คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1
Lieve มารายงานตัวพร้อมบทที่ 1 แล้วค่ะ
สำหรับบทนี้และบทต่อๆไป Lieve ต้องขออภัยเรื่องภาษาสักเล็กน้อยนะคะ
เพราะมันค่อนข้างจะเข้าเกณฑ์แย่ลงๆเรื่อยๆตามจำนวนบทค่ะ
แต่ยังไงก็ขอให้ท่านผู้อ่านมีความสุกับการอ่านนะคะ
ถ้ามีข้อผิดพลาดใดๆก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 1
“นิ่งซะที” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยโทนเสียงที่ฟังดูเหนื่อยๆ แต่ก็นะ ถ้าอยู่ด้วยกันมานานก็จะรับรู้ได้ว่าไอ้โทนเสียงนี้น่ะ มันตอแหลชัดๆ คนอย่างไอเซทน่ะหรอ จะมีคำว่าเหนื่อยอยู่ในพจนานุกรม ไม่มีทางเด็ดขาด
อ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบรัดกายบางถูกคลายออกพร้อมๆกับใบหน้าหวานที่ผินกลับไปมองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ “นี่ท่านพี่ทำบ้าฮะอะไรเนี่ย!”
นัยน์ตาสีเขียวใสคู่สวยที่สั่นไหวด้วยอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นจ้องสบกับดวงเนตรสีแดงดุจเปลวเพลิงของผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายคนโตสุดและเป็นผู้เดียวที่สืบสายเลือดที่แท้จริงของตระกูลเฟทเทนส์ ไอเซท เฟทเทนส์ หากแต่ชายหนุ่มร่างสูงกลับยกยิ้มมุมปากที่แสนเจ้าเล่ห์ตอบกลับมาให้เขาขนลุกเล่นๆเสียอย่างนั้น
เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่าพี่ชายคนโตแห่งตระกูลเฟททเนส์นั้นแสนจะเป็นคนดี (?) เสียจนสามารถแท๊กทีมแกล้งคนกับไอรีสได้โดยไม่ต้องพูดกันแม้แต่คำเดียว ประมาณว่ามองตาก็รู้เข้าไปถึงตับไตไส้พุง (ที่เต็มไปด้วยแผนการณ์ชั่วร้าย) ซึ่งโดยส่วนมากแล้วการแกล้งนี้ก็จะมีเป้าหมายอยู่ที่พี่ชายคนที่สามและมีเขากับท่านพี่ไอริชเซีย (ที่พบได้บางครั้ง) เป็นหมากในแผนการณ์ “นี่ท่านพี่จะแกล้งอะไรท่านพี่เวลส์อีกล่ะฮะ”
หากแต่ไอเซทกลับกระตุกยิ้มมุมปากที่สร้างความรู้สึกเย็นยะเยือกให้แผ่ไปในทุกอณู แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับว่ามันก็ดูดีไม่น้อยในสายตาคนทั่วไป ไอเซทเป็นชายหนุ่มร่างสูง จริงอยู่ที่ไม่ได้สูงโปร่งแบบเวลรอส แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในลักษณะที่สูงดูดี อีกทั้งใบหน้าคมคายที่ประดับด้วยดวงตาสีแดงเพลิงละลายใจและเส้นผมสีน้ำตาลดำ ผู้หญิงที่ไหนเห็นก็ต้องมองตาค้างเป็นแน่ ส่วนนิสัย… อย่าไปพูดถึงดีกว่านะ
“พี่ไอเซท” น้ำเสียงหวานเย็นชาร้องเอ่ยขึ้นที่น่าประตู “พี่ไอเซท…”
ในวินาทีที่น้ำเสียงของไอรีสดังขึ้น ก็ราวกับว่าลานนาฬิกาที่รอคนไขก็เริ่มเดิน ร่างของเอลส์ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ชายอย่างแรงจนรู้สึกได้ถึงแรงปะทะระหว่างแผ่นหลังบางและแผ่นอกแกร่ง “ทะ…!”
