ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Incubus ฝันอันตราย ภาค The Cursed Eyes (จบ)

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9

    • อัปเดตล่าสุด 30 พ.ค. 58


    บทที่  9

     

    อาร์โรห์รีบเข้ามารับร่างของเดลที่อยู่ๆก็หมดสติไปทั้งยืน  ใบหน้าของเดลซีดขาวจนอาร์โรห์นึกหวั่น  เขาแตะมือลงบนหน้าผากของเดลที่มีเหงื่อผุดขึ้นมาจนชุ่ม  มั้นเย็นเกินกว่าที่ร่างกายของมนุษย์พึงมี  หรือเวทที่เขาใช้ผนึกความทรงจำของเดลจะมีผลต่อร่างกายของอีกฝ่าย...

    ...แบบนี้ไม่เท่ากับเขาทำร้ายอีกฝ่ายด้วยมือของตนเองหรอกหรือ...

    อาร์โรห์เม้มปาก  ตัดสินใจพยุงร่างของเดลขึ้นมาด้วยแขนข้างหนึ่ง  ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหมูป่าตัวอ้วนพีนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น  นั่นคงจะเป็นอาหารที่เจ้าก็อบลินว่า  และสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจเอาเจ้าหมูป่านั่นไปเป็นอาหารเช้าของพวกเขา

    อาร์โรห์เดินกลับมาแล้วถึงได้พบว่าทั้งคาร์ลและลูน่าได้กลับมาถึงจุดที่พวกเขาใช้พักเมื่อคืนแล้ว

    ลูน่าที่เห็นเดลหมดสติดูจะตระหนกจนหน้าซีด  เธอละล่ำละลักเข้ามาดูอาการของเดล

    “อ...อาโรห์ เดลเป็นอะไรไป...”

    “ขอโทษด้วยลูน่า  เหมือนว่าพลังเวทของข้าจะมีผลต่อเขา...ข้า...จะรีบถอนเวทออก”

    ลูน่ามีท่าทีไม่เข้าใจในคำพูดนั้น  แต่อาร์โรห์ก็ไม่ใจเย็นมากพอจะมานั่งอธิบายอะไร  นัยน์ตาสีนิลมองคาร์ลอย่างสื่อความนัยว่าให้อีกฝ่ายช่วยพาลูน่าหลบไปจากตรงนี้ก่อน  จากนั้นก็วางร่างของเดลลงให้อยู่ในท่านอนราบ  ใช้มือแตะสำรวจอุณหภูมิร่างกายของเดลอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

    คาร์ลเดินเข้ามาหาลูน่าที่ยังคงยืนมองการกระทำของอาร์โรห์อยู่ที่เดิม  จงใจดึงมือเธอและกระตุกเบาๆเป็นเชิงให้เดินตามเขาไป

    ลูน่าขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “เจ้าจะพาข้าไปไหน!?” เธอกล่าวขึ้นขณะที่ถูกดึงกึ่งลากออกไปจาบริเวณที่สามารถมองเห็นอาร์โรห์และเดลได้

    “เจ้าอยู่ตรงนั้นไปก็มีแต่จะทำให้สมาธิของอาร์โรห์เสียเปล่าๆ  ไปหาที่สงบใจสงบอารมณ์ที่เดือดปุดๆนั่นก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?”

    “เจ้าจะมารู้อะไร!?”

    “ก็ไม่รู้สิ  ข้าไม่เข้าใจคนมีพี่น้องหรอก  ข้ารู้แค่ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้นต่อไป  อารมณ์โกรธที่เจ้ารู้สึกต่ออาร์โรห์ก็มีแต่จะทำให้อาร์โรห์ทำอะไรไม่สะดวกก็เท่านั้น”

    “ข้าไม่ได้โกรธ!!!...อะ...”

    “รู้ตัวแล้วสินะ?  เจ้ากำลังโกรธ  โกรธที่รู้ว่าอาร์โรห์ใช้เวทกับพี่ชายเจ้า  ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนโง่  เจ้าน่ะ  เข้าใจความนัยของคำพูดนั่น  ถูกไหม?”

    “อึก...”

    “หาที่สงบใจซะ  แบบนั้นน่าจะดีกว่านะ  ที่อาร์โรห์ทำไปน่ะ  ก็เพื่อพี่ชายของเจ้าทั้งนั้น”

    “เฮอะ! อย่ามาทำเป็นพูดดีไป  ข้าเองก็ไม่ได้ไว้ใจเจ้าเหมือนกัน!” กล่าวจบลูน่าก็สะบัดมือออกจากการกอบกุมของคาลร์แล้วเดินลิ่วๆนำหน้าไป

    คาร์ลยิ้มบาง  แต่นั่นกลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความหมาย  จากนั้นเขาก็เดินตามลูน่าไป

     

    ขณะเดียวกันอาร์โรห์ก็ตัดสินใจที่จะปลดผนึกความทรงจำของเดลออก  ..ถ้าเขารู้ว่าพลังเวทของเขามีผลต่อร่างกายอีกฝ่ายขนาดนี้เขาก็คงจะไม่ใช้มันตั้งแต่ต้น...

