คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8
บทที่ 8
กลิ่นคาวหวานๆของเลือดไม่อาจทำให้หวาดกลัวได้เท่ากับร่างไร้ลมหายใจที่ใช้ดวงตาเบิกกว้างมองมายังเขา ฝ่ามือที่พยายามจะตะเกียกตะกายเพื่อให้ชีวิตของตนเองอยู่รอดปลอดภัยยังคงค้างอยู่กลางอากาศ ร่างกายครึ่งล่างขาดสะบั้นหายเข้าไปในความมืด และมีช่วงลำตัวบางจุดที่มีบาดแผลน่าขยะแขยงปรากฏให้ได้เห็น
อาจเป็นเพียงมโนภาพ หากแต่อาร์โรห์รู้สึกราวกับว่าร่างนั้นกำลังจะมาลากให้เขาตกลงไปสู่ขุมนรกที่อีกฝ่ายได้พบเจอ...
อาร์โรห์มองภาพนั้นทั้งสภาพปากคอสั่น เขามองรอยเลือดที่ดูจะมากเกินกว่าจะออกมาจากร่างๆเดียวทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยที่นี่ก็น่าจะมีศพในลักษณะนี้อีกไม่ต่ำกว่าหนึ่ง...
ปึง!!!!
“เจอแล้วเจ้าเด็กน้อย!!!!”
ราวกับเสียงจากขุมนรก ประตูไม้หนาหนักที่ถูกกระแทกเปิดออกหลุดกลิ้งเฉี่ยวศีรษะของอาร์โรห์ไปเพียงคืบ กลิ้งลงจากบันได กระแทกกับศพที่อยู่ตีนบันไดจนเลือดสาดกระจายออกมาอีกครั้ง
อาร์โรห์ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าที่เผยให้เห็นถึงความหวาดผวาค่อยๆขยับมองเหลียวไปด้านหลัง นัยน์ตาคลอน้ำตาแห่งความหวาดกลัวสะท้อนร่างของมัจจุราชที่แสยะยิ้มเหี้ยม เล็บคมกริบถูกเงื้อขึ้นและตะหวัดลงมาเต็มแผ่นหลังเล็กๆของอาร์โรห์อย่างหมายชีวิต!
ร่างที่ถูกเล็บคมกริบบาดลึกลงบนแผ่นหลังจนเป็นแผลเหวอะหวะล้มกลิ้งลงมาตามบันไดอย่างไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ และมาหยุดลงในจุดที่มีเลือดสาดกระจายอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาที่เมื่อครู่ยังคงมองเห็นบัดนี้กลับกลายเป็นมืดบอด ทั้งๆที่สติของเขายังคงอยู่ครบ
...เจ็บ...
...มืด...
อาร์โรห์อยากจะดันกายลุกขึ้น หากแต่ว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าร่างทั้งร่างชาดิก ขยับไม่ได้แม้กระทั่งนิ้วสักนิ้ว กล้ามเนื้อที่ถูกสมองสั่งให้ขยับกระตุกอยู่หลายครั้ง หากแต่ก็ยังไม่สามารถขยับจากที่เดิมไปได้แม้แต่มิลเดียว
...ล้อเล่นใช่ไหม...
...เขาจะมาจบชีวิตอยู่ที่นี่งั้นเหรอ...
...ไม่ได้นะ...ไม่เอา...ข้ายังอยากพบท่านแม่...ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่...
ข้ายังตายไม่ได้!!!
ความคิดนั้นส่งผลให้ฝ่ามือเล็กๆขยับกำเข้าหากัน ก่อนจะดันร่างกายของตนเองให้ขยับไปด้านหน้าอย่างยากลำบาก
...แค่ครู่เดียวก็ยังดี...
...ขอแค่ทนไปจนกว่าจะมีใครสักคนมา...
...ขอแค่นั้น...ก็จะรอดแล้ว...