ชายหนุ่มเจ้าของดวงเนตรสีมรกตใสกระจ่างยังไม่ทันทีจะร้องประท้วงอะไร ความรู้สึกอุ่นๆที่ลำคอก็โผล่แทรกขึ้นในประสาทสัมผัสพร้อมๆกับความจักจี้ของเส้นผมที่ซุกไซร้อยู่บนลำคอ หากแต่สิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้ต้องกรีดร้องออกมานั้นกลับเป็นความรู้สึกเปียกชื้นที่แตะสัมผัสลงเบาๆที่ติ่งหูต่างหาก
รู้สึกราวกับร่างอ่อนปวกเปียก ใบหน้าแดงร้อนไปหมด ปากอ้าข้างกรีดร้องอย่างตกใจ “วะ… ว้าก!”
“เอลส์!” น้ำเสียงอุทานของเวลรอสที่ดังอยู่หน้าห้องนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มร่างบางต้องตื่นตระหนก พยายามสะบัดตัวให้หลุดพ้น แต่ก็นะแค่แรงยืนยังไม่ค่อยจะมีแล้วจะนับประสาอะไรกับแรงดิ้นล่ะ
ผลัวะ!
แล้วประตูห้องแสนเก่าแก่ก็ถูกกระแทกให้เปิดออกในทันที “เอลริส!”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าของวันนี้เต็มไปด้วยความ เอ่อ… ร่าเริงของสองพี่ชายที่สามารถแกล้งน้องได้สำเร็จและความอึมครึมของผู้ถูกแกล้ง โดยมีน้องชายคนเล็กนั่งนิ่งเป็นหินประดับโต๊ะและมีพี่สาวคนรองนั่งเปิดดูรูปถ่ายในกล้องของตนอย่างอารมณ์ดี
ต้องขอยอมรับว่านี่เป็นบรรยากาศยามเช้าที่ช่างน่าตลกไม่ใช่น้อย ก็โต๊ะครึ่งซีกก็แสนจะอารมณ์ดี แต่อีกครึ่งซีกกลับหดหู่เสียจนไม่น่าเชื่อไปซะแบบนั้น
“นี่ เอลส์ๆ” จู่ๆไอริชเซียก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศแปลกๆบนโต๊ะอาหาร หญิงสาวยื่นกล้องในมือให้แก่น้องชายคนเล็ก ชี้ชวนให้มานั่งดูรูปถ่ายด้วยกัน ตอนแรกๆปฏิกิริยาตอบสนองก็เป็บไปแบบเอื่อยๆไร้วิญญาณอยู่หรอกนะ แต่พอหลังๆเข้าก็ดูเหมือนว่าท่าทีเอื่อยๆนั้นได้หายไปพร้อมๆกับความอายที่โผล่ขึ้นมาแทรกแทนเสียอย่างนั้น
เอลริสยิ้มค้าง ใบหน้าแสดงถึงความรู้สึกที่พูดไม่ออก แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นผิวแก้มที่แดงเรื่อราวกับเขินอายอยู่ด้วย “นี่… มัน”
“ทำไมหรอจ๊ะ” ไอริชเอ่ยถามเสียงใส “รูปนี้น่ารักดีออกนะ น้องไม่คิดแบบนั้นหรอกหรอ”
“รูปอะไรน่ะ ไอริช”
จู่ๆน้ำเสียงเย็นชาที่ติดจะแฝงความสะใจที่ได้แกล้งคนก็เอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าหวานที่ยื่นเข้ามาใกล้ ดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มกวาดมองภาพที่ตนเห็นก่อนจะระบายรอยยิ้มบางๆอย่างน่ารัก “อา… มันก็น่ารักจริงๆล่ะนะ”
ดูเหมือนว่ายิ่งพูด ผิวแก้มแดงก็ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย ซึ่งลักษณะท่าทีเช่นนั้นมันช่างน่าแปลกใจ ไอเซทจึงตัดสินใจเสนอหน้าเข้ามาในวงสนทนาด้วย เขากระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ในทันทีที่เห็นภาพ “ไอริช รูปนี้อย่าลืมอัดเก็บไว้ล่ะ”
“มะ… ไม่นะ” น้ำเสียงเอ่ยค้านของผู้เป็นหนึ่งในตัวละครในภาพนั้นเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไม่นะ… ไม่เด็ดขาด”
ทำไมถึงไม่น่ะหรอ ลองทายกันดูสิว่ารูปนั้นเป็นรูปอะไร…
แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงร้องค้านของเอลส์นั้นไปไม่ถึงอย่างไรอย่างนั้น เหล่าพี่ๆต่างหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์โดยไม่สนใจแม้แต่น้อย
“ต้องใส่กรอบตั้งบนโต๊ะด้วยนะคะ”
“ไม่ๆๆ ต้องแขวนหน้าบ้านเลย!”
