คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9
บทที่ 9
อาร์โรห์รีบเข้ามารับร่างของเดลที่อยู่ๆก็หมดสติไปทั้งยืน ใบหน้าของเดลซีดขาวจนอาร์โรห์นึกหวั่น
เขาแตะมือลงบนหน้าผากของเดลที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาจนชุ่ม มั้นเย็นเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์พึงมี หรือเวทที่เขาใช้ผนึกความทรงจำของเดลจะมีผลต่อร่างกายของอีกฝ่าย...
...แบบนี้ไม่เท่ากับเขาทำร้ายอีกฝ่ายด้วยมือของตนเองหรอกหรือ...
อาร์โรห์เม้มปาก
ตัดสินใจพยุงร่างของเดลขึ้นมาด้วยแขนข้างหนึ่ง
ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหมูป่าตัวอ้วนพีนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น นั่นคงจะเป็นอาหารที่เจ้าก็อบลินว่า และสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจเอาเจ้าหมูป่านั่นไปเป็นอาหารเช้าของพวกเขา
อาร์โรห์เดินกลับมาแล้วถึงได้พบว่าทั้งคาร์ลและลูน่าได้กลับมาถึงจุดที่พวกเขาใช้พักเมื่อคืนแล้ว
ลูน่าที่เห็นเดลหมดสติดูจะตระหนกจนหน้าซีด เธอละล่ำละลักเข้ามาดูอาการของเดล
“อ...อาโรห์ เดลเป็นอะไรไป...”
“ขอโทษด้วยลูน่า
เหมือนว่าพลังเวทของข้าจะมีผลต่อเขา...ข้า...จะรีบถอนเวทออก”
ลูน่ามีท่าทีไม่เข้าใจในคำพูดนั้น แต่อาร์โรห์ก็ไม่ใจเย็นมากพอจะมานั่งอธิบายอะไร นัยน์ตาสีนิลมองคาร์ลอย่างสื่อความนัยว่าให้อีกฝ่ายช่วยพาลูน่าหลบไปจากตรงนี้ก่อน
จากนั้นก็วางร่างของเดลลงให้อยู่ในท่านอนราบ
ใช้มือแตะสำรวจอุณหภูมิร่างกายของเดลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
คาร์ลเดินเข้ามาหาลูน่าที่ยังคงยืนมองการกระทำของอาร์โรห์อยู่ที่เดิม
จงใจดึงมือเธอและกระตุกเบาๆเป็นเชิงให้เดินตามเขาไป
ลูน่าขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าจะพาข้าไปไหน!?” เธอกล่าวขึ้นขณะที่ถูกดึงกึ่งลากออกไปจาบริเวณที่สามารถมองเห็นอาร์โรห์และเดลได้
“เจ้าอยู่ตรงนั้นไปก็มีแต่จะทำให้สมาธิของอาร์โรห์เสียเปล่าๆ
ไปหาที่สงบใจสงบอารมณ์ที่เดือดปุดๆนั่นก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”
“เจ้าจะมารู้อะไร!?”
“ก็ไม่รู้สิ
ข้าไม่เข้าใจคนมีพี่น้องหรอก
ข้ารู้แค่ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้นต่อไป
อารมณ์โกรธที่เจ้ารู้สึกต่ออาร์โรห์ก็มีแต่จะทำให้อาร์โรห์ทำอะไรไม่สะดวกก็เท่านั้น”
“ข้าไม่ได้โกรธ!!!...อะ...”
“รู้ตัวแล้วสินะ? เจ้ากำลังโกรธ
โกรธที่รู้ว่าอาร์โรห์ใช้เวทกับพี่ชายเจ้า
ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่ เจ้าน่ะ เข้าใจความนัยของคำพูดนั่น ถูกไหม?”
“อึก...”
“หาที่สงบใจซะ
แบบนั้นน่าจะดีกว่านะ
ที่อาร์โรห์ทำไปน่ะ ก็เพื่อพี่ชายของเจ้าทั้งนั้น”
“เฮอะ! อย่ามาทำเป็นพูดดีไป ข้าเองก็ไม่ได้ไว้ใจเจ้าเหมือนกัน!” กล่าวจบลูน่าก็สะบัดมือออกจากการกอบกุมของคาลร์แล้วเดินลิ่วๆนำหน้าไป
คาร์ลยิ้มบาง
แต่นั่นกลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความหมาย
จากนั้นเขาก็เดินตามลูน่าไป
ขณะเดียวกันอาร์โรห์ก็ตัดสินใจที่จะปลดผนึกความทรงจำของเดลออก ..ถ้าเขารู้ว่าพลังเวทของเขามีผลต่อร่างกายอีกฝ่ายขนาดนี้เขาก็คงจะไม่ใช้มันตั้งแต่ต้น...
อาร์โรห์ทาบมือลงบนหน้าผากของเดล ส่งพลังเวทเข้าไปในหัวของอีกฝ่าย เข้าปลดผนึกที่เปรียบเสมือนโซ่ตรวนสีดำสนิทออกจากความทรงจำส่วนที่ถูกพัฒนาการเอาไว้
มันอาจจะง่ายกว่านี้ หากว่าร่างกายของเดลไม่มีพลังเวท ที่เมื่อพบสิ่งแปลกปลอมก็พยายามจะทำลายทิ้ง ทั้งยังส่งผลกระทบมาถึงเจ้าของพลังที่ถูกส่งเข้าไป
ใบหน้าของอาร์โรห์มีเหงื่อผุดขึ้นมาจนเต็มใบหน้าด้วยเวลาไม่ถึงนาที เขาเม้มปากแน่น
รู้สึกเลยว่าหัวสมองได้รับผลกระทบเป็นสิ่งแรก
เมื่อมันปวดเหมือนถูกบีบจนแทบจะแหลกออกเป็นเสี่ยงๆ สิ่งที่ได้รับผลกระทบต่อมาคืออวัยวะภายในบางส่วน
แม้จะใช้พลังรักษาตัวของปีศาจก็ยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้น
...แต่ถ้าหยุดตอนนี้ผนึกที่ถูกปลดอยู่ครึ่งๆกลางๆจะส่งผลต่อร่างกายของเดลมากกว่า...
...หยุดไม่ได้...
เลือดไหลซึมออกมาทางมุมปากและโพรงจมูกของอาร์โรห์
เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าพลังเวทของราชาปีศาจรุนแรงกว่าเวทของปีศาจทั่วไป
มือที่สั่นสะท้านรู้สึกเลยว่ากำลังเปียกชื้นจากเลือดที่ไหลออกมาจากรูขุมขน แม้จะไม่ได้ออกมาจากรูขุมขนทั่วร่าง
แต่เลือดที่ไหลออกมาจากมือไม่หยุดนั่นก็หยดลงบนใบหน้าของเดลจนเปรอะไปด้วยเลือดสีแดงสด
อาร์โรห์เผลอส่งเสียงครางต่ำๆออกมา
แต่ก็ยังฝืนร่างกายของตนเองจนกระทั่งมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นระหว่างมือของเขาและร่างของเดล
แสงนั่นดีดเขาออกอย่างรุนแรงจะกระแทกเข้ากับต้นไม้ แม้จะไม่ทำให้ถึงขั้นสลบ แต่ก็ทำให้เขาเบลอไปชั่วขณะ
แสงนั้นสว่างอยู่ชั่วครู่ก็สลายหายไปในมวลอากาศ อาร์โรห์นั่งหายใจหอบอยู่กับที่
ลมหายใจของเขาสั่นจนเหมือนจะขาดห้วงได้ทุกเมื่อ แม้ว่าร่างกายจะค่อยๆรักษาตัวเอง แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงติดตรึงอยู่ในจิตสำนึก
ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าเขาจะสามารถปรับลมหายใจของตนเองให้กลับมาเป็นปกติได้ และก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เดลฟื้นขึ้นมา
ดูเหมือนว่าการได้ความทรงจำส่วนที่ถูกผนึกคืนมาจะส่งผลต่อจิตใจของเด็กหนุ่มชาวมนุษย์อยู่ไม่น้อย
ใบหน้าของอีกฝ่ายถึงได้ดูซีดและมีท่าทีพะอืดพะอมขนาดนั้น
อาร์โรห์ลุกขึ้นด้วยสภาพซวนเซเล็กน้อย
ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากใบหน้าก่อนจะก้าวเข้าไปหาเดลด้วยย่างก้าวที่มั่นคง ทั้งๆที่นั่นคือการฝืนร่างกายของตนเองอยู่
“เดล
ไหวไหม? ถ้าจะอ้วกก็อ้วกออกมานะ”
“อาร์โรห์...” นัยน์ตาสีแดงมองมายังเขา แม้จะมีแววหวาดผวาและเสียขวัญอยู่บ้าง
แต่สีหน้าที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งและไม่เป็นอะไรของอาร์โรห์ก็ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าอาร์โรห์อ่อนแอกว่าที่แสดงออก แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับชอบหัวดื้อฝืนตัวเอง
ทั้งยังชอบเอาใจใส่คนอื่นและอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
“เดล?”
