คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3
บทที่ 3
คาร์ลกำลังตรงไปยังบ้านที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังของอาร์โรห์ แต่เขาก็ต้องชะงักอยู่หน้าประตูบ้านหลังนั้นเมื่อกลิ่นคาวเลือดคลุ้งออกมาจากภายในจนแม้แต่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเขาก็ยังรู้สึกได้ นอกจากนั้นกลิ่นเลือดนั้นยังมีกลิ่นหวานๆอันเป็นลักษณะของเลือดอินคิวบัสปะปนมาด้วย
...เกิดอะไรขึ้น...
อินคิวบัสหนุ่มหันมองรอบด้านครู่หนึ่ง เมื่อไม่พบใครเขาจึงหลับตาลงและแผ่พลังออกไป สร้างอาณาเขตที่มีเพียงเขาและคนที่อยู่ในบ้านเท่านั้น จากนั้นเขาจึงเปิดประตูเข้าไป
สภาพเละเทะภายในบ้านทำให้คาร์ลขมวดคิ้วมุ่น ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหานานเขาก็พบร่างของอาร์โรห์ที่นั่งอยู่บนพื้นในมุมหนึ่งของบ้าน ร่างนั้นเปรอะเปื้อนเลือดสีชาดไปทั่วทั้งตัว ข้างๆนั้นเป็นเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้อาร์โรห์ชอบที่จะมายังโลกมนุษย์นอนหลับตานิ่งราวกับว่ายังคงวนเวียนอยู่ในห้วงฝัน
เขาปรี่เข้าไปหาร่างนั้น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นซากศพเย็นชืดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในจุดที่ห่างออกไปไม่มากนัก
...นั่นมัน...
กลิ่นเลือดหวานๆโชยเข้ามาในจมูกของคาลร์อีกครั้ง
...ชัดเจนแล้ว...อาร์โรห์...ได้ทรยศเผ่าพันธุ์...
กึง !
กึง !!
กึง !!!
เปรี๊ยะ !!!!
เสียงกระแทกกับเกราะที่คาร์ลสร้างไว้ดังขึ้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงคล้ายมีอะไรบางอย่างปริร้าว นั่นเรียกให้อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมามองร่างผู้มาใหม่
คาร์ลเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา เขาจึงได้มองสบดวงตาสีนิลของอีกฝ่ายกลับ
“ต้องการอะไร ?” อาร์โรห์กล่าวเสียงราบเรียบ ก่อนจะเหลือบมองด้านนอกเมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งปริร้าวดังมาจากด้านนอกอีกครั้ง “ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรมาอยู่ที่นี่หรอกนะ”
“แต่ข้าก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” คาร์ลกล่าวก่อนจะเผยยิ้มที่ไร้ความหมายออกมา “ข้าคิดว่าข้าน่าจะมีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย...เจ้าว่างั้นมั้ย อาร์โรห์ ?”
ผู้ถูกเอ่ยชื่อไม่ตอบ เขาเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง
เปรี๊ยะ !!!!!!
เสียงนั้นเรียกให้อาร์โรห์และคาร์ลหันกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดคุยกัน อาร์โรห์รีบผุดลุกขึ้น ใช้เวทพรางตาครอบคลุมร่างของตนเองทำให้คนอื่นเห็นว่าร่างกายของเขาไม่ได้มีเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว แม้เสื้อผ้าจะยังมีรอยขาด และยังมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆ อยู่ประปรายก็ตาม จากนั้นเขาก็เริ่มวิ่งขึ้นไปตามบันได แต่เหมือนมันจะยังเร็วไม่ทันใจเขาเท่าไหร่ปีกสีดำจึงได้ถูกสยายออกก่อนที่ร่างของอาร์โรห์จะหายขึ้นไปบนชั้นสอง และกลับลงมาพร้อมกับร่างของเด็กสาวในอ้อมแขน
คาร์ลมองร่างหลับสนิทนั้นก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น ขณะที่กำลังเรียบเรียงคำพูดต่างๆนั่นเอง เสียง ๆ หนึ่งก็ทำให้เขาล้มเลิกที่จะกล่าวสิ่งใดอีก เขาฉุดเอาร่างของเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆขึ้นมาก่อนที่เขาจะเริ่มร่ายเวทเบาๆ
วงเวทปรากฏขึ้นบนพื้น มันกว้างไปจนถึงอาร์โรห์ที่รีบเข้ามายืนใกล้ๆเพื่อให้เวทสามารถส่งผลมาถึงเขาได้ จากนั้นทั้งสี่ก็หายออกไปจากบ้านหลังนั้น เหลือไว้เพียงซากศพที่เป็นได้เพียงพยานไร้เสียงว่าพวกเขาได้จากบ้านหลังนั้นมาด้วยวิธีใด...
เท้าของอาร์โรห์แตะลงบนพื้นหญ้าสีเขียวเข้ม ก่อนที่เขาจะรีบวางร่างของลูน่าลงให้นอนราบกับพื้นจากนั้นจึงได้รีบเดินผละออกมา ไปหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกช่วงหนึ่งจากนั้นก็เริ่มขย้อนบางอย่างออกมาทางริมฝีปาก รสเปรี้ยวและกลิ่นเหม็นที่คลุ้งอยู่รอบ ๆ ทำเอาเขามึนหัวไปพักหนึ่ง จนต้องเอามือยันต้นไม้เอาไว้เพื่อพยุงร่างกายที่หมดแรงไปเสียดื้อๆไม่ให้ล้มลง
...ครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสการฆ่าฟัน...และเวทเคลื่อนย้ายที่ทำให้เขาอ้วกแตก !!!
เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากจุดที่เขาวางร่างของลูน่าเอาไว้ เสียงนั้นไม่ใช่ทั้งเสียงของเดล และลูน่า เขาเชื่อว่าอย่างน้อยกว่าเดลจะฟี้นก็คงพรุ่งนี้เช้า ส่วนลูน่าก็ท่าทางจะเป็นจำพวกหลับลึก ไม่มีทางตื่นขึ้นมาง่าย ๆ แน่ ยิ่งโดนร่ายเวทนิทราใส่ คาดว่ากว่าจะตื่นขึ้นมาก็คงจะเที่ยงๆของวันพรุ่งนี้
...เพราะฉะนั้น คนๆเดียวที่จะมาส่งเสียงหัวเราะที่นี่ได้จึงมีเพียงแค่ผู้ที่ใช้เวทเคลื่อนย้ายที่บิดเบี้ยวนั่น...คาร์ลนั่นเอง
อาร์โรห์ค้อนควบ แม้ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยเพราะระยะห่าง แต่รังสีแปลกๆ รอบๆ ตัวเขาในตอนนี้น่ะต้องไปถึงอีกฝ่ายได้แน่ๆล่ะ!
แต่กลับกัน เสียงหัวเราะกลับยิ่งดังขึ้นจนอาร์โรห์ต้องส่งเสียง ‘ชิ’ ออกมา
พวกเขาตัดสินใจพักกัน ณ ที่นั้น พวกเขาก่อกองไฟขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับมนุษย์ทั้งสองคนในคณะเดินทาง คาร์ลบอกว่าเขาจะเป็นคนเฝ้ากองไฟให้ ให้อาร์โรห์ไปจัดการตัวเองที่ลำธารใกล้ๆแล้วพักผ่อนซะ
ด้วยความสามารถของอินคิวบัส ทำให้อาร์โรห์และคาลร์สามารถรับรู้ได้ว่าสถานที่ใดมีน้ำที่สะอาดและดื่มกินได้ นอกจากนี้ยังสามารถระบุระยะทางได้ และในตอนนี้ลำธารที่ว่านั้นก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่
อาร์โรห์ทำเพียงส่งเสียงในลำคอตอบรับแล้วเดินตรงดิ่งไปยังลำธารที่ว่า เดินไปได้ไม่กี่นาทีลำธารใสสะอาดก็ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าเขา
อินคิวบัสที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มก้าวเข้าไปที่ริมลำธารด้วยใบหน้าที่อ่อนลง แสงจันทร์สาดส่องลงมาทำให้สามารถเห็นร่างของอาร์โรห์เป็นเพียงเงาดำรูปคน มองเห็นได้เพียงอิริยาบถต่างๆที่ไม่อาจจะเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนตั้งแต่การปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างก่อนจะก้าวลงไปในลำธาร ความลึกของลำธารทำให้เห็นได้เพียงส่วนที่เลยไหล่ลาดขึ้นมา ภาพนั้นคล้ายกับว่ามีเงือกปรากฏขึ้นในโลกของมนุษย์
ทุกท่วงท่าของอาร์โรห์ที่สนุกอยู่กับการเล่นน้ำทำให้เขาดูราวกับกำลังเริงระบำ เขาเผลอจนลืมระวังตัว ไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าคาร์ลได้แอบตามเขามา
ริมฝีปากของคาร์ลเผยยิ้มขันเมื่อเห็นท่าทีราวกับเด็กๆของอาร์โรห์ เขาเชื่อว่าจะต้องไม่เคยมีใครเห็นภาพนี้แน่ และถึงเขาจะเอาไปบอกใครทุกคนก็คงจะคิดว่าเขาเห็นภาพหลอน เพราะนิสัยของอาร์โรห์ที่มักแสดงออกมาคือความเย็นชา ไม่ใช่ความสดใสร่าเริงในแบบที่อินคิวบัสรุ่นเดียวกันมี
ครั้งแรกที่พบกับอาร์โรห์คือเมื่อไหร่กันนะ...
...ทั้งๆที่มันน่าจะผ่านมาหลายปี แต่ภาพในตอนนั้นกลับยังคงแจ่มชัดในสมอง ภาพของร่างเล็กๆที่สั่นเทาเพราะการร้องไห้ นั่งขดอยู่ที่สวนสีดำสนิทในโลกปีศาจ ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนหรือแม้แต่คิดจะเข้าไปปลอบ...
คาร์ลที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มหลบอยู่ใต้ต้นไม้มองร่างของเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งร้องไห้จนสั่นไปทั้งตัว
คาร์ลไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายร้องไห้อยู่คนเดียว ทั้งๆที่อย่างน้อยก็ควรจะมี ‘ซัคคิวบัส’ ผู้ให้กำเนิดคอยอยู่ข้างๆอีกฝ่ายด้วย แต่นี่...เขาไม่เห็นแม้แต่เงาเสียด้วยซ้ำ...
อินคิวบัสหนุ่มคิดไปพลางเดินไปพลาง และโดยไม่รู้ตัว เขาก็มาหยุดยืนอยู่ข้างๆร่างของอีกฝ่ายแล้ว
เหมือนร่างเล็กนั้นจะรู้สึกได้ ดวงหน้าเล็กๆนั้นจึงได้เงยขึ้น นัยน์ตากลมโตสีนิลคลอน้ำตามองตรงมายังเขา เครื่องหน้าที่ราวกับถูกบรรจงสรรสร้างโดยราชาปีศาจชาฮาลผู้รักใคร่ในความงดงามที่สมบูรณ์แบบจัดเรียงอย่างลงตัวบนใบหน้าที่มีผิวละเอียดนุ่ม
คำแรกที่เขาคิดคือ...น่ารัก...