คำพูดเช่นนั้นเรียกบรรยากาศอึมครึมจากน้องชายคนเล็กได้อีกมากโข ดวงเนตรสีเขียวใสนั้นปรือลงอย่างปลงๆว่าไม่แคล้วต้องโดนล้อไปอีกนานเป็นแน่ รูปนั้นน่ะ…
“อา… ผมขอตัวดีกว่า”
แล้วร่างบางก็เดินจากไปด้วยท่าทีที่บอกได้ว่าดูหมดอาลัยตายอยากสุดๆ
“เราแกล้งแรงไปหรือเปล่าคะ รีส” หญิงสาวเพียงคนเดียวเอ่ยขึ้น ทอดสายตามองร่างที่เดินห่างออกไปอย่างเครียดๆ หากแต่คำตอบที่ได้นั้นคือน้ำเสียงเย็นชาและถ้อยคำที่แสนน่าฟัง (?)
“ไม่หรอก สนุกดีออก”
แต่หลังจากนั้น ความเงียบก็เข้าครอบคลุมทุกอย่าง ไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างเหล่าพี่น้อง ดวงเนตรสีแดงเพลิงของพี่ชายคนโตมองเหลือบไปยังนอกหน้าต่างบานใหญ่ ก่อนผละสายตาออก “ตอนนี้… คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
“ครับ มันก็น่าจะเป็นแบบนั้น” ไอรีสเอ่ยตอบ เบนสายตาของตนออกไปด้านนอก ภาพที่เห็นเป็นผืนฟ้ากว้างที่กำลังถูกแต่งแต้มด้วยแสงแรกของวัน ยามรุ่งอรุณได้มาเยือนแล้ว “ไม่น่าจะมี… อะไรได้”
“อา… ไม่หรอก” น้ำเสียงหวานของไอริชเซียเอ่ยกระซิบขัดขึ้น หญิงสาวปรือนัยน์เนตรสีฟ้าใสของตนขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง “ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มีเกียรติสู่บ้านของเรา เหล่าพี่น้องเฟทเทนส์…”
“เชิญท่านปรากฏกายเถอะ…” เวลรอสกระซิบเสียงนุ่ม รอยยิ้มถูกระบายลงบนเรียวปากของหนุ่มผมแดง “มิเช่นนั้น ทางเราก็จะไม่ขอ…”
“รับประกับความปลอดภัย!”
