คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Prologue
Lieve รายงานตัวค่ะ
ตอนนี้ขอเอาบทนำมาลงก่อนแล้วกันนะคะ
ถ้ามีอะไรผิดพลาดจะแก้ไขให้ค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทนำ
“เอลส์! นายอยู่ไหนน่ะ” น้ำเสียงของเด็กชายเอ่ยร้องเรียกท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้าง ผืนฟ้าเบื้องบนแปรเปลี่ยนเป็นยามราตรี… ยามราตรีที่แสนมืดมิดของคืนเดือนมืด แสงดาวมากมายต่างทอประกายหยอกล้อกันและกันอย่างงดงาม หากแต่ก็ไม่อาจจะนำทางให้เด็กน้อยผู้นี้ไปหาผู้เป็นที่รักได้… “เอลส์!”
ดวงเนตรสีเขียวมรกตคู่งามกวาดไปรอบกายอย่างร้อนรนเมื่อปราศจากเสียงเอ่ยขานร้องตอบกลับเช่นทุกครา สายลมเย็นเยียบพัดพลิ้วตัดผ่านผิวกายยิ่งทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้องชายแสนรักของตนต้องยืนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนั้น “เอลริส! เอลส์!”
“อะ… โอ๊ย!”
น้ำเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวดที่แว่วมากับสายลมจางจนแทบจะระบุไม่ได้ว่านั้นเป็นเสียงของคนจริงๆหรือว่าเป็นเสียงหวีดหวิวของสายลมที่เล่นตลกกันแน่ แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอแล้ว… มากพอสำหรับเด็กน้อยที่จะรับรู้ได้ว่าคนที่เขาตามหาอยู่ที่ใดกันแน่ “เอลริส!”
ร่างเล็กของเด็กชายวิ่งไปตามทางเดินขรุขระไกลออกไปจนแทบจะสุดอาณาเขตของบ้าน ที่ตรงนั้นเป็นหลุมกว้างที่จำได้รางๆว่าพี่ชายคนโตและคนรองเคยมาขุดเอาไว้ “อะ… อึก”
“เอลริส” เด็กชายไม่รอช้า วิ่งถลาเข้าไปหาปากหลุมนั้นทันที แสงดาวเรืองลางสร้างภาพของเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ก้นหลุม ใบหน้าเล็กๆนั้นซีดเซียวและเปราะเปื้อนด้วยเศษดิน ลมหายใจแผ่วเบาถี่กระชั้นขณะนัยน์ตาสีเขียวมรกตเม็ดงามค่อยๆช้อนขึ้นมองผู้เอ่ยเรียกชื่อตนตามความเคยชิน “ท่านพี่…”
“เอลริส! ลงไปทำอะไรในนั้นน่ะ”
“ท่านพี่…” หากแต่เด็กชายไม่ตอบ เขาเหม่อมองร่างของผู้เป็นพี่ชายที่ยืนอยู่ยังปากหลุมก่อนระบายยิ้มลงบนเรียวปาก “ผม…”
“ขึ้นมาเร็ว อากาศเย็นแล้วเดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก”
มือเล็กถูกยื่นมาเบื้องหน้ากระตุ้นให้เด็กชายวางมือลงไปด้วยความเคยชิน ร่างทั้งร่างถูกดึงขึ้นอย่างง่ายดายทั้งๆที่ขนาดตัวของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่แท้ๆ “ขอบคุณครับ”
หากแต่ผู้เป็นพี่ชายไม่ตอบ เขาเพียงแต่ใช้ดวงเนตรมองกวาดทั่วร่างเล็กๆนั้นเพื่อหาบาดแผล “กลับกันเถอะ คนอื่นกำลังเป็นห่วงนาย…”
“ครับ…”
“อือ” ชายหนุ่มครางแผ่วเบา เปลือกตาบางขยับถี่ๆ ดวงเนตรสีเขียวมรกตคู่งามที่ทอประกายไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่เด็กจนโตนั้นปรือขึ้นช้าๆ จริงอยู่ที่ด้านนอกนั้นฟ้ายังไม่สว่างเลย แต่นี่เป็นเวลาที่ปกติสำหรับการตื่นนอนของเขา
