คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2
วันนี้หนีบ FE บทที่ 2 มาฝากรีดเดอร์ทุกๆท่าน
กำลังรู้สึกว่าแต่งไปแต่งมาแล้วเรื่องดำเนินเร็วเกินไปรึเปล่า
ช่วยบอกกันหน่อยนะคะ Lieve จะได้เอาไปปรับปรุงแก้ไข
ขอบคุณมากค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 2
ประตูไม้งามถูกผลักให้เปิดกว้าง แสงแดดจางๆลอดผ่านผ้าม่านหนาสีแดงสด ห้องของหญิงผู้เป็นมารดายังคงความงดงามดุจเดียวกับวันที่นางหายไปอย่างไม่เปลี่ยนแปร เครื่องเรือนไม้แกะสลักถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดยังดูเหมือนใหม่จนไม่น่าเชื่อว่าผู้เป็นเจ้าของห้องนั้น หายตัวไปเป็นเวลานานกว่าสิบห้าปีแล้ว
ร่างของสองฝาแฝดค่อยๆก้าวเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ ดวงตาสองคู่มองกวาดไปรอบๆอย่างเคยชินก่อนมาหยุดลงที่โต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ลึกที่สุดในห้อง “นั่น…”
“รีสก็รู้สึกหรอ…” คำพูดที่หลุดรอดออกจากเรียวปากอิ่มเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ฉันนึกว่าฉันคิดไปเองซะอีกนะคะ”
จริงอยู่ที่ตรงนั้นเป็นเพียงแค่โต๊ะเครื่องแป้งธรรมดาๆ แต่ถ้าสัมผัสให้ดีๆแล้วจะรู้สึกถึงอำนาจจางๆที่แผ่ออกมา “คิดไปเอง…?”
หางเสียงถูกขึ้นสูงตามความสงสัยทั้งๆที่แววตาไม่ได้ต่างไปเลยแม้แต่น้อย หากแต่ท่าทีเช่นนั้นกลับทำให้หญิงสาวเอียงคอ ระบายรอยยิ้มหวาน “ค่ะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาทำความสะอาดในห้องนี้ แต่ฉันก็ไม่กล้าทำอะไรก็เลยได้แต่ปล่อยไว้อย่างนั้น”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ ไอรีสก้าวเท้าเร็วๆเข้าไปใกล้เจ้าโต๊ะเครื่องแป้งเจ้าปัญหา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราบเรียบเย็นชากวาดมองเจ้าโต๊ะนั้นเงียบๆ จากปริมาณฝุ่นที่ดูจะหนากว่าที่อื่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าน้องสาวของเขาไม่ค่อยได้เข้าใกล้เจ้านี่สักเท่าไหร่ “นี่ ไอริช”
“คะ?” เอ่ยตอบด้วยความงุนงง ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้เมื่อไม่มีคำตอบใดๆจากผู้เป็นพี่ชาย ปลายเท้าเขย่งขึ้นให้ระดับสายตานั้นโผล่พ้นเส้นไหมนุ่มสีน้ำตาลอ่อนของพี่ชาย ในทันทีที่ภาพปรากฏชัดในสายตา ดวงเนตรสีฟ้าใสก็เป็นอันต้องเบิกกว้าง “รีส! เป็นอะไรน่ะ!”
หยาดโลหิตสีแดงชาดไหลลงจากมุมปาก ความเจ็บปวดแล่นจากปลายเท้าไล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะ ลมหายใจหอบถี่ รู้สึกราวกับร่างกายถูกฉีกกระชากให้แยกออกเป็นส่วนๆ “มัน… อีกแล้ว…”
“อีกแล้วงั้นหรอ…” ไอริชยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะปิดลง พยายามรวบรวมสมาธิก่อนเอ่ยเรียกขานชื่อประหลาดๆขึ้น “เออัลเดร จงปรากฏขึ้นภายใต้พันธสัญญาของข้าผู้เป็นนาย”
ไอเย็นสีฟ้ากระจ่างถูกดึงดูดเข้าสู่มือบางที่กำแน่นก่อนจะเกิดแสงสว่างวูบขึ้น เมื่อแบมือออกที่ตรงนั้นกลับปรากฏแท่งผลึกสีฟ้าใสที่เรียงตัวอย่างสวยงามขึ้น “รีส… ไม่สิ”
“ท่านพี่ไอรีส…” คำเรียกที่หลุดออกจากปากของหญิงสาวไม่บ่อยนักถูกนำมาใช้เอ่ยในสถานการณ์ฉุกเฉิน เธอช้อนดวงตาสีฟ้าใสขึ้นมองสบกับดวงตาสีน้ำเงินลึกล้ำของผู้เป็นพี่ มือก็ยื่นเจ้าแท่งผลึกนั้นเข้าไปใกล้ “รับมันไปค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องใช้มันในยามนี้”
“แต่…” น้ำเสียงหวานกระซิบขึ้นขัด พยายามข่มความเจ็บปวดให้ลึกลงไปในร่างกายเพื่อไม่ให้น้องสาวรู้ตัว แต่ดูท่าว่ามันไม่น่าจะเป็นผลเท่าไหร่นัก “ไม่มีแต่ค่ะ”
น้ำเสียงดุจเดียวกันเอ่ยขัดอย่างเด็ดขาด ไอริชเซียยื่นเจ้าผลึกแสนสวยเข้าใกล้ร่างบางไม่สมชายของผู้เป็นพี่ “เออัลเดร จงหลอมรวม…”
สิ้นเสียงคำสั่ง ผลึกนั้นก็สลายเป็นฝุ่นสีฟ้า ซึมซาบเข้าไปตามร่างกายของผู้เป็นพี่ ราวกับมันเป็นหยาดน้ำชะความเจ็บปวด วินาทีที่ฝุ่นนั้นซึมซาบเข้าไปก็เกิดความรู้สึกเย็นวาบแผ่กระจายไปทั่วร่าง บรรเทาอาการเจ็บปวดนั้นจงจางหายไป “แล้ว…”
ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนปากอิ่มของพี่ชาย กระซิบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงเออัลเดรก็เป็นของท่านพี่อยู่แล้ว…”
“ของผมงั้นหรอ ตลกน่า” น้ำเสียงกระซิบแผ่ว ลมหายใจค่อยๆกลับเป็นปกติ รอยยิ้มบางๆไร้ความหมายถูกระบายลงบนเรียวปาก “มันเป็นของเขาต่างหาก ไอริชเซีย”
