ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 58


    บทที่  5

     

     

                    เช้าของวันต่อมาอาร์โรห์ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เป็นปกติต่างจากเมื่อคืนจนคาร์ลต้องขมวดคิ้วมุ่น

                    ...คงต้องหาเวลาคุยกับอาร์โรห์ให้รู้เรื่องซะล่ะมั้ง...

    คิดได้ดังนั้นคาร์ลก็เริ่มอ้าปากเตรียมถาม  แต่แล้วทุกอย่างในห้องก็ต้องชะงักเมื่อ...

    ปึง !!!

    ประตูห้องล้มลงในวงสโลบโค้งอย่างสวยงาม  เผยให้เห็นเท้าใต้รองเท้าบูทสาเหตุที่ทำให้ประตูห้องถูกพังจนล้มลงไปนอนแผบยู่บนพื้น

    เจ้าของเท้าขยับเท้าสวยๆลงมาให้อยู่ในท่าปกติ  เผยให้ทุกคนได้เห็นหน้าเจ้าของฝ่าเท้างามๆเมื่อครู่  ลีลนั่นเอง  หญิงสาวผู้มีใบหน้ามคายคล้ายผู้ชายจนอาร์โรห์อิจฉาคนนั้นนั่นเองที่เข้ามารบกวนเวลายามเช้าของพวกเขา

    หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องอย่างสง่าผ่าเผย  วันนี้ภายใต้ชุดคลุมของเธอเป็นชุดทะมัดทะแมงเหมาะแก่การเดินทาง  เส้นผมที่เมื่อวานถูกปล่อยยาวสยายในวันนี้กลับถูกรวบขึ้นเป็นหางม้า  ทำให้ใบหน้าของเธอแลดูเหมือนผู้ชายเข้าไปอีก

    อาร์โรห์เกิดอาการอิจฉาขึ้นมาอีกครั้ง...

    ลีลเสยผมเบาๆยกระดับความเท่ให้ตัวเองอีกเป็นเท่าตัวก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับรองในห้องแล้วจึงกล่าว “พวกเจ้าจะไปช่วยน้องสาวของเจ้าวันนี้ใช่รึเปล่า??” กล่าวพลางหันไปทางเดลอย่างเจาะจงตัว “จะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ?  เดี๋ยวนี้เลยไหม??”

    “พวกข้าจะรอตอนฟ้ามืดก่อน  ระหว่างนั้นเจ้าก็ทำตัวตามสบายเถอะ” เป็นเดลที่กล่าวตอบ

    “แล้วแผนล่ะ? จะบุกเข้าไปทั้งๆที่พวกเจ้ามีรูปร่างหน้าตาสะดุดตาขนาดนี้หรือ?”

    “...” นั่นสิ  ถ้าจะเข้าไปกันหมดนี่ก็ให้ลีลเห็นพลังของปีศาจไม่ได้  อย่างมากที่สุดก็ใช้ได้เพียงพลังเวทเท่านั้น...

    “แล้ว...เจ้ามีแผนอะไรไหม?” อาร์โรห์กล่าวถามหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง  ส่งผลให้หญิงสาวชาวมนุษย์เผยยิ้มมีเลศนัยออกมา  “แน่นอนว่าข้าต้องมีอยู่แล้ว”

    หลังจากที่ลีลเล่าแผนของตนเองให้ทั้งสามฟังจบ  อาร์โรห์ก็ทำสีหน้าแปลกๆออกมาจนน่าขำ “ข้า...ไม่ทำไม่ได้เหรอ...” ถามเสียงอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด  แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็ทำเอาเขาหน้าจ๋อยลงไปอีก  เหมือนเด็กๆที่ถูกผู้ใหญ่ดุไม่มีผิด

    “ข้าว่ามันก็เป็นแผนที่เหมาะสมดีออกนะ  อีกอย่างเราเองก็ไม่มีแผนอะไรอยู่แล้วทำตามไปมันก็ไม่เสียหายนี่”

    ...ใช่สิ  ก็คนที่เสียหายมันข้านี่นา...

    “นั่นสิ  ข้าเองก็ขี้เกียจคิด  เอาตามนี้ล่ะ  อีกอย่างถ้าไม่ทำตามนี้ก็ดูจะเสียมารยาทกับสุภาพสตรีไปหน่อยละมั้ง”

    ...แล้วเจ้าเคยเห็นใจข้าบ้าไหมล่ะนั่น  เอาแต่ผู้หญิงอย่างเดียว  ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเลือกเป็นอินคิวบัส...

    ลีลหัวเราะเบาๆพลางลุกขึ้นมาตบไหล่ของอาร์โรห์ด้วยแรงที่ไม่แรงนัก “ข้าแต่งเป็นผู้ชายยังไม่บ่นเลยนะ  เจ้าเป็นผู้หญิงแต่งเป็นผู้หญิง  ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีออกนะ  ได้แต่งตัวสวยๆด้วย” ลีลกล่าวกับอาร์โรห์เยี่ยงผู้ใหญ่สอนเด็กน้อย

    ...ข้าไม่ใช่ผู้หญิงงงงงงง...

