทเม้มปากเบาๆก่อนจะเดินตามไป โถงทางเดินกว้างถูกแต่งแต้มด้วยแสงอาทิตย์สว่างไสวจากบานหน้าต่าง แสงแดดสว่างจ้าทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้คงจะสายมากพอดูแล้ว ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกอย่างกังวล เขาไม่รู้ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยๆก็มั่นใจได้ว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังงามนี้อย่าง เฟรซิส ฟรีเซนเทียส จะต้องรู้อะไรบางอย่างเป็นแน่
“เชิญขอรับ…” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกตลอดการเดินเรียกชายหนุ่มให้หลุดออกจากภวังค์ของตน ดวงเนตรสีแดงฉานของเขาตวัดมองร่างที่นำทางเล็กน้อยก่อนเดินนำเข้าไป
ร่างสูงทรุดนั่งลง กวาดสายตามองไปรอบๆห้องรับแขกที่ถูกจุดเทียนจนสว่างไสว ดูดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะนี่… “แล้วข้าจะได้พบเขาเมื่อไหร่”
“น่าจะประมาณบ่ายๆขอรับ แต่กระผมจะไปถามให้อีกทีนะขอรับ” มือบางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบลอยมาแตะจมูกช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้มาก “ขอบคุณ”
“ขอรับ” แล้วร่างนั้นก็โค้งตัวลงเล็กน้อย “เช่นนั้นกระผมขอตัวสักครู่นะขอรับ”
“…” หากแต่ไอเซทก็ไม่ได้ว่าขานอะไร ร่างนั้นจึงเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ เพียงไม่นานหลังจากนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุมทุกสิ่ง “กลับมาฉันเล่นนายตายแน่ เฟรซิส…”
ได้แต่กระซิบลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น ดวงตาไหวระริกราวมีเปลวเพลิงร้อนถูกสุมอยู่ด้านใน แต่แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางอย่าง กลิ่นกุหลาบหวานที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ “กุหลาบ…?”
เอ่ยกับตนเองอย่างแปลกใจ จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่ค่อยได้กลิ่นของกุหลาบบ่อยนัก แต่เขาก็สามารถจำมันได้อย่างแม่นยำแน่นอน กลิ่นของกุหลาบที่ทั้งหอมหวานและนุ่มละมุนราวจะเชื้อเชิญให้เข้าเด็ดดม แต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายอ่อนๆที่สามารถปลิดชีพของมนุษย์ได้เพียงสูดดมครั้งเดียว กุหลาบดำแห่งอีสต์เวิร์ด…
“รสนิยมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆสิน่า” เอ่ยพร้อมส่ายหัวอย่างเอือมระอา “กุหลาบดำแห่งอีสต์เวิร์ดเนี่ย”
กล่าวจบก็จรดเรียวปากลงที่ขอบแก้วเนื้อดี ลิ้มรสนุ่มละมุนของชากุหลาบ กลิ่นหอมอ่อนๆที่แตะปลายจมูกและรสชาติหวานเฝื่อนๆนั้นช่างคุ้นเคย มันคงจะเป็นชาชั้นเยี่ยมสำหรับใครหลายๆคน แต่คงไม่ใช่สำหรับเขา กลิ่นไออันแสนคุ้นเคยเมื่อนานมาแล้วยังคงหลงเหลืออยู่ในนี้ กลิ่นที่ไม่ว่าจะผ่านขั้นตอนกรรมวิธีใดๆก็ไม่อาจลบเลือนไปได้ ทำให้เดาได้อย่างไม่อยากเย็นว่าต้นตอของชาในมือมาจากที่ใด
“เจ้านี่มันบ้าจริงๆด้วยสินา…”
ไอรีสกวาดสายตามองสภาพรอบกายอย่างแปลกใจ สวนสวยที่เคยเต็มไปด้วยพืชพันธุ์มากมายเติบโตอย่างสวยงามบัดนี้กว่าครึ่งของมันได้กลายเป็นผืนหญ้าแห้งกรอบเสียแล้ว ต้นไม้ใหญ่ที่แสนคุ้นเคยเหลือเพียงแต่กิ่งก้าน แต่สิ่งที่ดูจะสะดุดตาที่สุดก็คงเป็นเจ้าพุ่มกุหลาบแช่แข็งนั้น ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆอย่างเอือมๆ รำพึงกับตัวเองเสียงแผ่ว “อีกแล้วหรอ ไอริช”