“เอ… ของเขา?” หากแต่หญิงสาวกลับเอ่ยถามกลับมาอย่างแปลกใจ ดวงตาคู่สวยมองสบขึ้นที่ใบหน้าหวานของไอรีสอย่างงุนงง “ของเขา หมายความว่ายังไงคะ”
“…”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆหลุดรอดจากริมฝีปากเรียวสวย นัยน์เนตรสีน้ำเงินเข้มตวัดมองกลับมาที่โต๊ะเครื่องแป้งเบื้องหน้า แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นเสียเฉยๆ “ไอริช เธอเคยเปิดลิ้นชักนี่หรือเปล่า”
“เห…” ซึ่งการกระทำเช่นนั้นก็ทำให้หญิงสาวยืนเอ๋อไปครู่ใหญ่ ก่อนจะได้สติกลับมาตอบคำถามนั้นเมื่อมันถูกเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “มะ… ไม่เคยค่ะ”
“งั้นหรอ…” เอ่ยรำพึงกับตัวเอง มือเรียวดึงเอาเจ้าลิ้นชักใต้โต๊ะเครื่องแป้งออก จริงอยู่ที่ระยะเวลาจะผ่านไปนานถึงสิบห้าปีเต็ม แต่เพราะการที่ไม่ได้ถูกแตะต้อง สิ่งของในลิ้นชักนี้จึงอยู่คงที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง เครื่องประดับมากมายที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบต่างส่องประกายวาบวับล่อตาล่อใจ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถสะกดสายตาของชายหนุ่มให้จ้องมองได้ มันคือกล่อง
ใช่… กล่อง กล่องไม้อันไม่เกินฝ่ามือสลักลายเถาอย่างสวยงาม แต่ถ้าจะถามว่าทำไมมันถึงสะกดสายตาของชายหนุ่มได้นั้น สาเหตุของมันก็คงเป็นเพราะความเรียบง่ายของมันนั้นแหละ มือบางค่อยๆเอื้อมไปสัมผัสกับผิวเรียบลื่นขัดเงานั้น ดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มฉายแววแปลกใจเล็กน้อยเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงอำนาจใดๆที่แผ่ซ่านออกมา “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอ”
นิ้วมือถูกละออก ก่อนกวาดไปทั่วเหนือลิ้นชักเจ้าปัญหานั้น พลันก็ได้หยุดนิ่งลงเหนือที่ที่หนึ่ง ไอรีสชะงักไปครู่ใหญ่ เขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวเอาบางสิ่งขึ้นมา “รีสคะ นั่นมัน…”
ไอริชเซียเอ่ยน้ำเสียงสั่นๆ เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของพี่ชายฝาแฝด ไออำนาจที่แผ่ซ่านล้นทะลั่กออกมานั้นช่างคุ้นเคย มันแฝงไปด้วยความอ่อนหวานและนุ่มนวล ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่ แต่ความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งนี้ยังคงติดตราตรึงไม่เสื่อมคลาย ไออำนาจของสตรีเพียงผู้เดียวที่อุ้มชูเลี้ยงดูพวกเขามา
ท่านแม่…
“อัญมณีประจำกายของท่านแม่…” น้ำเสียงหวานเอ่ยต่อ ดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มมองจ้องมายังสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือของตนด้วยแววตาตกใจ “ทำไมมันถึงได้…”
“มาอยู่ที่นี่…”
“เจ้านั่นกำลังจะทำอะไรกันแน่นะ” ได้แต่กระซิบเอ่ยกับชายผู้โอบอุ้มตน เปลือกตาบางปิดสนิท แนบขนตางอนยาวลงกับผิวเนียนละเอียดสีขาวซีดแบบไม่เคยโดนแดดมาเกือบตลอดทั้งชีวิต “ข้าล่ะ ไม่เข้าใจจริงๆ”
“กระผมก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกขอรับ…” ชายหนุ่มกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล แววตาอ่อนโยนนั้นจับจ้องยังร่างที่นอนนิ่งอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของตน เขายกรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นประดับบนเรียวปาก “แต่ถ้าให้กระผมเดาล่ะก็…”
“เดาหรอ!” จู่ๆร่างนั้นก็เปิดตาขึ้นทันทีและเกือบจะได้ยันตัวตกลงมาจากอ้อมแขนด้วยถ้าเขาไม่ได้รั้งเอาไว้ก่อน ดวงเนตรสีแดงฉานที่ใครต่อใครก็ว่าช่างเย่อหยิ่งเย็นชาและอำมหิตอย่างร้ายกาจนั้นจับจ้องมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อะไรล่ะ เจ้าเดาว่าอะไร”
“…”
ไม่มีคำตอบใดๆหลุดรอดผ่านเรียวปากสีแดงสดของผู้เป็นบ่าว นอกจากรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ที่เริ่มทำให้เจ้านายตัวน้อยต้องก้มหน้าลงดูเหมือนกำลังตัดสินใจว่าควรจะเชื่อดีหรือไม่ แต่ความจริงแล้วเขากำลังก้มหน้าลงหลบซ่อนแววตาเป็นประกายระยับด้วยความสะใจต่างหาก เจ้าเสร็จข้าแน่ เฟรซิส…
“บอกข้ามาเถอะนะ ฟรีส”
น้ำเสียงหวานเอ่ยอ้อนๆอย่างร้องขอ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นแววตาประกายนั้นก็หายไปเหลือเพียงแต่ดวงตาคู่สวยที่ออดอ้อนอย่างเด็กน้อย
ฟรีสมองดวงเนตรสีแดงฉานคู่สวยที่เป็นเปล่งประกายนั้นช้อนขึ้นสบ แววความหวังเล็กๆที่แลเห็นนั้นช่างงดงามอย่างที่สุด แล้วเขาจะปฏิเสธลงได้อย่างไร แต่ก็นะ ขออะไรเสียหน่อยคงจะไม่ผิดใช่มั้ย “เฮ้อ!”