    อาร์โรห์ร้องโหยหวนอยู่ในใจ  หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะตะโกนออกไปให้สุดเสียง  แต่ริมฝีปากของเขากลับทำได้เพียงเผยยิ้มแหย  ในใจแอบแช่งชักหักกระดูกคาร์ลที่บังอาจมาใช้เวททำให้เขาเปิดปากไม่ได้  ให้ตายสิ !!!

    คาร์ลหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างไม่อาจห้ามได้อยู่เมื่อเห็นสีหน้าของอาร์โรห์  เสียงก่นด่าดังขึ้นในหัวสมองเขาไม่หยุด  แต่มันก็ยังไม่มีผลต่อเขา  คาร์ลยังคงใช้เวททำให้อาร์โรห์ส่งเสียงพูดไม่ได้ต่อไป

    และแล้วปฏิบัติการแปลงโฉมก็เริ่มขึ้น

    “อะ!...เบาๆสิ!...อ๊ะ!...แฮ่กๆ” เสียงของอาร์โรห์ดังก้องไปทั่วห้องที่ถูกดับไฟให้มืดลง เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นมาเต็มใบหน้า  มือทั้งสองข้างใช้ยันกำแพงเพื่อไม่ให้ตนเองทรุดลงไปกับพื้น

    “ทนหน่อยน่า  เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”  เดลกล่าวเสียงเบาปนหอบน้อยๆ  ใบหน้าของเขาเองก็ปรากฏเม็ดเหงื่อขึ้นพราวไม่แพ้อีกคนเลย  มือของเขาก็ขยับทำงานของมันไปเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้

    “โอ๊ย! บ...เบาๆหน่อยสิ...อ๊ะ!

    “ฮะ...แฮ่ก...”

    เสียงที่ทำคนฟังชวนสยิวทำให้คาร์ลหัวเราะแห้งๆออกมาขณะที่เขายังคงยืนรออยู่ด้านนอกห้องพักกับลีล

    “ข้าไม่เข้าใจ  ทำไมอาร์โรห์ถึงให้เดลที่เป็นผู้ชายช่วยแต่งตัวแทนที่จะเป็นข้าที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน??” ลีลที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น

    ใช่แล้ว ในตอนนี้อาร์โรห์กำลังแต่งตัวโดยมีเดลเป็นผู้ช่วยอยู่ในห้อง  และเสียงที่ได้ยินดังออกมานั่นก็คงจะเป็นการรัดผ้ารอบเอวที่ผู้หญิงมักจะทำกันเพื่อให้ดูตัวเล็กลงนั่นล่ะ

    คาร์ลหันใบหน้าที่มีรอยยิ้มเรียบๆประดับอยู่มาทางหญิงสาว “คงจะเป็นเพราะยังไม่สนิทมากพอละมั้ง”

    “อะไรกัน  นี่ยังไม่เรียกว่าสนิทอีกหรือ” ลีลขมวดคิ้ว  ทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นทำคงจะดูน่าเกลียด  แต่เมื่อเธอทำมันกลับน่ามองในแบบที่ถ้าผู้หญิงเห็นคงจะหลงเคลิ้มไปกับมันได้ไม่ยากเลย

    คาร์ลเพียงยิ้มแบบเดิมให้  พอดีกับที่เสียงในห้องเงียบลง

    ประตู (ที่ไม่รู้ว่าถูกต่อเข้าไปเป็นแบบเดิมตั้งแต่เมื่อไหร่) ถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของเดลที่เดินออกมาจากห้อง  ตามด้วยอาร์โรห์ในชุดผู้หญิง  และเหมือนว่าเขาจะใช้เวทในการเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายในบางจุดให้ดูสมเป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้น

    ชุดที่เขาสวมอยู่คือชุดกระโปรงยาวพองๆที่ผ่าด้านหน้าขึ้นมาถึงต้นขา  มีผ้าที่ถูกมัดคาดไว้ที่เอวทับกระโปรง  ช่วงลำตัวถูกตัดเย็บอย่างประณีต เส้นผมที่ถูกปล่อยยาวสยายลงมาเต็มแผ่นหลังถูกประดับด้วยดอกกุหลาบสีสะอาดตัดกับเส้นผมสีนิลกาล  ทำให้มันดูโดดเด่นและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเวลาที่อยู่ในช่อที่ถูกจัดมาอย่างสวยงามหรือในพุ่มเสียอีก

    "เห...ดูดีกว่าที่ข้าจินตนาการไว้อีกนะ" คาร์ลอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างล้อๆ และได้ปฏิกิริยากลับมาเป็นการค้อนเสียวงใหญ่จากนัยน์ตาสีรัตติกาล

    “งั้นต่อไปก็ถึงตาข้า” ลีลกล่าวพลางดันร่างออกมาจากกำแพงที่พิงอยู่เมื่อครู่ “อาร์โรห์ช่วยข้าหน่อยได้ไหม??”

    คนถูกขอนิ่งไปเล็กน้อยแต่ก็ถูกศอกของเดลที่ยืนอยู่ข้างๆกระทุ้งเบาๆเรียกสติ “ม...ไม่ดีมั้ง...”