“เอลส์” น้ำเสียงหวานของหญิงสาวเพียงคนเดียวในบ้านเอ่ยพร้อมเสียงเคาะประตู “เอลส์”
“ท่านพี่ไอริช” น้ำเสียงหวานราวอิสตรีถูกเอื้อยเอ่ยออกจากริมฝีปาก เอลส์ หรือเอลริส เฟทเทนส์ น้องชายคนสุดท้องของตระกูล “ครับ ท่านพี่”
ร่างนั้นค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงนอนออกไปเปิดประตูให้ผู้เป็นพี่สาว “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอลส์ มานี่หน่อยสิ พี่มีอะไรอยากให้เราดูน่ะ” ไอริชเซีย เฟทเทนส์หรือไอริช พี่คนรองและเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของบ้านเอ่ยพร้อมยิ้มหวาน ใบหน้าของเธอช่างน่ารักไม่สมวัยทั้งๆที่อย่างน้อยอายุของไอริชก็เกิน… เอ๊ะ! อายุของผู้หญิงเป็นสิ่งต้องห้ามนี่เนอะ ดังนั้นเขาไม่ควรจะพูดถึงมัน “ดู…? ดูอะไรหรอครับ”
หากแต่ไอริชไม่ตอบ เธอคว้าข้อมือของน้องชายคนเล็กและดึงให้เจ้าตัวเดินตามมา ฝีเท้าของทั้งสองแผ่วเบาและเงียบกริบเมื่อผ่านหน้าห้องของพี่ชายคนโตที่แสนจะโมโหร้ายเมื่อโดนคนปลุกก่อนเวลาอย่างไม่น่าเชื่อ “ดูนั่นสิ…”
ไอริชดันร่างของน้องชายให้มายืนอยู่หน้าตนแล้วใช้ปลายนิ้วชี้ข้ามไหล่บางๆไม่สมชายนั้นไป “เอ๋…?” ยังสุดทางที่ปลายนิ้วนั้นชี้ไป มีร่างเงาหนึ่งทรุดนั่งอยู่ “นั่นคือ…?”
หากแต่หญิงสาวไม่ตอบ เธอผลักร่างของเอลส์ไปข้างหน้าพลางใช้นัยน์ตาสีฟ้าใสมองสบกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตของผู้เป็นน้องอย่างให้กำลังใจก่อนหันหลังขวับและวิ่งหนีจากไปอย่างรวดเร็วจนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นสะบัดพลิ้ว “เดี๋ยวสิครับ! ท่านพี่! ท่านพี่ไอริชเซีย!”
หากแต่ช้าไปเสียแล้ว ร่างบอบบางของหญิงสาวหายลับไปจากคลองสายตาของเอลริส เฟทเทนส์ภายในเสี้ยววินาที ทิ้งให้น้องชายสุดที่รัก (?) ยืนเผชิญหน้ากับร่างเงานั้นเพียงคนเดียว “อะ… เอ่อ”
ร่างบอบบางค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยแฝงไปด้วยความลังเลอย่างชัดเจน จนกระทั่งร่างทั้งร่างสามารถเข้าใกล้เสียจนสามารถที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกับร่างเงานั้นได้อยู่แล้ว เท้าที่สั่นไหวก็ได้ก่อการกบฏขึ้นจนเจ้าของเองก็ตั้งตัวไม่ทัน…
“วะ… เหวอ!”
ใช่แล้ว… การลื่นโดยไม่ตั้งใจ
ดวงเนตรสีเขียวมรกตคู่งามปิดลงอย่างรวดเร็วเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ๆชายหนุ่มร่างบางก็มีอันต้องแปลกใจเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงความเจ็บปวดใดๆที่ตนควรจะได้รับ “นี่… เอลส์”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่แสนคุ้นเคยเอ่ยกระซิบข้างหูพร้อมปลายจมูกเย็นๆที่เข้ามาถูกับแก้ม เรียกให้เอลส์ต้องเปิดตาขึ้นในทันที และเมื่อเห็นปลายผมสีแดงเพลิงที่แสนคุ้นตาก็แทบจะร้องลั่น ใบหน้าแดงก่ำราวมะเขือเทศ “ท่านพี่…!”
