เพราะโลกมันหมุน - เพราะโลกมันหมุน นิยาย เพราะโลกมันหมุน : Dek-D.com - Writer

    เพราะโลกมันหมุน

    ครอบครัว กับ ส่วนรวม ถ้าคุณอยากเป็นคนดี ต้องเลือกอะไร

    ผู้เข้าชมรวม

    68

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    68

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ตลก-ขบขัน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ต.ค. 57 / 21:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

     เป็นเรื่องสั้นที่แต่งโดยอิงจากชีวิตจริงของผู้เขียน  อาจจะใช้ภาษาได้ไม่สวยมาก สามารถติชมผลงานได้นะคะ 
    ปล.ผู้แต่งมี ปราบดา หยุ่น เป็นไอดอลค่ะ ๕๕๕๕

     

     

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เพราะโลกมันหมุน

      และแสงแดดยังคงสาดส่องแสงไปทั่วทุกพื้นที่  แม้ในตอนนี้จะอยู่ในหน้าหนาวและเวลาก็เดินล่วงล้ำมาจนถึง 16.00 . แล้ว เมื่อโลกหมุนเวียนจึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปทุกวัน เหมือนกับโลกของเราในตอนนี้ที่หน้าหนาวไม่ต่างอะไรกับหน้าร้อน หน้าฝนไม่ต่างอะไรกับหน้าแล้ง และเมื่อวานก็ไม่ต่างจากวันนี้ เพราะชีวิตไม่มีความแน่นอน

      เมื่อสักครู่ใหญ่ๆพี่สาวได้ใช้สื่อออนไลน์ที่ต้องใช้ผ่านโทรศัพท์มือถือที่พัฒนาและเติบโตตามความเปลี่ยนแปลงของโลก สื่อออนไลน์ชนิดนี้มีชื่อว่า Line พี่สาวฉันใช้มันเพื่อแจ้งข่าวว่า อีกสองวันหรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆคือเสาร์และอาทิตย์นี้ฉันต้องไปกรุงเทพมหานครเมืองที่ผู้คนไม่รู้จักหลับจักนอน เมืองที่ถนนทุกสายไม่เคยมีวันหยุด เว้นเสียแต่เกิดการชำรุดแล้วต้องซ่อมแซม เมืองที่ผู้คนวิ่งพลุกพล่านด้วยความเร่งรีบ เมืองที่มีเสียงบีบแตรเกลื่อนถนน มันจะเป็นเมืองอะไรก็ตามคำตอบมันก็มีอยู่แค่ว่า ฉันต้องไปที่นั่นไปทำไมน่ะหรือ ? ไปแสดงความเป็นน้องสาวที่แสนดีอย่างที่เคยเป็นมาไงล่ะ ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันมานี้พี่สาวของฉันเป็นคนบอกเองกับปากว่าจะไม่ไปที่นั่น แต่คงเป็นเพราะโลกมันหมุนกระมัง พี่สาวฉันถึงเปลี่ยนใจที่จะไป . . .