อาร์โรห์คิดให้กำลังใจตนเองขณะที่เกาะลังไม้ที่คลำเจอใกล้ๆเป็นหลักลุกขึ้นมานั่งพิงผนังเย็นเยียบที่พอสัมผัสถูกบาดแผลที่เจ็บแปลบก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้...แม้จะน้อยนิดก็ตาม...
ร่างที่เดินลงบันไดมาตรงมายังอาร์โรห์ด้วยการเดินทอดน่อง มองดูการดิ้นรนของอาร์โรห์ด้วยแววสนุกสนานที่น่าขยะแขยง
“ไม่นึกว่าเจ้าจะยังขยับได้ทั้งๆที่ถูกพิษของข้าเข้าไป?”
อาร์โรห์กัดริมฝีปากของตนเองจนรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดเพื่อให้ยังสามารถคงสติไว้ได้
“พยายามไปก็เปล่าประโยชน์ เดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายด้วยน้ำมือของข้า...แต่ไม่เป็นไรนะ ข้าจะให้เจ้าตายทั้งสภาพที่ร่างกายไม่ขาดออกจากกัน จะให้ทุกส่วนอยู่ครบเลยล่ะ ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ” อีกฝ่ายกล่าวทั้งใบหน้าวิปริต “ข้าจะค่อยๆเล็มเนื้อเจ้าทีละนิด เอาให้ถึงกระดูกอ่อนๆนั่น เอาให้ไม่เหลือแม้กระทั่งเลือดสักหยด...”
อาร์โรห์ไม่อาจตอบสนองอะไรได้มากไปกว่าเม้มปาก เขาในสภาพมองไม่เห็นไม่สามารถรู้ได้เลยว่ารอบด้านมีอะไรตั้งอยู่บ้าง และอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงไหน เสียงของอีกฝ่ายฟังดูก้องราวกับดังมาจากทุกทิศทาง มันสะท้อนกลับไปกลับมาผสมปนเปกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาจนแทบจับความไม่ได้
อาร์โรห์ที่อยู่ในสภาพมองเห็นทุกสิ่งเป็นสีดำสนิทนึกกลัวขึ้นมาจับใจ ความกลัวก่อตัวขึ้นเหมือนคลื่นใต้น้ำในจิตใจ ก่อตัวจนกลายเป็นความเกลียดชัง
เพราะมืดจึงรู้สึกโดดเดี่ยว
เพราะมืด...จึงมองไม่เห็นใคร
...แม้แต่ท่านแม่...
เขาเหมือนกับเห็นร่างของมารดาหายเข้าไปในความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุด ทิ้งเขาเอาไว้ให้อยู่ท่ามกลางความมืดมิดเพียงคนเดียว ไม่อาจมองเห็นอะไรได้นอกจาก...สีดำ...
ฉัวะ!!!!
ร่างเล็กกระตุกเฮือก กลิ่นคาวปนหวานลอยคลุ้งเข้ามาในโพรงจมูกพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบบนร่าง รับรู้ได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลรินออกมาจากร่างของตนเอง ซึมออกมาถึงเนื้อผ้าจนชุ่ม
ข้าเกลียดความมืด
ข้าเกลียดความมืด!
ข้าเกลียดความมืด!!!
“อ้ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!” ริมฝีปากเล็กส่งเสียงร้องลั่นเมื่อเล็บคมกริบแทงเข้ามาที่ช่วงท้อง มันขยับไปมาอยู่ในร่างของเขาจนบาดแผลเปิดกว้างขึ้น ก่อนที่เนื้อก้อนใหญ่จะถูกกระชากออกไป เจ็บปวดจนแทบจะทำให้ร่างเล็กสิ้นสติ
อาจเพราะเสียงร้องของเขา เสียงความโกลาหลด้านนอกจึงได้ดังขึ้น และใกล้เข้ามาที่นี่เรื่อยๆ
อาร์โรห์รู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างเริ่มห่างไกลออกไป เสียงที่เริ่มได้ยินอย่างขาดห้วงมันทำให้อาร์โรห์นึกหวาดหวั่น ...ข้ายังตาย...ไม่ได้...