ดูอย่างไรอายุของอีกฝ่ายก็น้อยกว่าเขาอย่างน้อยห้าปี ยังอยู่ในช่วงวัยที่กำลังร่าเริงสดใส เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมาอยู่ตรงนี้คนเดียว
คาร์ลย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย ก่อนจะเผยยิ้มเป็นมิตรที่น้อยนักจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แม่เจ้าล่ะ ? ทำไมนางถึงปล่อยให้เจ้ามานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ ?”
เมื่อคำถามนั้นจบลง อีกฝ่ายก็เริ่มเบ้หน้า ก่อนจะร้องไห้จ้าออกมาจนคาลร์ตกใจ รีบเข้าไปปลอบเสียยกใหญ่ แต่เขาก็ต้องกลืนเอาคำปลอบทั้งหมดลงเมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดทั้งเสียงสะอื้น “ท่านแม่...ฮึก...ท่านแม่ไปเข้าร่วมสงคราม...แต่ว่า...ทั้งๆที่คนอื่นกลับมากันแล้ว...ฮึก...แต่ทำไม...นางยังไม่กลับมาเสียที...ข้ารอมาสามวัน แต่ทำไมนางไม่กลับมา...นางเกลียดข้าแล้ว...นางทิ้งข้าแล้ว...ฮึก...ฮือออออ” มือทั้งสองข้างพยายามปาดน้ำตาบนใบหน้า แต่เหมือนมันจะยิ่งไหลออกมามากขึ้นจนหยุดไม่ได้
คาร์ลทำได้เพียงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขมขื่น...ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายไม่รัก แต่คาดว่าคงจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้วมากกว่า...
...บางที...อาจจะตายไปแล้วก็ได้...แม่ของเด็กคนนี้น่ะ...
“เจ้าชื่ออะไรเหรอ เด็กน้อย ?”
“ฮึก...อาร์โรห์...อาร์โรห์ เลอร์จิล...”
คาร์ลเผยยิ้ม “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อคาร์ล ราคัส เรียกข้าว่าคาร์ลเฉยๆก็ได้...อาร์โรห์”
ดวงตากลมโตกระพริบเบา ๆ ก่อนที่ใบหน้าเล็ก ๆ จะขยับขึ้นลงช้า ๆ เป็นการพยักหน้า
...และนั่น...ก็คือการพบกันครั้งแรกของพวกเขา...
อาร์โรห์กลับมาที่จุดพักเงียบๆ เส้นผมสีดำที่ถูกทำให้แห้งด้วยเวทพลิ้วไหวเบา ๆ ไปตามการเคลื่อนไหวของเจ้าของ เขานั่งลงในจุดๆหนึ่งที่ห่างออกไปจากกองไฟอีกเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลง ทว่าประสาทกลับขึงตึง ไม่อาจที่จะทำให้จิตใจสงบแล้วหลับลงได้
...อยู่แบบนี้ไม่ได้...อีกไม่นานจะต้องมีใครสักคนมาเจอพวกเขาแน่...แล้วถ้าไม่รีบหนี ทุกคนก็จะถูกฆ่า...ต้องรีบออกเดินทางต่อให้เร็วที่สุด...
“อาร์โรห์ ข้าว่าเจ้าควรจะหลับได้แล้วนะ” เสียงของคาร์ลเรียกให้ความคิดของอาร์โรห์หยุดชะงัก ดวงตาที่เรียวขึ้นเล็กน้อยถูกเปิดขึ้น ก่อนจะกลอกมองไปทางผู้พูด...คาร์ลนั่นเอง...
ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าเหนื่อยแล้ว พักเสียเถอะ”
“ข้าไม่เป็นไร” อาร์โรห์กล่าวปัดๆ “ข้าแปลกใจเจ้ามากกว่า ทั้งๆที่เจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทำไมเจ้าต้องมากับข้าด้วย ? ยังมีอีก ทั้งๆที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่เจ้ากลับยังยิ้มออก ข้าไม่รู้จริงๆว่าสรุปเจ้าสติไม่ดี หรือเจ้าไม่ยี่หระกับสิ่งใดกันแน่...” บางทีนี่อาจเป็นประโยคที่อาร์โรห์พูดกับอินคิวบัสด้วยกันยาวที่สุดเท่าที่เคยพูดมาเลยก็เป็นได้
คาร์ลเลิกคิ้ว “ก็ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกัน ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้นหรอก”
ดูเหมือนคำตอบที่ได้จะไม่ค่อยเข้าหูผู้ถามสักเท่าไหร่ คิ้วเรียวจึงถูกขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่คิดจะซักไซ้ต่อให้มากความ ดวงตาสีดำจึงค่อยๆปิดลงอีกครั้ง
เขาได้ยินเสียงเพลงเบาๆที่ถูกบรรเลงโดยฮาร์โมนิก้าดังขึ้น ราวกับจะช่วยขับกล่อมให้เด็กดื้อเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ เลิกคิดฟุ้งซ่านให้เสียเวลาพักผ่อน...สติของอาร์โรห์ค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราที่มืดมิดและสงบนิ่ง...เสียงเพลงอันไพเราะที่ช่วยขับกล่อมให้เข้าสู่ห้วงนิทรานี้ยังคงดังต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีที่เงียบสงบ...ราวกับต้องการจะให้ทุก ๆ สรรพสิ่งได้รับฟังและเข้าสู่ห้วงนิทรานี้ไปพร้อมๆกัน...
เช้าวันใหม่มาเยือนโดยไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น อาร์โรห์ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายที่กลับมาสมบูรณ์ พร้อมออกเดินทาง เดลและลูน่ายังคงไม่มีใครตื่น ส่วนคาร์ลนั้นเข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
...หายไปไหนนะ...