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของยามเช้าที่แสน (ไม่) สุขของเหล่าพี่น้องตระกูลเฟทเทนส์
เวลรอส เฟทเทนส์ หรือเวลส์ ชายหนุ่มผู้ดำรงต่ำแหน่งพี่ชายคนที่สามของตระกูลกระตุกยิ้มมุมปาก เขาใช้ดวงเนตรสีเขียวมรกตที่ดูคล้ายกับน้องชายกวาดมองรอบๆกายตนอย่างตลกขบขัน “นายนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เอลส์”
ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมระบายยิ้มกระชากใจสาว แต่ดูถ้าว่ารอยยิ้มนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับน้องชายคนเล็กซึ่งมีดวงตาสีเขียวมรกตดุจเดียวกัน ติดแต่จะสีอ่อนกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เอลส์มองค้อนพี่ชายอย่างโกรธๆ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ “ก็เพราะท่านพี่นั่นแหละ เพราะท่านพี่คนเดียว…”
สิ้นคำเอ่ยที่ฟังดูแง่งอนนั้นก็ทำให้เวลส์ต้องมองร่างบองบางที่นั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้า เขาระบายยิ้มเอ็นดูลงบนเรียวปากเมื่อเห็นศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีทองละเอียดนั้นก้มลงราวปรารถนาไม่ให้ตนเห็นหน้า แบบนี้… มันช่างน่าแกล้งเหลือเกิน
“อะไรกัน ทำไมว่าพี่อย่างนั้นล่ะ หืม?”
ปลายนิ้วเรียวของชายหนุ่มแตะปลายคางของน้องชายตรงหน้าก่อนเชยให้ใบหน้าหวานเยี่ยงอิสตรีนั้นเงยขึ้นมอง ทันทีที่นัยน์ตาสีมรกตทั้งสองมองสบกัน ใบหน้าหวานก็มีอันต้องแดงซ่านพร้อมกับสายตาที่หลุบลงพร้อมกับสมองที่ประมวลผลได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนได้พูดอะไรออกไป น้ำเสียงหวานโวยวายราวจะกลบเกลื่อน “เอ่อ… ไม่! ไม่ใช่เพราะท่านพี่ซะหน่อย”
ท่าทีเช่นนั้นทำให้ชายหนุ่มเป็นอันต้องยิ้มกว้าง ใบหน้าหล่อเหลาที่ประดับดวงเครื่องหน้างดงาม ดวงเนตรสีเขียวมรกตที่เข้มกว่าเอลส์เล็กน้อยและเรือนผมสีแดงเพลิงช่างดูลงตัวกันอย่างประหลาด “ไม่ใช่เพราะพี่งั้นหรอ งั้นเพราะอะไรกันล่ะ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างสบายๆ แต่สำหรับหนุ่มน้อยร่างบางที่กำลังอยู่ในสถานการณ์นั้นกลับรู้สึกว่ามันเป็นการไล่ต้อนดีๆนี่เอง ดวงตาคู่สวยสีมรกตกวาดมองไปมาอย่างตื่นตระหนก “เพราะ… เพราะ…”
“ว่าไงล่ะ เอลริส เพราะอะไรกัน” เวลส์เอ่ยไล่ต้อนอีกครั้ง หากแต่คราวนี้สำเนียงที่ใช้นั้นกลับแฝงความยั่วเย้าอย่างแปลกประหลาด แต่ก็นะ ถ้าคุณเป็นเอลส์จริง คุณก็จะไม่สังเกตถึงมันแม้แต่น้อย “ก็… ผม…”
“ผมไม่คุยกับท่านพี่แล้ว!”