    “แล้วเจ้าจะให้ใครมาช่วยข้าพัน...”เว้นระยะไปช่วงหนึ่งพลางเหลือบตาลงมองสิ่งที่แสดงถึงความเป็นหญิงของตนเอง  แน่นอนมันคือ หน้าอกของเธอนั่นล่ะ

    อาร์โรห์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย  แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จำใจต้องเข้าไปช่วยลีลแต่งตัว  โดยไม่สืมที่จะใช้เวทเคลือบดวงตาของตนเองให้เห็นร่างกายของลีลเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง

    ในตอนนั้นเองภาพภาพหนึ่งก็แล่นเข้ามาในมโนสำนึกของอินคิวบัสหนุ่ม  มันเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานแปลกประหลาด  เห็นภาพร่างกายเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างของเขา  มีเสียงที่เขาคิดว่าไม่น่าพิสมัยดังออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดของเธออยู่ตลอดเวลา

    อาร์โรห์เลียริมฝีปากของตนเอง  แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้ตัวว่าเขาเพิ่งจะคิดถึงอะไรไป  เขารีบเก็บท่าทีและสงบสติอารมณ์  หายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้งกว่าจะสามารถดึงอารมณ์ให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้  จากนั้นจึงก้าวเข้าไปในห้องตามลีลไป

    แต่เมื่ออาร์โรห์เข้ามาถึงเขากลับต้องชะงักเมื่อเขาพบว่าลีลถอดเสื้อช่วงบนออกหมดแล้ว  เหลือเพียงแถบผ้าที่พันช่วงอกที่ทำท่าจะหลุดไม่หลุดแหล่ด้วยฝีมือของเจ้าตัวเอง

    อินคิวบัสหนุ่มในสภาพหญิงสาวร้องเหวอก่อนจะรีบหันหลังหนีภาพที่ทำให้เขาถึงขั้นหน้าแดงไปถึงใบหู

    “อ้าวอาร์โรห์  มาพอดีเลย  มาช่วยข้าพันให้มันแน่นกว่านี้หน่อยสิ”

    มันใช่เรื่องมั้ย!!!?  อีกอย่างเจ้าจะถอดเสื้อผ้าเร็วไปไหน !!!!?

    “อ...อืม...” อาร์โรห์รับเสียงแผ่วแล้วค่อยๆเดินเข้าไปในห้องอย่างกล้าๆกลัวๆ  ลีลที่เห็นอาร์โรห์ชักช้าผิดปกติจนอดไม่ได้ที่จะหันมามอง  แล้วก็ต้องหลุดยิ้มขันเมื่อเห็นร่างที่มีส่วนสูงน้อยกว่าตนเองค่อยๆเดินถอยหลังเข้ามาหาเธอ

    ลีลรอจนอาร์โรห์เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเอื้อมมือไปโอบไหล่ของร่างที่เล็กกว่า  มันทำให้อาร์โรห์สะดุ้งโหยงอย่างไม่ทันตั้งตัว  ลีลที่เห็นท่าทีเช่นนั้นหลุดหัวเราะพรืด

    “ปฏิกิริยาของเจ้าเนี่ยน่ารักจัง ฮะๆๆ”

    “ล...เล่นอะไรของเจ้ากัน...”อาร์โรห์ทำหน้าเหม็นบูดอย่างที่แทบไม่เคยทำมาก่อน

     

    รถม้าขนาดกลางถูกจอดลงที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง  ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานของกลุ่มอิทธิพลหลายต่อหลายกลุ่ม  ไม่ว่าจะด้วยสถานที่ที่มิดชิด  เป็นส่วนตัว  และ...ลับตาคน...

    ชายหญิงคู่หนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า  ท่าทางของทั้งสองทีแสดงออกมานั้นราวกับเป็นชนชั้นสูง  ทั้งนี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ถูกตัดเย็บอย่างประณีตงดงาม

    คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มผู้มีในหน้าหมดจดหล่อเหลา  เสื้อสูทผ้าไหมสีดำเข้ารูปช่วยเสริมให้เขาดูสง่างามอย่างน่าประหลาด  บนศีรษะที่มีเส้นผมสีน้ำตาลเปลือกไม้ปกคลุมมีหมวกผ้าไหมเข้ากับเสื้อสูทของเขา  ฝ่ามือสวมถุงมือที่ปิดฝ่ามือไปเพียงครึ่งสีดำ  ข้างกันคือหญิงสาวที่คาดว่าคงจะงดงามที่สุดในงานนี้กำลังควงแขนของเขาอยู่  เส้นผมสีนิลที่ถูกปล่อยยาวสยายพลิ้วไหวไปตามการเดินของเธอ  ส่งกลิ่นหอมจางๆไปทั่วจนชายหนุ่มหลายคนต้องเหลียวมอง  ผิวอมชมพูดูเนียนนุ่มน่าสัมผัส  รับกับชุดที่สวมใส่  ใบหน้างดงามถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีอ่อน  ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กสาววัยแรกแย้มด้วยโทนสีชมพูอ่อน

    มีหญิงชนชั้นสูงหลายคนที่มองมาทางหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างอิจฉาริษยา  แม้พวกเธอจะมีใบหน้างดงามสักเท่าใดก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับหญิงสาวได้  พวกเธอเริ่มรวมกลุ่มกันคุย  นินทาตามประสา  แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากชายหนุ่มหน้าตาดีที่เข้ามาพร้อมกับหญิงสาว  พวกเธอใคร่สงสัยนักว่าในเมืองแห่งนี้มีชายหนุ่มผู้หมดจดงดงามเช่นนี้เล็ดรอดสายตาไปได้อย่างไร