อาร์โรห์รู้สึกตัวขึ้นมาในหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เขาอยู่ในห้องหนึ่งของสถานพยาบาล ที่รู้ก็เพราะกลิ่นที่ให้ความรู้สึกถึงความสะอาดสะอ้าน แต่ดวงตาก็กลับยังไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน ทุดอย่างยังดูเป็นภาพเบลอๆที่มองได้ไม่ชัด ไม่แม้แต่จะสามารถดูออกได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้คืออะไร เห็นเป็นเหมือนภาพสีน้ำมันที่ถูกวาดขึ้นให้ดูในระยะไกล แต่พอมองในระยะใกล้กลับดูไม่ออกว่ามันคืออะไร
ร่างเล็กๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก รู้สึกว่าร่างกายของตนเองอ่อนแรงจนไม่อยากขยับ ศีรษะปวดแปล๊บเมื่อขยับตัวจนกระเทือน แม้จะเพียงน้อยนิด แต่มันกลับทำให้ร่างเล็กที่ตั้งท่าจะลุกลงจากเตียงชะงักอยู่หลายครั้ง
“อึก...” อาร์โรห์ยกมือขึ้นกุมหัวตนเองด้วยใบหน้าที่ซีดลงเพราะความเจ็บปวดที่เหมือนกับศีรษะร้าวจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เพียงแค่เขานึกถึงแม่ที่อาจรอเขาอยู่ที่บ้าน แม้จะรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและลำคอแห้งผากจนทรมาน แต่ขาเล็กๆก็ก้าวออกไปจากสถานพยาบาลอย่างไร้ทิศทาง ดวงตาที่ยังคงมองได้ไม่ชัด ในตอนนี้กลับเป็นอุปสรรคมากกว่าเรื่องเส้นทางที่จะกลับบ้านเสียอีก
เขาหลงทางไปทั่วหมู่บ้าน จนในที่สุดกลิ่นดอกไม้อันคุ้นเคยที่มีเพียงบ้านเขาปลูกไว้ก็ลอยเข้ามาแตะจมูก อาร์โรห์เดินตามกลิ่นนั้นไป พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ชนกับปื้นสีที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็มีหลายครั้งที่ชนจนล้มพับ เจ็บตัวจนฝ่ามือและหัวเข่าเต็มไปด้วยแผลถลอก
ในที่สุดเขาก็เห็นสวนดอกไม้เล็กๆที่มีสีขาวสะอาด แม้จะเห็นว่ามันเป็นเพียงปื้นสีขาวๆ แต่เมื่อประกอบกับกลิ่นหอมหวนที่ไม่ได้เสียดแทงจมูกก็ทำให้อาร์โรห์เดินเข้าไปเปิดประตูบ้านตามภาพในความทรงจำ เพียงแค่เปิดประตูออกมา กลิ่นอายอันคุ้นเคยก็ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่น ระสับระส่ายมาตลอดทางสงบลง
อาร์โรห์คลำทางด้วยฝ่ามือเล็กๆ อาจโชคดีหน่อยที่มารดาของเขาสั่งให้เขาลงมาอยู่ที่ชั้นล่าง อาร์โรห์จึงไม่ต้องเสี่ยงตกบัดไดเดินขึ้นด้านบน
อาร์โรห์เข้ามาในห้องที่เริ่มจะมีกลิ่นอับ เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้แม้แต่จะเก็บที่นอนตอนถูกพาตัวไป เขาจึงตัดสินใจใช้วิธีคลานเพื่อหาฟูกนอนที่น่าจะยังถูกปูทิ้งเอาไว้ที่พื้น ก่อนจะซุกร่างลงไปในผ้าห่มผืนหนาที่มีกลิ่นอับและฝุ่นจนเขาจามออกมาอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็เหนื่อยและอ่อนล้าเกินกว่าจะลุกขึ้นมาอีกรอบ สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปทั้งสภาพนั้น
ดวงตาของเขาค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับ ใช้เวลาอยู่สองวันในที่สุดก็สามารถกลับมามองเห็นได้ตามปกติ
...แต่มารดาของเขาก็ยังคงไม่กลับมาที่บ้าน...