ถอนหายใจเบาๆก่อนโน้มหน้าลงใกล้หู “เช่นนั้นต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะขอรับ” กล่าวพลางเหยียดยิ้ม ใช้ดวงตาสีม่วงเข้มจนแทบจะเป็นสีดำอยู่ร่อมร่อมองสบกับตาของคนในอ้อมแขน “ได้มั้ยขอรับ นายท่าน”
หากนายท่านตัวน้อยกลับยกยิ้มตอบ เหยื่อติดเบ็ดแล้ว แววตาสะใจวูบหนึ่งปรากฏขึ้นในดวงตาและหายไปอย่างรวดเร็ว มือบางเอื้อมไปดึงคอเสื้อของร่างสูง รั้งให้ใบหน้านั้นโน้มลงมาใกล้ก่อนเอ่ยกระซิบ “อย่าไปบอกเจ้าบ้านั้นนะ…”
จริงๆก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีทางซะหรอกที่เจ้าบ้าของเขาจะไม่รู้ ก็นี่มันในคฤหาสน์ของเจ้าตัวเชียวนะ อีกอย่างหางตาของเขาก็ยังเหลือบไปเห็นร่างของชายหนุ่มคนที่กำลังนึกถึงมองมาจากชั้นบนอีกด้วยแววตาน่ากลัวอีกด้วย เรียวปากอิ่มขยับเป็นคำพูดลางๆก่อนยกยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งไปให้เล็กน้อย
‘เจ้าผิดเองนะ เฟรซิส’
“หือ…” ยังไม่ทันที่ฟรีสจะได้เอ่ยปากถามเกี่ยวกับการขยับปากและยกรอยยิ้มนั้น เรียวปากก็ถูกประกบปิดเสียแล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองร่างเล็กด้วยหางตาอย่างแปลกใจเล็กน้อยก็จะแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีราวกับจะยกยิ้มพึงพอใจเมื่อแลเห็นคนด้านบนและแววตาอำมหิตอย่างน่ากลัวนั่น
มือข้างหนึ่งของฟรีสละออกจากการโอบประคองร่างที่กำลังประกบจูบเขา ยกขึ้นเหนี่ยวรั้งต้นคอให้จุมพิตยิ่งแนบสนิท รู้สึกได้ถึงเรียวลิ้นเล็กที่รุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของตนอย่างยั่วเย้าก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็วโดยที่ยังไม่ทันได้ทำอะไร สร้างความรู้สึกขัดใจเล็กๆ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าทำไมนายท่านของเขาถึงได้ทำอะไรที่เป็นการส่งเนื้อเข้าปากเสืออย่างเขา “เอาล่ะ ตอบมาได้แล้ว…”
แย่จริงๆ เสียรู้นายท่านอีกจนได้…
“นั่นสินะ ขอรับ…” เขาเอ่ยเบาๆอย่างจำยอม แต่ก็ไม่วายแอบเหลือบหางตาไปยังชั้นบนอีกครั้ง “กระผมคิดว่า…”
กลับเข้าไปยังอดีตห้องอาหารแสนสวย พี่ชายคนโตอย่างไอเซทกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆราวกับจะตรวจสอบหาความเสียหายขั้นรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปะทะเล็กๆน้อยๆเมื่อครู่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างของน้องชายที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป “นั่นนายจะไปไหนน่ะ เวลส์”
ดวงเนตรสีเขียวมรกตแข็งกร้าวด้วยแรงอารมณ์จากเหตุการณ์เมื่อครู่เบือนกลับมามองสบ ชายหนุ่มขยับปากเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่ปนเปกับความหวาดหวั่น “เอลส์อยู่ไหน…”
พลันดวงตาสีแดงเพลิงของชายหนุ่มก็เป็นอันไหววูบด้วยความตกใจ ใช่ ตั้งแต่ที่เริ่มปะทะกับเดเธียเขาก็ลืมไปเสียสนิทเลยว่าน้องชายคนสุดท้องนั่นไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่ออกไปอยู่ด้านนอกซึ่งไม่รู้ด้วยว่าอยู่ส่วนไหนของสวนขนาดมหึมาด้านนอกนั้น “เอลส์…”
“ท่านเวลรอส…” พลันก็สดับได้ถึงเสียงหวานเศร้าราวคนกำลังร่ำไห้ น้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เพียงเพราะความเจ็บแค้นที่ตนไม่อาจทำอะไรได้นอกจากเฝ้ามอง “ท่านไอเซท…”
“เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวร้องเอ่ยขณะร่อนลงยังนอกประตู ดวงตาคู่โตสั่นไหวขณะเจ้าของนั้นกำลังเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริกไม่ต่างกัน “ข้า… ข้าสัมผัสได้ถึงร่างของเขา…”
“ร่างของเอลรอสคนนั้น…”
“ว่าไงนะ!” อุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ หากแต่ยังไม่ทันใดทำอะไร คู่แฝดหัวน้ำตาลก็วิ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมสร้อยประดับอัญมณีเม็ดงามแสนคุ้นตา “ท่านพี่!”