    “ลีล...แล้วเดลกับคาร์ลล่ะ”

    “เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก  เดี๋ยวเราก็จะได้เห็นสองคนนั้นเอง”

    แน่นอนว่าชายหญิงที่สร้างเสียงฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ใช่ใครอื่น  ลีลและอาร์โรห์นั่นเอง

    ทั้งสองเดินเข้าไปในงานประมูลที่ถูกจัดขึ้น  และแน่นอนว่าข่าวการจัดประมูลในครั้งนี้ก็ได้มาจากลีลอีกนั่นล่ะ

    พวกเขาเลือกนั่งลงที่โต๊ะในมุมหนึ่งของที่จัดงาน  ดูเหมือนที่ตรงนี้จะเป็นจุดที่เป็นส่วนตัวที่สุดแล้วในสถานที่จัดงานแห่งนี้

    บริกรคนหนึ่งเดินเข้ามาทำท่าจะรับออเดอร์  แต่เพียงแค่ลีลโบกมือเป็นเชิงไม่เอาอะไรทั้งๆที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ถามอีกฝ่ายก็ทำเพียงโค้งตัวให้แล้วจากไปด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจ

    แน่นอนว่าใครๆก็ต้องหวังผลตอบแทนอย่างทิปที่จะได้รับจากลูกค้า  แต่กลับถูกปฏิเสธทันทีที่เดินเข้ามา  ใครๆก็ย่อมไม่พอใจกันทั้งนั้น

    อาร์โรห์สัมผัสได้ถึงกระแสความไม่พอใจจากร่างของบริกรคนนั้น  เขามองตามก่อนจะหันมาทางลีล “ทำไมคนๆนั้นต้องไม่พอใจด้วยล่ะ??”

    คำถามนั้นทำให้ลีลหันมามองด้วยสีหน้างงงวย  ก่อนจะมองตามสายตาของอาร์โรห์ไปพบกับบริกรคนเมื่อครู่ที่ในตอนนี้กำลังเกาะกลุ่มคุยกับเพื่อนและหันมามองทางพวกเขาด้วยสายตาที่แสดงถึงความประสงค์ร้าย  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ลีลหรืออาร์โรห์หวาดกลัวหรือวิตกกังวล

    ในตอนนั้นเองที่เสียงดนตรี และแสงไฟบนเวทีถูกเปิดขึ้นดึงความสนใจจากทั้งสองคนไป

    ชายสวมหน้ากากคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับรอยยิ้มการค้าที่ประดับบนใบหน้า

    “ยินดีต้อนรับท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน” อีกฝ่ายกล่าวพลางโค้งตัวลงไปด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรง  “กระผมเป็นผู้ดำเนินงานประมูลในครั้งนี้  กรุณาเรียกกระผมว่า...”

    “เลียร์  เวอเรจ”

    เพียงแค่นั้นก็ทำให้ร่างของอาร์โรห์สะดุ้งเฮือก  ชื่อที่ได้ยินนั่นเขาจำไม่มีวันลืม  เลียร์  เวอเรจ...ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างหน้าตางดงาม  เส้นผมและนัยน์ตาสีทองดูโดดเด่น...

    นัยน์ตาสีนิลของอินคิวบัสหนุ่มเพ่งมองไปยังร่างบนเวทีที่ยังคงเอ่ยเปิดงานประมูลต่อไป  เส้นผมสีทองที่ยาวลงมาถึงกลางหลังและน้ำเสียงไพเราะราวกับเครื่องดนตรีนั้นทำให้อาร์โรห์เชื่อไปกว่าครึ่งว่าอีกฝ่ายคือเลียร์  เวอเรจคนนั้นจริงๆ

    อาร์โรห์เผลอเหม่อลอยจนการประมูลผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีบริกรสองคนเดินเข้ามาหา

    หนึ่งในนั้นก้มลงมาพูดเบาๆพอให้ได้ยินกันเพียงสองคน

    “อาร์โรห์  เจ้าเหม่อนานเกินไปแล้วนะ”

    “อ๊ะ!” อาร์โรห์สะดุ้ง  แต่เมื่อมองไปยังคนพูดเขาก็กลับถอนหายใจออกมา “โถ่  เจ้าเองเหรอเดล...”

    “ก็ข้าน่ะสิ  คิดว่าเป็นใครล่ะ??” กล่าวทั้งๆที่นัยน์ตาต้องสาปสีแดงคู่นั้นแฝงแววขำขันเอาไว้ด้วย  อาร์โรห์ที่เห็นดังนั้นลอบทำหน้าบูด  ก่อนจะหันมาเอ่ยถาม “แล้ว...มีอะไรล่ะ??”

    “ของประมูลชิ้นต่อไปคือ...ลูน่า..”

    “อะ...ถึงแล้วงั้นเหรอ...”

