เพราะโลกมันหมุน
ครอบครัว กับ ส่วนรวม ถ้าคุณอยากเป็นคนดี ต้องเลือกอะไร
ผู้เข้าชมรวม
68
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เป็นเรื่องสั้นที่แต่งโดยอิงจากชีวิตจริงของผู้เขียน อาจจะใช้ภาษาได้ไม่สวยมาก สามารถติชมผลงานได้นะคะ
ปล.ผู้แต่งมี ปราบดา หยุ่น เป็นไอดอลค่ะ ๕๕๕๕
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เพราะโลกมันหมุน
และแสงแดดยังคงสาดส่องแสงไปทั่วทุกพื้นที่ แม้ในตอนนี้จะอยู่ในหน้าหนาวและเวลาก็เดินล่วงล้ำมาจนถึง 16.00 น. แล้ว เมื่อโลกหมุนเวียนจึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปทุกวัน เหมือนกับโลกของเราในตอนนี้ที่หน้าหนาวไม่ต่างอะไรกับหน้าร้อน หน้าฝนไม่ต่างอะไรกับหน้าแล้ง และเมื่อวานก็ไม่ต่างจากวันนี้ เพราะชีวิตไม่มีความแน่นอน
เมื่อสักครู่ใหญ่ๆพี่สาวได้ใช้สื่อออนไลน์ที่ต้องใช้ผ่านโทรศัพท์มือถือที่พัฒนาและเติบโตตามความเปลี่ยนแปลงของโลก สื่อออนไลน์ชนิดนี้มีชื่อว่า Line พี่สาวฉันใช้มันเพื่อแจ้งข่าวว่า อีกสองวันหรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆคือเสาร์และอาทิตย์นี้ฉันต้องไปกรุงเทพมหานครเมืองที่ผู้คนไม่รู้จักหลับจักนอน เมืองที่ถนนทุกสายไม่เคยมีวันหยุด เว้นเสียแต่เกิดการชำรุดแล้วต้องซ่อมแซม เมืองที่ผู้คนวิ่งพลุกพล่านด้วยความเร่งรีบ เมืองที่มีเสียงบีบแตรเกลื่อนถนน มันจะเป็นเมืองอะไรก็ตามคำตอบมันก็มีอยู่แค่ว่า “ฉันต้องไปที่นั่น” ไปทำไมน่ะหรือ ? ไปแสดงความเป็นน้องสาวที่แสนดีอย่างที่เคยเป็นมาไงล่ะ ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันมานี้พี่สาวของฉันเป็นคนบอกเองกับปากว่าจะไม่ไปที่นั่น แต่คงเป็นเพราะโลกมันหมุนกระมัง พี่สาวฉันถึงเปลี่ยนใจที่จะไป . . .
ฉันเริ่มวางแผนทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ว่าฉันจะกลับพรุ่งนี้หรือพูดให้เข้าใจคือวันพฤหัสบดีเพราะฉันไม่มีเรียน ฉันวางแผนกิจกรรมที่ต้องทำของตัวเองเอาไว้ว่าหลังจากรถโดยสารเทียบชานชาลา ฉันจะหย่อนขาลงจากรถเพื่อเหยียบพื้นผิวของถนนคอนกรีตที่หยาบกระด้างเหมือนผ่านการใช้งานมานับ 100 ปี ทั้งๆที่ก็เพิ่งสร้างมาได้ไม่นาน และหลังจากนั้นจะเอามือล้วงกระเป๋าสีดำที่ทำจากหนังเทียมของฉันแล้วควานหาโทรศัพท์สีขาวที่มีหน้าจอใหญ่ยักษ์ ที่ใช้ระบบทัชสกรีน ( Touch Screen ) หาใช่ปุ่มที่มีลักษณะคล้ายลักษณะของซองกันกระแทกเหมือนดังแต่ก่อนไม่ เมื่อฉันควานหาโทรศัพท์มือถือสีขาวเจอแล้ว ฉันจะปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยการวางนิ้วชี้ไว้บนหน้าจอโทรศัพท์แล้วสไลด์ ( Slide )ไปทางขวาจากนั้นใส่รหัสเลขหมายสี่ตัวที่ได้ตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ ฉันไม่อาจรู้ได้ แต่ต้องป้องกันไว้ก่อนดีกว่าวัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอกแบบนั้นคงไม่ดีเป็นแน่แท้ เมื่อปลดล็อกได้แล้วฉันจะใช้มือจิ้มไปที่รูปมือถือแล้วกดเบอร์โทรออกโทรหาแม่ของฉันให้ท่านได้รับรู้และเพื่อให้ท่านมารับฉันที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร โดยทำการขับเคลื่อนรถยนต์ซึ่งตอนนี้มีสี่ล้อ ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเหลือหรือเพิ่มมาอีกกี่ล้อ ก็ไม่อาจทราบได้ ก็เพราะโลกมันหมุนอย่างไรล่ะ แต่แล้ว !! ฉันก็ต้องตกใจเมื่อได้เปิดเข้าไปเช็คข้อมูลข่าวสารความเป็นไปของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของฉันและรวมไปถึงคนที่ฉันรู้จัก พูดให้เข้าใจคือสอดรู้สอดเห็นความเป็นไปของชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว คนนั้นทะเลาะกับคนนั้น คนนี้เลิกกับแฟน เอ๊ะ คนนั้นกำลังมีปัญหา คนนี้กำลังท้อ คนนั้นกำลังแอบรัก คนนี้กำลังแอบคบ คนนั้นคบกับคนนี้ แม้แต่เวลานี้พวกเขาไปกินข้าวที่ไหนกันฉันก็ได้รู้สารพัดสารเพเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนหน้าฟีดข่าวของสื่อออนไลน์มีชื่อว่า Facebook ที่ต้องใช้ผ่านเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นแบบตั้งโต๊ะหรือเคลื่อนที่ก็สามารถใช้ได้ ( ตั้งโต๊ะ = คอมพิวเตอร์,โน๊ตบุ๊ค เคลื่อนที่ = โทรศัพท์มือถือ ) หากมี wifi หรือ 3G ที่ตอนนี้เป็นเหมือนกับปัจจัยที่ 5 ที่ 6 ของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว เมื่อฉันเช็คฟีดข่าวก็ต้องตกตะลึงเมื่อมีการแจ้งเตือนจากเพื่อนผู้รับรู้ข่าวมาจากพี่รหัสอีกทอดหนึ่ง แล้วนำมาบอกต่อให้เพื่อนในห้องหรือในสาขาที่ร่ำเรียนวิชามาด้วยกันหนึ่งเทอมได้รับรู้ โดยการโพสต์ ( Post ) แจ้งข่าวเพื่อนในกลุ่มซึ่งในตอนนี้การแจ้งเตือนของฉันก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าการแจ้งข่าวสารนั้นมิได้ล้มเหลวเนื่องจากมีผู้รับรู้แล้ว หนึ่งในนั้นก็คือฉัน สาเหตุแห่งความตกใจที่เกิดขึ้นกับฉันก็หนีไม่พ้นเนื้อความบนหน้าจอที่ปรากฎในตอนนี้ อ่านรวมๆแล้วสรุปใจความได้ว่า วันนี้ ตอน 16.00 น. ฉันต้องไปพบปะพูดคุยกับพี่ปีสาม น้องปีหนึ่ง และเพื่อนปีสอง หลายคนถามว่ามันน่าตกใจตรงไหน แค่พี่ปีสามขอนัดพบปะพูดคุยกับน้องๆปีสองและปีหนึ่ง ที่ฉันตกใจกลัวก็เพราะโลกมันหมุนอย่างไรล่ะ