ร่างกายของอาร์โรห์เริ่มซูบลง แม้ว่าการไม่ได้ทานอะไรเลยมากว่าอาทิตย์จะทำให้รู้สึกทรมาน แต่ก็ไม่มากพอจะทำให้ปีศาจตนหนึ่งตายลงได้ เพียงแต่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่ารวดเร็วเท่านั้น
แต่กระนั้นอาร์โรห์ก็ไม่ได้สนใจสภาพตัวเองนัก เขาเริ่มตามหามารดา หวังว่าคงจะเจอภายในเผ่า แต่ความหวังของเด็กน้อยก็ดับวูบลงเมื่อไม่พบแม้กระทั่งเงาที่คล้ายคลึง...
ร่างเล็กๆซุกตัวลงนั่งกลางทุ่งสีดำที่อยู่บริเวณรอบนอกของเผ่าก่อนที่จะออกนอกเขตแดน ดวงตากลมโตคลอน้ำตาที่เคยคิดว่าจะไม่ให้มันไหลออกมาเพราะมารดาอีก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทำไม่ได้
ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปด้วยแรงสะอื้น
...ท่านแม่ทิ้งข้าแล้ว...
...ท่านแม่เกลียดข้าเกินกว่าจะกลับมาหาข้า...
...ข้าคงจะทำอะไรบางอย่างจนท่านแม่ไม่พอใจถึงไม่กลับมาหาข้า...
“ท่านแม่กลับมาเถอะ!!!! ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรที่ท่านไม่ชอบ ท่านแม่กลับมาเถอะ!!!!!” เขาตะโกนสุดเสียง หวังว่าเสียงของตนจะดังไปถึงมารดามี่ไม่เคยแม้แต่จะรักเขา ก่อนจะซุกใบหน้าลงกับเข่า ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจที่จะกลั้นเอาไว้
แกร๊บ
เสียงใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบส่งผลให้ใบหน้าเล็กๆเงยขึ้นมองทั้งสภาพน้ำตานองหน้า มองตรงไปยังร่างที่สูงกว่าเขาประมาณหนึ่งช่วงตัว เงาที่ตกทอดมาทำให้เห็นหน้าของอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สังเกตเห็นถึงเค้าโครงใบหน้าที่หล่อเหลาของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
อีกฝ่ายย่อตัวลงจนมาอยู่ในระดับเดียวกับเขา นั่นจึงทำให้อาร์โรห์เห็นหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
แม้จะมีใบหน้าคมคาย หากแต่ก็ยังดูอ่อนเยาว์ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางได้รูป ดวงตาสีเงินที่ถึงจะมองลึกลงไปก็ยังรู้สึกแต่เพียงความลึกที่ไร้ก้นบึ้ง คิ้วสีดำโก่งสวย หากแต่ก็หนาพอดีรับกับใบหน้า โดยรวมแล้วอีกฝ่ายมีใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายอย่างยากจะหาใครเปรียบแม้จะเป็นอินคิวบัสด้วยกัน
บางทีคงจะเพิ่งโตเต็มวัยกระมัง...
เพียงแค่อีกฝ่ายเผยยิ้ม อาร์โรห์ก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจบางเบาที่ไม่ได้รับมาเป็นเวลานาน เขาจ้องรอยยิ้มนั้นอย่างสงสัย แต่เหมือนอีกฝายจะไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้านั้นของอาร์โรห์เลยแม้แต่น้อย
“แม่เจ้าล่ะ? ทำไมนางถึงปล่อยให้เจ้ามานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้?”