    “ข้าก็แค่มาบอกให้เจ้าเตรียมตัวน่ะนะ  แล้วก็นี่..” เดลเอ่ยพลางดึงอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อกั๊กสีดำของชุดบริกร “คาร์ลบอกว่าให้เจ้าพกมันไปด้วยน่ะ”

    ได้ยินดังนั้นอาร์โรห์ก็เหลือบตาไปทางคาร์ลที่ยืนอยู่ด้านหลังเดล  อีกฝ่ายที่สังเกตเห็นว่าเขามองมาก็ทำเพียงยิ้มตอบ  เป็นเหตุให้อาร์โรห์รีบสะบัดหน้าหนีแล้วรับเอาสิ่งที่เดลถืออยู่ไปก่อนจะเริ่มมองสำรวจสิ่งที่อยู่ในมือ

    มันเป็นมีดขนาดยาวหนึ่งศอกเล่มหนึ่ง  ตัวด้ามถูกหล่อขึ้นมาจากโลหะบางอย่างที่มีสีดำสนิท  และตัวใบมีดถูกหล่อขึ้นมาด้วยโลหะที่คาดว่าไม่น่าจะมีในโลกมนุษย์สีเงินประกายแดง  ทั้งยังมีสลักตัวอักษรเวทไว้บนใบมีดซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะมีในโลกมนุษย์ได้

    อาร์โรห์พิจารณาสิ่งนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปทางลีลที่ยังคงใจจดใจจ่ออยู่กับการประมูลที่แข่งกันเสนอราคาจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง  ก่อนจะหันกลับมาที่มีดในมืออีกครั้ง  เพียงแค่แตะมือลงบนใบมีดโลหะสีเงินประกายแดงก็ถูกปิดทับด้วยปลอกมีดสีดำที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังเวท

    อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นไปหาเดล “ขอบใจมาก  เจ้ารีบไปเตรียมตัวกับคาร์ลเถอะ  มาอยู่ตรงนี้นานๆจะผิดสังเกตเอา”

    “รู้อยู่แล้วล่ะน่า  ไปกันเถอะคาร์ล”

    “อืม”

    ทั้งสองคนเดินออกไปรวมกับบริกรคนอื่นๆ  แสร้งทำเป็นว่าเป็นหนึ่งในบริกรที่ถูกจ้างมา  และแน่นอนว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อบริกรของที่นี่มีมากกว่าสิบคน

    “และก็มาถึงสินค้าชิ้นต่อไปของเรา...” เลียร์กล่าวพลางผายมือไปทางกรงที่ถูกผ้าสีม่วงคลุมเอาไว้ “ทุกท่านพร้อมหรือยังที่จะเชยชมสินค้าชิ้นนี้  หากพร้อมแล้วก็กรุณามองอย่าได้กระพริบตา  สินค้าชิ้นนี้เริ่มที่...”

    “...หนึ่งร้อยเหรียญทอง!!!” คำกล่าวนั้นมาพร้อมกับแรงกระชากที่มุมผ้าจนมันร่วงลงสู่พื้น  ร่างของลูน่าซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาวดูราวกับเทพธิดาผู้ใสสะอาดปรากฏให้เห็นผ่านซี่ลูกกรงสีเงิน ดวงตาของลูน่าปิดสนิท...เหมือนว่าเธอจะถูกวางยานอนหลับเพื่อป้องกันการหนี

    มีเสียงจอแจดังขึ้น  ถกเถียงกันเรื่องราคาเริ่มต้นที่สูงลิ่ว  แต่แล้วก็มีเศรษฐีกระเป๋าหนักคนหนึ่งเอ่ยเสนอราคาอันน่าตกใจขึ้น

    “ห้าร้อยเหรียญทอง!!!!

    “ว้าวๆ  มีเศรษฐีใจป้ำด้วยแฮะ” ลีลกล่าวพลางมองไปทางผู้เสนอราคาซึ่งเป็นเศรษฐีอายุอานามไม่น้อย  สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองลูน่านั้นช่างน่ารังเกียจเสียจนอาร์โรห์ที่มองอีกฝ่ายอยู่ขนลุกแทน

    หลังจากนั้นก็เริ่มมีอีกหลายคนที่เสนอราคาที่มากกว่านั้นมา  และสุดท้ายมันก็มาจบลงที่...

    “สามพันเหรียญทอง!!!

    “สามพันเหรียญทองครั้งที่หนึ่ง !

    “สามพันเหรียญทองครั้งที่สอง !

    “สามพันเหรียญทองครั้งที่สาม !

    “ปิดประมูลที่สามพันเหรียญทอง !

    “เชิญขึ้นมารับสินค้าขอรับ” เลียร์กล่าวพลางโค้งตัวเชิญผู้ที่เสนอราคาสามพันเหรียญทองอย่างสุภาพ  ชายผู้เป็นเจ้าของเงินจำนวนนั้นเดินขึ้นสู่เวทีก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างให้ได้ยินกับเลียร์เพียงสองคน  แต่หูของอาร์โรห์กลับได้ยินมันอย่างชัดเจน

    “ข้าหวังเหลือเกินที่จะได้เชยชมร่างกายของเจ้า  รวมทั้งเด็กหนุ่มคนนั้นที่เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟัง  หวังว่าเจ้าจะจับเขามาได้ในเร็ววันนะ”