อาร์โรห์มองไปรอบ ๆ แสงของดวงอาทิตย์ที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาจำเป็นต้องหรี่ตาลง แต่เมื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงได้ เขาก็ทำได้เพียงชะงักนิ่งอยู่กับที่ ความงดงามของโลกมนุษย์ยามที่ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าคือสิ่งที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน และในตอนนี้ ที่ตรงหน้าเขานี้คือต้นไม้สูงใหญ่ที่ในโลกปีศาจไม่มีทางจะมี ใบไม้สีเขียวสดแผ่อาณาเขตออกไปจนแทบจะมิดผืนฟ้า เหล่าสรรพสัตว์ต่างเริ่มที่จะออกมาจากรังเพื่อหาอาหาร เสียงแมลงร้องดังคลอไปกับเสียงสายลมแผ่วเบา
เสียงฮาร์โมนิก้าดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงเป็นเพลงที่ไพเราะ และสงบ แต่ก็ฟังดูสดใสเหมาะแก่การต้อนรับยามเช้า ราวกับจะเป็นเพลงที่ใช้ปลุกผู้คนให้ตื่นขึ้นมาฟังเสียงเพลงนี้และเริ่มออกมาทำงาน ใช้ชีวิตประจำวันที่แสนสงบสุข
อาร์โรห์ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ยินเสียงเพลงนั้น เขาเดินตามเสียงเพลงไปด้วยความอยากรู้
และแล้วเขาก็มาถึงจุดที่กำเนิดเสียงเพลง ร่างๆหนึ่งกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้หลับตาลงเป่าฮาร์โมนิก้าในมืออย่างเพลิดเพลิน สายลมแผ่วเบาพัดผ่านมา พาเอาใบไม้และกลีบดอกไม้มาพร้อมๆกับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ เขาจะไม่แปลกใจเลยหากอีกฝ่ายไม่ใช่ คาร์ล ราคัส อินคิวบัสหนุ่มที่ทำตัวราวกับเป็นผู้ปกครองของเขา
เสียงดนตรีชะงักลง เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวแล้วว่าถูกมองอยู่
“เจ้าตื่นแล้วเหรออาร์โรห์ ? ข้าทำให้เจ้าตื่นรึเปล่า??” เสียงอีกฝ่ายกล่าวมาด้วยระดับเสียงที่ไม่ได้ดังมากนัก แต่อาร์โรห์ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
อาร์โรห์ก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายก่อนจะหย่อนกายลงนั่งข้างๆคาร์ล โดยไม่มีแม้แต่เสียงเอ่ยถามออกมาจากริมฝีปากถึงสิ่งที่สงสัยเลยสักคำ มีเพียงดวงตาสงสัยที่มองไปยังฮาร์โมนิก้าในมือของคาร์ลเท่านั้นที่ทำให้คาร์ลรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยว่า คนอย่างเขาเล่นเครื่องดนตรีเป็นด้วยหรือ??
คาร์ลหัวเราะเบาๆ ไม่ได้รู้สึกถือสากับสายตาของผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย
“ข้าดูไม่เหมาะกับเครื่องดนตรีอย่างฮาร์โมนิก้าสินะ” คาร์ลกล่าวขึ้นเรียกให้อาร์โรห์ต้องละสายตาออกจากฮาร์โมนิก้าในมือของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้า
คาร์ลที่เห็นดังนั้นหลุดหัวเราะพรืดกับท่าทางของอาร์โรห์ที่ราวกับเด็กอยากรู้อยากเห็น...แบบนี้สิถึงจะเหมาะกับอายุของอีกฝ่ายจริงๆ ไม่ใช่ทำเป็นเย็นชาไม่สนใจอะไรทั้งๆที่มีเรื่องอีกมากมายที่อยากจะพูดอยากจะรู้
เด็กน่ะ ต้องถามในสิ่งที่อยากรู้ออกมาถึงจะถูก
“ข้าก็คิดว่ามันไม่เหมาะกับข้าเหมือนกัน แต่สิ่งนี้...คือสิ่งเดียวที่เชื่อมข้าและพ่อของข้าไว้...”คาร์ลมีสีหน้าอ่อนลงเมื่อมองฮาร์โมนิก้าในมือ
อาร์โรห์มองอีกฝ่ายแล้วก็พอจะเข้าใจ อินคิวบัสและซัคคิวบัสน้อยนักที่จะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ และส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดจากซัคคิวบัสจึงแทบจะไม่เคยมีใครได้เห็นบิดาผู้ให้กำเนิด จะรู้จักก็เพียงมารดาของตนเองเท่านั้น ถึงแม้จะมีบางส่วนที่เกิดขึ้นมาจากอินคิวบัสและมนุษย์ผู้หญิง และเป็นฝ่ายพ่อที่พาเอาบุตรเข้ามาในโลกปีศาจ แต่นั่นถือเป็นความผิด อินคิวบัสจึงมักจะถูกฆ่าตายในทันทีก่อนที่เด็กที่ถูกพามาด้วยจะถูกนำไปชุบเลี้ยงในฐานะปีศาจ
...และคาร์ลก็เป็นประเภทอย่างสุดท้าย เขารู้จักทั้งพ่อและแม่ของตนเอง แต่ก็ไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์...