      ฉันเริ่มวางแผนทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ว่าฉันจะกลับพรุ่งนี้หรือพูดให้เข้าใจคือวันพฤหัสบดีเพราะฉันไม่มีเรียน ฉันวางแผนกิจกรรมที่ต้องทำของตัวเองเอาไว้ว่าหลังจากรถโดยสารเทียบชานชาลา ฉันจะหย่อนขาลงจากรถเพื่อเหยียบพื้นผิวของถนนคอนกรีตที่หยาบกระด้างเหมือนผ่านการใช้งานมานับ 100 ปี ทั้งๆที่ก็เพิ่งสร้างมาได้ไม่นาน  และหลังจากนั้นจะเอามือล้วงกระเป๋าสีดำที่ทำจากหนังเทียมของฉันแล้วควานหาโทรศัพท์สีขาวที่มีหน้าจอใหญ่ยักษ์ ที่ใช้ระบบทัชสกรีน ( Touch Screen )  หาใช่ปุ่มที่มีลักษณะคล้ายลักษณะของซองกันกระแทกเหมือนดังแต่ก่อนไม่  เมื่อฉันควานหาโทรศัพท์มือถือสีขาวเจอแล้ว ฉันจะปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยการวางนิ้วชี้ไว้บนหน้าจอโทรศัพท์แล้วสไลด์  ( Slide )ไปทางขวาจากนั้นใส่รหัสเลขหมายสี่ตัวที่ได้ตั้งเอาไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ ฉันไม่อาจรู้ได้ แต่ต้องป้องกันไว้ก่อนดีกว่าวัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอกแบบนั้นคงไม่ดีเป็นแน่แท้  เมื่อปลดล็อกได้แล้วฉันจะใช้มือจิ้มไปที่รูปมือถือแล้วกดเบอร์โทรออกโทรหาแม่ของฉันให้ท่านได้รับรู้และเพื่อให้ท่านมารับฉันที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร โดยทำการขับเคลื่อนรถยนต์ซึ่งตอนนี้มีสี่ล้อ ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเหลือหรือเพิ่มมาอีกกี่ล้อ ก็ไม่อาจทราบได้  ก็เพราะโลกมันหมุนอย่างไรล่ะ แต่แล้ว !!    ฉันก็ต้องตกใจเมื่อได้เปิดเข้าไปเช็คข้อมูลข่าวสารความเป็นไปของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนของฉันและรวมไปถึงคนที่ฉันรู้จัก พูดให้เข้าใจคือสอดรู้สอดเห็นความเป็นไปของชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว คนนั้นทะเลาะกับคนนั้น คนนี้เลิกกับแฟน เอ๊ะ คนนั้นกำลังมีปัญหา คนนี้กำลังท้อ คนนั้นกำลังแอบรัก คนนี้กำลังแอบคบ คนนั้นคบกับคนนี้ แม้แต่เวลานี้พวกเขาไปกินข้าวที่ไหนกันฉันก็ได้รู้สารพัดสารเพเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนหน้าฟีดข่าวของสื่อออนไลน์มีชื่อว่า Facebook ที่ต้องใช้ผ่านเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นแบบตั้งโต๊ะหรือเคลื่อนที่ก็สามารถใช้ได้    ( ตั้งโต๊ะ = คอมพิวเตอร์,โน๊ตบุ๊ค เคลื่อนที่ = โทรศัพท์มือถือ ) หากมี wifi หรือ 3G ที่ตอนนี้เป็นเหมือนกับปัจจัยที่ 5 ที่ 6 ของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว เมื่อฉันเช็คฟีดข่าวก็ต้องตกตะลึงเมื่อมีการแจ้งเตือนจากเพื่อนผู้รับรู้ข่าวมาจากพี่รหัสอีกทอดหนึ่ง แล้วนำมาบอกต่อให้เพื่อนในห้องหรือในสาขาที่ร่ำเรียนวิชามาด้วยกันหนึ่งเทอมได้รับรู้ โดยการโพสต์ ( Post ) แจ้งข่าวเพื่อนในกลุ่มซึ่งในตอนนี้การแจ้งเตือนของฉันก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าการแจ้งข่าวสารนั้นมิได้ล้มเหลวเนื่องจากมีผู้รับรู้แล้ว หนึ่งในนั้นก็คือฉัน สาเหตุแห่งความตกใจที่เกิดขึ้นกับฉันก็หนีไม่พ้นเนื้อความบนหน้าจอที่ปรากฎในตอนนี้ อ่านรวมๆแล้วสรุปใจความได้ว่า วันนี้ ตอน 16.00 น. ฉันต้องไปพบปะพูดคุยกับพี่ปีสาม น้องปีหนึ่ง และเพื่อนปีสอง หลายคนถามว่ามันน่าตกใจตรงไหน แค่พี่ปีสามขอนัดพบปะพูดคุยกับน้องๆปีสองและปีหนึ่ง  ที่ฉันตกใจกลัวก็เพราะโลกมันหมุนอย่างไรล่ะ