ทันทีที่ดวงตาคู่คมของพี่ชายคนโตตวัดมาเห็นสิ่งของในมือของน้องชายตน ชายหนุ่มก็เม้มปากอย่างตัดสินใจและออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ทำไม่บ่อยนัก “เวลส์ นายไปหาเอลส์พร้อมกับเฟียยา ส่วนไอร์ พวกนายมากับฉัน”
เวลรอสหรี่ดวงตามองพี่ชายก่อนจะพยักหน้ารับและหันหลังกลับไป เขามั่นใจว่าการหายไปของเอลส์และการพบสร้อยเส้นสำคัญของมารดาในบ้านหลังนี้ไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ เพราะไอเซทไม่เคยเรียกชื่อไอรีสและไอริชรวมกันว่า ‘ไอร์’ ถ้าไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือจำเป็น “ท่านเวลรอส ทางนี้ค่ะ”
แว่วเสียงเฟียยาเรนร้องบอกทางทำให้พี่ชายคนโตต้องยกยิ้มเครียดๆ เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องที่มารดาเคยเล่าขานในยามเด็ก จะเป็นความจริงที่กำเนิดขึ้นใกล้ๆตัว เรื่องเล่าของความทรงจำในวัยเยาว์ที่เขาไม่เคยเชื่อ กลับเกิดขึ้นจริงกับน้องชายคนสุดท้องของเขาเอง!
“ท่านพี่คะ มันเกิดอะไรขึ้น” ไอริชเซียขยับปากเอ่ยถาม ตาก็มองตามน้องชายหัวแดงที่วิ่งออกไปอย่างร้อนรนด้วยความไม่เข้าใจ แล้วเฟียยาเรนอีกน่ะ ทำไมเธอถึงได้ดูตระหนกตกใจแบบนั้น สุดท้ายคำเอ่ยเรียกขานของไอเซทก็ยิ่งทำให้ดูเหมือนกับว่ามันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น “ทำไม…”
หากแต่พี่ชายคนโตกลับระบายยิ้มลงบนเรียวปากส่งกลับมาเป็นคำตอบ ดวงตาคมกริบสีแดงนั้นฉายแววตกใจปนเปไปกับความเจ็บใจ “ปัญหาใหญ่เข้ามาแล้ว ไอริช…”
“เห็นทีว่าเราต้องกลับไปหา ‘เขา’ เสียแล้วล่ะ”
“ว่าไงนะ!”
“เอลส์!” ชายหนุ่มแทบตะโกนก้องเมื่อมองเห็นร่างของน้องชายคนสุดท้องนอนนิ่งอยู่ในบาเรีย ฝีเท้าถูกเร่งให้เร็วขึ้นโดยที่สมองไม่ได้สั่งการ รู้สึกเจ็บร้าวลึกๆราวหัวใจถูกฉีกกระชากออกไปจากอกอย่างรุนแรง ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันก็ยังคงอยู่ในนั้น ทันทีที่ขยับเคลื่อนเข้าไปใกล้ ปลายนิ้วเรียวก็แตะสัมผัสกับผิวบาเรียของเฟียยาเรนอย่างแผ่วเบา แต่มันกลับส่งผลในทางตรงกันข้าม
เจ้าบาเรียโปร่งใสราวกับสลายไปโดยยินยอม หากแต่ความจริงแล้วมันเป็นการถูกบีบคั้นโดยอำนาจที่เหนือกว่าจนบาเรียแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงละเอียด ดวงเนตรสีม่วงแดงของอเมทิสต์นั้นเบิกค้างดวงความตกใจ ร่างของเฟียยาเรนลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ด้วยตื่นตระหนกกับภาพที่ตนได้เห็น “อำนาจทำลายล้าง…”
“ทำไมถึงได้รุนแรงขนาดนี้…”
“เอลส์…” ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา ใช้มือปัดเส้นไหมละเอียดสีทองสว่างนั้นออกจากใบหน้าของผู้เป็นที่รัก ก่อนจะแนบฝ่ามือลงกับแก้มนุ่ม หลับตาลงความหาสัมผัสแปลกปลอมที่ไม่ควรมี พลันก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างแวบขึ้นมาก่อนกลืนหายไปจนต้องสงสัยว่านึกไปเองหรือเปล่า “เฟียยาเรน…”
“คะ” สาวเจ้าตอบ พลางมองสบกับดวงเนตรสีเขียวมรกตของผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆนายของตน “เธอบอกว่าเธอสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาใช่มั้ย”
“ค่ะ…” เอ่ยตอบเบาๆก่อนตัวสั่นระริกเมื่อเห็นแววตาเย็นเยียบของชายหนุ่มผมแดง แต่ก็กลั้นใจถามไปด้วยความอยากรู้ “แล้วมัน… ทำไมหรือคะ”
“ก็ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เราก็มีปัญหาแล้วล่ะ” เวลส์ตอบ “เพราะในร่างของเอลส์เหมือนจะมีอำนาจบางอย่างปะปนเข้าไปซะแล้ว…”
“ได้ยังไงกันคะ! ก็ในเมื่อท่านหญิง….” อเมทิสต์คู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจ “มันก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีถ่ายอำนาจลงไปเสียหน่อย”
มือหนาไล่ไปตามโครงหน้าหวานของเอลรอสเพื่อมองหาบาดแผล แล้วก็พบมันจริงๆ แผลเปิดตื้นๆที่ยาวตั้งแต่โหนกแก้มลงมาจนถึงปลายคาง เรียกหยาดโลหิตให้ไหลซึม “วิธีการถ่ายทอดอำนาจต้องห้าม…”
“บ้าน่า…”
“ผู้บุกรุกคราวนี้…” น้ำเสียงที่เอ่ยกระซิบช่างเยือกเย็นและแข็งกร้าว “ช่างใจกล้าเหลือเกิน…”
สองแขนโอบรั้งร่างบางขึ้นแนบอก ก้าวเท้าเร็วๆกลับไปยังบ้านที่อยู่ไม่ห่าง ดวงเนตรสีเขียวครึ้มสั่นไหวระริกดุจเปลวเพลิงที่พร้อมจะเผาทำลายทุกสิ่งเบื้องหน้า
“เห…” เสียงลากยาวที่ฟังยังไงก็ตีความได้อย่างเดียวว่าคนพูดกำลังสนุกสนานกับการเห็นคนอื่นหัวปั่นดังขึ้น “อยากให้ข้าช่วยอย่างงั้นหรอ”
“…” ไอเซทกำมือแน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆสงบสติอารมณ์ตัวเอง ชายหนุ่มปรายตาสีแดงเพลิงของตนมองจิกกลับไปยังดวงเนตรที่สั่นระริกด้วยความสนุกสนานของอีกฝ่าย “ใช่…”
“งั้น… คราวนี้ของแลกเปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ” เอ่ยตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สากับดวงตาแสนน่ากลัวนั่น “ข้าอยากได้อะไรที่มันคุ้มค่ากับการทำงานสักหน่อย”
คราวนี้ไม่ใช่แค่ไอเซทแล้วที่โกรธ ยังรวมไปถึงฝาแฝดที่อยู่ด้านหลังด้วย ดวงเนตรสามคู่สามสีถลึงตามองยังชายบนบัลลังก์ด้วยความรู้สึกปานอยากจะฆ่าให้ตาย “ของแลกเปลี่ยนคราวที่แล้วที่เจ้าขอไปน่ะ…”
ไอริชเซียเอ่ยรอดไรฟัน ดวงตาสีฟ้าที่เคยใสกระจ่างขุ่นมัวไปด้วยแรงอารมณ์ที่ยากจะหยุดยั้ง “คุณค่าของมันมากกว่าที่เจ้าจะนึกได้ด้วยซ้ำไป!”