“คิก…” เสียงหัวเราะหวานหลุดรอดออกจากเรียวปากของผู้บุกรุก ก่อนตามด้วยเสียงขยับตัวเล็กน้อย “ข้าไม่ได้อยากจะรบกวนหรอกนะ เฟทเทนส์ทั้งหลาย”
“แต่ข้ามีอะไรจะบอกล่ะ…”
ดวงตาคู่กลมสวยสีเขียวมรกตเหม่อมองผืนฟ้ากว้างที่กำลังถูกแต้มแต่งด้วยแสงแรกของวันอย่างหลงใหล ร่างบางห่อตัวลง เมื่อผิวกายถูกลูบไล้โดยสายลมเย็นยะเยือกของยามราตรีกาลที่กำลังจะลาลับไป เหล่าต้นไม้ใบหญ้าลู่เอนไหวโอนอ่อนไปตามแรงพัดสร้างเสียงเสียดสีให้ดังขึ้น
เอลริสหลับตาลง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าจากทุกสิ่ง หากแต่หูก็ยังสดับได้ถึงเสียงพูดคุยที่ดังลอดออกมาจากในบ้านพร้อมเสียงโครมครามอีกเล็กน้อย แต่เขาไม่คิดจะสนใจหรอก เรื่องแบบนี้จริงอยู่ที่ไม่ได้พบเห็นได้โดยทั่วไป แต่ก็ใช่ว่ามันจะหายากขนาดเป็นเรื่องแปลกในเหล่าพี่น้องตระกูลเฟทเทนส์ มือบางยกขึ้นจับเส้นผมสีทองทัดขึ้นที่ใบหู พลันปลายนิ้วก็ได้ตวัดผ่านอะไรเย็นๆบนใบหูไป ด้วยความแปลกใจปลายนิ้วจึงได้ลากวนกลับมายังตำแหน่งนั้นอีกครั้ง
มันเป็นต่างหู… ต่างหูเงินอันเล็กที่จำได้ลางๆว่าเหล่าพี่ๆได้กำชับนักกำชับหนาว่าห้ามถอดมันออกโดยเด็ดขาด เขาก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม และไม่คิดจะถามด้วย ก็ตอนนั้น หน้าตาของเหล่าพี่ๆแต่ละคนก็ดูเคร่งเครียดมากราวกับมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเทือกๆนั้น
“เอลริส…” ราวได้ยินเสียงของหญิงสาวเอ่ยเรียกขานนามของตน เรียกให้ริมฝีปากก็ขยับตอบไปตามความเคยชิน “ฮะ…?”
“เอลริส เฟทเทนส์…?” หางเสียงหวานถูกขึ้นสูงเป็นเชิงเอ่ยถาม แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าคนที่ตนกำลังพูดคุยด้วยนั้นไม่ใช่ผู้เป็นพี่สาวเช่นที่ตนคิดแม้แต่น้อย คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยอย่างสงสัยว่าใครเป็นผู้เอ่ยทักตน หากก็ยอมตอบคำถามนั้นกลับไปแต่โดยดี “ฮะ”
“คิกๆ” เสียงหัวเราะเย็นดังขึ้นข้างใบหู เรียกให้ใบหน้าหวานต้องตวัดหันไปมอง หากแต่สิ่งที่ฉายชัดลงบนนัยน์ตาสีมรกตคู่สวยนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า ที่รอบกายของเอลส์นั้นปราศจากสิ่งใดนอกจากธรรมชาติแสนงาม “นี่นะหรือ เอลริส เฟทเทนส์ที่เขาร่ำลือกัน…”
“งามสมที่ ‘ท่านผู้นั้น’ หมายปองจริงๆ” น้ำเสียงที่ยังคงดังอยู่ไม่ห่างนั้น เรียกให้ดวงเนตรสีใบไม้ต้องกวาดมองรอบกายตนอย่างตื่นตระหนก รู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นๆที่มีกลิ่นอายชวนหวาดผวา “คะ… คุณเป็นใคร…”
น้ำเสียงหวานเอ่ยถาม ขณะพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่นัก กลิ่นอายที่แฝงมากับลมหายใจสร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่ว ราวสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แสนคุ้นเคย หากแต่ก็รู้สึกหวาดกลัวจนแทบกรีดร้อง