มือบางกวาดออกรอบกาย สร้างละอองละเอียดสีฟ้าใสให้กระจายออกเป็นวงกว้าง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองมันเล็กน้อยก่อนกระซิบเอ่ยคำสั่ง “ซ่อมแซม”
เพียงเท่านั้น ละอองเหล่านั้นก็แทรกตัวลงยังสิ่งรอบกาย แต่งเติมจากซากเหี่ยวแห้งให้มีชีวิตชีวา เหล่าต้นหญ้าค่อยๆเหยียดตรงและเปลี่ยนเป็นสีเขียวชะอุ่ม เจ้าต้นไม้ใหญ่ก็ผลิใบออกดอกอย่างรวดเร็ว แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ค่อยๆซูบซีดลงทีละน้อย นั่นก็คือเจ้าพุ่มกุหลาบดำ มันค่อยๆแห้งเหี่ยวและสลายไปเหลือเพียงฝุ่นผงที่ถูกสายลมพัดปลิวออกไป
“กุหลาบดำงั้นหรอ…” น้ำเสียงหวานกระซิบเอ่ย แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “มันมาจากไหนกันนะ”
ไอรีสได้แต่ยืนนิ่ง สมองก็พยายามคิดคำนึงถึงแต่สาเหตุที่เจ้ากุหลาบดำนี่มาอยู่ในอาณาเขตบ้านได้ ชายหนุ่มยืนนิ่งอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งแต่เช้าเขาแทบจะไม่ได้อยู่เฉยๆเลย ดังนั้นตอนนี้ขอพักสักหน่อยคงไม่เป็นไร ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่สมควรก็เถอะ แต่เขาก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าถ้าไม่พักแล้วจะทำอะไรดี
ร่างบอบบางสาวเท้าเดินไปใต้ร่มไม้ใหญ่ ทรุดกายลงนั่งพิงต้นไม้อย่างเหนื่อยอ่อน ไอรีสหลับตาลง ปล่อยให้สายลมแผ่วๆพัดผ่าน กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ลอยมาแตะปลายจมูกสร้างความรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก พี่ชายคนรองแห่งเฟทเทนส์ขยับรอยยิ้มจางๆให้ประดับบนเรียวปาก ช่างเป็นช่วงที่สบายที่สุดในบรรดาเวลาทั้งหมดของวันนี้จริงๆ
“เฮ้อ…”
ร่างบางเจ้าของใบหน้างดงามยิ่งอิสตรีนั่งหลับตานิ่ง ปล่อยทุกอย่างให้เข้ามาและผ่านไป ในเวลานี้สมองของเขาว่างเปล่า ความทรงจำเก่าๆค่อยๆไหลย้อนกลับมาทีละเล็กทีละน้อย เหมือนภาพถ่ายที่ค่อยๆไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ ภาพเก่าๆและเรื่องเล่าสมัยยังเด็กค่อยๆถูกรื้นฟื้นขึ้นมาจากส่วนลึกของความทรงจำ
“ท่านแม่ฮะ นั่นดอกอะไรครับ” น้ำเสียงเล็กๆของเด็กน้อยเอ่ยถามหญิงผู้เป็นมารดา ขณะนิ้วสั้นๆนั้นก็ชี้ไปทางแก้วทรงสูงที่บรรจุน้ำและเสียบประดับด้วยดอกไม้แสนงาม “อ๋อ… นั่นกุหลาบจ้ะ”
เธอเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี ดวงตาคู่สวยมองกุหลาบสีดำนั้นอย่างหลงใหลก่อนเอ่ยต่อ “รีสรู้มั้ย ว่ากุหลาบสีเนี่ยน่ะหายากมากเลยนะ”
“กุหลาบสีดำเนี่ยนะครับ ไม่เห็นจะสัญญาณที่ดีสำหรับผู้รับเลย” น้ำเสียงเดิมเอ่ยวิจารณ์อย่างซื่อๆตามประสาเด็ก แต่แล้วมือเรียวของผู้เป็นมารดาก็ต้องแนบลงบนเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อน ลูบมันเบาๆอย่างเอ็นดู “หรอจ้ะ แต่รีสรู้มั้ยว่ากุหลาบดำนะถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักนิรันดร์เชียวนา…”
“อีกอย่าง กุหลาบดำดอกเนี่ย แม่อุส่าห์ไปเอามาจากอีสต์เวิร์ดเชียวนะ”
“อีสต์เวิร์ด…?”