      ฉันไปพบเจอกับพี่ปีสาม น้องปีหนึ่ง และเพื่อนปีสอง ตามความประสงค์ของพี่ปีสาม บรรยากาศรอบข้างไร้ลางสังหรณ์ใดๆ ลมยังคงทำหน้าที่พัดรี่เรื่อยอย่างเอื่อยช้า อีกทั้งยังทำหน้าที่โอบกอดต้นไม้ ตอไม้ ดอกหญ้า และผู้คนที่อยู่แถวนั้น  รอบข้างยังคงวุ่นวายเหมือนดั่งเช่นที่เคยเป็นในทุกวัน อาจจะมากกว่าซะด้วยซ้ำ เพราะเหตุใดเดี๋ยวก็คงได้รู้กัน  เสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับเคลื่อนใกล้เข้ามาช่างรบกวนโสตประสาทอย่างดีแท้ ช่างเถอะ มันไม่น่าสนใจเท่าภาพที่เห็นตรงหน้า  พี่ปีสามซ้อนท้ายกันมาสองคนคนนั่งหน้ามีหน้าที่ขับรถซึ่งแน่นอนว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วและยังถืออะไรสักอย่างที่ฉันไม่รู้จัก แต่จะขอเรียกว่าที่ตั้งกลองทอมบ้าหรือฐานของกลองทอมบ้าก็แล้วกัน เอาเถอะจะชื่ออะไรก็ตามแต่ มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ฉันละสายตาจากคนที่นั่งข้างหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังหรือถ้าพูดให้เข้าใจคือคนที่ซ้อนท้ายมานั่นเอง ซึ่งตอนนี้จะเรียกว่าถือก็คงไม่ได้ ขอใช้คำว่าแบกก็แล้วกัน พี่ปีสามที่นั่งอยู่ข้างหลังนั้นแบกกลองทอมบ้าไม้  1 คู่ พร้อมด้วยไม้กลองอีก 1 คู่ ไว้ทางด้านซ้ายของลำตัว  เมื่อรถจอดสนิทพี่ที่นั่งอยู่ข้างหลังเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อวางกลองทอมบ้าเอาไว้บนพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนที่ไม่รู้ว่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เพราะถูกเหยียบด้วยเท้าของผู้คนที่สันจรผ่านไปมาทางนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน เมื่อวางกลองทอมบ้าลงแล้ว จึงถึงเวลาที่พี่ต้องวางไม้กลองไว้บ้าง พี่ที่นั่งข้างหลังวางไม้กลองไว้บนหน้ากลองทอมบ้าอย่างประณีต และตั้งใจ คงกลัวว่ามันจะตกลงพื้นสินะ ฉันคิดเอาเอง ฉันจดจ้องที่รุ่นพี่ทั้งสองคนในระยะเวลาที่ไม่นานเท่าไหร่ ไม่ได้นานพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกปวดดวงตาแต่อย่างใด   ฉันละสายตาจากตรงนั้นแล้วไม่รู้ว่าจะวางสายตาไว้ที่ไหน จึงมองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จุดหมาย พูดให้เข้าใจคือฉันกำลังเหม่อลอยนั่นเอง ฉันกลัวที่โลกมันหมุน ฉันกลัวจริงๆ  เสียงพูดคุยดังลั่นสนั่นหวั่นไหว จะบอกว่าฉันไม่ได้สนใจมันคงเป็นไปไม่ได้ ฉันมีสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์อย่างหนึ่งคืออยากรู้อยากเห็นทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะพูดคุยกันถึงเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ เพราะมัวแต่ไปให้ความสนใจกับท้องฟ้าที่วันนี้มีแค่ก้อนเมฆกลุ่มก้อนเดียวที่ลอยไปเรื่อยเอื่อยๆอย่างกับคนขี้เกียจยังไงยังงั้น เสียงที่ทำให้ฉันละความสนใจจากมันได้ ก็ไม่ใช่เสียงที่แปลกประหลาดจนทำให้ต้องหันมองแต่อย่างใด เป็นเพียงเสียงของพี่ปีสามซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งประธานชมรม{ที่ฉัน เพื่อนๆปีสอง และน้องปีหนึ่งได้อาศัยอยู่ หรืออาจจะรวมไปถึงพี่ปีสี่ ปีห้าที่ตอนนี้ก็ไม่(ค่อย)ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรามากนัก}ในปัจจุบัน พี่เขาไม่ได้เสียงดังจนเป็นที่น่าสนใจ แต่ฉันกับตั้งใจฟังและนึกเกิดความกลัว ฉันกลัว กลัวที่โลกมันหมุน