“อา...ไม่เป็นไร
หายแล้วล่ะ” ไม่ได้โกหก
แค่เห็นท่าทีของอาร์โรห์ก็ทำให้อาการของเขาหายได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้ว
แขนเสื้อข้างที่ยังสะอาดอยู่ถูกดึงออกจากปลอกแขนและใช้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเดลอย่างเบามือ
“หลับตาก่อนนะเดล หน้าเจ้าเปื้อนน่ะ”
คำกล่าวนั้นทำให้เดลเผลอทำตามอย่างไม่คิดอะไร
และอาร์โรห์ก็ใช้โอกาสนั้นเช็ดเลือดที่เลอะอยู่บนใบหน้าของเดลจนสะอาดและรีบยัดเอาส่วนปลายแขนเสื้อที่เลอะเลือดกลับเข้าไปในปลอกแขนอย่างไว
แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็นมันแม้แต่คนเดียว
“เสร็จแล้วล่ะ”
เหมือนว่าคำกล่าวนั้นจะเป็นสัญญาณ
เดลจึงได้ลืมตาขึ้น
เห็นอาร์โรห์กำลังเดินไปทางเจ้าหมูป่าที่ยังคงถูกวางทิ้งไว้ “จะกินมือเช้าเลยมั้ย?? ข้าจะได้ไปตามพวกคาร์ลกลับมา”
“เดี๋ยวข้าไปตามเองก็ได้นะ”
อาร์โรห์ส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าเพิ่งฟื้น ควรจะพักซักหน่อยนะ”
“แต่ว่า...”
“อีกอย่าง
เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน
แต่ข้ารู้”
เพียงแค่เหตุผลข้อนี้ก็ทำให้เดลไร้คำโต้แย้งใดๆอีก ถูกอย่างที่อาร์โรห์ว่า เข้าไม่รู้ว่าสองคนนั้นไปที่ไหน และไม่สามารถตามหาได้ด้วยตัวคนเดียว ถึงจะเคยได้ยินเรื่องเวทแกะรอย แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครใช้ และไม่เคยคิดที่จะศึกษามันมาก่อนด้วย
เดลทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังบางๆของอาร์โรห์เดินไปจนลับสายตา
รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องที่แม้แต่จะช่วยไปตามใครสักคนก็ยังทำไม่ได้
เขามองไปทางกองไฟที่มอดดับไปแล้วอยู่สักพัก และตัดสินใจออกไปหาฟืนด้วยระยะเวลาสั้นๆ
ใช้เวทในการจุดไฟและค้นเอามีดพกเล่มเล็กๆออกมาจากกระเป๋า ตัดแบ่งส่วนเจ้าหมูป่าและเอามาปิ้งให้สุกรอเวลาที่คนอื่นๆจะกลับมา
พอมาถึงทุกคนจะได้กินกันทันที คิดว่าอย่างน้อยลูน่าก็น่าจะหิวมากแล้วล่ะนะ
พวกอาร์โรห์กลับมาหลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาดูมีท่าทีแปลกใจที่เดลทำอาหารไว้คอยท่าอยู่ก่อนแล้ว
แต่หลังจากนั้นทุกคนต่างก็เข้าจับจองที่นั่งรอบกองไฟ เริ่มจัดการกับอาหารในส่วนของตนเอง
อาร์โรห์ละเลียดอาหารอยู่สองสามคำก็กินไม่ลง เขาลดมือที่ถือเนื้อเสียบไม้อยู่ลง
คาร์ลมองอาร์โรห์เงียบๆ
รู้ดีว่าร่างกายของอาร์โรห์กำลังต่อสู้กับผลกระทบของการปลดผนึกความทรงจำของเดล แต่เขาก็ตัดสินใจทำเพียงมองดูเงียบๆ เพราะตามนิสัยของอาร์โรห์ อีกฝ่ายไม่ชอบให้ใครมาเป็นห่วงตนเอง
“ข้า...ขอไปจัดการตัวเองหน่อยนะ...” กล่าวจบก็ลุกออกไป ตรงไปยังแหล่งน้ำตามที่ความรู้สึกบอก
เมื่อเขามาถึงลำธาร ร่างของอาร์โรห์ก็ทรุดฮวบลง
ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนไม่มีแรงมากพอจะคุกเข่าอยู่ได้ สุดท้ายก็ล้มลงนอนอย่างหมดท่าลงกับพื้น
หัวสมองรู้สึกขาวโพลนเมื่อร่างกายพยายามจะรักษาตัวเอง หากแต่ก็กลับถูกทำให้บอบช้ำในเวลาเดียวกัน
ลมหายใจที่พยายามทำให้มั่นคงมาตลอดสั่นจนขาดห้วงไปบางครั้ง เขาขดร่างเข้าหากัน กอดตันเองแน่น
ไม่ว่ายังไงก็ให้ใครเห็นสภาพนี้ของเขาไม่ได้ ขอแค่บางครั้งเท่านั้น เมื่อทนไม่ไหว
ไม่ว่ายังไงก็ต้องปลีกตัวออกมา
อยู่ในสถานที่ที่ถึงแม้จะแสดงความอ่อนแอออกมาก็ไม่มีใครเห็น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่กว่าอาร์โรห์จะควบคุมลมหายใจของตนเองให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง และมันคงจะนานมากพอให้คาร์ลเดินมาตามเขา
อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งๆที่สภาพของเขาแทบจะเรียกได้ว่าหมอบอยู่กับพื้น
“คาร์ล...”
“อาร์โรห์
เจ็บมากสินะ
ถ้าทรมานมากก็ไม่เห็นจะต้องทนเลยนี่”
อาร์โรห์เบือนหน้าหนี ไม่อยากจะยอมรับกับอีกฝ่าย
แต่สภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้จะให้เขาทำอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายมาเห็นสภาพเขาคาตาขนาดนี้...
“ข้าอยากให้เจ้าทำตัวเหมือนเมื่อก่อนมากกว่าเวลาอยู่กับข้า พูดออกมาตรงๆ
อยากยิ้มก็ยิ้ม
อยากร้องไห้ก็ร้อง
เหมือนกับตอนที่เจ้ายังเรียกข้าว่า ‘พี่ชาย’ ได้ไหม?”
อาร์โรห์แค่นยิ้มขมขื่นเมื่อได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“เจ้าจะให้คนนอกคอกอย่างข้าเรียกเจ้าว่าพี่ชายงั้นหรือ? เจ้าไม่กลัวจะถูกประนามไปด้วยหรือไง?”
ผิดคาด
คาร์ลกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะโดนรวมเป็นคนนอกคอกไปด้วยตั้งแต่ที่ข้าออกมากับเจ้าแล้วล่ะ”
“ที่ข้าทำแบบนี้เพราะข้าคิดดีแล้วอาร์โรห์ ข้าไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะมองเจ้ายังไง ข้าก็แค่อยากได้น้องชายคืนมาก็เท่านั้น”
“ข้าไม่ใช่น้องของเจ้า เราไม่เกี่ยวกันแม้แต่ทางสายเลือดด้วยซ้ำ พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เท่านั้น คาร์ล”
คาร์ลยักไหล่ทั้งใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“รีบกลับไปหาเดลกับลูน่าดีกว่านะ
สองคนนั้นเป็นห่วงเจ้าจนขอให้ข้าออกมาตามเลยล่ะ”
อาร์โรห์พยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปสมทบกับพวกเดลและเริ่มออกเดินทางกันต่อ
คณะเดินทางเล็กๆนี้เดินทางต่อมาอีกเกือบอาทิตย์ อาการของอาร์โรห์ดีขึ้นเป็นลำดับ ถึงแม้จะยังไม่หายสนิท แต่ก็เรียกได้ว่าดีขึ้นมากแล้ว และเรื่องนี้ก็มีเพียงคาร์ลเท่านั้นที่รู้เรื่องอาการของเขา
และในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเข้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะค่อนข้างห่างไกลความเจริญแต่ก็ยังไม่ถึงกับซบเซา
บ้านเรือนต่างๆถูกสร้างด้วยดินและอิฐแดงบ้างประปราย
แตกต่างจากเมืองใหญ่ที่สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆออกมาอย่างสวยงาม และแข็งแรงทนทานด้วยอิฐและปูนทั้งหมด
แต่ถึงกระนั้น
ทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ดูจะไม่ได้ขัดสนอะไร และดูเหมือนจะไม่สนอะไรเลยด้วยซ้ำ
ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข...เอ่อ...ไม่สิ...ก็ไม่ถึงขั้นสงบสุขซะทีเดียว...
เฮ!!!!
“เอาเลย! ฟันมันเลยยยยยย!!!”
“หลบดิวะ! เออ!!!
มันต้องอย่างงั้น!!”
“...”
ทั้งสี่มองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในจุดที่ห่างจากทางเข้าหมู่บ้านไม่มากนัก ที่กลางวง
พวกเขาเห็นคนสองคนกำลังใช้ดาบเข้าปะทะกันด้วยสีหน้าสนุกสนาน
ราวกับว่านี่เป็นเพียงการละเล่นชนิดหนึ่งทั้งๆที่กำลังใช้ดาบจริงตอบโต้กันอยู่แท้ๆ
“จะเอายังไง
เข้าไปดีไหม?”