“ก็แหม…” เขาเอ่ยตอบ ยกมือขึ้นทำท่าครุ่นคิดอย่างน่าถีบที่สุดเท่าที่หญิงสาวเคยเห็นมา ก่อนเรียวปากจะยกยิ้มแห้งอย่างขอลุแก่โทษ “ข้าเอามันไปไว้ไหนแล้วก็ไม่รู้นี่สิ”
“อะไรนะ!” หญิงสาวร้องลั่น พอๆกับดวงตาของไอรีสที่เบิกขึ้นอย่างตกใจ นิ้วเรียวยกขึ้นชี้หน้าคนที่ตนพูดด้วยอย่างไม่เกรงใจ “ไปหาคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะยะ”
“ม่ายเอาอ่ะ…” ลากเสียงยาวอย่างจงใจกวนเต็มที่ ถ้าใครได้มายืนในต่ำแหน่งเดียวกับไอริชเซียแล้วล่ะก็ คงจะได้เห็นดวงตาพราวระยับอย่างเจ้าเล่ห์เป็นแน่ “อีกอย่างนะ มันเป็นของของข้าแล้ว ข้าจะเอามันไปไว้ที่ไหนหรือเอาไปทำหาย มันก็เป็นเรื่องของข้านี่นา”
หญิงสาวกัดปากแน่นอย่างเจ็บใจ มันก็จริงอย่างที่เจ้าบ้านี่พูด เธอไม่มีสิทธิไปสั่งให้เขาตามหามันได้ เพราะมันกลายเป็นของเขาไปตั้งแต่วันนั้นแล้วนี่นา…
“ว่าแต่…” จู่ๆน้ำเสียงเย็นๆก็เอ่ยขัดความเงียบขึ้น ไอรีสตวัดดวงเนตรสีน้ำเงินสวยมองจ้องกลับไปหาชายบนบัลลังก์ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “เจ้าอยากได้อะไรเป็นของตอบแทนอย่างงั้นหรือ”
“อา…”
“ว่าไง”
“จูบอ่ะ ข้าอยากได้จูบแรกของเจ้าเด็กนั่น”
“ว่าไงนะ!”
สามเสียงของสามพี่น้องประสานขึ้นอย่างไม่ขึ้นจะเกรงใจใครทั้งสิ้น ดวงตาก็มองกับไปมาเลิ่กลั่กก่อนหญิงสาวเพียงคนเดียวจะรีบวิ่งหายไป ตามด้วยพี่ชายฝาแฝดของหล่อนที่แผ่ไอเย็นยะเยือกขึ้นรอบกาย ทิ้งไว้เพียงพี่ชายคนโตของแฟทเทนส์เท่านั้น “นายว่าอะไรนะ…”
ถามด้วยความไม่แน่ใจ พยายามมองสบเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายเพื่อหาคำว่าล้อเล่น แต่ดูท่าว่าจะหาไม่ได้เนี่ยสิ “จูบ… ข้าขอ ‘จูบแรก’ ของเจ้าเด็กนั่น”
ไอเซทอึ้งค้างไปอีกพักใหญ่ ก่อนตัดสินใจหันหลังกลับเดินตามน้องๆไปอย่างเงียบๆ “ไว้เราค่อยตกลงเรื่องของตอบแทนกันอีกทีนะ”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”
ได้แต่เอ่ยเรียกร้องด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสาร หากแต่มุมปากกลับยกยิ้มพึงพอใจ ชายหนุ่มในกรอบกระจกเงาหัวเราะเบาๆกับตนเอง เหลือบนัยน์ตาขึ้นมองก่อนตวัดมือเบาๆ ภาพของเขาก็มลายหายไป เหลือเพียงแต่ภาพสะท้อนของวัตถุเบื้องหน้ากระจกเงาแสนงามนั้นและคำเอ่ยกระซิบเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป
“ข้า… กำลังจะได้มาแล้วล่ะ อิลเลียต”
หญิงสาวก้าวเท้าเร็วๆออกมาจากห้อง เรียวปากอิ่มยกยิ้มแห้งๆอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี แต่อย่างน้อยๆที่เธอรู้ก็คือเธอเริ่มเห็นวี่แววบ้านแตกลอยมาแต่ร่ำไรเสียแล้ว “ให้ตายเถอะ เจ้าบ้านั่น…”
“นั่นสินะ…” น้ำเสียงหวานประดุจเดียวกับตนติดที่ว่ามันจะฟังดูเย็นๆเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้ดวงเนตรสีฟ้าใสก็หันไปมอง “เจ้าบ้านั่นมันยิ่งกว่าบ้ามากๆซะอีก”
ไอริชหัวเราะเบาๆ “นั่นสินะคะ ขอจูบแรกเนี่ยนะ ใครเค้าจะไปให้กัน…”
พลันก็รู้สึกถึงความผิดปกติของสิ่งที่ตนพูด คิ้วเรียวค่อยๆขมวดเข้าหากันพร้อมๆกับการประมวลผลที่พยายามทำอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่าตอนที่รีบเร่งเดินออกมา พลันดวงเนตรสีฟ้าใสก็ค่อยๆเบิกขึ้นทีละน้อย “จะ… จูบแรก”
เอ่ยร้องเสียงสั่น ค่อยๆหันไปสบตากับพี่ชายอย่างหวาดๆ แต่ขอจูบก็แทบจะบ้านแตกแล้ว ถ้าขืนไปบอกอีกว่าขอ ‘จูบแรก’ นี่ มีหวังเจ้าบ้าที่เอ่ยปากขอนี้อาจจะได้ตายเป็นผีเฝ้าบ้านอยู่ที่อาณาเขตของตระกูลแฟทเทนส์เป็นแน่
“ตายแน่… ตายแน่ๆ”