น้องชายคนเล็กแห่งตระกูลเฟทเทนส์ร้องลั่นทำทีจะลุกขึ้นวิ่งหนีออกไป แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกร่างทั้งร่างก็ถูกดึงรั้งเข้าไปเสียแล้ว เวลส์ประคองร่างที่เล็กกว่าตนให้อยู่ในอ้อมกอด แขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวบางดึงรั้งให้เอลริสนั่งอยู่บนตักของตน ใช้คางเกยบนไหล่ แนบจุมพิตแผ่วเบาลงที่ผิวแก้มเนียน เรียกให้ใบหน้าซึ่งแดงอยู่แล้วแดงซ่านขึ้นไปอีก “ทะ… ท่านพี่”
น้ำเสียงใสกระซิบสั่น แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับระยะห่างที่มีเพียงเส้นผมขวางกั้น นัยน์เนตรสีใบไม้ของผู้เป็นน้องเหลือบมองไปด้านหลังอย่างตระหนก “นายนี่น่ารักจริงๆเลยนะ”
เวลส์เอ่ยกับตนเอง พลางจัดแจงใช้มือข้างหนึ่งโอบรั้งเอวบางให้ขยับเข้าใกล้ มืออีกข้างดึงรั้งให้ใบหน้าหวานหันกลับมามองสบตน ในวินาทีที่ใบหน้าแดงซ่านนั้นโอนอ่อนหันเหมาตามแรงชักจูง เรียวปากบางก็ทาบทับลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายทันที “อะ… อือ”
นุ่มนวล แผ่วเบา เยี่ยงผีเสื้อร่อนแตะลงบนกลีบดอกไม้บาง หากแต่รวดเร็วดุจดั่งภาพฝันที่ไม่นานก็มลายเลือนหายไป
ริมฝีปากถูกถอนออกช้าๆราวไม่ปรารถนาจะจากไป ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นแสนหวานที่ยากจะลบเลือน เอลล์ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากช้าๆ ดวงเนตรทั้งสองปรือลงราวมึนงงกับรสจูบที่นุ่มนวลนั้น “นี่…”
น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยด้วยโทนเสียงราวปรารถนาอะไรบางอย่าง แต่แล้วคำพูดก็ต้องถูกกลืนลงลำคอไปเมื่อจุมพิตแสนหวานถูกประทับลงอีกครา จุมพิตที่คงไว้ซึ่งนุ่มนวล แผ่วเบา แต่ก็หวานซ่านถูกประทับลงยังริมฝีปากอิ่มสวย เอลส์ปิดเปลือกตาลง ปล่อยปละให้เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ
หนุ่มน้อยได้แต่ปล่อยสมองให้ว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างขาวโพลนไปหมด สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ในตอนนี้คือความอบอุ่นบนเรียวปากที่ช่างหอมหวานและน่าหลงใหล ร่างกายขยับไปโดยธรรมชาติ เรียวแขนกลมกลึงโอบรอบลำคอของร่างสูง เบียดกายเข้าหาราวปรารถนาอย่างมากมาย และการกระทำเช่นนั้นก็เป็นการกระตุ้นให้จุมพิตเพียงผิวเผินนั้นแปรเปลี่ยนไป…
จริงอยู่ที่ไม่ได้รุนแรงหรือจาบจ้วง แต่กลับเพิ่มดีกรีและอัพเลเวลจนคน ‘ยั่ว’ แบบไม่รู้ตัวนั้นตามไม่ทัน จนต้องหลุดเสียงครางผะแผ่วออกมา “อือ…”