เหมือนกับว่าเขาถูกถามจี้จุด ร่างกายแข็งค้างไปชั่วครู่ก่อนที่ขอบตาจะเริ่มร้อนผ่าวจนสุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมา
“ฮึก! ฮือออออออออออ...”
เหมือนว่าอีกฝ่ายจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง จนสุดท้ายก็ทำได้เพียงเข้ามาปลอบด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ แต่อาร์โรห์แทบไม่อยากจะสนใจ เขาร้องไห้ ร้องจนตัวโยน ไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง แต่มันก็ทำให้อีกฝ่ายเงียบเสียงลง ทำเพียงช่วยลูบหัวปลอบเขาจนกระทั่งหยุดร้อง
ขณะที่กำลังจะเอ่ยขอบคุณ อีกฝ่ายก็กลับเอ่ยถามขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าชื่ออะไรเหรอ เด็กน้อย?”
“ฮึก...อาร์โรห์...อาร์โรห์ เลอร์จิล...”
อีกฝ่ายเผยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อคาร์ล ราคัส เรียกข้าว่าคาร์ลเฉยๆก็ได้...อาร์โรห์”
อาร์โรห์กระพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ
และก็เป็นช่วงนั้นเองที่เขาเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่ชาย’ ถึงแม้ว่าพอเวลาผ่านไปจนเขารู้เรื่องและถูกเรียกว่า ‘คนนอกคอก’ แล้วจะเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อห้วนๆก็เถอะ
...โรห์...
...อาร์โรห์....
“โฮ่ย! อาร์โรห์!!!”
เฮือก!!
ร่างที่บางเกินกว่าเด็กหนุ่มทั่วไปสะดุ้งตื่นจนคนเขย่าปลุกเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง
“ด...เดล...เจ้าเองเหรอ...” กล่าวก่อนจะถอนหายใจเฮือก หัวใจที่บีบตัวถี่ขึ้นเมื่อครู่ค่อยๆกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าเขย่าปลุกตั้งนานกว่าเจ้าจะตื่น แถมพอตื่นแล้วยังทำเอาข้าตกใจซะผงะเลย เป็นอะไรของเจ้า?? ฝันร้ายหรือไง???”
“อ่า...คงงั้นมั้ง...” อาร์โรห์ยกมือขึ้นกดหว่าคิ้วของตัวเองที่ปวดตุบๆ สายตากวาดมองไปรอบๆแต่กลับไม่พบร่างของอีกสองคนที่ควรจะอยู่ที่นี่ในเวลานี้ด้วย “ว่าแต่คาร์ลกับลูน่าล่ะ?”
“ลูน่าไปอาบน้ำน่ะ คาร์ลเลยต้องพาไป”
“อ่อ...อืม...”อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าการนิ่งของเขาไปทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาจะนอนต่อหรืออย่างไรอีกฝ่ายจึงได้สะกิดเขาจนอาร์โรห์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“เราต้องไปหาอาหารนะ”
“หือ?”
“ถึงพวกเจ้าจะไม่จำเป็นต้องกินอาหารครบสามมื้อก็เถอะ แต่ข้ากับลูน่าจำเป็น คาร์ลเลยบอกให้ข้าปลุกเจ้าแล้วไปหาอาหารด้วยกัน”
อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นยืน ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปอีกทางหนึ่งที่ไม่ใช่ทางด้านแม่น้ำ
“ข้าเคยได้ยินมาว่าป่าแถวนี้มีปีศาจออกมาอาละวาดด้วยล่ะ”
“หือ? เจ้าไปได้ยินมาจากไหน?”