“ข้าว่าเข้าไปหาที่พักก็ยังดีนะ
อย่างน้อยก็จะได้พักผ่อนให้เต็มอิ่มหลังจากที่นอนในป่ากันมาหลายคืน”
“ข้าว่าก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยก็จะได้หาซื้ออาวุธติดตัวกันสักชิ้นด้วย”
หลังจากได้ข้อสรุป สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่หมู่บ้านนักรบเจ้าค่ะ!!”
เสียงเล็กๆของเด็กหญิงดังขึ้นด้านหลังอาร์โรห์ที่เดินรั้งท้าย เป็นเหตุให้เขาต้องหันไปมอง
เห็นดวงหน้าน่ารักของเด็กหญิงอายุไม่น่าจะเกินสิบปีส่งยิ้มมาให้
“ซื้อดอกไม้ของข้าหน่อยมั้ยเจ้าคะ
เพิ่งเก็บมาสดๆเลยนะเจ้าคะ!”
เด็กหญิงกล่าวอย่างกระตือรือร้น
ในมือของเธอมีตะกร้าใส่ดอกไม้สีขาวสะอาดอยู่หลายดอก
กลิ่นหอมที่ติดจมูกเขามาโดยตลอดทำให้อาร์โรห์ตัดสินใจซื้อดอกไม้นั้นมาด้วยราคาหนึ่งยู*
*หนึ่งยูเป็นค่าเงินที่เล็กที่สุดซึ่งเท่ากับหนึ่งส่วนสี่เหรียญทองแดง
“ขอดอกนึงก็แล้วกันนะ”
“เจ้าค่ะ!”
กล่าวจบก็ดึงเอาดอกไม้ดอกหนึ่งออกมาจากตะกร้าเตรียมจะยื่นมันมาให้เขา
ในตอนแรกเด็กหญิงทำท่าจะยื่นดอกไม้ให้แก่เขาเลย
แต่เพียงแค่เขาคุกเข่าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย
มือเล็กๆนั้นก็ดึงกลับและบรรจงเลือกเอาดอกไม้ดอกหนึ่งขึ้นมาทัดหูให้เขา
“ขอให้สนุกกับการเที่ยวชมหมู่บ้านนักรบนะเจ้าคะ!”
กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งจากไป
อาร์โรห์มองตามแผ่นหลังเล็กๆของเด็กหญิง มือถูกยกขึ้นลูบดอกไม้ที่ทัดผมอยู่อย่างเผลอไผล ยิ่งมันมาอยู่ใกล้เช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอันคุ้นเคย ดอกไม้ที่ในโลกปีศาจหาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก
แม้ว่าที่หน้าบ้านของแม่เขาจะถูกปลูกเอาไว้ แต่เมื่อไม่มีใครอื่นอยู่นอกจากเด็กตัวเล็กๆที่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ บ้านหลังนั้นก็กลับมีคนเข้ามาอยู่แทน
และดอกไม้นั้นก็ถูกถอนออกไปอย่างไม่มีใครสนใจใยดี...
“อาร์โรห์” เสียงเรียกของเดลมาพร้อมกับฝ่ามือที่แตะลงมาบนไหล่ของเขาให้สะดุ้ง
ก่อนที่เขาจะหันไปมองเจ้าของเสียงที่พอเห็นสภาพเขาชัดๆก็กลับหลุดขำพรืด
“เจ้าเนี่ยดูเหมาะกับดอกไม้สีขาวดีนะ ฮะๆๆ”
“อ๊ะ...”
อาร์โรห์ที่อยู่ๆก็ถูกทักใบหน้าขึ้นสีด้วยความรู้สึกอาย ก่อนจะรีบดึงเอาดอกไม้ที่ทัดผมอยู่ออกมาใส่ที่กระเป๋าเสื้ออย่าทะนุถนอม
เดลที่มองการกระทำนั้นรอจนอาร์โรห์จัดการตนเองเสร็จและเงยหน้าขึ้นมาเป็นเป็นเชิงถามว่า
แล้วคาร์ลกับลูน่าอยู่ที่ไหนเขาจะชี้ไปที่ร้านขายอาวุธร้านหนึ่ง “พวกคาร์ลรออยู่ที่หน้าร้านขายอาวุธน่ะ”
อาร์โรห์พยักหน้าเบาๆก่อนจะเดินตามเดลไป
ที่หน้าร้านขายอาวุธ อาร์โรห์ทำเพียงยืนมองอาวุธหลากหลายรูปแบบ มีบ้างที่เขาไม่รู้จัก
แต่ก็ไม่ได้สนใจจนถึงขนาดต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร
ขาใต้รองเท้าบูทหนังสีดำถูกก้าวเข้าไปสำรวจในร้าน มองดูอาวุธชนิดต่างๆที่ถูกวางเรียงรายเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นดาบสั้น ดาบยาว
ดาบวงพระจันทร์ มีดสั้น มีดยาว
ขวาน หอก หรือแม้แต่ธนูที่ไม่ค่อยจะมีคนใช้กันก็ยังมี
อาร์โรห์หยิบธนูคันหนึ่งขึ้นมาสำรวจ
เป็นธนูไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างงดงามด้วยลวดลายอ่อนช้อยพอๆกับอารยะธรรมของเผ่าเอลฟ์
“ตาถึงนี่ที่เลือกเจ้านั่นน่ะ”
เสียงนั้นมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมาหยิบเอาคันธนูออกไปจากมือของเขา
อาร์โรห์มองตามอย่างข้องใจ แต่ชายร่างใหญ่คนนั้นกลับชี้ไปที่คาร์ลซึ่งกำลังจ่ายเงินในจำนวนที่ถือได้ว่ามากพอสมควร นอกจากนี้บนโต๊ะที่คาร์ลวางเงินลงไปยังมีดาบอีกสามเล่มและธนูอีกหนึ่ง รวมกับธนูที่อีกฝ่ายเพิ่งถือไปเมื่อครู่ก็เป็นห้าชิ้นด้วยกัน
ชายร่างใหญ่หยิบเอากระบอกลูกธนูขึ้นมาด้วยกันสองชุด
“เจ้านี้คู่กัน
แล้วก็เจ้านี่คู่กัน” เขากล่าวพลางจัดชุดของธนูให้เรียบร้อย
“ทั้งหมดนี่หกเหรียญทองสินะ” คาร์ลกล่าวก่อนจะวางเหรียญทองจำนวนหกเหรียญลงบนโต๊ะ หยิบดาบเล่มที่ตนเองเลือกออกมาเช่น เดียวกันลูน่าและเดลเองก็หยิบเอาสิ่งที่ตนเลือกติดมือมา
สุดท้ายแล้วอาร์โรห์ก็ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกและเดินเข้าไปหยิบอาวุธที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวออกมา
“เท่านี้พวกเราก็มีอาวุธติดตัว ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเผลอใช้เวทก็แล้วกันนะ”
นั่นคือคำเตือนจากคาร์ล
จากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันว่าจะแยกกันเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งจะไปหาซื้อเสบียงสำหรับการเดินทางต่อ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะไปหาที่พักในหมู่บ้าน เสร็จแล้วค่อยไปเจอกันที่ที่พักเลย
หน้าที่หาที่พักเป็นของเดลและลูน่า ส่วนเรื่องหาซื้อเสบียงเป็นของคาร์ลและอาร์โรห์
“อาการเจ้าดูจะดีขึ้นมากแล้วสินะ”
“อืม
นอกจากอาการเจ็บหน้าอกเป็นพักๆก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว” คาร์ลเผยยิ้มบาง
“อะ...ตรงนั้นมีร้านขายของแห้งอยู่
เจ้ารอข้าตรงนี้ก็แล้วกันนะ
เดี๋ยวข้ามา”
“อืม”
หลังจากได้รับเสียงเอ่ยตอบเบาๆในลำคอเหมือนรับรู้คาร์ลก็เดินตรงไปยังร้านเป้าหมาย
อาร์โรห์ยืนหลบเข้ามาข้างทางเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ขวางทางสัญจร
แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาชนเขาจนเกือบเสียหลักล้ม
อาร์โรห์ที่เซไปสองสามก้าวเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวเลื่อนดวงตาสีนิลขึ้นมองอีฝ่ายที่สูงกว่าเขาสองช่วงหัวได้
ลำตัวล่ำสันสมกับเป็นนักรบพอๆกับใบหน้าดิบเถื่อนที่มองตรงมา
“เจ้าหาเรื่องหรือไง”
“เจ้ามาชนข้าเองไม่ใช่รึไง”
อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่น
ไม่ชอบใจเลยทั้งๆที่อีกฝ่ายเดินมาชนเขาเอง
ในเมื่อเขาเดินเลี่ยงมายืนอยู่ข้างทางแล้ว
แต่อีกฝ่ายก็ยังเดินมาชนเขา
เห็นชัดๆว่าจงใจ
“เหอ? เจ้าเป็นคนนอกหมู่บ้านสินะ ถึงได้ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร?”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น
“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้”
กล่าวจบก็หมายจะเดินเลี่ยงออกไป
แต่ก็กลับถูกขวางเอาไว้ด้วยชายหนุ่มอีกจำนวนหนึ่งที่คาดว่าคงจะเป็นพรรคพวกของเจ้าคนที่หาเรื่องเขานี่ล่ะ
“นี่ๆ อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้สิ หึๆๆ”
“ข้าไม่จำเป็นต้องมาวิวาทกับคนไร้สามัญสำนึกอย่างพวกเจ้าเสียหน่อย”
ประโยคเดียวที่เอ่ยออกมาทำเอาหน้าของอีกฝ่ายกระตุก
“ตอนแรกกะว่าแค่จะเรียกค่าเสียหาย แต่พูดแบบนี้คงอยากจะเละสินะเจ้าน่ะ...”