      วันนี้พี่ก็จะมาแจ้งข่าวให้พวกเราได้รู้กันนะครับ ซึ่งพวกเราก็น่าจะรู้อยู่แล้วแหละเนอะว่าวันศุกร์ที่จะถึงนี้จะมีการซ้อมรับปริญญาครั้งใหญ่ของพี่ๆที่จบจากมหาลัยเรา นั่นก็รวมไปถึงพี่ในสาขาของเราด้วย ตอนแรกพี่ก็คิดว่าจะไม่ทำแหละ แต่พออาจารย์มาพูดกับพี่ว่า ก็แล้วแต่นะ ก็ลองคิดถึงวันที่เธอรับปริญญาดูแล้วกัน เดินลงมาจากอาคาร มีน้องๆหลายสาขามาจัดซุ้ม เตรียมบูมให้กับรุ่นพี่ แต่สาขาเรากับไม่มี ถ้าเป็นเธอเธอจะรู้สึกอย่างไรพี่ก็แบบ . . . พูดไม่ออกเลยอ่ะ กิจกรรมนี้พี่ก็ไม่อยากบังคับนะขอให้เป็นจิตอาสาที่อยากทำเพื่อส่วนรวมและเพื่อรุ่นพี่ของเราด้วยใจจริง  แต่พี่ก็อยากให้น้องๆมาร่วมกันทำกิจกรรมนี้ด้วยกันนะ พี่จะไม่บังคับแต่ก็จะเช็คชื่ออยู่เพื่อ . . . .”   แล้วก็เกิดการถกเถียงระหว่างพี่ปีสามกับพี่ปีสามด้วยเรื่องการเช็คชื่อของน้องๆปีสองและปีหนึ่ง สูญเสียเวลาไปสักพักใหญ่ เห็นไหมโลกมันหมนุนอีกแล้ว

      ฉันเลือกใช้เวลาที่พี่เขาถกเถียงปัญหาอันใหญ่หลวง คือจะเช็คชื่อน้องดีไหม ? ฉันเลือกเวลาตอนนี้ในการใช้เทคโนโลยีที่ตอนนี้ได้รับการพัฒนาจากการหมุนไปของโลกนั่นคือโทรศัพท์  *เมื่อฉันควานหาโทรศัพท์มือถือสีขาวเจอแล้ว ฉันจะปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยการวางนิ้วชี้ไว้บนหน้าจอโทรศัพท์แล้วสไลด์ไปทางขวาจากนั้นใส่รหัสเลขหมายสี่ตัวที่ได้ตั้งเอาไว้  *เมื่อปลดล็อกได้แล้วฉันจะใช้มือจิ้มไปที่รูปมือถือแล้วกดเบอร์โทรออกโทรหาพี่สาวของฉันเพื่อแจ้งข่าวและเรื่องราวที่เกิดจากการหมุนไปของโลกให้พี่สาวได้ฟัง และเพื่อขอคำปรึกษาจากเขาว่าฉันควรจะตั้งต้นวางแผนกิจกรรมวันหยุดของฉันใหม่ หรืออย่างไร ?

      ในความคิดของฉัน ฉันอยากเป็นคนดีด้วยการมีจิตอาสามาช่วยงานส่วนรวม ทำกิจกรรมที่ฉันคิดไปเองว่ามันน่าจะสนุก ได้ร้อง เล่น เต้นไปกับเพื่อน ฉันสามารถกลับบ้านหลังจากที่ฉันทำกิจกรรมเสร็จแล้วได้ นั่นคือเวลาวันศุกร์ตอนเย็นนั่นเอง เพราะพี่สาวฉันจะเดินทางไปกรุงเทพมหานครในวันเสาร์ตอนเช้า แต่ก็อย่างที่ฉันกลัว ก็โลกมันหมุน . . .