ฉันไปพบเจอกับพี่ปีสาม น้องปีหนึ่ง และเพื่อนปีสอง ตามความประสงค์ของพี่ปีสาม บรรยากาศรอบข้างไร้ลางสังหรณ์ใดๆ ลมยังคงทำหน้าที่พัดรี่เรื่อยอย่างเอื่อยช้า อีกทั้งยังทำหน้าที่โอบกอดต้นไม้ ตอไม้ ดอกหญ้า และผู้คนที่อยู่แถวนั้น รอบข้างยังคงวุ่นวายเหมือนดั่งเช่นที่เคยเป็นในทุกวัน อาจจะมากกว่าซะด้วยซ้ำ เพราะเหตุใดเดี๋ยวก็คงได้รู้กัน เสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับเคลื่อนใกล้เข้ามาช่างรบกวนโสตประสาทอย่างดีแท้ ช่างเถอะ มันไม่น่าสนใจเท่าภาพที่เห็นตรงหน้า พี่ปีสามซ้อนท้ายกันมาสองคนคนนั่งหน้ามีหน้าที่ขับรถซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วและยังถืออะไรสักอย่างที่ฉันไม่รู้จัก แต่จะขอเรียกว่าที่ตั้งกลองทอมบ้าหรือฐานของกลองทอมบ้าก็แล้วกัน เอาเถอะจะชื่ออะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ฉันละสายตาจากคนที่นั่งข้างหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังหรือถ้าพูดให้เข้าใจคือคนที่ซ้อนท้ายมานั่นเอง ซึ่งตอนนี้จะเรียกว่าถือก็คงไม่ได้ ขอใช้คำว่าแบกก็แล้วกัน พี่ปีสามที่นั่งอยู่ข้างหลังนั้นแบกกลองทอมบ้าไม้ 1 คู่ พร้อมด้วยไม้กลองอีก 1 คู่ ไว้ทางด้านซ้ายของลำตัว เมื่อรถจอดสนิทพี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อวางกลองทอมบ้าเอาไว้บนพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนที่ไม่รู้ว่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เพราะถูกเหยียบด้วยเท้าของผู้คนที่สันจรผ่านไปมาทางนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน เมื่อวางกลองทอมบ้าลงแล้ว จึงถึงเวลาที่พี่ต้องวางไม้กลองไว้บ้าง พี่ที่นั่งข้างหลังวางไม้กลองไว้บนหน้ากลองทอมบ้าอย่างประณีต และตั้งใจ คงกลัวว่ามันจะตกลงพื้นสินะ ฉันคิดเอาเอง ฉันจดจ้องที่รุ่นพี่ทั้งสองคนในระยะเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่ ไม่ได้นานพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกปวดดวงตาแต่อย่างใด ฉันละสายตาจากตรงนั้นแล้วไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ที่ไหน จึงมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย พูดให้เข้าใจคือฉันกำลังเหม่อลอยนั่นเอง ฉันกลัวที่โลกมันหมุน ฉันกลัวจริงๆ เสียงพูดคุยดังลั่นสนั่นหวั่นไหว จะบอกว่าฉันไม่ได้สนใจมันคงเป็นไปไม่ได้ ฉันมีสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์อย่างหนึ่งคืออยากรู้อยากเห็นทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดคุยกันถึงเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ เพราะมัวแต่ไปให้ความสนใจกับท้องฟ้าที่วันนี้มีแค่ก้อนเมฆกลุ่มก้อนเดียวที่ลอยไปเรื่อยเอื่อยๆอย่างกับคนขี้เกียจยังไงยังงั้น