“ชกข้าให้โดนสักหมัดก่อนดีไหมค่อยมาพูดอวดดีแบบนั้น”
อาร์โรห์โปรยสายตาเย็นเยียบไปยังชายหนุ่มที่พอได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็หักนิ้วจนกระดูกลั่นดังกร๊อบๆ
“อ้อ คิดว่าตัวเองวิเศษสินะ!!!!?”
อีกฝ่ายยกกำปั้นขึ้นชกตรงมาที่อาร์โรห์ จุดหมายคือที่ใบหน้าสวยๆนั่นอย่างจะให้บทเรียน
แต่อาร์โรห์กลับทำเพียงเบี่ยงตัวหลบก่อนจะแตะมือลงบนแขนอีกฝ่ายออกแรงใช้แขนใหญ่ๆนั่นเป็นฐานส่งร่างของตนเองให้ขึ้นไปตั้งฉากกับพื้น และเหวี่ยงขาขวาลงไปที่ศีรษะอีกฝ่ายหมายจะจบการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นนี้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ผิดคาด
อีกฝ่ายใช้มืออีกข้างจับขาเขาไว้ได้
เห็นดังนั้นอาร์โรห์จึงใช้แขนเป็นศูนย์ในการเหวี่ยงขาอีกข้างเตะเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มๆ
เป็นเหตุให้ฝ่ามือที่จับขาขวาเขาไว้อยู่คลายออก
พลั่ก!
อาร์โรห์รีบดีดตัวออกมาก่อนที่เขาจะล้มลงไปด้วย เขาตั้งหลักได้ด้วยขาทั้งสองข้างอย่างมั่นคงโดยไม่ต้องอาศัยตัวช่วยใดๆ
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบๆด้าน เริ่มมีเสียงคนโห่เชียร์มากขึ้น และส่วนใหญ่ก็เชียร์เจ้าตัวยักษ์นั่นแหละ
“เฮ้ย! อย่าเสียท่าให้เด็กผู้หญิงนอกหมู่บ้านดิวะ!! เสียชื่อว้อย!!!!”
“แค่แพ้ยัยนั่นเจ้าก็โดนประจานไปทั้งอาทิตย์แล้วยังจะเสียท่าเด็กผู้หญิงนอกหมู่บ้านอีกเรอะ!!!”
“ไม่ได้เรื่องเลยเจ้าบ้า! เอาให้มันดีกว่านี้หน่อยเด้!!!”
และอีกมากมายที่ทำให้คนโดนพูดถึงกัดฟันกรอดแล้วลุกขึ้นมาพุ่งเข้าใส่อาร์โรห์อีกรอบ! แถมครั้งนี้ยังเร็วกว่าการโจมตีเมื่อกี้เสียอีก!!
อาร์โรห์กระโดดถอยไปด้านหลังก่อนจะขยับขาไปด้านข้างเล็กน้อย
เมื่ออีกฝ่ายพุ่งกำปั้นเข้ามาอาร์โรห์ก็เบี่ยงตัวหลบโดยที่ขาไม่ขยับไปไหนพร้อมกับสวนกำปั้นกลับไปเสยอีกฝ่ายเต็มๆเมื่อร่างนั้นพุ่งเข้ามาอยู่ในระยะที่พอเหมาะ
ร่างใหญ่ๆนั่นลอยขึ้นไปด้านบนและลอยเป็นพาราโบลาไปตกลงบนลังไม้ที่ถูกวางกองสุมไว้หน้าร้านขายผลไม้ใกล้ๆ
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากรอบๆข้าง
ไม่มีใครนึกว่าอาร์โรห์จะสามารถทำให้คนตัวใหญ่ๆลอยลิ่วข้ามฟากถนนทางเดินไปได้
และยิ่งไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอาชนะได้ภายในการเข้าปะทะกันเพียงสองครั้ง!
ร่างของอาร์โรห์ทรุดลง คงเพราะร่างกายยังไม่หายดีแล้วดันมาออกแรงเยอะๆแบบนี้ทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก เขากำหน้าอกของตนเอง รู้สึกปวดร้อนเหมือนโดนไฟเผา
เหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับลมหายใจที่ถี่ขึ้นเล็กน้อย
“ตั้งแต่ยัยนั่นหายตัวไปก็ไม่เคยมีใครจัดการข้าจนหมอบขนาดนี้มาก่อน ภูมิใจไว้ซะล่ะ” อาร์โรห์มองตรงไปยังร่างที่โดนลูกน้องพยุงเข้ามาหาเขา
ไม่น่าเชื่อว่าโดนไปขนาดนั้นยังจะมีสติอยู่ได้อีก...
“เอ้า! ลุกขึ้น!
ผู้ชนะไม่มีใครลงไปกองกับพื้นแบบนั้นหรอก!”
อีกฝ่ายกล่าวพลางยื่นมือมาให้ อาร์โรห์มองมือข้างนั้นครู่หนึ่งสุดท้ายก็ยอมรับความหวังดีใช้แขนข้างนั้นเป็นหลักยึดให้ลุกขึ้น แม้จะซวนเซเล็กน้อยแต่ก็กลับมายืนตามปกติได้
โดยไม่ทันตั้งตัว
อีกฝ่ายก็ยกมือของเขาขึ้นประกาศชัยชนะให้เสียอย่างนั้น...
เสียงเฮดังขึ้น
จากนั้นทุกคนก็เริ่มเข้ามาล้อมเขา
เอ่ยชมการต่อสู้สุดคาดคิดเมื่อครู่จนอาร์โรห์ทำได้เพียงยิ้มแห้งตอบรับไป
คาร์ลมองสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น
ในมือกอดของจำพวกขนมปังแห้งๆและของแห้งอีกจำนวนหนึ่งอยู่
...นี่เขา...พลาดอะไรไปหรือเปล่า...?
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น” คาร์ลกล่าวทั้งเสียงกลั้วหัวเราะหลังจากที่ได้ฟังอาร์โรห์เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“เฮ้ๆ ข้ายอมรับว่าตอนนั้นข้าหาเรื่องก่อน แต่นี่ต้องฟ้องคนอื่นเลยเรอะ!?”
ชายหนุ่มที่มีเรื่องกับอาร์โรห์และนั่งอยู่ข้างๆเขาโวยขึ้นมา
“คาร์ลไม่ทำอะไรหรอก” อาร์โรห์เอ่ยนิ่งๆ
“...” ชายหนุ่มที่ได้แนะนำตัวว่าชื่อแอสทรอน มองมาทางคาร์ลอย่างระแวดระวัง
เขารู้สึกว่าถ้าแม้แต่อาร์โรห์ยังมีฝีมือขนาดนั้นแล้วเจ้าคนที่มาด้วยกันจะขนาดไหน!?
“ฮะๆๆ ไม่ต้องห่วงหรอก
ลำพังแค่ฝีมือการต่อสู้ของข้าน่ะยังสู้อาร์โรห์ไม่ได้เลย”
“หึ ถ้าไม่รวมความเจ้าเล่ห์เข้าไปด้วยน่ะนะ”
แอสทรอนมองทั้งสองพูดคุยกันแล้วรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนส่วนเกินอย่างไรอย่างนั้น
แถมมานั่งรวมกับพวกหน้าตาโดดเด่นจนใครๆก็มองแบบนี้ คนหน้าตาบ้านๆอย่างเขามาทำอะไรตรงนี้หว่า?
“ขอบคุณสำหรับขนมที่เลี้ยงนะ” คาร์ลกล่าวขณะที่ลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับอาร์โรห์ที่ยกห่อของขึ้นถือครึ่งหนึ่ง เป็นเหตุให้ชายหนุ่มมองตามด้วยความงุนงง
“นี่
พวกเจ้ากินไปแค่ชิ้นเดียวเองนะ”
“พอดีพวกเราต้องกลับไปสมทบกับอีกสองคนที่โรงแรมน่ะ
แต่เค้กน้ำผึ้งนั่นอร่อยมาก ถ้าว่างๆพวกข้าอาจมากินอีก ฮะๆๆ” กล่าวจบคาร์ลก็ยกของอีกส่วนหนึ่งขึ้นและเดินออกไปจากร้านพร้อมกับอาร์โรห์
อาร์โรห์เหลือบมองคาร์ลที่เดินอยู่ข้างๆ
“สีหน้าเสแสร้งนั่นมันอะไรกันน่ะ”
“อะไร?