ราวสติของผู้เป็นพี่นั้นถูกฉุดกระชากกลับมาอย่างรุนแรง จูบถูกถอนออกอย่างรวดเร็ว เวลส์ใช้ดวงเนตรสีเขียวทรงเสน่ห์มองสบกับนัยน์ตาหวานเยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าหวานที่แดงซ่านจนถึงใบหู ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเสียดายในรสหวานของเรียวปากที่ได้รับ แต่สำหรับตอนนี้ก็มากเกินพอแล้ว ในเมื่อฐานะของเขายังถูกขวางกั้นด้วยกำแพงบางๆแต่แสนแข็งแกร่ง…
กำแพงที่เรียกว่า ฐานะของ ‘พี่ชาย’
ปากบางขยับยิ้มขมขื่น แต่แล้วเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูจะยังมึนงงกับรสจูบไม่หาย รอยยิ้มแสนเจ็บปวดนั้นก็หายไป ไม่สินะ เขาควรจะขอบคุณที่ทำให้สามารถใกล้ชิดได้ขนาดนี้โดยไม่โดนเหล่าพี่ๆของตระกูลเฟนเทนส์ยำเละไปเสียก่อน
“ฉันรักนาย เอลส์ของฉัน”
กระซิบลงข้างใบหูอย่างแผ่วเบา…
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมึนงงในรสหวานหรือว่าอาการขาดอากาศเพราะจูบหรืออย่างไร เอลริสแต้มรอยยิ้มหวานบนเรียวปาก กระซิบเอ่ยคำพูดตอบกลับด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน แต่กลับสามารถสร้างความร้าวรานให้ได้มากมาย
“ผมก็รักท่านพี่ครับ…”
สิ้นเสียงร่างบางก็แนบใบหน้าลงบนไหล่กว้าง ซุกซบอยู่เช่นนั้นราวเด็กโหยหาไออุ่น ปล่อยให้นัยน์เนตรสีใบไม้เข้มครึ้มของผู้เป็นพี่มองยังศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นไหมสีทองของตนด้วยแววตาเศร้าสร้อย
พี่ชาย… งั้นหรือ?
สุดท้ายเขาก็เป็นได้แค่พี่ชายเช่นนั้นหรือ ขนาดเป็นเพียงพี่ชายคนละสายเลือดก็ยังไม่อาจเอื้อมงั้นหรือ ไม่อาจขยับเอื้อมให้สูงกว่านี้แล้วจริงๆหรือ เวลส์แนบใบหน้าลงกับกลุ่มไหมสีทอง
นี่ ฉันเป็นได้แค่พี่ชายของนายจริงๆหรือ เอลส์…
“เฮ้อ! สุดท้ายก็เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า” ไอริชเซีย เฟทเทนส์ หญิงสาวแสนสวยผู้ถือครองต่ำแหน่งพี่รองและหญิงสาวเพียงคนเดียวในบ้านถอนหายใจ ช้อนดวงเนตรสีฟ้าใสขึ้นสบกับดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มของฝาแฝดตนที่ยืนอยูด้านหลัง ไอริชยิ้มให้อย่างน่ารักก่อนเอ่ยทักทายยามเช้า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ รีส”
ไอรีสไม่ตอบแต่กลับระบายยิ้มอ่อนหวาน ใบหน้าสวยเย็นชาที่โดดเด่นด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้มแถมประดับด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนั้นช่างดูราวหญิงสาวที่ไร้เดียงสา ถ้าไม่ติดที่ว่าชื่อเสียงของพี่ชายคนรองแห่งตระกูลเฟทเทนส์นี้จะออกไปในแนวที่บอกว่าแสนจะดีจนไม่น่าคบแล้วคงจะมีหนุ่มๆ (?) มาติดแจ ใช่แล้ว ไอรีสแห่งเฟทเทนส์ผู้นี้เป็นคนที่สามารถจำกัดความได้สั้นๆว่า ‘ร้ายเดียงสา’ จนน่าถีบ