ความเงียบเริ่มโรยตัวลงมาระหว่างอินคิวบัสหนุ่มทั้งสอง ไม่มีใครคิดจะเอ่ยขัดความเงียบที่แม้แต่เหล่าสัตว์ตัวเล็กๆก็ยังไม่กล้าแม้กระทั่งจะส่งเสียงรบกวน
แซ่กๆ แซ่กๆ
เสียงใบไม้ถูกแหวกออกทำให้อินคิวบัสหนุ่มทั้งสองหันควบไปมอง ประสาทตื่นตัวราวกับเพิ่งนึกได้ว่าพวกตนยังคงอยู่ระหว่างหลบหนี ทว่าพวกเขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกเมื่อพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้นเป็นหนึ่งในคนที่พวกเขาดึงเข้ามาพัวพันด้วยเช่นเดล
เดลเดินเข้ามาหาทั้งสอง มือยกขึ้นกุมหัว ท่าทางคงจะยังมีอาการปวดหัวหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย เด็กหนุ่มนั่งลงตรงหน้าทั้งสอง สะบัดหัวสองสามทีแล้วจึงได้มองทั้งสองด้วยสีหน้ามึนงง
“นี่ใคร ??” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมองคาร์ล สีหน้าไม่ไว้วางใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา อาร์โรห์ที่เห็นดังนั้นจึงเป็นผู้กล่าวขึ้น ในฐานะที่เขาเป็นคนกลาง และต่อแต่นี้ไปพวกเขาจะต้องร่วมทางกันไปอีกนาน
“นี่คือคาร์ล ราคัส เพื่อนของข้าเอง คาร์ล นี่เดล รีการ์ด” อาร์โรห์กล่าวพลางผายมือไปยังเจ้าของชื่อที่เขาเอ่ยแนะนำ เดลคลายสีหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาหาอาร์โรห์ “ว่าแต่ว่า ทำไมข้ากับลูน่าถึงมาอยู่ที่นี่??”
คำถามนั้นทำเอาอาร์โรห์สะอึก รีบปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุดก่อนจะหันกลับมาสบตากับเดลอีกครั้ง “เจ้าจำไม่ได้ ??” แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ความจริงแล้วรู้สึกกลัวเหลือเกินว่าเวทจะใช้ไม่ได้ผลกับอีกฝ่าย แต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้อาร์โรห์โล่งใจขึ้น เมื่อเดลส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงบอกว่าเขาจำไม่ได้จริงๆ
“มีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านของเจ้า ตอนนี้ที่นั่นเละเทะไปหมดแล้ว อีกอย่างพวกข้าเองก็ถูกตามล่าเลยจำเป็นต้องพาพวกเจ้าหนีอออกมา” อาร์โรห์กล่าวด้วยหัวใจที่เต้นแรง กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าเขานั้นพูดสิ่งที่เกิดขึ้นออกไปไม่หมด แต่สิ่งที่เขากังวลก็ไม่เกิดขึ้น เดลไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร และพวกเขาก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง
พวกเขาเดินทางมาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ประตูทางเข้าหมู่บ้านเป็นเพียงไม่ท่อนที่เอามาเชื่อมกันอย่างลวกๆให้กลายเป็นซุ้มทางเข้า ตัวหมู่บ้านเองก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่คาดว่าคนภายในคงจะรู้จักกันหมด
โครก~
เสียงท้องร้องที่ทำให้สองปีศาจมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปหามนุษย์คนเดียวที่ยังคงตื่นอยู่และยืนอยู่หลังสุดของขบวนเดินทางเล็กๆนี้
เดลหน้าขึ้นสีระเรื่อ เมื่อรู้ตัวว่ากระเพาะไม่รักดีดันมาร้องเอาตอนนี้ มันก็น่าอยู่หรอกเพราะตั้งแต่เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้กินอะไรเลย แล้วยังต้องมาเดินอีกเป็นชั่วโมงจนถึงตอนนี้โดยที่กระเพาะว่างเปล่า ถ้าไม่หิวสิถึงจะแปลก
อันที่จริงตอนแรกคาร์ลเสนอว่าเขาจะใช้เวทเคลื่อนย้ายเป็นระยะๆให้ แต่ฝ่ายอาร์โรห์เองก็ยื่นคำขาดว่าเขาไม่อยากจะเข้าไปอยู่ในเวทเคลื่อนย้ายบิดๆเบี้ยวๆนั่นอีกแล้ว คาร์ลจึงจำใจต้องยอมเดินมาพร้อมๆกับอาร์โรห์ และเดล
“ข้าว่า...เราหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า...” เป็นคาร์ลที่กล่าวขึ้นโดยมีอาร์โรห์พยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเดลกล่าวว่าพวกเขาขาดปัจจัยสำคัญไปอย่างหนึ่ง...นั่นคือ...เงิน
ตอนนี้พวกเขาไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่แดงเดียว...
และคราวนี้ก็ถึงคราวที่สองปีศาจต้องหางานทำโดยมีหนึ่งมนุษย์เป็นแกนนำ...
เดลเที่ยวลากพวกเขาหางานไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีงานอะไรที่พอจะมีที่ว่างให้พวกเขาทำเลย จนกระทั่ง...
ขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาในตรอกหนึ่งของหมู่บ้าน และมีลูน่าที่ยังไม่ตื่นถูกแบกอยู่บนหลังของคาร์ลนั่นเอง ก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
อีกฝ่ายมีลักษณะที่ดูจะเป็นชายหนุ่มเจ้าสำอางตามแบบคุณชายทั่วไป รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นก็ดูคล้ายจะเป็นรอยยิ้มที่ยั่วยวนหากแต่ก็อ่อนโยนอยู่ในที เส้นผมสีทองยาวลงมาถึงแผ่นหลังและนัยน์ตาสีเดียวกันที่พบได้น้อยในพื้นที่แถบนี้ดูจะสามารถดึงดูดสายตาของทั้งสามคนและชาวบ้านรอบๆได้ไม่ยากนัก
“พวกท่าน...ดูท่าทางคงจะเป็นนักเดินทางสินะ กำลังหาที่พักอยู่หรือ?” น้ำเสียงนุ่มนวลและเสียงที่ไพเราะราวกับเครื่องดนตรีที่กล่าวถามทำให้คาร์ลละสายตาออกมาจากอีกฝ่ายได้เป็นคนแรก “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว พวกข้ากำลังหางานทำอยู่”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วโก่งสวยนั่นขึ้นราวกับแปลกใจ แต่ก็คลี่ยิ้มละลานออกมาในเวลาต่อมา
“เช่นนั้นเองหรือ ขออภัยด้วยที่ข้าเข้าใจผิด” อีกฝ่ายเว้นระยะไปชั่วครู่ นัยน์ตาสีทองกวาดมองทั้งสาม และดูจะมองอาร์โรห์นานเป็นพิเศษ “เพื่อเป็นการไถ่โทษ ให้ข้าเลี้ยงอาหารพวกท่านสักมื้อ แล้วข้าจะช่วยแนะนำงานให้เอาไหม ??”