เปล่านี่”
“เอาเถอะ
ข้าขี้เกียจพูด” อาร์โรห์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
หลังจากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกจนกระทั่งถึงโรงแรมที่พวกเขารู้สึกถึงกลิ่นอายของพวกเดล
เพียงแค่ก้าวเข้าไปในโรงแรม
ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ภายนอกที่วุ่นวายให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
แต่เมื่อเข้ามาในตัวอาคารที่น่าจะมีนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางเข้ามาพักก็กลับเงียบสงบซะจนเหมือนคนละโลก
“อ้าว
อาร์โรห์ คาลร์ มาพอดีเลย
พวกข้าเพิ่งจะสั่งอาหารไปแน่ะ” เป็นเดลที่สังเกตเห็นพวกเขาก่อนเป็นคนแรก พวกเขานั่งอยู่ที่เคาเตอร์
ที่ด้านหลังเคาเตอร์มีชายหนุ่มที่ดูเอ่อ...จะเรียกว่าอะไรดี
ขาวปลอดทั้งตัว? ก็ไม่ทั้งตัวนะ
ผิวหนังยังเป็นสีเนื้ออยู่
ก็แค่ขาวกว่าคนในหมู่บ้านก็แค่นั้นเอง ส่วนเรื่องสีผมกับสีตาก็...ขาวจริงๆนั่นแหละ
แต่ถ้าจะเรียกไม่ให้เสียมารยาทก็คงต้องเรียกว่าสีเงิน...
“ยินดีต้อนรับขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มบางๆ แต่ก็ดูงดงามไปอีกแบบ สวยแบบสว่างๆน่ะนะ...
อาร์โรห์มองสำรวจอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ถัดจากเดลมาตัวหนึ่ง เป็นเชิงว่าให้คาร์ลมานั่งข้างๆเดลก็แล้วกัน
จากนั้นก็มองรายการอาหารที่ถูกวางลงมาทันทีที่ตัวเขาถึงเก้าอี้
“รับอะไรดีขอรับ?”
“...”
อาร์โรห์มองเมนูอาหารแล้วก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมาถาม “ไอนี่...คืออะไร...”
กล่าวพลางชี้นิ้วไปที่อาหารหนึ่งในเมนูที่เขียนไว้ว่า ‘ชูเดริอัส คอร์เดโร่’
ชายหนุ่มที่ได้เห็นชื่ออาหารแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“ถึงชื่อจะฟังดูหรูหรา
แต่อันที่จริงมันก็แค่ซี่โครงอบน่ะขอรับ
ถ้าจะสั่งอาหารข้ามีเมนูแนะนำอย่างพาสต้าสารพัดเนื้อนะขอรับ”
“สารพัดเนื้อ...” แม่จะถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยแววสงสัยใคร่รู้
เหมือนชายหนุ่มจะสามารถสังเกตเห็นความอยากรู้อยากเห็นของอาร์โรห์ เข้าจึงได้เอ่ยปากอธิบายต่อ “ที่นี่คือหมู่บ้านนักรบ
ชาวบ้านทุกคนในอดีตเคยเป็นนักรบที่ผ่านการสงครามมา
และได้ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ต่างๆมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่ในยุคที่ไม่ได้มีสงครามแพร่หลายเช่นนี้
พวกเราก็ไม่อาจจะหาเงินเข้าหมู่บ้านมาด้วยการออกไปสู้รบปรบมือและรับค่าจ้างจากนายจ้างหรือรัฐบาลได้ พวกเราจึงหาทางแก้ปัญหาด้วยการล่าสัตว์และผลิตอาวุธเพื่อเอาไปขาย
และบางส่วนก็เอามาแจกจ่ายกันเองในหมู่บ้านน่ะขอรับ”
อาร์โรห์ที่ได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง
“งั้นขอพาสต้าสารพัดเนื้อก็ได้”
หลังจากที่ทุกคนจัดการกับอาหารจนท้องอิ่ม ชายหนุ่มก็เริ่มพาทุกคนไปยังห้องพัก
และเนื่องจากที่นี่ไม่ค่อยจะมีใครมาเข้าพักอยู่แล้วห้องจึงมักจะเหลือตลอด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงนี้ที่ไม่มีใครเดินทางมาที่หมู่บ้านนักรบแห่งนี้เลย
“เชิญพักผ่อนตามสบายนะขอรับ”
ชายหนุ่มโค้งอยู่หน้าประตูห้องของอาร์โรห์ซึ่งถูกจัดไว้ลึกที่สุด ไม่ใช่อะไรหรอก เขาบอกให้หาห้องที่ไกลจากทุกคนเองนั่นล่ะ
อาร์โรห์เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์เริ่มโผล่ขึ้นมาให้ได้เห็นบนท้องฟ้า
ดวงจันทร์สีขาวนวลตาที่ไม่ได้เป็นสีเลือดเหมือนกับที่โลกปีศาจ
หวังว่าคืนนี้เขาจะฝันดี...
เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงนกที่บินผ่านไป
อาร์โรห์ตื่นขึ้นมาและแต่งตัวด้วยชุดสบายๆอย่างเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงสบายๆ
และออกไปจากโรงแรมโดยการกระโดดออกไปทางหน้าต่างและไม่ลืมที่จะพกเอาธนูที่เพิ่งจะซื้อมาไปด้วย
“เอาล่ะ!
พวกเราทุกคนเตรียมตัว
เราจะออกไปล่ากันแล้ว!!”
เสียงตะโกนนั้นสามารถเรียกความสนใจจากอาร์โรห์ได้อย่างชะงัด เขามองตรงไปยังชายที่อยู่ในช่วงวัยกลางคน
หากแต่ก็กลับมีร่างกายสูงใหญ่สง่าผ่าเผยคล้ายแม่ทัพผู้เที่ยงธรรมและเจนสงคราม
“อ้าว นั่น! อาร์โรห์ไม่ใช่เรอะ!!?” เสียงใหญ่ๆแตกๆของแอสทรอยดังมาจากกลุ่มชายวัยฉกรรจ์ที่รวมตัวกันอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
เป็นเหตุให้คนหลายคนมองตรงมาที่อาร์โรห์เป็นตาเดียว
อาร์โรห์เกิดอยากจะซัดใครสักคนก็วันนี้แหละ!!
อุตส่าห์ทำให้ตัวเองให้ไม่เป็นที่สนใจด้วยการแต่งตัวให้เหมือนกับคนในหมู่บ้านและรวบผมขึ้นแล้วก็ยังมีคนทักจนเสียเรื่องอีกแน่ะ!
อาร์โรห์ปั้นหน้ายุ่ง
แต่ก็ทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ให้อีกฝ่ายวิ่งเข้ามาหาเขา
“ไปล่าสัตว์ด้วยกันไหม?”
“ข้า?” อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะมองอาวุธที่ตนเองมีติดตัวอยู่ นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่อย่างชั่งใจ
ที่เขาขออยู่ห้องพักที่ห่างจากคนอื่นก็เพราะอยากจะออกมาเดินเล่นโดยที่ไม่มีใครรู้ และอีกอย่าง
ยังไงเสียวันนี้ก็คงจะไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย การได้ออกไปนอกหมู่บ้านทำกิจกรรมอะไรสักอย่างก็อาจจะไม่เลวนักก็ได้...
“เฮ้ย! จะดีเรอะชวนผู้หญิงไปที่อันตรายๆแบบนั้นน่ะ!!?”
“เออเนอะ...ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นผู้หญิง...”
“ไม่ล่ะ
ข้าจะไป
แล้วก็ช่วยทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย
ข้าเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง”
แม้ว่าจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
แต่ดวงตากลับส่องประกายเหมือนอยากจะจับเจ้าคนพูดไปถ่วงน้ำเสียเดี๋ยวนั้น
“ฮะ!!? ไม่จริงอ่ะ! รูปร่างหน้าตาแบบนี้เนี่ยนะผู้ชาย!!!?”
“จะต้องให้ข้าถอดเสื้อผ้าให้ดูมั้ยล่ะ” ไม่ว่าเปล่ามือยังจับชายเสื้อทำท่าจะถก...ไม่สิ ถกขึ้นมาจนเห็นแผ่นท้องแบนราบนั่นแล้วด้วยซ้ำ
“อะๆๆๆ หยุดๆๆๆๆ
ข้าเชื่อแล้ว! ข้าเชื่อแล้ว!!! ปล่อยชายเสื้อลงเดี๋ยวนี้เลย!!!!”
และสุดท้ายแล้วอาร์โรห์ก็ได้ร่วมคณะล่าสัตว์ของหมู่บ้านนักรบเข้าไปในป่า
“ทุกคน! พวกเราจะแยกออกเป็นสี่กลุ่มนะ!! ล่ามาได้ตามจำนวนที่ต้องการเมื่อไหร่ให้กลับมาสมทบกันที่นี่ เอ้า!! แยกกลุ่มกันให้เรียบร้อย!!!!”