“อรุณสวัสดิ์ ไอริช” น้ำเสียงหวานเย็นๆเอ่ยตอบกลับ เมื่อความเงียบเข้าครอบคลุมได้ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มผินดวงตามองไปยังกำแพง ก่อนถามเบาๆ “กำลังดูอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ”
สิ้นคำถาม รอยยิ้มหวานๆก็ถูกระบายลงบนเรียวปากอิ่ม หญิงสาวยิ้มกระซิบตอบพี่ชายเสียงใส “เวลส์กับเอลส์ค่ะ แต่…”
ไอรีสเลิกคิ้วขึ้น เหลือบสายตาไปอย่างแปลกใจตามนิสัย พี่น้องคู่นี้รักกันปานจะกลืนกิน แล้ว ‘แต่…’ นี่คืออะไรกัน ภาพที่พี่ชายคนรองแห่งเฟทเทนส์ได้เห็นคือเวลส์ที่โอบประคองร่างบนตักอย่างทะนุถนอม ซุกไซร้ใบหน้าลงกับเส้นไหมสีทอง “แต่ อะไรหรอ ไอริช”
“มันก็ไม่เห็นจะ…” คำว่ามีอะไรถูกกลืนลงคอไป เมื่อสังเกตเห็นแววตาที่แสนเศร้าของน้องชาย “หรือว่า…”
ไอริชดึงฝาแฝดออกจากที่ตรงนั้น รั้งให้ร่างที่สูงกว่าหันมาเผชิญหน้ากับตน “ค่ะ เอลส์น่ะ แยกคำว่าความรักระหว่างพี่น้องกับความรักของคนรักไม่ออก ดังนั้น…”
“เฮ้อ! เรื่องเดิมๆสินะ” ไอรีสเอ่ยอย่างเซ็งๆด้วยโทนเสียงที่ยังคงความเย็นไว้ไม่เปลี่ยน ก่อนกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับน้องสาวที่ยิ้มตอบในแบบเดียวกัน “เธอคิดแบบพี่ใช่รึเปล่า ไอริช”
“นั่นสินะคะ” ไอริชเซียกล่าวตอบพร้อมหัวเราะฮะๆ “เราคิดแบบเดียวกันหรือเปล่าคะ รีส…”
ไม่นานหลังจากนั้น ดูเหมือนว่าร่างบางในอ้อมแขนเริ่มจะรู้สึกตัว เอลส์เงยหน้าขึ้นช้าๆ สมองกำลังประมวลผลย้อนหลังว่าเมื่อครู่ตนทำอะไรลงไปและก็ได้สะดุดลงตรงคำว่า ‘ผมก็รักท่านพี่ครับ…’
ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจัด มือเรียวผลักร่างของพี่ชายออกและวิ่งหนีหายไปโดยไม่มีใครตามทัน “จะบ้าหรอ ผมไม่ได้รักท่านพี่เสียหน่อย!”
หากแต่ใบหน้าที่แดงซ่านและรอยยิ้มที่ระบายลงบนเรียวปากโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นกลับทำให้เวลส์กลั้นยิ้ม น่ารักเหลือเกิน… แต่ก็นะ เอลส์ของเขานี่นา
เพียงไม่นานหลังจากที่น้องชายสุดที่รักเดินหายไปจากห้อง เสียงแง้มประตูออกก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฏกายของฝาแฝดคู่เดียวในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ไอรีสและไอริชเซีย เฟทเทนส์ “พี่…?”