คาร์ลที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้เป็นคนคิดมาก ส่วนเดลก็เอาแต่ทำงานจนไม่รู้เรื่องรู้ราว และอาร์โรห์ที่เรียกได้ว่ายังเป็นเด็กน้อยสำหรับโลกมนุษย์ไม่ได้สังเกตเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่ดูมีเล่ศนัยเลยแม้แต่น้อย ตอบรับไปอย่างไม่รู้สา
และแล้วพวกเขาก็มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ที่นี่ดูจะเป็นร้านที่ดูดีที่สุดในหมู่บ้านและดูจะแพงที่สุดด้วยในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มบอกให้พวกเขาสั่งอาหารได้ตามใจชอบ และเพื่อไม่ไห้เป็นที่ผิดสังเกตอาร์โรห์และคาร์ลจึงจำต้องสั่งอาหารมาด้วยพอเป็นพิธี
คำแรกที่อาหารเข้าปาก รสชาตินุ่มลิ้นของน้ำซอสก็ทำให้อาร์โรห์ถึงกับชะงัก รสชาติของอาหารที่ไม่เคยลิ้มรส...มันจะอร่อยขนาดนี้เชียว??
เจ้ามือของอาหารในมื้อนี้ดูจะชอบใจปฏิกิริยาของอาร์โรห์ไม่น้อย เขาจ้องมองดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยของร่างที่เล็กที่สุดด้วยรอยยิ้มปริศนาที่ไม่มีใครอ่านออก “ดูท่าทางเจ้าจะชอบอาหารชนิดนี้นะ น้องชาย”
อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมาพยักหน้าเบาๆ แต่ในดวงตาที่ราวกับแก้วใสนั่นกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นราวกับเด็กน้อยที่ไม่ประสา และยังใสซื่อบริสุทธิ์
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ แต่เสียงนั้นกลับฟังดูยั่วยวนเสียจนให้ความรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นโสเภณีชายอย่างไรอย่างนั้น...
...แต่ก็ยังไม่มีใครสะกิดใจในจุดๆนี้อยู่ดี...
พวกเขารับประทานอาหารเสร็จในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มเดินนำคณะเดินทางไปโดยที่พูดคุยกันไปด้วยราวกับสนิทสนมกับพวกเขาเสียเหลือเกิน
และพวกเขาก็ได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่า ‘เลียร์ เวอเรจ’
“ข้าสงสัยมาได้สักพักแล้ว พวกท่านเป็นพี่น้องกันหรือ ??”
ทั้งสามคนมองหน้ากันคล้ายปรึกษา และก็เป็นอีกครั้งที่คาลร์เป็นผู้ตอบ “อ่า...ท่านจะคิดเป็นเช่นนั้นก็ไม่ผิด...” สรุปคือ พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธ และไม่คิดจะพูดความจริง ทั้งยังมีท่าทีว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดต่อไป
ฝ่ายผู้ถามเองก็ดูไม่ใคร่ใส่ใจกับคำตอบนัก “งั้นหรือ พวกท่านเป็นพี่น้องที่มีใบหน้างดงามกันทุกคน ข้าคิดว่าพ่อแม่ของพวกท่านก็คงจะงดงามกันไม่น้อย จึงได้สามารถถ่ายทอดใบหน้ามาถึงพวกท่านได้”
ไม่มีใครตอบ ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นผู้ที่เดินนำต่อไป และแล้วพวกเขาก็มาถึงรถม้าของเลียร์ ผู้ที่ร่วมเดินทางมากับเลียร์ก่อนหน้านี้พากันมองผู้มาใหม่อย่างสนอกสนใจ
มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาทางพวกเขา อีกฝ่ายอยู่ในชุดรัดกุม คล้ายจะเป็นทหารรับจ้าง เส้นผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูจะกลืนไปกับสีผิวคล้ำแดดสมเป็นทหารของเขา ชายหนุ่มมองสำรวจทั้งสามคนก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเด็กสาวที่อยู่บนหลังของคาลร์
“ลูดัส ช่วยพาน้องสาวคนนี้ไปพักทีนะ” เลียร์กล่าวพลางผายมือไปทางลูน่า ผู้ถูกเอ่ยชื่อดูจะมีท่าทีคัดค้าน แต่เมื่อสบมองสายตาของเลียร์ที่มองมาเขาก็กลืนคำกล่าวต่างๆลงไป ทำเพียงพยักหน้าช้าๆก่อนจะเข้าไปรับร่างของลูน่า พาไปพักในรถม้าอีกคันหนึ่ง
“น้องสาวของพวกท่านเป็นสตรี ข้าคิดว่าไม่ควรให้มาพักร่วมกับพวกเราที่เป็นบุรุษเท่าใดนัก” ไม่มีคำคัดค้านใดๆออกมาจากปากของพวกเขา เลียร์จึงได้ผายมือไปทางรถม้าเป็นเชิงเชิญชวนให้ขึ้นไปคุยกันข้างในดีกว่า
รถม้าเคลื่อนออกจากหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ มุ่งเข้าสู่ป่าอีกครั้ง
การเดินทางผ่านมาถึงสามวัน ใช้เวลาอีกเพียงวันเดียวพวกเขาก็จะเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศ บิวลู ประเทศที่เป็นมหาอำนาจอยู่ในขณะนี้
ตั้งแต่วันที่ลูน่าถูกจับแยกไป พวกเขาก็ไม่ได้พบเธออีกเลย เห็นเลียร์ว่าลูน่าถูกดูแลอย่างดี แต่กฎของคณะเดินทางนี้คือห้ามบุรุษไปมาหาสู่กับสตรีนอกจากจะได้รับอนุญาตเท่านั้น...และคนที่จะอนุญาตได้ก็มีเพียงเลียร์...