“ใช่แล้วจ้ะ ที่นั่นน่ะขึ้นชื่อเรื่องกุหลาบดำมากเลยนะ แต่ว่าต้องเลือกดีๆล่ะ ถ้าเอากุหลาบดำของฝั่งเอเทรียสมาล่ะก็ จากการหวังดีให้คนรับดีใจเล่น อาจจะกลายเป็นฆ่าเขาได้ง่ายๆนะ”
“ทำไมล่ะครับ?”
“นั่นก็เพราะกุหลาบดำแห่งอีสต์เวิร์ดส่วนมากนะจะแฝงด้วยกลิ่นไอที่ไม่เหมาะสมกับมนุษย์ไงจ๊ะ..”
“กลิ่นไอที่ไม่เหมาะสมกับมนุษย์…?”
“ใช่แล้ว กลิ่นไอแห่งความตายไงล่ะ…”
ภาพฝันถึงอดีตเลือนรางนั่นช่างแจ่มชัดยิ่งนักในยามนี้ ไอรีสกระพริบตาปริบๆ เขาจำเรื่องนั้นแทบไม่ได้แล้วด้วยซ้ำไป แต่คำว่ากุหลาบดำนั้นกลับสะกิดใจเขาอย่างประหลาด
ไอรีสก้มหน้าลงอย่างจนใจ เขาว่าเขาจะพักนะ ไม่ใช่จะมาคิดเรื่องนี้ให้ปวดหัวเล่น ไม่นานชายหนุ่มก็จัดการเคลียร์มันออกจากสมองและล้มตัวลงนอนอย่างไม่ไยดี “ช่างเถอะ”
“คงไม่เป็นอะไรหรอก…”
เปลือกตาบางปิดสนิทเช่นเดียวกับลมหายใจสม่าเสมอเป็นสัญญาณของการหลับใหล รอยยิ้มหวานถูกประทับแน่นอยู่บนเรียวปากแดงจัดที่ติดจะดูช้ำๆอย่างชอบกล มือหนาของคนข้างๆลูบศีรษะนั้นอย่างแผ่วเบาราวปรารถนาให้นอนหลับฝันดี ทุกอย่างก็ดูจะเป็นปกติ ถ้าไม่ติดตรงที่คราบน้ำตาจางๆบนใบหน้าของผู้หลับใหล ซึ่งต้องย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เพียงไม่นานนัก
“นั่นสินะ… ข้าทำอะไรกัน” น้ำเสียงหวานเอ่ยกระซิบเป็นเชิงกวนประสาท แต่แววตาช่างยั่วเย้านั้นกลับทำให้ทุกอย่างดูมันจะกลับกันไปหมด จากการเอ่ยปากกวนประสาทกลับสามารถเปลี่ยนเป็นการเชิญชวนได้ไม่ยากเย็น “ข้าทำอะ… อุ๊บ!”