“คิกๆๆ” น้ำเสียงหวานดุจเสียงสตรีกลั้วหัวเราะราวคำเอ่ยนั้นเป็นเรื่องตลก และมันก็คงจะเหมือนกว่านี้ถ้าน้ำเสียงไม่เยียบเย็นจนดูไร้ความรู้สึก “นั่นสินะ เจ้ามองไม่เห็นข้านินา…”
แล้วเอลริสก็เป็นอันต้องสะดุ้งเฮือก สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วเย็นๆที่นาบลงข้างแก้มตน ลูบไล้จากขมับลงมาจนสุดปลายคาง สร้างความรู้สึกชาให้แผ่นซ่านออกไป “แต่ไม่เป็นไร…”
“มันยังไม่ถึงเวลา เอลริสแห่งนายเหนือหัวข้า…” น้ำเสียงหวานแผ่วเบาลง “มันยังไม่ถึงเวลา…”
แล้วทุกสิ่งก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่านเท่านั้น เอลส์ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ๆ พลันก็รู้สึกชาวาบแล่นจากหัวลงไปจดปลายเท้า ร่างบางซวนเซก่อนทรุดลงอย่างหมดเรี่ยวแรง “อะ… อะไร…”
น้ำเสียงหวานสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกถึงความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นภายในร่างกายราวผืนน้ำที่ถูกรบกวนโดยคลื่นพายุ นัยน์ตาสีเขียวใสปรือลงอย่างเจ็บปวด ขณะริมฝีปากก็กัดแน่นสะกัดกลั้นเสียงร้องไม่ให้หลุดออกไป แขนอันสั่นเทาโอบประคองรอบกายตนอย่างไร้เรี่ยวแรง “อะไร…”
จู่ๆความรู้สึกหนึ่งก็วิ่งตัดทุกสิ่งขึ้นมา สร้างความเจ็บร้าวราวถูกกรีดด้วยคมมีด ปลายเล็บคมจิกลงบนต้นแขน ดวงตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้างราวปรารถนาจะกรีดร้องให้สุดเสียง แต่กลับไม่มีสิ่งใดหลุดรอดออกมาแม้แต่น้อย
“อึก…”
ความรู้สึกต่อมาเหมือนกับถูกบีบอัดจากทั้งภายในและภายนอกไปอย่างรุนแรงจนตัวแทบระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ราวกับมีอำนาจของสองสิ่งต่อกรกันอยู่ภายใน เรือนร่างงามบิดเร่าอย่างเจ็บปวด ลมหายใจหอบถี่ ภาพที่เห็นเริ่มเลือนลานก่อนจะดับลงพร้อมๆกับสติที่หลุดลอยหายไป
“นี่เอลริส ข้าให้ ‘สิ่งนั้น’ ไปแล้วนะ” น้ำเสียงหวานเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “คราวหน้าเจ้าจะต้องเห็นข้าแน่ๆ…”
เรียวปากอิ่มสวยของเด็กหนุ่มยกยิ้ม “แล้วเราค่อยมาคุยกันอีกทีนะ เด็กน้อย”
ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ใบหน้ายามหลับของชายหนุ่มผู้ถือครองตำแหน่งน้องชายคนสุดท้องแห่งเฟทเทนส์อย่างอ่อนโยน โดยจงใจลากนิ้วผ่านแผลเปื้อนเลือดที่ตนสร้างไว้ก่อนหน้า สีแดงสดของมันชวนให้หลงใหลจนอดไม่ได้ที่จะจรดริมฝีปากไปลิ้มรส“หวานเหลือเกิน…”
“ข้าชอบจริงๆนะเนี่ย…”
เขาพูดพลางแย้มยิ้มพริ้มเพรา “ข้าชอบ… จริงๆ”