เสียงที่ทำให้ฉันละความสนใจจากมันได้ ก็ไม่ใช่เสียงที่แปลกประหลาดจนทำให้ต้องหันมองแต่อย่างใด เป็นเพียงเสียงของพี่ปีสามซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานชมรม{ที่ฉัน เพื่อนๆปีสอง และน้องปีหนึ่งได้อาศัยอยู่ หรืออาจจะรวมไปถึงพี่ปีสี่ ปีห้าที่ตอนนี้ก็ไม่(ค่อย)ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรามากนัก}ในปัจจุบัน พี่เขาไม่ได้เสียงดังจนเป็นที่น่าสนใจ แต่ฉันกับตั้งใจฟังและนึกเกิดความกลัว ฉันกลัว กลัวที่โลกมันหมุน
“วันนี้พี่ก็จะมาแจ้งข่าวให้พวกเราได้รู้กันนะครับ ซึ่งพวกเราก็น่าจะรู้อยู่แล้วแหละเนอะว่าวันศุกร์ที่จะถึงนี้จะมีการซ้อมรับปริญญาครั้งใหญ่ของพี่ๆที่จบจากมหาลัยเรา นั่นก็รวมไปถึงพี่ในสาขาของเราด้วย ตอนแรกพี่ก็คิดว่าจะไม่ทำแหละ แต่พออาจารย์มาพูดกับพี่ว่า ‘ก็แล้วแต่นะ ก็ลองคิดถึงวันที่เธอรับปริญญาดูแล้วกัน เดินลงมาจากอาคาร มีน้องๆหลายสาขามาจัดซุ้ม เตรียมบูมให้กับรุ่นพี่ แต่สาขาเรากับไม่มี ถ้าเป็นเธอเธอจะรู้สึกอย่างไร’ พี่ก็แบบ . . . พูดไม่ออกเลยอ่ะ กิจกรรมนี้พี่ก็ไม่อยากบังคับนะขอให้เป็นจิตอาสาที่อยากทำเพื่อส่วนรวมและเพื่อรุ่นพี่ของเราด้วยใจจริง แต่พี่ก็อยากให้น้องๆมาร่วมกันทำกิจกรรมนี้ด้วยกันนะ พี่จะไม่บังคับแต่ก็จะเช็คชื่ออยู่เพื่อ . . . .” แล้วก็เกิดการถกเถียงระหว่างพี่ปีสามกับพี่ปีสามด้วยเรื่องการเช็คชื่อของน้องๆปีสองและปีหนึ่ง สูญเสียเวลาไปสักพักใหญ่ เห็นไหมโลกมันหมนุนอีกแล้ว
ฉันเลือกใช้เวลาที่พี่เขาถกเถียงปัญหาอันใหญ่หลวง คือจะเช็คชื่อน้องดีไหม ? ฉันเลือกเวลาตอนนี้ในการใช้เทคโนโลยีที่ตอนนี้ได้รับการพัฒนาจากการหมุนไปของโลกนั่นคือโทรศัพท์ *เมื่อฉันควานหาโทรศัพท์มือถือสีขาวเจอแล้ว ฉันจะปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยการวางนิ้วชี้ไว้บนหน้าจอโทรศัพท์แล้วสไลด์ไปทางขวาจากนั้นใส่รหัสเลขหมายสี่ตัวที่ได้ตั้งเอาไว้ *เมื่อปลดล็อกได้แล้วฉันจะใช้มือจิ้มไปที่รูปมือถือแล้วกดเบอร์โทรออกโทรหาพี่สาวของฉันเพื่อแจ้งข่าวและเรื่องราวที่เกิดจากการหมุนไปของโลกให้พี่สาวได้ฟัง และเพื่อขอคำปรึกษาจากเขาว่าฉันควรจะตั้งต้นวางแผนกิจกรรมวันหยุดของฉันใหม่ หรืออย่างไร ?
ในความคิดของฉัน ฉันอยากเป็นคนดีด้วยการมีจิตอาสามาช่วยงานส่วนรวม ทำกิจกรรมที่ฉันคิดไปเองว่ามันน่าจะสนุก ได้ร้อง เล่น เต้นไปกับเพื่อน ฉันสามารถกลับบ้านหลังจากที่ฉันทำกิจกรรมเสร็จแล้วได้ นั่นคือเวลาวันศุกร์ตอนเย็นนั่นเอง เพราะพี่สาวฉันจะเดินทางไปกรุงเทพมหานครในวันเสาร์ตอนเช้า แต่ก็อย่างที่ฉันกลัว ก็โลกมันหมุน . . .