แต่ดูเหมือนว่าเฟรซิสจะไม่สนใจเรื่องนั้นมากนัก ด้วยอารมณ์ที่พุ่งสูงอย่างเกินจะเหยียบเอาไว้ทำให้เขากระชากร่างเบื้องหน้าเข้าประกบจูบรุนแรงอย่างไม่ลังเล
“อื้อ!” อิลเลียตร้องลั่นในลำคอ เม้มปิดเรียวปากของตนอย่างแน่วหนา แววตาคู่สวยฉายแววหวาดหวั่นอย่างไม่เคยเป็น หวาดหวั่นกับท่าทีของคนเบื้องหน้า…
เฟรซิสถอนริมฝีปากออกอย่างขัดใจ ชายหนุ่มตวัดดวงตากราวเกรี้ยวมองคนรักก่อนเอ่ยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนฟังได้อย่างมากมาย “อะไรกัน! ทีกับข้าไม่ให้ แต่กับฟรีสให้ เจ้านี่มัน… จริงๆเลย”
เพียงแค่คำพูดนั้น ร่างทั้งร่างก็ราวกับโดนสาดด้วยน้ำเย็น ชาดิกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แววตาสีแดงฉานที่เคยแวววับกลับว่างเปล่าราวจิตใจของเจ้าของไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป แต่ก่อนที่หนุ่มน้อยร่างบางจะได้เรียกเอาสติกลับมา จุมพิตก็ถูกทาบทับลงมาอีกครั้ง
คราวนี้เมื่อสติไม่อยู่กับตัว ใครจะสามารถป้องกันตนเองได้เล่า เพียงแค่ขบกัดเล็กน้อย ริมฝีปากที่ปิดแน่นก็เผยอออก ปล่อยให้ลิ้นร้อนได้บุกรุกเข้าในโพรงปากอุ่น กวาดต้อนหาความหวานอย่างรุนแรงจนรู้สึกได้ถึงรสชาติของเลือดที่ปลายลิ้น “อื้อ…”
ได้แต่ร้องครางในลำคออย่างสิ้นหวัง ลำพังแค่ปกติเขายังไม่สามารถเอาชนะคนเบื้องหน้านี้ได้เลย แล้วจะนับประสาอะไรกับเวลาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ล่ะ ดวงเนตรคู่สวยหรี่แสงลง เขาคงทำอะไรไม่ได้จริงๆ
เพียงไม่นาน จุมพิตก็ถูกถอนออกพร้อมๆกับอ้อมแขนที่โอบรั้งเอว ปล่อยให้ร่างบางทรุดฮวบลงโดยที่รสชาติของเลือดและความเจ็บปวดลึกๆยังไม่จางหาย เฟรซิสใช้ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองร่างเบื้องหน้าด้วยแววตาที่โกรธแค้นและเย็นชาอย่างร้ายกาจ “อะไรกัน แค่นี้ก็หมดแรงแล้วอย่างงั้นหรอ…”
“แล้วเจ้ากับฟรีสนั่นมีอะไรกันไปถึงไหนแล้วล่ะ!”