หลังจากคำพูดนั้นจบลง ทุกคนต่างก็เริ่มจับกลุ่มกันกลุ่มละห้าคน
อาร์โรห์โดนแอสทรอยลากมาเข้ากลุ่มของเขาที่ดูเหมือนจะเอาขนาดตัวเป็นมาตรฐานซะมากกว่าฝีมือ เพราะแต่ละคนในกลุ่มล้วนมีขนาดตัวที่พอๆกับแอสทรอยทั้งหมด
จะมีก็เพียงอาร์โรห์ที่พอเข้ามาจากที่ปกติก็มีรูปร่างบอบบางและส่วนสูงน้อยกว่าคนอื่นที่อายุรุ่นเดียวกันอยู่แล้วตอนนี้เลยดูตัวเล็กไปเลย
“นี่น่ะเหรอคนที่ชนะเจ้าเมื่อวาน?? ดูไม่ได้เลยนะแอสทรอย”
หนึ่งในกลุ่มกล่าวพลางมองสำรวจอาร์โรห์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ตัวเล็กบอบบางอย่างกับผู้หญิง”
“แต่ผิวขาวดีนา
อย่างกับไม่เคยโดนแดดแหนะ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“แอสทรอย”
“หือ?”
“แล้วหายไปไหนคนนึงล่ะ กลุ่มของเราน่ะ”
“อ้อ
เจ้าบิวาร์น่ะเหรอ
เดี๋ยวก็ตามมาแหละ
หมอนั่นทำงานอยู่ที่โรงแรม
ต้องทำความสะอาดรอบเช้าก่อนกว่าจะมาได้”
“งั้นเหรอ...”
“ขอโทษที!!!”
เจ้าของเสียงที่วิ่งเข้ามาทำให้อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ
เจ้าตัวชายหนุ่มเองก็มองมาทางอาร์โรห์ด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนไม่นึกว่าจะเจอเขาที่นี่เช่นกัน
“เอาล่ะ
ครบแล้วงั้นก็ไปกันเลย!”
หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็เริ่มออกตัวเดินเข้าไปในป่าทึบด้วยความคึกคะนอง
“ข้าไม่นึกว่าจะเจอท่านที่นี่นะขอรับ”
“อือ...ไม่ต้องคำสุภาพก็ได้นะ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก”
“อ่า...เอางั้นเหรอ...”
“แบบนั้นแหละ
ข้าไม่ชินกับการให้คนอื่นมาทำตัวนอบน้อมน่ะ”
“อ...อืม...ได้...”
บทสนทนาเบาๆของทั้งสองจบลงที่ความเงียบ อาร์โรห์กลอกตาไปมาเหมือนพยายามจะหาอะไรคุย สุดท้ายก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากการแนะนำตัว
“ข้าชื่อ
อาร์โรห์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ บิวาร์”
“เอ๊ะ ท่าน...เอ้ย! เจ้ารู้ชื่อข้าได้ยังไง??”
อาร์โรห์ไม่เอ่ยตอบ เขาทำเพียงมองไปยังร่างใหญ่ๆอีกสามร่างที่เดินนำอยู่ เพียงเท่านั้นบิวาร์ก็เข้าใจว่าอาร์โรห์คงจะได้ยินคนในกลุ่มเรียก หรือไม่ก็นินทาเขา...
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงอยู่กลุ่มนี้ล่ะ?
ท่าทางคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยชอบเจ้าเท่าไหร่นอกจากแอสทรอยนะ”
“ฮะๆๆ
ก็แอสทรอยเป็นเพื่อนสมัยเด็กนี่นา
แต่กับคนอื่นคงเพราะข้าชอบมาสายนั่นแหละ”
“ฟังดูไร้เหตุผลจังนะ...” อาร์โรห์อดไม่ได้ที่จะแค่นยิ้ม
แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เดินมาด้วยกันเขายังไม่เห็นว่าอาวุธของอีกฝ่ายคืออะไรเลยจึงได้หันมามองสำรวจและพบกับดาบทรงยุโรปสองเล่มที่ถูกห้อยอยู่ข้างเอวทั้งสองข้าง
อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้น
“ข้าไม่ค่อยเจอคนใช้ดาบคู่เท่าไหร่เลยนะ”
“ข้าเองก็ไม่ค่อยจะเจอผู้ใช้ธนูเหมือนกัน”
ไม่ว่าเปล่า
บิวาร์ยังเลื่อนสายตาไปมองธนูที่อาร์โรห์ถืออยู่และกระบอกใส่ลูกธนูที่ถูกเหน็บอยู่ข้างเอวโดยที่ดูจะไม่มีผลต่อการเดินของอีกฝ่ายเลย
“โฮ่ยๆ พวกเจ้า
อย่ามัวแต่คุยจนเป็นตัวถ่วงพวกเราสิ” หนึ่งในสองคนที่อาร์โรห์ไม่รู้ชื่อกล่าวขึ้น ทั้งสองคนมองไปยังอีกฝ่าย บิวาร์ยอมเงียบลงแต่โดยดี
แต่อาร์โรห์อดไม่ได้ที่จะส่งจิตสังหารตรงไปยังอีกฝ่ายให้หนาวสันหลังเล่น
ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที
อาร์โรห์ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังขยับเข้ามาใกล้ มันทำให้เขาชะงักและมองไปยังจุดที่รับรู้ได้ถึงตัวตนของสิ่งนั้น
โฮก!!!!
แต่เพียงแค่เขาหันไป
เจ้าสิ่งมีชีวิตสีเหลืองน้ำตาลตัวใหญ่ก็กระโดดพรวดออกมากระโจนเข้าใส่เขา
อาร์โรห์รีบผลักบิวาร์ที่ยังไม่รู้ตัวให้ออกไปจากวิถีที่มีสิทธิ์โดนลูกหลง
จากนั้นก็กระโดดถอยไปเพื่อเว้นระยะจากสิ่งที่เพิ่งปรากฏตัวออกมา
สิ่งที่ปรากฏออกมาคือเสือโคร่งตัวยักษ์ที่ทำเอาหลายๆคนในกลุ่มผวาเฮือก
“อ...อาร์โรห์ ถอยออกมาเด้! จะเข้าไปหาให้มันกินหรือไง!!!?” แอสทรอยตะโกนขึ้นเมื่อเห็นอาร์โรห์เดินเข้าไปใกล้เจ้าเสือโคร่งโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัว
อาร์โรห์พินิจมองเจ้าเสือครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยื่นมือออกไปแตะลงบนหัวของมันโดยที่มีคนอื่นคอยลุ้นตัวโก่งมองดูการกระทำนั้น
“ไปเถอะ
พวกข้าไม่ได้มาทำร้ายเจ้า” อาร์โรห์กล่าวเสียงเนิบช้า
แต่นั่นกลับทำเอาพวกแอสทรอยอ้าปากค้างเมื่อเจ้าเสือโคร่งนั่นกลับยอมเดินกลับไปอย่างสงบเสียเฉยๆซะอย่างนั้น
“จ...เจ้าทำได้ไง...”
“ก็แค่เข้าใจมันก็แค่นั้น”
เขากล่าวแล้วเดินหน้าต่อ
เป็นเหตุให้ทุกคนต้องรีบเดินตามโดยที่ต่างคนต่างก็พกเอาความสงสัยติดตัวไปด้วย
“เจ้าไปข้างนอกไม่มีบอกเลยนะ”
เพียงแค่เหยียบกลับเข้ามาในโรงแรม
อาร์โรห์ก็เจอใบหน้าของคาร์ลที่ยิ้มแปลกๆส่งมาให้พร้อมกับประโยคเมื่อครู่
อาร์โรห์สะบัดหน้าหนีเหมือนไม่ใส่ใจ
“อาร์โรห์ เราจะออกเดินทางต่อแล้วนะ”
เดลที่ลุกเดินมาหากล่าวขึ้น
และอาร์โรห์ก็ทำเพียงพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะขอแยกตัวกลับไปที่ห้องพักเสียอย่างนั้น
เดล
ลูน่า และคาร์ลมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้อยู่ดีว่าอาร์โรห์เป็นอะไร
มองไปทางบิวาร์ที่เดินเข้ามาพร้อมๆกับอาร์โรห์อีกฝ่ายก็ทำเพียงยิ้มแห้งๆส่งมาให้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ในขณะเดียวกันอาร์โรห์ที่กลับเข้ามาในห้องพักกลับทรุดร่างลงนั่งที่หน้าประตูอย่างหมดแรง
อาการปวดร้อนบริเวณหน้าอกกำเริบขึ้นมาอีกระหว่างที่เขากำลังช่วยชาวบ้านล่าสัตว์ ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย
แต่อาการก็กลับดูจะหนักกว่าครั้งก่อนๆที่อาการดีขึ้นมาก
...เหมือนว่ามันจะทรุดลงมาอีก...
“แค่กๆๆ” อาร์โรห์ไอแห้งๆออกมา
มันทำเอาเขารู้สึกปวดที่บริเวณอกมากกว่าเก่า เขาหอบจนไม่รู้ว่ามันจะขาดห้วงลงตอนไหน ไอแล้วก็หอบ หอบแล้วก็ไอ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกแสบไปทั้งลำคอและทรวงอก
ก๊อกๆๆ
“อาร์โรห์
เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเตรียมตัวนานนักล่ะ”
“คาร์ล...”