“ตอนที่อยู่ในเมืองน่ะ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ปีศาจอยู่กันคนละโลกกับที่นี่นี่นา”
“เดล ขนาดข้ายังมาอยู่ที่นี่ได้เลยนะ” สีหน้าของอาร์โรห์เครียดขึงขึ้น ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาก็คงจะคิดว่าที่นี่ไม่มีทางมีปีศาจอื่นนอกจากปีศาจแฝงฝันที่สามารถเปิดมิติได้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ก็ไม่แน่ ชนเผ่าอาจจะต้องการตามล่าคนทรยศเช่นเขาจนยืมมือปีศาจเผ่าพันธุ์อื่น หรือไม่ก็บังคับฝืนให้มายังโลกมนุษย์แห่งนี้ก็ได้
เดลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นปีศาจเหมือนกัน
กิกๆๆ...
ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เสียงหัวเราะแปลกๆที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศทางใดก็ดังขึ้นให้เดลได้สะดุ้ง ดวงตาสีทัพทิมมองไปรอบด้านอย่างตระหนก แต่กลับเป็นอาร์โรห์ที่ดึงเอาร่างของเดลให้เข้ามานอนราบหลบในพุ่มไม้
ฝ่ามือภายใต้ถุงมือเอื้อมมาปิดตาของเดลอย่างรู้ทันว่าเขาจะต้องมองเจ้าตัวที่ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆนั่นอย่างอยากรู้อยากเห็นแน่ๆ
“ข้าจะเตือนเจ้าครั้งเดียวนะเดล...เจ้าห้ามลืมตาขึ้นมา ไม่อย่างนั้นถึงตายแน่” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างๆหูทำเอาเดลกลืนน้ำลายดังเอื๊อก เมื่อมือข้างนั้นค่อยๆเลื่อนออกเดลจึงพยายามที่มองพื้นอย่างเดียว
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกมาเด็ดขาดนะเดล” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายของอาร์โรห์ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไปจากที่ซ่อน
อาร์โรห์ออกมายืนขวางทางของเจ้าปีศาจที่ตัวสูงเพียงอกของเขา แขนและขาที่เล็กลีบจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกและหน้าตาน่าเกลียดนั่นบ่งชี้ชัดถึงเผ่าพันธุ์
...ก็อบลิน...
ถึงแม้เจ้าปีศาจตนนี้จะไม่ได้มีพิษภัยอะไรมากสำหรับปีศาจด้วยกัน แต่ถ้าเป็นมนุษย์มันก็เป็นอีกเรื่อง...
“กิกๆๆๆ ท่านอินคิวบัส ช่วยหลบหน่อยได้ไหม? ข้าจะเอาเหยื่อไปทำอาหารให้นายท่านน่ะ กิกๆๆๆ”
“ข้าให้เจ้าผ่านก็ได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าก่อน”
“ทำไมข้าต้องตอบด้วยล่ะ กิกๆๆ”
“เพราะเจ้าไม่มีทางชนะข้าได้ด้วยตัวคนเดียว”
“กิกๆๆ ก็ไม่แน่หรอกนะ” กล่าวพลางเหลือบมองไปทางที่เดลยังคงซ่อนตัวอยู่
อาร์โรห์มองตามสายตานั้น อีกฝ่ายคงรู้สึกถึงเดลได้ตั้งแต่เมื่อกี้นี้ แต่เขาเองก็มีเรื่องที่อยากจะรู้...ว่าปีศาจ...มาอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร...
ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากัน “ข้าไม่อยากจะใช้กำลังวิวาทกับพวกวิกลวิกาลอย่างเจ้าหรอกนะ รีบตอบคำถามข้าแล้วผ่านไปโดยไม่มีเรื่องกันไม่ดีกว่าหรือไง??”