หางเสียงถูกยกสูงด้วยความแปลกใจ แต่ก็นะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องแปลกใจ ก็แหงล่ะ คนปกติที่ไหนจะเดินออกมาจากตู้กันล่ะ “เข้าไปทำอะไรในนั้นน่ะ”
หากแต่ไม่มีเสียงใดเอ่ยตอบกลับ ไอริชเซียยิ้มหวาน เขย่งปลายเท้าขึ้น กระซิบเอ่ยคำพูดบางอย่างกับพี่ชายฝาแฝด ก่อนดันหลังเร่งให้เขาออกเดิน “ฝากด้วยนะคะ รีส”
ไอรีสพยักหน้าเล็กน้อย ก้าวเท้าหายไปหลังบานประตู “อย่าทำอะไรบ้าๆล่ะ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ ก่อนหันหลังกลับมมามองน้องชายของตนที่นั่งอยู่บนพื้น เจ้าหล่อนค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ช้าๆขณะเอ่ยปากพูดเรื่องในอดีต “นี่ เด็กคนนั้นน่ะ เติบโตขึ้นท่ามกลางพวกเราสินะ…”
“… อืม” เวลส์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ ชายหนุ่มระบายรอยยิ้มเอ็นดูลงบนเรียวปาก หลับตาลง นึกย้อนกลับไปถึงอดีตที่แสนน่ารักน่าชังของน้องชายสุดที่รัก “ก็ตอนที่ท่านแม่หายตัวไปน่ะ เอลส์ยังเด็กอยู่เลย”
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราหรือเปล่านะ…” หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงยังที่ว่างข้างๆนั้น มือเรียวยกขึ้นตบศีรษะของพี่สามแห่งเฟทเทนส์เบาๆเป็นเชิงหยอกเล่น “ที่ทำให้เขาน่ะ แยกความรักของครอบครัวกับความรักของคนรักไม่ออก”
“เห…”
“ถึงได้มองข้ามความรู้สึกของนายและตีความเอาเองว่ามันเป็นความรักระหว่างพี่น้อง” น้ำเสียงหวานเอ่ยต่อในทันที ดวงเนตรสีฟ้าใสถูกใช้ช้อนมองใบหน้าของน้องชายทำกำลังเอ๋อจัด รอยยิ้มหวานถูกระบายลงบนเรียวปากอิ่มนั้น ไวเท่าความคิด มือคว้าเอาสิ่งที่มันติดกายอยู่ตลอดขึ้นกดในทันที
แชะ!
เสียงชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปดึงสติของชายหนุ่มกลับมาในทันที นัยน์ตาสีมรกตคู่งามกระพริบปริบๆ จ้องมองพี่สาวด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออกแบบสุดๆ “เอ่อ…”
เสียงรัวชัตเตอร์ยังคงดังตามมาอีกพักใหญ่ ก่อนหญิงสาวจะลดกล้องลง เธอยิ้มกว้าง ลุกพรวดขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสนจะร่าเริง “พี่ขอตัวก่อนนะ เวลส์”
แล้วร่างบางก็เดินกึ่งวิ่งจากไปยังทางที่ฝาแฝดของตนเดินออกไปเมื่อไม่นานนี้ ตวัดหันหลังกลับมามอง เอ่ยคำกล่าวสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่แสนจริงจัง “จริงสิ เวลส์ พี่อยากจะรู้ว่ามันเจ็บขนาดไหนนะ ความรู้สึกที่โดนมองข้ามน่ะ แล้วก็…”
ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขี้เล่นอีกครั้ง “ขอบคุณสำหรับรูปตอนนั้นนะเวลส์ น่ารักมากเลยล่ะ!”
ใบหน้าหวานของเจ้าหล่อนถูกระบายด้วยสีแดงอ่อนๆ ชูกล้องในมือตนขึ้น “ตอนนี้ไงๆ”
ในวินาทีที่เห็น รอยแดงปื้นก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลานั้น “พะ… พี่!”
“ฮะๆ อายทำไมล่ะ” หญิงสาวยิ้มร่า “เรื่องแบบนี้นะ…”
“เอ่อ…” น้ำเสียงหวานร้องเอ่ยเบาๆ ร่างบางของเอลริสเดินมาหยุดนิ่งอยู่หน้าประตูไม้บานเก่าแก่ของพี่ชายคนโตแห่งตระกูลเฟทเทนส์ ในมือกำกุญแจดอกสีเงินสว่างที่ถูกขัดเงาอย่างดีเอาไว้ สมองนึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ตนต้องมายืนอยู่ยังที่แห่งนี้ สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวที่สุดในตอนเช้าของทุกๆวัน
หน้าห้องของท่านพี่ไอเซท เฟทเทนส์
“เอลส์ อยู่นี่เอง” น้ำเสียงหวานเย็นชาอันเป็นเอกลักษณะเอ่ยร้องเรียก หันเหดวงตาสีเขียวใสให้ผินกลับไปมองด้วยความแปลกใจ “ท่านพี่ไอรีส…?”