อาร์โรห์พึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมา เขาควรจะเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นตนเองในสภาพแบบนี้ และขณะที่กำลังจะกล่าวบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องเป็นห่วงเขาก็ดันไอออกมาอีกจนคาร์ลตระหนกและเปิดประตูพรวดเข้ามา
เห็นสภาพเขาไอจนตัวโยนแล้วก็ได้แต่รีบเข้ามาช่วยลูบหลังเขา
“นี่อาการเจ้าทรุดลง!!?”
“ไม่
ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ข้าว่าอาการเจ้าแปลกๆนะ พักต่ออีกหน่อยดีไหม”
“ไม่ต้องหรอกน่า
ข้าไม่เป็นไร”
“งั้นเจ้าอยู่เฉยๆ เดี๋ยวข้าจัดของให้เอง”
อาร์โรห์ไม่ปฏิเสธ เขารู้สึกล้าเกินกว่าจะเถียงด้วยแล้ว สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงมองคาลร์จัดของให้จนอาการดีขึ้นจึงได้ลุกไปดึงเอาเสื้อผ้าของเขามาจากมือของอีกฝ่าย
“ขอบใจมากนะ
ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง
ลงไปรอข้างล่างเถอะ” เขากล่าวพลางกอดกองเสื้อในมือแน่น
ก็เขาซุกกริชไว้ในนี้ด้วย จะให้ใครมาจับได้ไงล่ะ...
คาลร์นิ่งไปครู่หนึ่ง
หลังจากมั่นใจแล้วว่าอาร์โรห์จะไม่มีอาการกำเริบขึ้นมาในเร็วๆนี้เขาจึงยอมพยักหน้าและเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี
หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางกันอีกครั้งโดยมีแอสทรอยและบิวาร์ออกมาส่งที่หน้าหมู่บ้าน
“ถ้าว่างๆก็มาเที่ยวที่นี่บ้างล่ะ”
“อาวุธและอาหารของที่นี่ก็ดีอยู่หรอกนะ แต่น่าจะจัดระเบียบของหมู่บ้านซะหน่อย”
“ลูน่า” เดลเอ่ยปรามจนเด็กสาวทำปากยื่น แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี
“ไว้จะมา”
นั่นคือสิ่งที่อาร์โรห์กล่าวก่อนที่พวกเขาจะจากหมู่บ้านนักรบมา
แต่เพียงแค่พ้นอาณาเขตป่าของหมู่บ้านซึ่งเป็นเขตล่าสัตว์ออกมา พวกเขาก็พบกับทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งเข้ามาขวางทางไว้เสียอย่างนั้น
“พวกเจ้าจะไปไหน!?”
เสียงที่ใช้ถามไม่ได้แสดงถึงความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายกวาดตามองสำรวจพวกเขาทุกคน
ก่อนจะหันไปหาทหารรับจ้างคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขาคุยกันครู่หนึ่ง สุดท้ายอีกฝ่ายก็หันมามองสำรวจพวกเขาอีกครั้ง
“หน้าตาพวกเจ้าคุ้นๆนะ
เหมือนเคยเห็นมีประกาศติดอยู่ในเมืองหรือเปล่า?”
คำพูดนั้นทำให้พวกอาร์โรห์ระวังตัวมากขึ้น
มือเอื้อมไปจับอาวุธที่ติดตัวอยู่โดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น
“พวกท่านคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ พวกข้ายังไม่ได้เดินทางเข้าเมืองที่ไหนเลย”
เป็นคาร์ลที่เอ่ยขึ้น
แต่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีมั่นใจมากว่าพวกเขาจะต้องเป็นคนที่ถูกติดประกาศจับอยู่ และคนที่ประกาศก็คงไม่ใช่ใครอื่น เลียร์
เวอเรจนั่นล่ะ
“ยังไงก็เถอะ
ช่วยมากับพวกข้าหน่อยก็แล้วกัน!” ไม่ว่าเปล่า ทหารรับจ้างอีกหลายคนก็เข้ามาล้อมพวกเขา หลังจากนั้น
โดยไม่มีการบอกกล่าว
พวกทหารรับจ้างก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับดาบในมือ
ทุกคนต่างดึงอาวุธของตนเองออกมาแล้วเข้ารับการโจมตีของพวกทหารรับจ้างได้อย่างทันท่วงที
แต่เหมือนว่าพวกทหารรับจ้างส่วนใหญ่จะมารุมอาร์โรห์ซะเยอะจนน่าแปลก...
อาร์โรห์อาศัยความเร็วของตนเองในการหลบหลีก
ใช้ศรในมือแทงสวนทหารรับจ้างหลายคนจนได้รับบาดเจ็บลงไปนอนกลิ้งอยู่ที่พื้น
มีบ้างที่ยกคันศรขึ้นมาใช้เล็งและฟาดมือของทหารรับจ้างจนอีกฝ่ายเผลอปล่อยอาวุธลงที่พื้นและใช้จังหวะนั้นในการทำให้อีกฝ่ายสลบ
แต่ถึงจะเก่งกาจเพียงใดก็ใช่ว่าจะไม่สามารถพลาดพลั้ง
ไม่ว่าจะในเรื่องของจำนวนคนของอีกฝ่ายที่เล่นหมาหมู่
หรือจะด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมของเขาเองด้วยก็ตาม
ในที่สุดก็มีดาบหนึ่งแฉลบผ่านสีข้างของเขาไปจนได้แผล ส่งผลให้ร่างของเขาชะงักไปเสี้ยววินาที
แต่นั่นก็มากพอจะทำให้มีดาบที่สองแทงลงบนต้นขาจนเขาล้มลง
อาร์โรห์เม้มปาก
ถ้าเป็นแบบนี้การเคลื่อนไหวของเขาก็จะช้าลง
นั่นก็เท่ากับว่าความได้เปรียบของเขาจะหายไปอย่างหนึ่ง ทั้งยังจะเป็นส่วนที่เสียเปรียบด้วย...
เด็กหนุ่มชาวอินคิวบัสตะหวัดแขนข้างที่ถือลูกธนูแทงเข้าที่แขนของทหารรับจ้างที่ยังคงกดดาบลงมาบนขาของเขาจนอีกฝ่ายผละออกไป
อาร์โรห์จึงสามารถฝืดดึงดาบออกจากขาแล้ววิ่งเข้าหาทหารรับจ้างอีกนายที่เมื่อครู่ต่อสู้ติดพันค้างกันอยู่
แม้จะเจ็บแผล
แต่อาร์โรห์ก็ไม่สนใจ ตอนนี้เขาต้องทำให้การต่อสู้แบบหมาหมู่นี่จบลงให้เร็วที่สุด ถ้ายืดเยื้อไปมากกว่านี้ ฝ่ายพวกเขานี่ล่ะที่จะเสียท่าเสียเอง
อาร์โรห์โน้มตัวไปด้านหลังหลบการโจมตีที่ทหารรับจ้างนายหนึ่งฟาดเข้ามา
ก่อนจะเอาลูกธนูปักลงที่ช่วงท้องของอีกฝ่าย จากนั้นก็ดึงออกและสะบัดมือโยนลูกศรที่อยู่ในมือเข้าใส่ทหารรับจ้างอีกคนที่กำลังวิ่งเข้ามา
อาร์โรห์หยิบลูกธนูออกมาอีกหนึ่งและประทับคัน
เล็งไปยังทหารรับจ้างที่กำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับลูน่า ก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไป!
เมื่อคู่ต่อสู้ที่พัวพันอยู่ล้มลงด้วยฝีมือของธนูดอกหนึ่งลูน่าก็หันควบมามองทางอาร์โรห์ที่ดึงเอามีดออกมาใช้รับมือกับทหารรับจ้างที่กรูกันเข้าไปหา
ลูน่าก็อยากเข้าไปช่วยอยู่หรอก
แต่พอล้มลงคนหนึ่งอีกคนก็เข้ามาต่อจนลูน่าไม่รู้จะปลีกตัวไปอย่างไรนี่สิ
อาร์โรห์รู้สึกว่าขาของเขาเริ่มจะสูญเสียการควบคุมลงเรื่อยๆ มีอยู่หลายครั้งที่อยู่ๆร่างก็ชะงักลงจนเขาเบี่ยงหลบการโจมตีไม่ทันได้แผลเพิ่ม
แม้ว่าจำนวนของทหารรับจ้างจะมีไม่มากและลดลงเรื่อยๆ
แต่อาร์โรห์กลับรู้สึกว่าเหมือนกำลังสู้อยู่กับคนเป็นร้อยทั้งๆที่อีกฝ่ายมีเพียงไม่กี่สิบคน
สุดท้ายแล้วการที่ปล่อยให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลใหญ่ที่ขานานๆก็ส่งผลให้ร่างของอาร์โรห์ทรุดลงอีกครั้ง
และครั้งนี้เขาก็ไม่อาจจะลุกขึ้นมายืนได้อีกไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน
อาร์โรห์กัดฟันอย่างขัดใจ
แต่เขาก็จำต้องรับการโจมตีอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่ง
“อึก!”