เมื่อพี่สาวของฉันรับสายโทรศัพท์ ฉันบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันได้รับรู้จากพี่ปีสามให้แก่พี่สาวฉันได้ฟัง ด้วยคิดว่าพี่คงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อ
ใช่ พี่สาวฉันจะต้องเข้าใจ ฉันเชื่ออย่างนั้น แต่ก็นั่นแหละโลกมันหมุน พี่สาวผู้ที่อย่างน้อยก็เคยใจดีคุยกับฉันอย่างสนุกสนานเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ได้เปลี่ยนแปลงไป เหมือนกับโลกที่หมุนไปเรื่อยๆ พี่สาวของฉันบอกกับฉันว่า
“ไม่จำเป็นต้องบูมก็ได้หรอกน่า . . .”
ได้ไงก็ฉันอยากเป็นคนดีมีจิตอาสาเหมือนกับที่ฉันเป็นน้องสาวที่แสนดีของพี่ไง ฉันคิดในใจ และฉันตอบกลับประโยคบอกเล่าของพี่สาวฉันด้วยความไม่มั่นใจและไม่แน่ใจว่าฉันจะทำอย่างที่พี่สาวฉันบอกมาได้ไหม
“เอ่อ . . . คือมันไม่ได้ คือ . . .” ฉันอึกอักและอึดอัดที่จะตอบ ฉันไม่อยากขัดใจพี่สาวของฉัน ก็ฉันอยากเป็นน้องสาวที่แสนดีอย่างที่เคยเป็นนี่นา ไม่ทันที่จะได้คิดหาคำตอบพี่สาวฉันสวนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ฉันเบื่อ จากกลัวก็กลับกลายมาเป็นเบื่อ ฉันเบื่อที่โลกมันหมุน
“อือ ถ้างั้นมึงก็ไม่ต้องกลับมา มึงก็อยู่นั่นแหละ ไปๆมาๆอยู่นี่ น่าเบื่อ”
“ฮะๆ เดี๋ยวๆ กลับไปกลับมายังไงพี่ แค่ฉันเลื่อนวันกลับเป็นวันศุกร์ตอนเย็นแค่นั้นเอง”
ฉันตาลีตาเหลือกตอบโต้หรือพูดให้เข้าใจคือเถียงกลับทันทีอย่างไม่คิดชีวิต นั่งยัน นอนยัน ว่าตัวฉันไม่ใช่คนผิด แต่ก็นั่นแหละ เพราะโลกมันหมุน
“มึงเลื่อนมากี่ครั้งละ รอบแรกบอกกับกูว่าถ้าไม่มีเรียนจะกลับพุธบ่ายเลย แล้วตอนสี่ชั่วโมงที่แล้วมึงไลน์ ( Line ) มาหากูว่าจะกลับพรุ่งนี้ตอนเช้า มาตอนนี้มึงขอเลื่อนไปเป็นศุกร์เย็น เออ ถ้ามันยากขนาดนั้นมึงก็ไม่ต้องมา จบ”
จบจริงๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะอธิบายหรือถ้าหากพูดให้ตรงใจพี่สาวฉันคือฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ตัวเลยสักนิดเดียว พี่สาวทิ้งภาระอันหนักอึ้งเอาไว้ที่ฉัน ฉันเหม่อลอยอีกครั้ง คราวนี้ฉันเหม่อลอยอย่างจริงจังเพราะฉันมีจุดมุ่งหมายคือต้นไม้ต้นสูงตระหง่านดึงดูดตาของฉันให้จับจ้องไปที่มัน ฉันใช้ความคิด . . .
ครอบครัว กับ ส่วนรวม ถ้าฉันอยากเป็นคนดี ฉันต้องเลือกอะไร ?
ถ้าเลือกครอบครัว ส่วนรวมจะคิดว่าฉันเห็นแก่ตัวไหม ?