ดวงหน้าหวานซีดเผือด เขากำลังเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว แต่เฟรซิสกลับตีความหมายของใบหน้าที่ซีดเผือดนั้นเป็นคำตอบว่าเขาเดาถูก ความโกรธเกรี้ยวที่มีมากอยู่แล้วนั้นก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก “หน้าซีดทำไมล่ะ! ตอบมาสิ”
มือหน้าบีบคางของคนใต้อาณัติอย่างรุนแรงจนน้ำตาเล็ด อิลเลียตาส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยกระซิบคำพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะหายไปกับสายลม “ไม่…”
“ว่าไง ตอบมาสิ!” ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลนั้นก้มมองจนอยู่ในระดับเดียวกับดวงเนตรสีแดงฉานคู่สวยที่กำลังปวดร้าว อิลเลียตกำลังหวาดกลัว หวาดกลัวคนที่เขาหลงรักมากที่สุด ร่างเล็กๆนั้นสั่นสะท้านอย่างยากที่จะควบคุม มือทั้งสองกำแน่น สั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น “หรือจะให้ข้าถามคำถามนั้น…”
“กับร่างกายของเจ้าเอง…” ประโยคสุดท้ายกระซิบลงข้างใบหูด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ ยิ่งทำให้ร่างนั้นสั่นสะท้าน เรียวปากเม้มแน่นอย่างไม่รู้จะตอบอะไรจนชายหนุ่มหมดความอดทน “เจ้าเลือกของเจ้าเองนะ อิลเลียตของข้า…”
ฝ่ามือหน้ากระชากร่างเล็กขึ้น ก่อนจะกระแทกร่างนั้นลงบนเตียงนุ่มพร้อมร่างสูงที่คร่อมทับ ใบหน้าคมคายโกรธเกรี้ยวซุกไซร้ลงที่ลำคอขาวนวล ทิ้งให้หนุ่มน้อยผู้ท้าทายเข้ากับความโกรธนั้นต้องดิ้นหนีและกรีดร้องอย่างหวาดกลัว “ไม่นะ… ไม่…”
หากแต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือการยิ่งกดตรึงร่างบางๆนั้นแนบกับเตียง มือทั้งสองที่ปัดป่ายไปรอบๆถูกรวบเข้าเหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว เฟรซิสเหลือบตามองเล็กน้อย กระซิบคำเอ่ยเบาๆท่ามกลางเสียงร้องลั่นของอิลเลียต “เงียบน่า…”
“ไม่นะ! อื้อ” ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรจบดี เรียวปากก็ถูกประกบปิดอีกครั้ง “อื้อ!”
“ห้ามทำไมล่ะ…” กระซิบเสียงเย็นข้างใบหู “เจ้าน่าจะชอบมันไม่ใช่หรอ” ฟันคมๆกัดเบาๆที่ติ่งหู ขณะมืออีกข้างก็จัดการกระชากเสื้อตัวบางของร่างข้างใต้ออก
“ไม่เอานะ!”
น้ำเสียงสุดท้ายตวาดลั่น พร้อมๆกับหยาดน้ำตาใสไหลรินลงจากดวงตาของผู้ที่ไม่เคยร่ำไห้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด ทั้งชาติกำเนิดและวงศ์ตระกูลของเขาไม่เคยอนุญาตให้ทำเช่นนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศักดิ์ศรีที่สูงค้ำคอ อิลเลียตไม่เคยร้องไห้ให้กับสิ่งใด ไม่เคยเลยจริงๆ “ไม่นะ… ไม่”
แต่ในยามนี้ เด็กน้อยคนนั้นกำลังร้องไห้ ร่างเล็กๆสั่นไหวตามแรงสะอื้น ลืมสิ้นทุกสิ่งแม้กระทั่งการดิ้นหนีเพื่อเอาตัวรอด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหมดกำลังใจที่จะดิ้นหนีแล้ว มือทั้งสองข้างที่ถูกรวบเหนือศีรษะค่อยๆอ่อนแรงลงจนหยุดต่อต้านไปในที่สุด “ไม่…”