ในขณะเดียวกัน เพียงแค่ย้ายสถานที่จากสวนกว้างเข้ามาในห้องอาหารของตระกูลเฟทเทนส์ สภาพของห้องที่เห็นนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่โต๊ะไม้ขัดแสนสวยที่กลายเป็นซากอยู่กลางห้อง เก้าอี้ที่วางระเกะระกะอยู่ไม่ห่างและเศษแก้วแตกละเอียดเต็มพื้น ราวกับว่าพึ่งไปผ่านสงครามที่ไหนมาอย่างไรอย่างนั้น “นี่ มาเล่นกันหน่อยสิ…”
น้ำเสียงหวานเอ่ยราวจะยั่วเย้า ก่อนจะปรากฏสายลมแรงโบกพัดให้เศษซากสิ่งของในห้องลอยเหวี่ยงไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ดวงตาคู่สวยกวาดมองรอบกายอย่างสนุกสนานที่ได้เห็น “รู้มั้ย…”
ปลายนิ้วเรียวเชยคางของชายผมแดงขึ้น บังคับให้ดวงเนตรสีเขียวเย็นเยียบนั้นมองสบกับตาของตน “ข้างนอกนั้น…”
“พี่! พี่เดเธีย” เสียงหวานอีกเสียงเอ่ยขึ้น พร้อมการปรากฏกายของเด็กหนุ่มผู้มีเค้าโรงหน้าไม่ต่างอะไรไปกับอิสตรี “งานข้างนอกเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”
เดเธียยกยิ้ม ใช้มืออีกข้างที่ว่างตวัดเรียกเอาเศษแก้วบนพื้นมาประกอบขึ้นเป็นแจกันอันสวยพร้อมน้ำเต็มขอบ สะบัดมืออีกครั้งแจกันก็คว่ำลง เทหยาดน้ำให้ก่อรวมเป็นรูปกระจกเงาลอยค้างอยู่กลางอากาศ “นี่ดูสิ…”
ว่าพลางบังคับใบหน้าหล่อเหลาให้หันมองไปยังกระจกน้ำนั้น วาดมืออีกครั้ง ภาพก็ค่อยๆปรากฏขึ้น แม้จะเลือนลางไปบ้างแต่สำหรับเหล่าพี่น้องเฟทเทนส์แล้วย่อมจำมันได้ดีแน่นอน “นั่นมัน…!”
แม้กระทั่งไอรีสก็ยังอุทานออกมาด้วยความตกใจ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มลึกล้ำเบิกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็น
ต่างหูสีเงินอันสวยข้างหนึ่งถูกวางนิ่งอยู่ในกล่อง โดยปราศจากคู่ที่เคยอยู่เคียงข้าง…
“เอลส์…”
เวลรอสกระซิบแผ่วเบา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
หญิงสาวระบายยิ้มหวานเชื่อม ผละมือออกปลายคางของชายหนุ่ม “รู้จักรึเปล่า ต่างหูข้างนี้นะ…”
“ธรรมเนียมของเราไม่เหมือนกันก็จริง แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องรู้เป็นแน่…”
ว่าจบเดเธียก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงแหลมสูงราวจะเยาะเย้ย เรียวปากแดงฉานฉีกยิ้มเย้ยหยัน ก่อนเรือนร่างงามนั้นจะค่อยๆเร้นกายหายไปเช่นคราวที่มาเยือน เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะบาดหูและคำพูดสุดท้าย
“และคำบัญชานั้นจะต้องสำฤทธิ์ผล…”
ทั้งห้องตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ เหล่าพี่ๆแห่งตระกูลเฟทเทนส์นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่คิดจะขยับ ดวงเนตรต่างสีของแต่ละคนแฝงไปด้วยความเคร่งเครียด โดยเฉพาะนัยน์เนตรสีท้องฟ้าสวยของไอริชเซียที่ดูจะขุ่นมัวด้วยความเจ็บใจและความเจ็บปวด ริมฝีปากขยับกระซิบคำพูดแผ่วเบากับตัวเอง
“ทำไมนะ ทำไมตอนนั้นเราถึงได้…”