ชายหนุ่มเจ้าของดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มงดงามสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนเอ่ยขอร้องอะไรบางอย่าง “นี่เอลส์ ช่วยอะไรพี่ทีสิ”
จริงอยู่ที่น้ำเสียงเย็นชานั้นจะแฝงไปด้วยความเอ็นดูเช่นทุกที แต่คราวนี้เอลริสกลับรู้สึกว่ามันมีความเจ้าเล่ห์ปนเปอยู่ด้วยนี่สิ เขากวาดตามองไปรอบๆอย่างหวาดๆ งานนี้ต้องมีอะไรแหงมๆ “อะไรล่ะครับ…”
แต่ก็ยังคงทำตัวเป็นน้องชายที่ดีต่อไป ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบา โดยไม่ได้สังเกตถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ถูกระบายลงบนเรียวปากของคนที่ขึ้นชื่อได้ว่าแสบจนไม่มีใครหยุดได้ “งั้นช่วยหน่อยนะ…”
ฝ่ามืออุ่นของท่านพี่วางกุญแจสีเงินวาวที่หน้าตาคุ้นเคยลงไปบนมือของเอลส์ “ไปปลุกพี่ไอเซทให้ที”
“ท่านพี่ไอเซทครับ…” โทนเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่แน่ใจร้องเอ่ยเบาๆหน้าห้องพร้อมมือที่วางแนบลงบนประตูเป็นเสียงดังแปะ “ท่านพี่ไอเซท…”
“ได้เวลาตื่นแล้วครับ ท่านพี่…” เสียงถูกเร่งให้ดังขึ้น แต่ก็ยังคงไร้ปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้อยู่ในห้องจนชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว มือที่วางแปะอยู่นั้นถูกยกขึ้นกำช้าๆ เคาะลงบนประตูอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจ
ก๊อกๆๆ
“ท่านพี่ไอเซทครับ” น้ำเสียงเอ่ยเรียกขานอีกครั้งพร้อมการเคาะประตู “ท่านพี่… เหวอ!”
ในวินาทีที่ฝ่ามือเคาะลงไป บานประตูก็ถูกกระชากให้เปิดออก พร้อมมือปริศนาที่ล๊อกข้อมือบางแน่น ฉุดรั้งให้ร่างบอบบางนั้นเซถลาเข้าสู่ด้านในอย่างรวดเร็ว ก่อนประตูจะงับปิดลง
“อือ!” เสียงกรีดร้องถูกปิดให้เงียบลงด้วยฝ่ามือของผู้ที่โอบรัดร่างตน เอลริสดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง เหลือบดวงเนตรไปด้านหลังอย่างตื่นตระหนก สมองพยายามคิดหาทางหนีทีไล่อย่างเต็มที ทั้งๆที่รู้ว่าตนนั้นเสียเปรียบเต็มประตู
“เอลส์ หยุดดิ้นสิ เอลส์” น้ำเสียงหนึ่งกระซิบเอ่ยข้างหูพร้อมเป่าลมร้อนๆลงไป เล่นเอาใบหน้าของชายหนุ่มเป็นอันต้องแดงแปร้ด สติที่ตื่นตระหนกถูกตีกวนให้แตกกระเจิงเข้าไปอีก เอลริสร้องลั่น ขณะสะบัดตัวไปมา “เอลส์! เอลริส! อยู่นิ่งๆสิ”
หากแต่เจ้าของเสียงปริศนาก็ยังคงไม่ลดความพยายาม เอ่ยร้องเรียกชื่อของชายหนุ่มในอ้อมแขนด้วยโทนเสียงที่เข้มขึ้นทีละน้อย “เอลริส! เอสริส ไอเซียส เฟทเทนส์!”
ทันทีที่ชื่อเต็มถูกเรียกขาน เอลส์ก็ยืนนิ่งในทันที มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่รู้ชื่อเต็มของเขา และหนึ่งในนั้นก็เป็นเจ้าของห้องนี้เสียด้วย… ใช่แล้ว ไอเซท เฟทเทนส์ พี่ชายคนโตแห่งตระกูลเฟทเทนส์
ความคิดเห็น