ไอรีสที่เดินตามมาพยักหน้าอย่างเข้าใจในการสื่อความแบบแปลกๆเพราะอาการเริ่มบ้าของน้องสาวตน ดวงเนตรสีน้ำเงินลึกล้ำมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “แย่จริงๆซะแล้วสิ งานนี้”
ได้แต่พึมพำกับตนเองและสาวเท้าเดินต่อ พลันดวงตาก็เหลือบแลไปเห็นร่างสูงสง่าของเจ้าน้องชายตัวดีและพ่วงมาด้วยหญิงสาวที่สยายปีกบินอยู่ไม่ห่าง แต่ที่ดูจะสะดุดสายตาของเขามากที่สุดนั้นก็คงจะเป็นร่างในอ้อมแขนของชายหนุ่ม “เอลส์…?”
และดูเหมือนว่าไอริชเซียก็จะสังเกตเห็นเช่นกัน จากฝีเท้าที่เคยก้าวอย่างเอื่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นการวิ่งเข้าไปหาอย่างร้อนรน “เวลส์ เกิดอะไร…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยคดี ดวงเนตรสีเขียวครึ้มของน้องชายก็ตวัดมามอง มันสร้างความรู้สึกเย็นเยียบและน่าหวาดผวายิ่งกว่าการดำดิ่งลงไปสู่พื้นสมุทรเสียอีก ฝีเท้าสะดุดกึก ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านซวนเซแทบจะอ่อนแรงล้มพับลงตรงนั้น แต่ก็ยังโชคดีที่ไอรีสคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน แววตาสีน้ำเงินคู่นั้นมองน้องชายของตนอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม…”
หากแต่ไม่มีคำตอบใดๆเอื้อนเอ่ยหลุดจากเรียวปากสวยนั้น ชายหนุ่มผมแดงไม่ตอบอะไร เขาเพียงปรายตามองเล็กน้อยก่อนสาวเท้าเดินต่อ แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอแล้ว ในแววตาของมรกตเม็ดงามสีครึ้มนั้น ปรากฏร่องรอยของความรู้สึกมากมายที่มากเพียงพอสำหรับการตีความว่าเขาเป็นอะไรไป “นี่หรือว่า…”
ได้แต่เอ่ยเสียงแผ่ว ไอรีสหลับตานิ่งพยายามเรียกความเยือกเย็นที่แตกกระเจิงไปให้กลับคืนมาช้าๆ ไม่นานก็เปิดตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนเอ่ยถามหญิงสาวในอ้อมแขนของตนเสียงเย็น ทั้งๆที่ใจความของมันช่างเต็มไปด้วยความห่วงใย “ยืนไหวมั้ย”
“คะ… ค่ะ”
ไอริชประคอยตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชาย ดวงตาสีฟ้าใสยังแอบสั่นระริกอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้สั่นไหวรุนแรงเช่นคราแรกที่ได้สบตากับน้องชาย “ฉันคิดว่า…”
“เราควรจะทำอะไรสักอย่าง… ใช่มั้ยคะ”
ไอรีสไม่ตอบ เขาเพียงแต่ยกยิ้มระบายจางๆที่ริมฝีปาก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลึกล้ำดูราวกับจะเรืองแสงจางๆท่ามกลางความสว่างไสวของแสงแดดในยามเช้า
เวลรอสวางร่างบางในอ้อมแขนของตนลงอย่างแผ่วเบา ดวงเนตรสีเขียวกวาดมองร่างของน้องชายด้วยแววตาที่ดูจะแฝงไปด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่อาจจะปิดบัง ปลายนิ้วเรียวลากไล้ไปตามผิวแก้มนวลที่แต้มสีเลือดฝาดจนจรดไปถึงปากแผลสด ถึงตอนนี้ดวงตาคู่สวยก็ฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้น เรียวปากเม้มแน่นหักห้ามอารมณ์เก็บกักเข้าไปใต้สีหน้าที่ดูเยือกเย็น
“…ฮะ” เสียงใสๆหลุดรอดออกมาจากเรียวปากของผู้นอนหลับอยู่บนเตียง คิ้วโก่งสวยขมวดเข้าหากัน ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก มือทั้งสองที่วางแนบอยู่บนเตียงนิ่งๆเปลี่ยนมากำแน่น “ท่านพี่…”
น้ำเสียงสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเปิด เปลือกตาปิดแน่นหวาดกลัวยิ่งกว่าสิ่งใด “ไม่… ไม่”
สิ้นคำเอ่ยนั้น เวลส์ก็รู้ทันทีว่าเขาต้องปลุกน้องชายออกจากความฝันนั้น “เอลส์ ตื่นสิ เอลส์”
แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมานอกจากการนอนกระสับกระส่ายและกรีดร้องอย่างหวาดกลัว มือทั้งสองข้างเอื้อมขึ้นราวไข่วคว้าบางสิ่งทั้งๆที่นัยน์ตายังปิดแน่น “ไม่นะ…”
“ไม่นะ!”