พลันไอรีสก็ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากกองเศษซากของสารพัดสิ่ง ดวงเนตรสีน้ำเงินลึกล้ำดุจห้วงสมุทรที่อาจหยั่งถึงกำลังสั่นไหว ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด แต่ก็คงจะสร้างพายุโหมกระหน่ำได้ในอีกไม่ช้า มือข้างขวายกขึ้นราวประคองบางสิ่งก่อนสะบัดเบาๆ พวงกุญแจพวงใหญ่ที่ร้อยด้วยลูกกุญแจทรงโบราณที่ขมุกขมัวด้วยเศษฝุ่นก็ลอยเข้าสู่มือ “ผมจะไปดูอะไรสักหน่อย”
ร่างบางย่ำผ่านกองเศษซากมากมายที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ทุกฝีเท้าที่ย่างก้าวเต็มไปด้วยความเย็นชาแผ่ซ่าน บาดลึกไปจนถึงเบื้องล่างของจิตใจ เกล็ดน้ำแข็งเย็นถูกแต่งแต้มไปจนทั่วบริเวณ
“ฉันขอไปด้วยค่ะ” ไอริชเซียเอ่ยร้องก่อนยันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวก้าวยาวๆตามพี่ชายฝาแฝดขึ้นบันไดไป ทางเดินสวยงามที่แสนคุ้นตารอบข้างนั้นไม่ได้ช่วยให้คู่แฝดสงบจิตใจลงได้เลย ฝีเท้านำพาทั้งสองมายังสถานที่ที่อยู่ลึกที่สุดของโถงทางเดินนั้น
ประตูไม้สลักลวดลายอ่อนช้อยตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พร้อมลูกบิดประตูสีทองสว่างที่ทอประกายล้อแสงที่ลอดผ่านบานหน้าต่างข้างๆนั้น กุญแจดอกสีทองถูกเลือกออกมาจากพวงกุญแจอย่างง่ายดายด้วยสีสันที่โดดเด่น แม้ว่าจะหมองไปบ้างตามกาลเวลาก็เถอะ ปลายนิ้วเรียวของไอรีสเช็ดเอาเศษฝุ่นจากการปะทะกันเล็กๆน้อยๆเมื่อครู่ออกก่อนจะไขประตูให้เปิดกว้าง
กริ๊ก!
“งานเสร็จเป็นที่เรียบร้อยเจ้าค่ะ” เดเธียเอ่ยเสียงหวาน ใช้ดวงตาคู่สวยช้อนมองสบกับชายผู้นั่งบนบัลลังก์สูง หญิงสาว ไม่สิ ปิศาจสาวระบายรอยยิ้มลงบนเรียวปากอิ่มของตน หลุดเสียงหัวเราะแผ่วๆออกมาอย่างมิอาจกลั้น เธอลุกขึ้นโค้งกายลงเป็นเชิงเอ่ยลาก่อนสาวท้าวออกไปไวๆ “ข้าขอตัว เดธพี่ไปก่อนนะ…”
“นายท่านขอรับ” น้ำเสียงนิ่งเย็นเอ่ยขึ้นพร้อมการก้าวเข้าใกล้ของชายหนุ่มที่เคยยืนอยู่มุมห้อง ร่างบอบบางไม่สมชายทรุดลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าผู้เป็นนาย ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายงามเงยมองขึ้นไป “ท่านอิลเลียตขอพบขอรับ”
“หืม…” เสียงเอ่ยตอบกลับเต็มไปด้วยความสงสัย ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ระบายรอยยิ้มตลกขบขันลงบนเรียวปาก “ไปบอกว่าข้ากำลังไป…”
“ขอรับ”
“ไม่จำเป็น…” น้ำเสียงหวานกระซิบ แต่ท่ามกลางความเงียบงันของสิ่งรอบกายแล้ว มันกลับดังก้องไปทั่ว “ข้าแค่อยากจะรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร เฟรซิส”
เสียงฝีเท้าดังแผ่วๆเข้ามาใกล้ พร้อมความยะเยือกเย็นที่แผ่ซ่านขึ้นเรื่อยๆ ดวงเนตรสีแดงฉานจับจ้องยังผู้อยู่บนบัลลังก์ ไม่มีแววของความหวาดหวั่น ไม่มีแววของความหวาดกลัว สิ่งเดียวที่ประจักษ์ชัดในดวงตาคู่สวยมีเพียงความแน่วแน่และความเย่อหยิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่คราแรกที่ประสบพบเจอ ร่างนั้นก้าวนำผ่านซุ้มหินที่มืดมัว แสงสว่างจากเชิงเทียนวูบไหวเผยร่างบอบบางที่เดินเชิดหน้าเข้ามา “ตอบข้ามา เจ้ากำลังจะทำอะไร เฟรซิส”