      เมื่อพี่สาวของฉันรับสายโทรศัพท์ ฉันบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันได้รับรู้จากพี่ปีสามให้แก่พี่สาวฉันได้ฟัง ด้วยคิดว่าพี่คงจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อ

      ใช่ พี่สาวฉันจะต้องเข้าใจ ฉันเชื่ออย่างนั้น แต่ก็นั่นแหละโลกมันหมุน  พี่สาวผู้ที่อย่างน้อยก็เคยใจดีคุยกับฉันอย่างสนุกสนานเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ได้เปลี่ยนแปลงไป เหมือนกับโลกที่หมุนไปเรื่อยๆ พี่สาวของฉันบอกกับฉันว่า

      ไม่จำเป็นต้องบูมก็ได้หรอกน่า . . .

      ได้ไงก็ฉันอยากเป็นคนดีมีจิตอาสาเหมือนกับที่ฉันเป็นน้องสาวที่แสนดีของพี่ไง ฉันคิดในใจ และฉันตอบกลับประโยคบอกเล่าของพี่สาวฉันด้วยความไม่มั่นใจและไม่แน่ใจว่าฉันจะทำอย่างที่พี่สาวฉันบอกมาได้ไหม

      เอ่อ . . . คือมันไม่ได้ คือ . . .ฉันอึกอักและอึดอัดที่จะตอบ ฉันไม่อยากขัดใจพี่สาวของฉัน ก็ฉันอยากเป็นน้องสาวที่แสนดีอย่างที่เคยเป็นนี่นา  ไม่ทันที่จะได้คิดหาคำตอบพี่สาวฉันสวนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ฉันเบื่อ จากกลัวก็กลับกลายมาเป็นเบื่อ ฉันเบื่อที่โลกมันหมุน

      อือ ถ้างั้นมึงก็ไม่ต้องกลับมา มึงก็อยู่นั่นแหละ ไปๆมาๆอยู่นี่ น่าเบื่อ

      ฮะๆ เดี๋ยวๆ กลับไปกลับมายังไงพี่ แค่ฉันเลื่อนวันกลับเป็นวันศุกร์ตอนเย็นแค่นั้นเอง”

      ฉันตาลีตาเหลือกตอบโต้หรือพูดให้เข้าใจคือเถียงกลับทันทีอย่างไม่คิดชีวิต นั่งยัน นอนยัน ว่าตัวฉันไม่ใช่คนผิด แต่ก็นั่นแหละ เพราะโลกมันหมุน

      มึงเลื่อนมากี่ครั้งละ รอบแรกบอกกับกูว่าถ้าไม่มีเรียนจะกลับพุธบ่ายเลย แล้วตอนสี่ชั่วโมงที่แล้วมึงไลน์      ( Line ) มาหากูว่าจะกลับพรุ่งนี้ตอนเช้า มาตอนนี้มึงขอเลื่อนไปเป็นศุกร์เย็น เออ ถ้ามันยากขนาดนั้นมึงก็ไม่ต้องมา จบ

      จบจริงๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะอธิบายหรือถ้าหากพูดให้ตรงใจพี่สาวฉันคือฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะแก้ตัวเลยสักนิดเดียว พี่สาวทิ้งภาระอันหนักอึ้งเอาไว้ที่ฉัน ฉันเหม่อลอยอีกครั้ง คราวนี้ฉันเหม่อลอยอย่างจริงจังเพราะฉันมีจุดมุ่งหมายคือต้นไม้ต้นสูงตระหง่านดึงดูดตาของฉันให้จับจ้องไปที่มัน ฉันใช้ความคิด . . .

      ครอบครัว กับ ส่วนรวม ถ้าฉันอยากเป็นคนดี ฉันต้องเลือกอะไร ?

      ถ้าเลือกครอบครัว ส่วนรวมจะคิดว่าฉันเห็นแก่ตัวไหม ?