เสียงสุดท้ายตวาดลั่น เอลริสสะดุ้งลุกพรวดเกือบกลิ้งตกเตียง ดวงเนตรสีเขียวมรกตเบิกกว้างฉายแววหวาดหวั่น หยาดน้ำตาเอ่อคลอ หวาดผวาอย่างรุนแรง ปากขยับพึมพำคำพูดไม่ได้ศัพท์ เอื้อมแขนทั้งสองโอบตวัดรอบกายที่สั่นเทาของตน ก่อนจะค่อยๆสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่โอบรอบตนไว้อีกที
ดวงเนตรสีเขียวเข้มที่แสนคุ้นเคยของผู้เป็นพี่ชายฉายแววของความเป็นห่วง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เขาสนใจแม้แต่น้อย เอลริสช้อนดวงตาขึ้นมองใบหน้าของพี่ชายด้วยแววตาที่แปลกประหลาด มันทั้งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความยินดีและความไม่แน่ใจปนเปกันไปหมด “ท่านพี่เวลรอส…”
ชื่อเต็มที่นานๆจะได้ยินหลุดออกมาจากปากของน้องชายสักทีเรียกให้เวลส์ต้องนึกงง หากแต่ก็เอ่ยปากขานตอบไปเช่นทุกที “เป็นอะไรหรอ ฝันร้ายหรือไงกัน หืม?”
จริงอยู่ที่เขาไม่ได้คาดหวังคำตอบจากคนในอ้อมแขนมากนัก แต่ก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่สะท้อนผ่านแววตาคู่สวยออกมา มันเป็นความยินดีที่ฉายชัด ริมฝีปากระบายรอยยิ้มจางๆ ผิดกลับเมื่อครู่ “ท่านพี่… จริงๆด้วย”
สิ้นคำเอ่ย หยาดน้ำตาที่คลอหน่วงอยู่บนดวงตานั้นก็ค่อยๆไหลริน เอลส์ปิดตาลงช้าๆ แนบใบหน้าลงกับไหล่ของชายหนุ่ม ขณะยกแขนขึ้นกอดตอบ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมา เช่นเดียวกับความเป็นห่วงที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนฝันนั้น “ไม่เป็นไรนะ…”
“ฮะ…” เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า การได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยปลอบข้างใบหู ในยามนี้เป็นเหมือนเพลงกล่อมที่สร้างความง่วงให้ก่อเกิดขึ้นช้าๆ เด็กน้อยในอ้อมแขนของเวลส์ผ่อนลมหายใจลงช้าๆเป็นสัญญาณของอาการใกล้หลับ ทำให้ผู้เป็นพี่ชายต้องยกยิ้มอย่างเอ็นดู ‘นายนี่เด็กจริงๆเลยนา…’
อ้อมแขนอุ่นค่อยๆประคองร่างเล็กให้นอนลง มือดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างบางนั่น ก่อนจะสังเกตเห็นดวงตาสีเขียวที่เขาหลงใหลปรือเปิดขึ้นมองสบราวกับจะอ้อน และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ “ท่านพี่…”
“ช่วยอยู่จนกว่าผมจะหลับได้มั้ยฮะ…” ในน้ำเสียงช่างแฝงไปด้วยความคาดหวังเสียจนปฏิเสธไม่ลง แต่จริงๆแล้วสำหรับคนๆนี่ เขาก็ไม่เคยปฏิเสธลงได้สักที “… ได้สิ”
หนุ่มผมแดงทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มือก็เอื้อมไปลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีทองละเอียด “นอนซะ มันไม่มีอะไรหรอก”
“แต่ผมฝันร้าย…” เล่าเรื่องด้วยสำนวนราวกับตอนนี้ตัวของเขาได้ย้อนกลับไปในวัยเยาว์อีกครั้ง เอลส์ค่อยๆเอ่ยปากทั้งๆที่ดวงตาก็กำลังจะปิดอยู่รอมร่อ “มันน่ากลัวจริงๆ ผม…”
แต่เวลส์กลับแนบนิ้วของตนลงกับปากนั้น ส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงให้พอรับรู้ว่าอย่าพูดอีกเลย “ไม่เป็นไรๆ นายจะไม่ฝันร้ายอีกแล้ว ฉันสัญญา”
“แต่…”
“เชื่อฉัน แล้วนอนซะนะ”
“… ฮะ”
ดวงเนตรสีเขียวมรกตคู่นั้นค่อยๆปิดลง เพียงมานาน ลมหายใจก็สม่ำเสมอแสดงให้เห็นว่าเจ้าของนั้นได้หลับไปแล้ว แต่ชายอีกคนในห้องยังไม่ไปไหน เวลส์เม้มปากเบาๆก่อนคลายออก มือแนบลงกับใบหน้าหวานของผู้หลับใหลก่อนโน้มหน้าเข้าใกล้
เรียวปากแดงแนบลงบนหน้าผากนวลอย่างแผ่วเบา จุมพิตปัดเป่าฝันร้ายให้มลายหายไปกับสายลมที่พัดผ่าน ก่อนเลื่อนต่ำลงมาเล็กน้อยประทับจุมพิตลงบนเปลือกตาบาง “นี่… ท่านพี่ฮะ”
น้ำเสียงหวานหลุดรอดออกจากเรียวปากอิ่ม เรียกให้ชายหนุ่มต้องชักหน้าออกอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเขาก็รู้ว่าร่างเบื้องหน้ากำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำไปว่ากำลังทำอะไรอยู่ จึงยกยิ้มมุมปากแฝงความเอ็นดู “ทำไมผมถึงจะไม่ฝันร้ายอีกหรอฮะ”
สิ้นคำถาม จากรอยยิ้มประดับมุมปากก็ถูกระบายออกกว้าง “ก็เพราะฉันจะปลุกนายเองยังไงล่ะ”
“… ที่รักของฉัน”
จงใจกระซิบคำเอ่ยเรียกขานสุดท้ายลงข้างใบหู เวลรอสยิ้มกว้าง หัวเราะเบาๆในลำคอ ไม่ว่ายังไงเด็กน้อยคนนี้ก็ทำให้เขาหลงได้ตลอดจริงๆ “เอ่อ…”
แช๊ะ!