แล้วถ้าเลือกส่วนรวมพี่สาวฉันจะโกรธฉันไหม ฉันไม่ชอบให้พี่สาวของฉันโกรธ มันน่ากลัวมากเท่าไหร่ ฉันรู้อยู่แก่ใจของฉันดี
แล้วความคิดหลังจากนั้นก็เลยเถิด และอาจจะเรียกได้ว่าบ้าบอ
แล้วถ้าตอนที่ฉันล้มมาส่วนรวมจะช่วยฉุดฉันให้ลุกขึ้นยืนไหม
ตอนที่ฉันล้มลงส่วนรวมจะอยู่ข้างๆฉันไหม
ฉันหันไปถามคำถามที่เพื่อนสามารถให้คำตอบกับฉันอย่างง่ายดายเลยว่า
“แกใครที่อยู่กับฉันตลอดเวลาวะ ส่วนรวมหรือครอบครัว ?”
“ครอบครัวสิ”
ฉันได้รับคำตอบจากเพื่อน ประจวบเหมาะกับที่พี่ประธานชมรมเรียกรวมกลุ่มเพื่อซ้อมบูม
แต่ถึงจะได้รับคำยืนยันในคำตอบตามความคิดของฉันจากปากของเพื่อนแล้วก็เถอะ โลกมันก็ยังคงหมุนและทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ
ฉันเข้าไปร่วมวงซ้อมบูมอย่างสนุกสนาน เลิกคิดฟุ้งซ่าน บ้าบอคอแตก ในเวลานี้คิดแค่ว่าต้องทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ฉันทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งตะโกน จนเสียงแหบเสียงแห้ง หลังจากนั้นนานนิดนิด พี่ก็นัดเวลามาซ้อมบูมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
ฉันเดินออกไปพร้อมเพื่อนของฉัน แล้วเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์สีดำที่คุ้นตามาตั้งแต่เมื่อเช้า ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเพื่อนสาว หลังจากนั้นไม่นานรถก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและเร่งรีบ เพราะตอนนี้ก็มืดสลัวบรรยากาศรอบข้างเริ่มน่ากลัวแล้ว . . .
เมื่อรถมาจอดสนิทที่หน้าบ้านที่พี่สาวของฉันได้ซื้อเอาไว้เมื่อตอนที่ยังทำงานอยู่ที่นี่ ซึ่งตอนนี้ฉันเป็นผู้พักอาศัยอยู่ ฉันขอบคุณเพื่อนของฉันที่มาส่งถึงหน้าบ้านยิ่งกว่าราชรถก็ไม่ปาน จากนั้นก็ยกมือขวาโบกไปมาเป็นสัญญาณอำลาบอกว่า “บ๊ายบาย” ฉันยืนรอจนรถมอเตอร์ไซค์คู่กายของเพื่อนลับสายตาไป แล้วจึงเร่งรุดเปิดบ้าน กระทำการเปิด wifi
แล้วจากนั้นฉันก็ใช้สื่อออนไลน์ที่บอกชื่อได้เลยว่าคือ Line ในการติดต่อสื่อสารกับพี่สาว ฉันพิมพ์ถามไปว่า
“พี่จ๋า ร้านขนมไทยมันเปิดกี่โมงนะ”
ยังไม่มีคำตอบจากพี่สาวของฉัน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเจอวันนี้ ฉันจะไม่โทษใครหรอก ว่าทำไมเหตุใดถึงแจ้งหรือบอกอะไรปุบปับเช่นนี้
ไม่โทษพี่สาวของฉันที่ดันเปลี่ยนใจอยากจะไปกะทันหัน
ไม่โทษรุ่นพี่ปีสามที่เพิ่งมาบอกเอาวันนี้ว่าวันศุกร์จะมีกิจกรรม
ไม่โทษตัวเองที่ไม่หนักแน่นกับการตัดสินใจ
แต่สิ่งที่ฉันจะโทษคือโลก ก็เพราะโลกมันหมุนอย่างไรล่ะ ถึงทำให้สิ่งที่มันเคยแน่นอน กับไม่แน่นอนอยู่อย่างนี้ ทำให้สิ่งที่มันเคยพอดี กับหาความพอดีไม่ได้เลย
เพราะโลกนั่นแหละ เพราะโลกมันหมุน . . .
นามปากกา . . . มิชลิน
ผลงานอื่นๆ ของ มิชลินถิ่นอีสาน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ มิชลินถิ่นอีสาน
ความคิดเห็น