“นั่นสินะ…” น้ำเสียงทุ้มกระซิบ “ข้ากำลังจะทำอะไร…”
“เอลส์…” แว่วเสียงเพรียกกระซิบอยู่ข้างใบหู ภาพเบื้องนอกที่มองเห็น มีสตรีนางหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเธอก้มลงจรดใบหูของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของนาม เอ่ยเสียงเพรียกกระซิบด้วยความเจ็บปวดปนเปไปกับความสิ้นหวัง ดวงเนตรสีสวยเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “เอลส์ ตื่นสิๆ เอลส์”
เธอนั่งก้มหน้า มือทั้งสองกำแน่นอย่างเจ็บปวด ปลายเล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือ เรียกหยาดโลหิตสีชาดให้ซึมออกมา “ทำไมนะ… ข้าถึงได้ไร้ประโยชน์แบบนี้”
กระซิบเสียงแผ่ว เจ็บช้ำเสียจนไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูด
“ทำไมกัน… ทั้งๆที่ชีวิตนี้ยกให้แก่ท่านแล้วแท้ๆ” ได้แต่รำพึงรำพันอย่างสิ้นหวัง หยาดน้ำตาใสไหลรินลงตามโครงหน้าสวย “ทำไมข้าถึงไม่อาจทำอะไรได้เลย ได้พียงแค่เฝ้ามอง ไม่อาจจะรับรู้ได้”
“แม้กระทั่ง ตัวตนที่แท้จริงของท่าน…”
ร่างบอบบางนอนลงข้างๆ ใช้ปลายนิ้วทำทีราวกับไล้ไปตามโครงหน้าหวานของชายหนุ่ม ทั้งๆที่จริงๆแล้วยังไม่ได้สัมผัสถึงส่วนใดเลย พลันความรู้สึกอุ่นก็วาบผ่านเข้ามา… “อุ่นจังเลย…”
“…!”
หญิงสาวแทบกรีดร้อง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “อุ่นหรอ!”
ว่าจบก็กระเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง มือทั้งสองยื่นออกไปเบื้องหน้า สั่นไหวระริกราวหวาดกลัวกับสิ่งที่จะสัมผัส เปลือกตาบางปิดลงราวไม่อยากยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป…
พลันก็สัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มของผิว หญิงสาวเปิดตาขึ้นมอง ดวงเนตรแฝงไปด้วยความยินดีปรีดาและความหวาดผวากับสิ่งที่เกิดขึ้น “ทำไมถึงได้…”
“นี่ เฟียยาเรน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคุยกับเราได้นะ…”
น้ำเสียงกระซิบหวานนุ่มดังภาพฝันดังก้องในโสตประสาทของเฟียยาเรน หญิงสาวเม้มปากแน่น เธอโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากสวยได้รูปลงบนหน้าผากนวล กระซิบคำพูดแผ่วเบา “ข้าจะรีบกลับมา เอลส์”
บาเรียโปร่งใสสะท้อนสีดำจางๆปรากฏขึ้นโอบล้อมร่างของน้องชายคนเล็ก หญิงสาวก้าวถอยออกมาช้าๆ สยายปีกบางออกกว้าง โบยบินสู่จุดหมายที่อยู่ไม่ห่างนัก ด้วยความเชื่อที่ว่าใครสักคนในนั้นสามารถตอบคำถามนี้ได้แน่นอน ในขณะที่เรียวปากสวยก็ขยับกระซิบเอ่ยเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่น
“ใครก็ได้ ช่วยที…”
ความคิดเห็น