“พี่ขอโทษที่เข้ามารบกวนนะ” น้ำเสียงหวานๆขอไอริชเซียทำให้เขาได้รู้ตัวว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย
“พี่…” น้ำเสียงเย็นเยียบอันแสนเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าหนุ่มตาน้ำเงินเอ่ยเรียกขานผู้เป็นพี่ชาย ใบหน้าประดุจเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกับน้องสาวช่างดูเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าภายใต้หน้ากากน้ำแข็งนี้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีปนเปกันไปหมด “เหมือนว่าการบุกรุกครั้งนี้จะเป็นมากกว่าการต้องการเจ้า ‘สิ่งนั้น’ แล้วล่ะ”
คิ้วเรียวของพี่ชายคนโตขมวดมุ่น ดวงเนตรสีแดงฉานปรายกลับมามองน้องชายด้วยความงุนงง แฝงไปกับคำถาม “นายมั่นใจได้ยังไง”
หากแต่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่แสนหยิ่งทรนงนั้นกลับไม่จ้องตอบ เขาเบสายตาหลบเปลวเพลิงแดงฉานแสนสวยนั่นอย่างไม่เคยเป็น กระซิบตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่น “เด็กนั่น…”
“เอลริส… กลับมาพร้อมกับสิ่งต้องห้ามที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้”
“บาดแผลของการถ่ายทอดอำนาจต้องห้าม…”
“ว่าไงนะ!” ดวงเนตรสีแดงเบิกกว้าง มือยกขึ้นกุมขมับอย่างสุดจะทน ทำไมวันนี้ถึงได้มีเรื่องชวนปวดหัวแต่เช้านะเนี่ย “การถ่ายอำนาจต้องห้าม…”
ชายหนุ่มเม้มปากแน่น มือที่กุมขมับเปลี่ยนมาขยี้หัวตัวเองอย่างอารมณ์เสีย ไอเซทหลับตาลง พยายามสงบใจแล้วย้อนนึกกลับไปในครั้งที่มารดาพาเจ้าน้องชายคนสุดท้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว “ตอนนั้น… ท่านพูดว่าอะไรกันแน่นะ”
“ไอเซท นี่คือน้องชายคนใหม่ของเจ้า” น้ำเสียงหวานเอ่ยแนะนำ รอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยความยินดีปรีดาอย่างเหลือล้น “ดูแลเขาดีๆล่ะ”
“ครับ” พยักหน้ารับ ขณะมองเด็กน้อยนิ่ง “แล้วเขาชื่อ…”
แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลง
ไอเซทกัดปากแน่น จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ “ไอรีส…” เรียกขานชื่อน้องชายเบาๆ ก่อนประสานดวงตาเข้ากับน้องชาย “นายจำเรื่องวันนั้นได้มั้ย…”
“วันที่เด็กคนนั้น ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้”
ชายหนุ่มหัวน้ำตาลนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กน้อย “วันนั้น ท่านแม่พูดว่าอะไรนะ”
“อา…” พี่ชายคนรองนิ่งค้างไปพักใหญ่ ดวงตาเหลือบมองขึ้นด้านบนอย่างพยายามคำนึงคิดถึงอดีตที่แทบจะเป็นเพียงเศษฝุ่นในความทรงจำทั้งหมดที่ผ่านมา ปากขยับเล็กน้อยราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จนกระทั่ง… “อีสต์เวิร์ด ท่านแม่บอกว่าเจอเอลส์ที่อีสต์เวิร์ด”
“อีสต์เวิร์ด…?” ทวนคำเสียงสูง “นั่นมันเป็นเขตแดนระหว่างที่นี่กับเอเทรียสไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่…”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็แย่แล้วล่ะ” ดวงเนตรสีแดงฉานเริ่มฉายแววน่ากลัว รอยยิ้มเย็นเยียบถูกประดับลงยังมุมปาก “แย่แบบมากๆซะด้วย”
“เอ…”
ยังไม่ทันทีไอรีสจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ ร่างของพี่ชายคนโตที่ควรจะยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้หายไปเสียแล้ว ดวงเนตรสีน้ำเงินเย็นเยียบเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติ เขาระบายรอยยิ้มเครียดลงไปบนเรียวปาก ก่อนตวัดกายเดินจากไป “เรื่องนี้… มันชักยังไงๆอยู่แล้วล่ะ”
เพียงไม่นานหลังจากที่เฟทเทนส์ทั้งสองได้หายไปจากห้อง ก็ปรากฏร่างบอบบางของปีศาจสาวนั่งอยู่บนบานหน้าต่าง ขาเรียวข้างหนึ่งชันขึ้น ในขณะที่อีกข้างก็เหยียดจนสุดขอบ เจ้าหล่อนยกยิ้มหวานเคลือบแคลงด้วยความอันตรายอย่างร้ายกาจ ปลายนิ้วหมุนคลึงก้านกุหลาบดำในมือ “แหมๆๆ ที่นี่ช่างน่าสนุกจริงๆนะ”
พลันดวงตาก็เหลือบแลไปเห็นหญิงสาวเพียงคนเดียวในบ้านกำลังเดินอยู่ในสวน ทำใหรอยยิ้มนั้นยิ่งยกขยับกว้างขึ้นไปอีก เดเธียหัวเราะเบาๆในลำคอ แนบจุมพิตลงกับกลีบกุหลาบดำในมือ “แด่เจ้า กุหลาบแสนงามแห่งแฟทเทนส์”
แล้วเธอก็กลืนหายไปกับเงามืดของมุมห้อง ทิ้งไว้เพียงดอกกุหลาบ ซึ่งเพียงไม่นานก็ค่อยๆสลายกลายเป็นฝุ่นผงไป
ความคิดเห็น