    “หึๆๆ  ท่านนี่ใจร้อนเสียจริง  ท่านก็รู้นี่ขอรับว่าข้าจะไม่รับลูกค้าคนไหนทั้งสิ้นที่ไม่ถูกใจข้า  แต่ถ้าสำหรับเด็กหนุ่มผู้งดงามคนนั้นล่ะก็...อีกไม่นานทางเราก็จะนำเขามาปรนนิบัติท่านขอรับ”

    “งั้นก็ดี” กล่าวจบชายคนนั้นก็เดินเข้าไปใกล้กรงสีเงินที่ลูน่าถูกขังอยู่โดยที่ไม่ได้ยินสิ่งที่เลียร์พึมพำกับตนเองเลยแม้แต่น้อย

    “..ใช่แล้ว...นำไปปรนนิบัติท่าน...หลังจากที่ผ่านมือข้าไปแล้วน่ะนะ...ฮึๆๆ”

    อาร์โรห์ขนลุกขึ้นมาทันทีกับประโยคสนทนาที่ได้ยิน  ไม่ต้องคิดเลยว่า เด็กหนุ่มผู้งดงามคนนั้นเป็นใคร

    เลียร์เดินเข้าไปหากรงสีเงินโดยที่ในมือถือกุญแจดอกหนึ่งเอาไว้  เขาไขประตูกรงออก  เปิดให้ผู้ที่ประมูลสินค้าชิ้นนี้ได้เข้าไป  โดยที่ไม่รู้เลยว่าได้มีใครบางคนเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

    ลีลและอาร์โรห์นั่นเองที่ลุกขึ้นจากโต๊ะ  อาร์โรห์ใช้ความเร็วที่เกินกว่ามนุษย์จะทำได้เคลื่อนไปบนเวที  เข้าไปภายในกรงและพาลูน่าออกมาอยู่ด้านนอกได้ทันท่วงทีก่อนที่มือสกปรกของผู้ประมูลจะแตะถูก

    “ลูน่า...ลูน่า!” อาร์โรห์พยายามเขย่าเรียกสติของร่างในอ้อมแขนที่เขาในสภาพนี้คงจะพาหนีได้ไม่สะดวกนัก  แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ลูน่าก็ยังไม่ได้สติ  เหมือนว่าจะถูกยานอนหลับที่มีฤทธิ์รุนแรงจนทำให้หลับลึก

    อาร์โรห์ส่งเสียง ชิอย่างขัดใจ  แต่เมื่อเขามองลงไปทางด้านล่างของเวที และอีกสองคนที่อยู่บนเวที  เขาก็รีบก้มหน้าลง  หยิบเอาหน้ากากที่ปิดช่วงดวงตาเลยลงมาถึงช่วงริมฝีปากครึ่งหนึ่งสีขาวเรียบๆออกมาสวม

    “เจ้าเป็นใคร  บังอาจมายุ่งกับของของข้าได้ยังไง!!!?”

    “ขออภัยด้วยนะ  คนๆนี้คือเพื่อนของข้า  ข้าคงปล่อยให้นางถูกประมูลไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้” อาร์โรห์กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมา  ใบหน้าที่มีหน้ากากปกปิดทำให้แม้แต่เลียร์ก็ยังจำเขาไม่ได้...แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถวางใจอะไรได้  หากถูกจับได้และถูกถอดหน้ากาก  เลียร์จะต้องจำเขาได้อย่างแน่นอน...และถ้าถึงเวลานั้น  ตอนนั้นล่ะที่จะเกิดความวิบัติครั้งใหญ่กับเขา...

    “เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของลีลดังขึ้นเป็นเหตุให้อาร์โรห์หันไปมอง  อีกฝ่ายเองก็มีหน้ากากครึ่งหน้าสวมไว้เช่นกัน  และเมื่อลีลเห็นว่าอาร์โรห์ยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหนนอกจากหันมามองตนเองเธอจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปใกล้

    “ขอโทษด้วย  อยู่ในชุดนี้ข้าไม่สะดวกเท่าไหร่  เจ้าช่วยข้าแบกลูน่าไปทีได้ไหม?”

    “หืม??  อ้อ..ได้” ลีลรีบเข้ามาเอาร่างของลูน่าขึ้นหลังจากนั้นทั้งสองก็รีบพากันลงจากเวทีหมายจะออกจากสถานที่ประมูล  หากแต่ก็มีชายสวมชุดดำหลายต่อหลายคนเข้ามาขวางทาง

    อาร์โรห์ที่ในตอนนี้มือว่างเข้ามายืนขวางหน้าลีลเอาไว้  ก่อนจะค่อยๆดึงเอามีดยาวที่ซ่อนไว้ออกมา  แน่นอนว่าอยู่ในสภาพที่ยังคงอยู่ภายในปลอกมีด

    “ข้าไม่อยากจะทำพวกเจ้าบาดเจ็บหรอกนะ  ช่วยหลีกทางให้ด้วย”

    “อย่าหวังว่าคนที่บังอาจมาขโมยของๆข้าอย่างเจ้าจะหนีรอดไปได้นะ!!!” เสียงที่ดังมาจากบนเวทีทำให้อาร์โรห์รู้ว่าเจ้านายของคนเหล่านี้คือใคร

    “งั้นก็ช่วยไม่ได้...ข้าจะพยายามไม่ไห้ถึงตายก็แล้วกัน!!!” กล่าวจบอาร์โรห์ก็ดึงมีดออกจากฝักก่อนจะพุ่งเข้าใส่หนึ่งในกลุ่มคนที่ขวางทางเขา  ใช้ด้ามมีดกระแทกเข้าที่หลังคอของอีกฝ่ายจนร่างนั้นทรุดลงกับพื้นสลบไปด้วยแรงที่ถูกยั้งเอาไว้...ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายก็คงจะคอหักไปแล้ว...