      แล้วถ้าเลือกส่วนรวมพี่สาวฉันจะโกรธฉันไหม ฉันไม่ชอบให้พี่สาวของฉันโกรธ มันน่ากลัวมากเท่าไหร่ ฉันรู้อยู่แก่ใจของฉันดี

      แล้วความคิดหลังจากนั้นก็เลยเถิด และอาจจะเรียกได้ว่าบ้าบอ

      แล้วถ้าตอนที่ฉันล้มมาส่วนรวมจะช่วยฉุดฉันให้ลุกขึ้นยืนไหม

      ตอนที่ฉันล้มลงส่วนรวมจะอยู่ข้างๆฉันไหม

      ฉันหันไปถามคำถามที่เพื่อนสามารถให้คำตอบกับฉันอย่างง่ายดายเลยว่า

      แกใครที่อยู่กับฉันตลอดเวลาวะ ส่วนรวมหรือครอบครัว ?”

      ครอบครัวสิ

      ฉันได้รับคำตอบจากเพื่อน ประจวบเหมาะกับที่พี่ประธานชมรมเรียกรวมกลุ่มเพื่อซ้อมบูม

      แต่ถึงจะได้รับคำยืนยันในคำตอบตามความคิดของฉันจากปากของเพื่อนแล้วก็เถอะ โลกมันก็ยังคงหมุนและทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ 

      ฉันเข้าไปร่วมวงซ้อมบูมอย่างสนุกสนาน เลิกคิดฟุ้งซ่าน บ้าบอคอแตก  ในเวลานี้คิดแค่ว่าต้องทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ฉันทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งตะโกน จนเสียงแหบเสียงแห้ง หลังจากนั้นนานนิดนิด พี่ก็นัดเวลามาซ้อมบูมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

      ฉันเดินออกไปพร้อมเพื่อนของฉัน แล้วเดินตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์สีดำที่คุ้นตามาตั้งแต่เมื่อเช้า ขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเพื่อนสาว หลังจากนั้นไม่นานรถก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและเร่งรีบ เพราะตอนนี้ก็มืดสลัวบรรยากาศรอบข้างเริ่มน่ากลัวแล้ว . . .

      เมื่อรถมาจอดสนิทที่หน้าบ้านที่พี่สาวของฉันได้ซื้อเอาไว้เมื่อตอนที่ยังทำงานอยู่ที่นี่ ซึ่งตอนนี้ฉันเป็นผู้พักอาศัยอยู่  ฉันขอบคุณเพื่อนของฉันที่มาส่งถึงหน้าบ้านยิ่งกว่าราชรถก็ไม่ปาน  จากนั้นก็ยกมือขวาโบกไปมาเป็นสัญญาณอำลาบอกว่า บ๊ายบายฉันยืนรอจนรถมอเตอร์ไซค์คู่กายของเพื่อนลับสายตาไป แล้วจึงเร่งรุดเปิดบ้าน กระทำการเปิด wifi

      แล้วจากนั้นฉันก็ใช้สื่อออนไลน์ที่บอกชื่อได้เลยว่าคือ Line ในการติดต่อสื่อสารกับพี่สาว ฉันพิมพ์ถามไปว่า

      พี่จ๋า ร้านขนมไทยมันเปิดกี่โมงนะ”

      ยังไม่มีคำตอบจากพี่สาวของฉัน

      ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเจอวันนี้ ฉันจะไม่โทษใครหรอก ว่าทำไมเหตุใดถึงแจ้งหรือบอกอะไรปุบปับเช่นนี้

      ไม่โทษพี่สาวของฉันที่ดันเปลี่ยนใจอยากจะไปกะทันหัน

      ไม่โทษรุ่นพี่ปีสามที่เพิ่งมาบอกเอาวันนี้ว่าวันศุกร์จะมีกิจกรรม

      ไม่โทษตัวเองที่ไม่หนักแน่นกับการตัดสินใจ

      แต่สิ่งที่ฉันจะโทษคือโลก  ก็เพราะโลกมันหมุนอย่างไรล่ะ ถึงทำให้สิ่งที่มันเคยแน่นอน กับไม่แน่นอนอยู่อย่างนี้ ทำให้สิ่งที่มันเคยพอดี กับหาความพอดีไม่ได้เลย

      เพราะโลกนั่นแหละ เพราะโลกมันหมุน . . .  

       

       

      นามปากกา . . . มิชลิน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×