น้ำเสียงสั่นเครือกระซิบอย่างหมดหวังและดูเหมือนว่าผู้รุกรานนั้นจะไม่รับรู้ถึงความผิดปกตินั้นเสียด้วย เรียวปากบางยังคงแนบประทับตีตราความเป็นเจ้าของลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่า ขบเม้มอย่างหิวกระหายดุจปิศาจร้ายที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจ จนในที่สุดก็วกกลับมาที่เรียวปากอิ่มแดงช้ำอีกครั้ง จูบรุนแรงยังคงสร้างความเจ็บปวดได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเวลาที่มีบาดแผล รสเลือดจางๆผสมอยู่กับความหวานในโพรงปากอุ่น แต่นอกเหนือจากเลือดแล้ว มันยังมีสิ่งอื่น
รสเค็มปร่าแสนประหลาดติดตรึงที่ปลายลิ้น เฟรซิสชักใบหน้าออกเพื่อมองหาสาเหตุของเจ้าสิ่งนั้น และเขาก็ได้เจอมันจริงๆ หยาดน้ำตาใสเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้าหวาน เรียกดวงเนตรคมให้เบิกกว้าง
ราวสติและความรู้สึกนึกคิดทั้งมวลจะโดนดึงกลับมา มือหนาที่เคยตรึงข้อมือบางแน่นค่อยๆปล่อยออกอย่างตกใจ ขณะปลายนิ้วไล่ปาดหยาดน้ำออก แต่ว่าเมื่อปาดหยดหนึ่งออกไป อีกหยดก็จะเข้ามาแทนที่แทบจะในทันที เฟรซิสเม้มปากเบาๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆอย่างรู้สึกผิด “ไม่เอานะ…”
แว่วเสียงหวานกระซิบปนสะอื้นยิ่งกรีดย้ำบาดแผลได้อย่างดี ร่างสูงดึงผ้าคลุมขึ้นห่อร่างบางๆนั้นก่อนค่อยๆโอบประคองเข้าไว้ในอ้อมแขน “หยุดร้องเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว อิลเลียต”
“เงียบซะนะ ที่รักของข้า” น้ำเสียงทุ้มกระซิบอ่อนหวานที่ข้างใบหู ค่อยๆปลอบประโลมจิตใจที่สั่นไหวอย่างรุนแรงนั้นให้สงบลง “ข้าขอโทษ”
“ฮึก…” เสียงสะอื้นค่อยๆเบาลง เช่นเดียวกับความไว้วางใจที่ค่อยๆเข้ามาแทนที่ความหวาดกลัวทีละน้อย ดวงเนตรสีแดงฉานค่อยๆเหลือบขึ้นมองร่างที่โอบกอดตน แต่เพียงแค่สบเข้ากับดวงเนตรสีเขียวน้ำทะเลที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงนั้นก็เป็นอันต้องหลบวูบ รู้สึกหน้าร้อนขึ้นในทันใด “ไม่เป็นไรนะ ข้าขอโทษ…”
อิลเลียตก้มหน้านิ่งทันที เรียวปากเม้มแน่นอย่างไม่รู้จะทำอะไร “ข้า… ผม…”
คำสรรพนามที่เปลี่ยนไปนั้น สำหรับอิลเลียตแล้วมันคือสัญญาณที่ใช้บอกคู่กรณีว่าตนกำลังสำนึกผิด แต่เรียวปากที่เม้มแน่นนั้นทำให้คู่กรณีอย่างเฟรซิสรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ค่อยอยากจะเอ่ยปากถึงสิ่งที่กำลังจะพูดเท่าไหร่ “คือ… ผม…”
เฟรซิสยกยิ้มจางๆที่มุมปาก มือหนาวางลงบนหัวทองๆนั้นก่อนกระซิบคำพูดเบาๆ แต่ท่ามกลางห้องที่ไม่มีเสียงอื่นใดรบกวนแล้ว มันก็ถือว่าดังมากทีเดียว “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้ แต่พอเป็นเรื่องของเจ้าที่ไร ข้าก็ควบคุมตัวเองไม่ได้สักที”