    จากนั้นอาร์โรห์ก็พุ่งเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ๆ  หากแต่การโจมตีครั้งแรกทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหันดาบมาทางเขา  ก่อนจะจ้วงแทงดาบเล่มนั้นออกมาด้วยความหวาดกลัวในความเร็วเกินขีดจำกัดมนุษย์ของอาร์โรห์

    เขาทำเพียงขยับหลบไปเพียงไม่กี่องศาก่อนจะหักข้อมือแทงมีดใส่ชายคนนั้นเข้าที่ไหล่ขวาซึ่งเป็นจุดที่ไม่สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้ไปโดนเส้นเลือดใหญ่เข้า  แต่มันก็สามารถทำให้อีกฝ่ายหมดสภาพในการต่อสู้ไปจนกว่าจะได้รับการรักษา

    อาร์โรห์เคลื่อนไหวไปมาในกลุ่มของศัตรูอย่างลื่นไหลราวกับกำลังแสดงการเต้นรำอันงดงามที่มีสีเงินประกายแดงของใบมีดและมีสีแดงสดของเลือดเป็นสิ่งประกอบฉาก

    และแล้วร่างสุดท้ายก็ล้มลง  เหลือเพียงอาร์โรห์ที่ร่างกายยังคงสะอาดเอี่ยมยืนอยู่  รอบๆคือร่างของชายฉกรรจ์ที่เมื่อครู่ยังยืนกันหน้าสลอนแต่บัดนี้กลับลงไปนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น  บางคนก็สลบเหมือดด้วยการฟาดฝ่ามือลงบนท้ายทอยของอาร์โรห์

    ...อาจเรียกได้ว่าฝีมือของอาร์โรห์นั้น...เฉียบขาด...

    ลีลที่เห็นการต่อสู้ของอาร์โรห์ยืนนิ่งด้วยความไม่อยากเชื่อ  แน่นอนว่าเธอเคยเห็นอาร์โรห์หักข้อมืคนอื่นด้วยมือเปล่ามาก่อน  แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้เธอรู้ว่าฝีมือของอาร์โรห์เรียกได้ว่าหาคนมาเทียบได้ยากยิ่ง

    “ลีล!  เจ้ามัวทำอะไรอยู่  รีบมาเร็ว!” เสียงเรียกของอาร์โรห์ทำให้ลีลได้สติและรีบตามอาร์โรห์ออกไปนอกสถานที่ประมูล  ที่หน้าประตูนั้นมีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่บนนั้นมีชายหนุ่มอยู่สองคน  คนหนึ่งเปิดประตูคอยอยู่ในรถม้า  ส่วนอีกคนหนึ่งคอยกุมบังเหียนที่เชื่อมกับม้าเอาไว้พร้อมออกตัวทุกเมื่อ

    ทั้งสองคนนั้นคือคาร์ลและเดล  แน่นอนว่าคนที่คอยอยู่ในรถต้องเป็นคาร์ลซึ่งเป็นอินคิวบัสที่เคยแต่สยายปีกบินอยู่บนฟ้า และเดินด้วยเท้าเท่านั้น

    อาร์โรห์เป็นฝ่ายขึ้นไปบนรถม้าก่อน  จากนั้นจึงหันมาช่วยพาเอาร่างของลูน่าขึ้นมานอนบนเบาะรถเพื่อให้ลีลขึ้นมาได้สะดวก

    หลังจากที่ทุกคนขึ้นมาบนรถม้าเรียบร้อยแล้วเดลก็สะบัดบังเหียนออกรถทันที

     

    พวกเขาจอดรถม้าลงที่หน้าโรงแรมที่พวกเขาพัก  ในเวลาที่ฟ้ามืดไปมากกว่าสี่ชั่วโมงเช่นนี้จึงไม่มีใครลงมานั่งที่ร้านอาหารด้านล่างเลย  คาดว่าคนส่วนใหญ่คงจะเข้านอนไปแล้ว

    เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองซึ่งเป็นเขตของห้องพักลีลก็เป็นฝ่ายแยกตัวกลับไปยังห้องของตนเอง  ส่วนพวกอาร์โรห์ก็เดินกลับเข้าห้องพักของตนเอง  ก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกย้ายไปทำเรื่องจิปาถะของตนเอง

    อาร์โรห์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงทั้งสภาพที่ยังคงสวมกระโปรง  วันนี้เขารู้สึกว่าสูญเสียพลังไปมาก  ไม่ใช่เรื่องของพลังเวทหรือพลังกาย  แต่เป็นเรื่องของพลังใจที่ทำเอาเขาหมดอารมณ์จะทำอย่างอื่นไปสักพัก

    “อาร์โรห์”

    “ไม่ใช่ตอนนี้คาร์ล  วันนี้ข้าเหนื่อยสุดๆเลย”

    “ข้าแค่จะถามเรื่องอาการของเจ้า” เพียงแค่นั้นก็ทำเอาอาร์โรห์ที่กำลังจะทิ้งตัวลงนอนชะงักกึก  เขาหันมามองคาร์ลที่นั่งอยู่เตียงข้างๆด้วยสีหน้าจริงจัง

    ...อาการของเขา...