“กิกๆๆๆ กิ๊กๆๆๆๆๆๆ กล้าหาว่าข้าเป็นพวกวิกลวิกาลสินะ กิกๆๆๆๆ ช่างกล้าเหลือเกิน...กิกๆๆๆๆ เคี๊ยกๆๆๆๆๆๆ”
ร่างของเจ้าก็อบลินสั่นเทาเพราะแรงหัวเราะ ริมฝีปากที่แสยะยิ้มกว้างทำให้อาร์โรห์ต้องรีบเบือนหน้าหนี มันน่าเกลียดเกินกว่าที่เขาจะทนดูได้ไหว
แต่ใครจะนึกว่าเจ้าก็อบลินนั่นกลับอาศัยจังหวะนั้นกระโจนพรวดเดียวไปถึงจุดที่เดลซ่อนตัวอยู่
“เดล!!!” อาร์โรห์รีบวิ่งตามไปติดๆ แต่กลับต้องชะงักอยู่กลางทางตรงหน้าเดลที่อีกเพียงสามก้าวก็คงจะถึงถ้าหากว่าเจ้ากอบลินนั่นไม่ดึงผมของเดลขึ้นมา!
เดลเองก็ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายเบิกตากว้างมองมาทางอาร์โรห์อย่างไม่เข้าใจ
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าเป็นพวกวิกลวิกาล งั้นข้าจะทำให้ดูว่าพวกวิกลวิกาลอย่างข้าจะทำอะไรได้บ้าง!!!”
คำพูดนั้นทำเอาเลือดในกายของอาร์โรห์เย็นเฉียบขณะที่เจ้าก็อบลินนั่นแสยะยิ้มและค่อยๆจับให้ศีรษะของเดลหันไปมองรอยยิ้มที่ทำให้เลือดในกายของมนุษย์หยุดไหล อวัยวะทุกส่วนที่ไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงจะค่อยๆตายลงไปทีละน้อยจนในที่สุดร่างนั้นก็จะตายในที่สุด!
ขณะที่เดลได้เห็นครึ่งหน้าส่วนบนของก็อบลินแล้วก็ทำได้แต่เพียงเบิกตากว้างอยู่นั่นเอง เสียงของอาร์โรห์ก็ทำให้เขาได้สติ
“หลับตา! รีบหลับตาเร็วเข้าเดล!!!!”
เดลรีบทำตามก่อนที่จะได้เห็นริมฝีปากที่แสยะยิ้มของก็อบลิน ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเฉี่ยวผ่านหน้าไปทางเจ้าก็อบลินด้านหลัง ก่อนที่ฝ่ามือสากๆของเจ้าก็อบลินจะปล่อยออกจากเขาพร้อมกับเสียงเหมือนของหนักตกลงกระทบพื้น
ตอนนั้นเองที่เดลลืมตาขึ้นมองไปทางอาร์โรห์ที่ถือคันธนูสีดำค้างไว้ในท่าง้างคันศร ก่อนจะมองไปด้านหลังแล้วพบร่างของก็อบลินที่นอนตายโดยมีศรสีดำปักอยู่ที่หน้าผาก
เดลผวาเฮือกอย่างตระหนก เหมือนจะเห็นศพของก็อบลินซ้อนทับกับภาพของร่างไร้ลมหายใจอันเย็นชืดที่ขาดออกเป็นสองท่อน...
“เดล!”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่สติของเขาจะดับวูบลง...
__________________________________________________________________
เอาล่ะสิ คราวนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเดลอีกล่ะ
น่าลุ้นดีเนอะ(?)
แหะๆ พูดเล่นค่ะ ไม่ต้องห่วงไม่มีอันตรายถึงชีวิตแน่นอน
ที่แน่ไปกว่านั้นคือเรื่องนี้อาร์โรห์รับเคราะห์ตลอด(??) แต่ถึงอย่างนั้นไรท์ก็รักอาร์โรห์ที่สุดอยู่ดี ฟฟฟฟฟ
ขอบคุณที่ติดตามนิยายของไรท์นะคะ!
ความคิดเห็น