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือไม่ที่อิลเลียตหันหน้าหลบเขาตั้งแต่เริ่มพูด จึงไม่เห็นใบหน้าที่แต้มด้วยสีแดงจางๆในตอนนี้ แต่ว่าเขาคงพูดอะไรไม่ได้มากนัก อีกอย่างอีกฝ่ายคงไม่ได้อยากเห็นหน้าเขาเท่าไหร่หรอก “เพราะเจ้าสำคัญ… สำคัญเกินกว่าที่ข้าจะทำตัวนิ่งเฉยได้ ข้าขอโทษ อิลเลียต”
กล่าวจบ ดวงเนตรสีเขียวน้ำทะเลคู่คมนั้นก็สังเกตร่างบางๆที่นั่งหันหลังให้เขา แผ่นหลังเล็กๆนั้นสั่นไหวเล็กๆจนเขาคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าอิลเลียตคงไม่อยากเห็นหน้าเขาหรือเสวนากับเขาในตอนนี้ และคงจะกินเวลาอีกพักใหญ่ๆที่จะกลับคุยกันได้ ลมหายใจถูกถอนออกเบาๆ “เจ้าคงไม่อยากพูดอะไรกับข้าในตอนนี้ และก็คงไม่อยากเห็นหน้าข้าด้วย…”
“ข้าขอตัว…” กล่าวจบก็ลุกขึ้น หันหลังเดินตรงไปยังทางออก แต่ยังไม่ทันทีจะได้บิดลูกบิดประตู น้ำเสียงหวานที่ติดจะสั่นๆก็พูดขัดขึ้นก่อน “ผมบอกคุณหรอฮะ… ว่าผม…”
“ว่าผม… ไม่ได้อยากพูดกับคุณ” ยิ่งคำพูดนั้นหลังลงเท่าไหร่ น้ำเสียงหวานก็เบาลงเรื่อยๆ แต่ว่ามันก็ดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับชายหนุ่มหน้าประตูแม้แต่น้อย เขาหันหลังกลับมามองแผ่นหลังบางๆบนเตียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจและประกายคาดหวังเล็กๆ “แล้วผมบอกคุณหรอฮะ… ว่าผม… ผม…”
ถึงจะมองจากระยะไกลๆ เฟรซิสก็ยังสังเกตเห็นใบหูที่เริ่มแดง ทำให้รอยยิ้มจางๆค่อยๆถูกระบายลงบนเรียวปากของเขาทีละน้อย “ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ…”
“กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะฮะ” คราวนี้น้ำเสียงถูกเร่งให้ดังขึ้นเป็นเชิงคำสั่ง แต่แล้วคำพูดต่อไปกลับเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “ถ้าคุณ… คุณยังเห็นผม… สำคัญ ก็กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะฮะ”
แต่ไม่ว่าจะเบาแค่ไหนก็ดูเหมือนว่าเฟรซิสจะได้ยินอยู่ดี ชายหนุ่มเดินตวัดกายกลับ สาวเท้าเข้าใกล้อย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง จริงๆเขาก็อยากจะเข้าไปเห็นผิวหน้าแดงๆให้ใกล้ว่านี้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็จะขาดทุนในบางเรื่องน่ะสิ
ยังไม่ทันขาดคำดี ร่างบางนั้นก็ดีดตัวขึ้นจากเตียง ถลาเข้าสู่อ้อมกอดของเขาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้กับเฟรซิสได้อย่างไม่ยากเย็น ‘ทุกทีสินา…’
ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ การที่อิลเลียตเป็นแบบนี้มันก็ทำให้เขาได้กำไรเห็นๆ ดังนั้นจะไปบ่นทำไมล่ะ สู้รอให้คนปากแข็งจัดการเรื่องเองโดยที่เขาได้กำไรไม่ดีกว่าหรือ
แขนเรียวนั้นโอบรอบลำคอหนา ในขณะที่เจ้าตัวกำลังพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายในการซุกหน้าอยู่กับไหล่กว้าง แขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวบางๆเป็นการประคองร่างเล็กไปในตัว แต่ก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ ก็ใครใช้ให้อิลเลียตตัวเตี้ยเกินไปเองล่ะ