    “ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าหายจากอาการนั้นได้ยังไง”

    ...หายได้ยังไง...นั่นสิ...เขาหายได้ยังไง...

    “คงเพราะ...ได้นอนพักล่ะมั้ง...”

    “ไม่  อาการของเจ้าไม่มีทางหายถ้าเจ้าไม่ได้รับพลังชีวิตของมนุษย์”

    อะไรนะ!?..

    “จ...เจ้าหมายความว่ายังไง...”

    “ไม่เข้าใจหรือไง  นั่นคืออาการลงแดงเมื่อไม่ได้ดื่มกินพลังชีวิตของมนุษย์  ข้าคิดมาทั้งวันว่าอาการของเจ้ามันคุ้นๆเหมือนเคยเห็นมาก่อน  จนกระทั่งเมื่อกี้นี้ข้าถึงได้นึกออก”

    “ล...แล้วข้าหายได้ยังไง...”

    “เจ้าพอจะมีความทรงจำแปลกๆหลงเหลืออยู่บ้างไหม  อย่างเช่นภาพของหญิงสาวที่เจ้าไม่รู้จักน่ะ??”

    อาร์โรห์นิ่งคิด  ความทรงจำที่เขารู้สึกว่าไม่ควรที่จะมี  ความทรงจำที่เหมือนจะไม่ใช่ของเขาแต่ก็เป็นของเขา  ความทรงจำแปลกประหลาดที่จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่  และ...

    ...หญิงสาว...

    ภาพของหญิงสาวที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างทำเอาอาร์โรห์สะดุ้งเฮือก

    ...หรือว่า..

    คาร์ลที่คอยมองปฏิกิริยาของอาร์โรห์อยู่สังเกตเห็นอาการของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก  อย่างที่เขาคาด...อาร์โรห์คงจะทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้วจริงๆ...

    “ค...คาร์ล...ข...ข้าจะทำยังไงดี...” อาร์โรห์กล่าวถามทั้งสภาพปากคอสั่น “ถ...ถ้าข้ามีอาการแบบนั้นอีก...ข้าจะเผลอทำร้ายใครอีกก็ไม่รู้...ข...ข้าจะทำยังไงดี...”

    คาร์ลมองท่าทีของคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตานิ่งสงบอย่างหาได้ยาก  หากแต่อาร์โรห์ที่ยังคงปะติปะต่อเรื่องราวไม่ได้และยังคงมีท่าทีกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ได้รู้สึกถึงมันเลย

    “มีทางเดียว  เจ้าต้องออกหาเหยื่อ  ไม่ต้องทุกวันก็ได้  แต่อย่างน้อยต้องอาทิตย์ละครั้ง  ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะมีอาการลงแดงอีก”

    “แต่ว่าข้าไม่...!” ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรออกไปมากกว่านั้นใบหน้าของเขาก็ถูกประคองให้เงยขึ้นด้วยฝีมือของคาร์ลให้สบมองกับนัยน์ตาสีเงินที่บัดนี้นิ่งสงบอย่างที่ไม่เคยเป็น

    “อย่าได้ลืมนะอาร์โรห์  ทั้งเจ้าและข้าต่างก็เป็นอินคิวบัสที่ต้องดื่มกินพลังชีวิตของมนุษย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง  ก่อนหน้านี้เจ้าเองก็ดื่มกินพลังชีวิตของมนุษย์มาโดยตลอด  และเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าอาการลงแดงนั่นมันทรมานขนาดไหน  เจ้าจะทนแล้วให้อาการลงแดงกำเริบ  เข้าควบคุมสติของเจ้าจนเจ้าเผลอทำร้ายคนที่รู้จักหรือยังไง”

    “แบบนั้น...ไม่เอาหรอก...” อาร์โรห์กล่าวด้วยเสียงที่เบาหวิวพลางหลบสายตาที่มองมา...แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการทำร้ายคนที่รู้จัก  และยิ่งไม่อยากให้อาการลงแดงที่แสนทรมานนั่นกำเริบขึ้นมา...แต่ว่า...เขาเองก็ไม่อยากจะทำร้ายใครทั้งนั้นนี่นา...ไม่อยากแม้กระทั่งกับคนที่ไม่รู้จัก...

    “ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าก็ปฏิเสธที่จะหาเหยื่อไม่ได้” กล่าวพลางละมือออกจากใบหน้าของอาร์โรห์  กลับมายืนเหยียดตรงเต็มความสูงอีกครั้ง

    “...ข้า...เข้าใจแล้ว...” แม้จะกล่าวเช่นนั้น  แต่ในจิตใจกลับมีความรู้สึกราวกับมีตะกั่วใส่เอาไว้จนหนักอึ้ง

     

    _________________________________________________________
    ในที่สุดก็มีเวลามาลงค่ะ
    ช่วงนี้เรียนหยักมาก  เรียนทุกวัน  แต่ก็จะพยายามหาเวลามาอัพนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×