เดลเคยไปขอร้องให้อีกฝ่ายพาเขาไปพบหน้าน้องสาว แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาแบบที่เขาไม่สามารถเถียงอะไรได้
และตอนนี้พวกเขาก็กำลังพักกันอยู่ในป่า เพราะตอนนี้ท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว การเดินทางในยามราตรีไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยแม้แต่น้อย มันไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายทางอ้อมเลย
คาร์ลเดินออกมาจากกระโจมที่พักซึ่งพวกเขาได้รับสิทธิ์ให้พักด้วยกันกับเลียร์ เหลือบเห็นลูดัสที่กำลังนั่งเฝ้าเวรยามอยู่หน้ากระโจมจึงเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายกล่าวขึ้น “ทำไมเจ้าไม่พัก เดินทางมาทั้งวันแล้วมิใช่รึ ?”
คำพูดนั้นคล้ายจะมีความแดกดันจิกกัดผสมปนเปมาด้วย
อินคิวบัสหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่ใช่คนเจ้าสำอางขนาดต้องนอนทุกวันหรอกนะ” กล่าวจบเขาก็เดินเข้ามาหย่อนกายลงนั่งข้างๆอีกฝ่าย “ทั้งอาร์โรห์และเดลเองก็ไม่ใช่เช่นกัน พวกเขายังบ่นอยู่เลยว่าทำไมต้องรีบนอนพร้อมๆกับเลียร์ด้วย”...อันที่จริงมีแค่เดลที่บ่น แต่ดูเหมือนทางอาร์โรห์เองก็จะเห็นด้วยไม่น้อย เขาจึงรวมเข้ามาด้วย
ลูดัสเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายราวกับแปลกใจ “เจ้านี่พิลึก ทั้งๆที่เป็นคนจำพวกเดียวกับเลียร์แท้ๆ”
“ข้าไม่เห็นว่าท่านเลียร์กับข้าจะมีสิ่งที่เหมือนกันตรงไหนเลย”
ชายหนุ่มดูจะชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา “เอาอีกแล้วรึ”
“หือ? อะไรเอาอีกแล้วหรือท่านลูดัส??”
“พวกเจ้าคงจะเป็นจำพวกความรู้สึกช้าสินะ ถึงได้ยังไม่รู้ตัวกัน” คราวนี้น้ำเสียงอีกฝ่ายดูจะเป็นมิตรมากขึ้น “เจ้าดูไม่ออกหรือว่าทำไมเลียร์จึงช่วยพวกเจ้าทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกับพวกเจ้าเลย?”
คาร์ลเลิกคิ้ว ก่อนจะคลี่ยิ้ม ”ข้าไม่ใช่คนคิดมากเสียด้วย ท่านช่วยไขความกระจ่างให้ข้าทีเถอะ”
ดูเหมือนคำพูดของคาร์ลจะเข้าหูลูดัสไม่น้อย ชายหนุ่มจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ
“เจ้านี่น่าสนใจเสียจริง ทั้งๆที่ไม่รู้จุดประสงของอีกฝ่ายแท้ๆ น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ !”
ในคืนนั้น ทั้งสองคุยกันตลอดคืน ไม่มีใครเผลอหลับหรือแสดงความง่วงงุนออกมาให้ได้เห็น เสียงพูดคุยที่ดังตลอดคืนนั้นทำให้คนฟังรู้สึกง่วงแทน มีหลายคนที่หลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะนั่งฟังทั้งสองสนทนากัน
เช้าวันต่อมา เรียกได้ว่าเป็นวันที่อากาศสดใสอีกวันหนึ่ง คณะเดินทางออกเดินทางกันแต่เช้า และถึงเมืองในช่วงบ่าย
พวกคาร์ลได้เลียร์มานำทางอีกครั้งโดยที่มีอีกคนหนึ่งที่มาแทนลูน่า นั่นคือลูดัส
คาร์ลและลูดัวเดินรั้งท้ายคุยกันเบาๆ
“ท่านบอกว่าเลียร์สนใจอาร์โรห์งั้นหรือ??”
“ใช่ หรือเจ้าไม่เห็นสายตาเวลาเลียร์มองน้องชายของเจ้า?”
“อ่า...ไม่รู้สิ...”
“เจ้านี่ไม่เหมาะจะเป็นพี่คนเลยจริงๆ” ลูดัสส่ายศีรษะอย่างละอาน้อยๆ จากการพูดคุยกันตลอดคืนทำให้ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว และทั้งสองก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลกันอีกหลายเรื่อง...รวมถึงเรื่องที่ว่าลูน่าถูกขังไว้ บังคับไม่ให้ออกมาจากรถม้า ทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบนอกจากคนที่เอาอาหารและเสื้อผ้าไปให้เปลี่ยนเท่านั้นด้วย
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ” กล่าวจบคาร์ลก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
“พอไปถึงที่นั่น เจ้าจะหัวเราะไม่ออก”
“แหม่ ขู่ข้าไปก็ใช่ว่าข้าจะกลัวนะ”
“ข้าว่าแทนที่เจ้าจะมาคุยกับข้า ไปเตือนน้องของเจ้าให้เตรียมใจเสียหน่อยไม่ดีกว่ารึ?”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเตือนพวกเขาแล้ว...”...ด้วยเวทสื่อสารจำกัดบุคคลน่ะนะ...