“เพราะคุณ… คุณคนเดียวเลย” น้ำเสียงเอ่ยขึ้น ถึงจะอู้อี้ไปหน่อยแต่ก็ทำให้เจ้าของอ้อมแขนเลิกคิ้วน้อยๆอย่างแปลกใจ เขาไปทำอะไรมาหรอ “ผมถึงได้เป็นแบบนี้…”
แต่เฟรซิสก็เลือกที่จะเงียบและปล่อยให้ร่างในอ้อมแขนพูดต่อไป “คุณมันบ้า… บ้าที่สุด”
เขาเนี่ยนะบ้า ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจอย่างงงงวย แต่ก็ยังปิดปากแน่นสนิท ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีอย่างไม่ลดละ “คุณน่ะ… สนใจแต่งานบ้าอะไรก็ไม่รู้”
“ไม่ว่าผมจะทำยังไงคุณก็ไม่เคยสนใจสักที” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลงผิดกับใบหูที่ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ “ผม… ผมก็เหงาเป็นนะ…”
“เพราะแบบนั้น คุณถึงผิดยังไงล่ะเฟรซิส” สุดท้ายอิลเลียตก็กลับมาเอ่ยตอบคำถามที่ค้างคาในใจของชายหนุ่ม เฟรซิสยิ้มรอยยิ้มจางๆก่อนดันร่างบางออกจากอ้อมกอด ใบหน้าคมคายนั้นก้มลงเพื่อจะมองเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่มัวแต่ก้มหลบตนได้ชัดยิ่งขึ้น “เจ้านี่จริงๆเลยนะ คิดมากไปแล้ว”
เขาเอ่ยเป็นเชิงต่อว่าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ มือขวาค่อยๆเชยใบหน้าหวานให้เงยขึ้น ยกนัยน์เนตรสีแดงฉานให้สบเข้ากับดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของตน “ยังไงข้าก็ไม่มีทางไม่สนใจเจ้าได้หรอก เพราะเจ้าสำคัญนี่นา…”
กล่าวจบริมฝีปากบางก็ประทับลงเบาๆที่เรียวปากอิ่ม เรียกเลือดให้สูบฉีดขึ้นบนใบหน้าได้อย่างไม่ยากเย็น “แต่ว่านะ อิลเลียต…”
คราวนี้น้ำเสียงเริ่มแฝงไปด้วยความจริงจัง ดวงตาคมกริบมองสบกับดวงเนตรคู่หวาน “คราวหน้าคราวหลังอย่างทำแบบนี้อีกนะ สัญญากับข้าสิ”
คำพูดเช่นนั้นทำให้อิลเลียตอดไม่ได้ที่จะระบายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ลงบนปากของตน แววตาเริ่มกลับเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง “ไม่ล่ะ ข้าไม่สัญญา”
เด็กน้อยก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น ยกรอยยิ้มหวานน่าเอ็นดู “มันขึ้นอยู่กับเจ้า ที่จะทำให้ข้าเหงารึเปล่าต่างหาก”
แต่ว่าอย่างไรเสีย สำหรับอิลเลียตโอกาสนอกใจแบบนี้คงไม่มีอีกแล้วล่ะ เพราะเขามั่นใจว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาคงจะไม่ปล่อยให้เขาเหงาแบบนี้ไปอีกนาน และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือเขาไม่ได้ชอบเล่นเกมส์นอกใจหรอกนะ นอกจากมันจะไม่สนุกแล้วเนี่ย มันยังน่ากลัวอีกด้วย
ชายหนุ่มร่างบางหัวเราะเบาๆ “แต่อย่างน้อยๆ เจ้าก็มั่นใจได้เลยล่ะเฟรซิส”
“ว่าข้าจะไม่มีทางเปลี่ยนใจเรื่องเจ้าเด็ดขาด…”
ใบหน้านั้นซับสีแดงเรื่อๆ เขย่งปลายเท้าขึ้น แนบจุมพิตแผ่วเบาลงบนเรียวปากของคนรัก
เพราะเจ้า… เป็นคนเดียวที่ข้าเลือกจะมอบหัวใจดวงนี้ให้
จงภูมิใจได้เลย เฟรซิส…
ความคิดเห็น