สิ่งที่ขาข้างที่เจ็บต้องรองรับไม่ใช่เพียงแค่น้ำหนักตัวของเขาเท่านั้น
แต่ยังรวมกับแรงของทหารรับจ้างที่กดดาบลงมาด้วยแรงที่อาจเรียกได้ว่าทุ่มสุดตัว
อาร์โรห์หน้าซีด
สำหรับมีดเล่มหนึ่งอาจถือว่านี่เป็นมีดที่ดีมากแล้ว
แต่สำหรับในสถานการณ์นี้มันกลับยังดีไม่เท่ากับดาบผุๆเล่มหนึ่งเลยด้วยซ้ำ มันทำให้อาร์โรห์ต้องใช้แรงในการดันอีกฝ่ายมากขึ้นจนมือสั่น อันที่จริงเขาจะดึงเอากริชออกมาใช้ก็ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าพลังอำนาจของมันจะรุนแรงขนาดไหน
หรือว่าเขาจะต้องใช้เวทของมีดเล่มนี้จริงๆ?
อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจส่งพลังเวทเข้าไปในตัวมีด อักขระบนใบมีดเรืองแสงสีแดงจางๆขึ้น
มันทำให้ทหารรับจ้างที่ล้อมอาร์โรห์อยู่ชะงัก
ก่อนที่เสียงกรีดร้องจะดังขึ้นและเริ่มมีคนออกวิ่งหนี
ปีศาจตัวมหึมาที่ปรากฏออกมาจากมีดมีเกล็ดสีดำวาวและนัยน์ตาสีเลือด
เหมือนว่าจะเป็นปีศาจที่ถูกสร้างขึ้นจึงไม่เป็นที่รู้จักแม้แต่ปีศาจเช่นอาร์โรห์เองก็ตาม เขามองเจ้าปีศาจที่มีลักษณะคล้ายพยัคฆ์ตรงหน้า มันเดินเข้ามาหาเขา
นิ่งมองครู่หนึ่งก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาหาเขา
ใช้จมูกดมกลิ่นจนอาร์โรห์รู้สึกอยากจะผละถอยออกแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอยู่นิ่งๆ
เมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าอาจสู้เจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ไม่ได้หากยังคงอยู่ในสภาพนี้
“จนมุมถึงขนาดต้องเรียกเจ้านั่นออกมาเลยเรอะ
ฮ่าๆๆๆๆ น่าสมเพชจริงๆเจ้าคนนอกคอก!”
คำเรียกขานที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่ๆดังขึ้นมาให้อาร์โรห์ได้เงยหน้ามองร่างที่กำลังบินอยู่กลางอากาศ
ปีกที่มีขนสีนิลถูกสยายจนบังแสงแดดที่จะส่องลงมา
อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าคือ...เฮคเตอร์ เทรานอส...”
“โอ้? เจ้าจำข้าได้ด้วย? หึๆๆ”
“ใครจะจำเจ้าไม่ได้ล่ะ เจ้าคือคนที่โยนข้าเข้าไปในห้องใต้ดินที่มีลูกครึ่งแวมไพร์นั่นอยู่
ถ้าข้าจำไม่ได้ข้าก็คงจะความจำสั้นยิ่งกว่าปลาทอง...”
“หึๆๆ
งั้นก็ดี ช่วยฟังคำขอของข้าหน่อยสิ...อาร์โรห์...”
น้ำเสียงที่ใช้กล่าวชื่อของเขาฟังดูหวานเหมือนกับว่ากำลังเอ่ยชื่อคนรักออกมา
และนั่นก็มากพอจะทำให้อาร์โรห์ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้ว
“ช่วย...ตายๆไปซักที!!!”
กล่าวจบเวททำลายล้างรุนแรงก็ถูกซัดเข้ามาหาอาร์โรห์โดยที่เขาไม่อาจที่จะหลบได้ แต่เจ้าสัตว์ปีศาจที่มีรูปร่างเหมือนพยัคฆ์นั่นกลับเข้ามาบังอยู่ตรงหน้าเขาและรับพลังทำลายเข้าไปเต็มๆ
มันส่งเสียงคำรามกึกก้องอย่างเจ็บปวดก่อนที่ร่างของมันจะกลายเป็นกลุ่มแสงและกลับเข้ามาในมีดซึ่งอยู่ในมือของเขา
อาร์โรห์มองมีดในมือ รู้สึกขอบคุณเจ้าสัตว์ปีศาจตนนี้จากใจ
แต่ก็มีเหตุให้เขาต้องรีบเก็บมีดลงในเสื้อเมื่อเฮคเตอร์บินโฉบลงมาหมายจะชิงเอามีดในมือของเขาไป
เมื่อชวดจากมีด
เฮกเตอร์จึงเล็งจุดหมายใหม่ ฝ่ามือทั้งสองข้างเอื้อมมาที่ลำคอของอาร์โรห์และบีบมันด้วยแรงที่ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็คงจะคอหักไปแล้วพร้อมกับดันร่างของเขาจนล้มลงไป
“ตายไปซะ! ตายไปซะ!! ตายไปซะ!!! ตายไปซะ!!!! ตายไปซะ!!!!!”
เฮคเตอร์กล่าวขณะที่ออกแรงบีบที่มือมากขึ้น
อาร์โรห์ดิ้นรน
ทั้งข่วนทั้งจิกเล็บลงบนฝ่ามือที่บีบคอเขาอยู่ ไม่ว่าจะยกมือขึ้นทุบอีกฝ่ายอย่างแรงหรือยกมือขึ้นข่วนไปถึงใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังไม่อาจที่จะทำให้ฝ่ามือของอีกฝ่ายหลุดออกไปจากลำคอของเขาได้
อาร์โรห์เริ่มตาเหลือก ปากอ้าออกอย่างพยายามจะกวาดเอาอากาศหายใจเข้าปอด แต่มันก็ยังคงเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะดิ้นขนาดไหนก็อีกฝ่ายก็ยังไม่หลุดออกไป
เขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าเริ่มห่างไกลออกไปทุกที
เขาได้ยินเสียงของเฮคเตอร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็แทนที่ด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดก่อนที่น้ำหนักบนร่างของเขาจะหายไป และเป็นตอนนั้นเองที่สติของเขาดับวูบลง...
เข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาแตะบนใบหน้า
สัมผัสเย็นๆชื้นๆที่ลากผ่านข้างแก้มไปทำให้อาร์โรห์ค่อยๆลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของลูน่าที่มองมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ลูน่า...”
“อาร์โรห์
เจ้าเป็นยังไงบ้าง”
“อือ...ไม่เป็นไร...แล้วคาร์ลกับเดลล่ะ...”
“สองคนนั้นออกไปหาฟืนน่ะ ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆนะ”
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าไม่เป็นไร” กล่าวพลางค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ถึงแม้ว่าจะมีอาการเวียนหัวเข้ามาจู่โจม แต่อาร์โรห์ก็ไม่คิดจะใส่ใจเท่าไหร่ เขามองไปรอบด้านอย่างสำรวจ พวกเขายังคงอยู่กลางป่า
เพียงแต่ว่าทัศนะรอบด้านถูกเปลี่ยนไปนิดหน่อย
ไม่มีรอยเลือดและร่างของทหารรับจ้างหรือแม้กระทั่งร่องรอยการต่อสู้ คาดว่าเขาคงถูกพาออกมาจากจุดที่เกิดเหตุด้วยฝีมือของใครซักคนที่ลงทุนแบกเขาออกมา
“อ้าว
ฟื้นแล้วเหรออาร์โรห์” เดลเอ่ยพลางวางฟืนลงบนพื้น
คาร์ลที่เดินตามมาวางกองฟืนลงข้างๆเดลก่อนจะเดินเขามาใช้มือแตะลงบนหน้าผากของอาร์โรห์ “เหมือนว่าจะไม่มีไข้แล้วนะ”
“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ”
เดลเอ่ยทั้งใบหน้าที่ดูผ่อนคลายลง
ส่วนลูน่าก็มองมายิ้มๆ
อาร์โรห์มองทุกคนแล้วจับลำคอของตนเอง
ต่อจากนี้...นอกจากปีศาจแล้วก็ยังมีมนุษย์ที่ตามล่าพวกเขา และบางที
ศัตรูที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นเฮคเตอร์ที่เกลียดเขาเข้าไส้ แล้วมันก็มีสิทธิ์ที่อีกฝ่ายจะพยายามหาเรื่องเขาทุกทางจนคนที่อยู่รอบตัวเขาเดือดร้อน...
...เขาควรจะไปจากทั้งสามคนสินะ...
___________________________________________________________
อะแฮ่มๆ ถึงนักอ่านทุกท่าน
ขณะนี้ไรท์ได้ทำการเปิดเพจของไรท์เองแล้ว เพื่อความสะดวกในการสำปวย(?) และอัพเดตนิยาย
ทุท่านสามารถตามนิยายจากไรท์ได้ทางเพจนี้และสามารถถามสำปวยที่อยากรู้กันแค่สองคน(?) ได้ที่นี่ค่ะ
https://www.facebook.com/pages/Ani-jigo-Writer_JJ-Drawing/782117125195411
ความคิดเห็น