และแล้วพวกเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าอาคารหลังหนึ่ง ถ้าดูจากภายนอกที่นี่ดูจะไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย ทั้งยังดูจะกลมกลืนไปกับอาคารรอบๆข้างจนไม่ได้เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อพวกเขาเข้ามาภายใน ก็มีแต่ต้องชะงัก แม้แต่คาร์ลที่พอจะจินตนาการได้ว่าสถานที่นี้จะเป็นยังไงก็ยังอดไม่ได้ที่จะ...อึ้ง...
ใช่ ในขณะนี้ทั้งสามคนกำลังอึ้ง อึ้งมากด้วย เพราะภาพที่พวกเขาเห็นมันทำให้รู้สึก...ขนลุก และสะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก...
ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีแต่ผู้ชายเดินขวักไขว่กันเต็มไปหมด มีตั้งแต่หน้าตาดีไปจนถึงกลางๆ ที่ดูไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนขนาดนี้ก็เพราะ...เสื้อผ้าที่คนพวกนั้นใส่ มันราวกับต้องการจะยั่วยวนเชิญชวนให้เข้าไปสัมผัสแตะต้อง...
เดลรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว อาร์โรห์และคาร์ลต่างก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้า
...นี่พวกเขามาทำอำไรกันที่นี่...
มีเพียงเลียร์ และลูดัสที่ดูจะไม่ได้สะทกสะท้านกับภาพนั้น ราวกับว่าพวกเขาเห็นภาพนี้จนชินตา
เลียร์หัวเราะเบาๆพลางหันมาทางทั้งสามคนที่ยังคงยืนมองภาพนั้นด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะก้าวเข้ามาหาอาร์โรห์ที่รีบตั้งสติแล้วตั้งท่าเตรียมชิ่งทุกเมื่อ
ใช่ ชิ่ง เขาไม่คิดจะเสี่ยงต่อสู้กับพวกหื่นกามไม่เลือกเพศแบบนี้หรอกนะ !!!
เลียร์ยื่นมือมาด้านหน้า ก่อนจะกล่าวยิ้มๆว่า “มากับข้าสิ อาร์โรห์” น้ำเสียงของอีกฝ่ายในตอนนี้ต่างออกไปจากช่วงก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
อาร์โรห์ขนลุกเกรียว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจออะไรแบบนี้ในชีวิต จนต้องเขาก้าวถอยไปหาคาร์ลโดยไม่ลืมที่จะลากเอาเดลติดมือมาด้วย และเมื่อทั้งสามอยู่ในระยะที่ใกล้กันพอ คาร์ลก็ไม่มีการรีรอ ใช้เวทเคลื่อนย้ายฉับพลันในทันที
งานนี้อาร์โรห์ยอมเสี่ยงกับเวทเคลื่อนย้ายดีกว่าให้เขาไปอยู่กับพวกผิดปกติขั้นรุนแรง !!
เท้าของทั้งสามแตะลงบนพื้นแข็ง ๆ ในตรอกกันไฟแห่งหนึ่ง ที่นี่แคบจนพวกเขาต้องยืนเรียงเดี่ยวถึงจะสามารถยืนกันได้
เดลที่ยืนอยู่นอกสุดยื่อหัวออกไปมองด้านนอก หันซ้ายแลขวาอยู่สองสามครั้งแล้วหันมาพยักหน้าให้กับอีกสองคน ก่อนที่ทั้งเดลและอาร์โรห์จะวิ่งพรวดพราดออกไปที่ใต้ต้นไม้และ...
...ขย้อนของเก่า...
ถึงจะรอดมาจากพวกมนุษย์ได้ แต่ก็ยังโดนเวทเคลื่อนย้ายเล่นงานอยู่ดี แบบนี้พวกเขาควรจะคิดใหม่รึเปล่านะว่าไม่ควรที่จะเลือกเผชิญหน้ากับทั้งสองอย่างไปเลย
หลังจากการอาเจียนไปสามตลบ (?) ทั้งสองคนก็ลงไปกองพังพาบอยู่บนพื้นจนคาร์ลต้องเข้ามาฉุดทั้งสองคนให้ลุกขึ้น
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าว่าหาที่พักกันก่อนเถอะ”
“พวกเราไม่มีเงินนะคาร์ล” เดลเป็นฝ่ายเอ่ยค้าน แต่ฝ่ายถูกค้านกลับเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขายื่นฝ่ามือออกมาด้านหน้า ก่อนจะเกิดเสียงดัง ‘ปุ้ง!’ ขึ้นมา พร้อมๆกับถุงผ้าขนาดเท่าฝ่ามือของคาลร์ถุงหนึ่งปรากฏขึ้น
อาร์โรห์เหลือบมองสิ่งที่อยู่บนมือของอินคิวบัสรุ่นพี่แล้วแค่นหัวเราะ
“คาร์ล เจ้านี่มือไวเสียจริง”
“ถือว่าเป็นค่าทำขวัญของพวกเราก็แล้วกัน” คาร์ลหัวเราะเบาๆ
“พวกเจ้ามัวแต่คุยกัน แล้วลูน่าล่ะ...”
“...”
_____________________________________________________________
ความคิดเห็น