    อาร์โรห์ทาบมือลงบนหน้าผากของเดล  ส่งพลังเวทเข้าไปในหัวของอีกฝ่าย  เข้าปลดผนึกที่เปรียบเสมือนโซ่ตรวนสีดำสนิทออกจากความทรงจำส่วนที่ถูกพัฒนาการเอาไว้

    มันอาจจะง่ายกว่านี้  หากว่าร่างกายของเดลไม่มีพลังเวท  ที่เมื่อพบสิ่งแปลกปลอมก็พยายามจะทำลายทิ้ง  ทั้งยังส่งผลกระทบมาถึงเจ้าของพลังที่ถูกส่งเข้าไป

    ใบหน้าของอาร์โรห์มีเหงื่อผุดขึ้นมาจนเต็มใบหน้าด้วยเวลาไม่ถึงนาที  เขาเม้มปากแน่น  รู้สึกเลยว่าหัวสมองได้รับผลกระทบเป็นสิ่งแรก  เมื่อมันปวดเหมือนถูกบีบจนแทบจะแหลกออกเป็นเสี่ยงๆ  สิ่งที่ได้รับผลกระทบต่อมาคืออวัยวะภายในบางส่วน  แม้จะใช้พลังรักษาตัวของปีศาจก็ยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่ที่พื้น

    ...แต่ถ้าหยุดตอนนี้ผนึกที่ถูกปลดอยู่ครึ่งๆกลางๆจะส่งผลต่อร่างกายของเดลมากกว่า...

    ...หยุดไม่ได้...

    เลือดไหลซึมออกมาทางมุมปากและโพรงจมูกของอาร์โรห์  เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าพลังเวทของราชาปีศาจรุนแรงกว่าเวทของปีศาจทั่วไป  มือที่สั่นสะท้านรู้สึกเลยว่ากำลังเปียกชื้นจากเลือดที่ไหลออกมาจากรูขุมขน  แม้จะไม่ได้ออกมาจากรูขุมขนทั่วร่าง  แต่เลือดที่ไหลออกมาจากมือไม่หยุดนั่นก็หยดลงบนใบหน้าของเดลจนเปรอะไปด้วยเลือดสีแดงสด

    อาร์โรห์เผลอส่งเสียงครางต่ำๆออกมา  แต่ก็ยังฝืนร่างกายของตนเองจนกระทั่งมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นระหว่างมือของเขาและร่างของเดล

    แสงนั่นดีดเขาออกอย่างรุนแรงจะกระแทกเข้ากับต้นไม้  แม้จะไม่ทำให้ถึงขั้นสลบ  แต่ก็ทำให้เขาเบลอไปชั่วขณะ

    แสงนั้นสว่างอยู่ชั่วครู่ก็สลายหายไปในมวลอากาศ  อาร์โรห์นั่งหายใจหอบอยู่กับที่  ลมหายใจของเขาสั่นจนเหมือนจะขาดห้วงได้ทุกเมื่อ  แม้ว่าร่างกายจะค่อยๆรักษาตัวเอง  แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงติดตรึงอยู่ในจิตสำนึก

    ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าเขาจะสามารถปรับลมหายใจของตนเองให้กลับมาเป็นปกติได้  และก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เดลฟื้นขึ้นมา  ดูเหมือนว่าการได้ความทรงจำส่วนที่ถูกผนึกคืนมาจะส่งผลต่อจิตใจของเด็กหนุ่มชาวมนุษย์อยู่ไม่น้อย  ใบหน้าของอีกฝ่ายถึงได้ดูซีดและมีท่าทีพะอืดพะอมขนาดนั้น

    อาร์โรห์ลุกขึ้นด้วยสภาพซวนเซเล็กน้อย  ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดออกจากใบหน้าก่อนจะก้าวเข้าไปหาเดลด้วยย่างก้าวที่มั่นคง  ทั้งๆที่นั่นคือการฝืนร่างกายของตนเองอยู่

    “เดล  ไหวไหม?  ถ้าจะอ้วกก็อ้วกออกมานะ”

    “อาร์โรห์...” นัยน์ตาสีแดงมองมายังเขา  แม้จะมีแววหวาดผวาและเสียขวัญอยู่บ้าง  แต่สีหน้าที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งและไม่เป็นอะไรของอาร์โรห์ก็ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าอาร์โรห์อ่อนแอกว่าที่แสดงออก  แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับชอบหัวดื้อฝืนตัวเอง  ทั้งยังชอบเอาใจใส่คนอื่นและอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ...

    “เดล?”

    “อา...ไม่เป็นไร  หายแล้วล่ะ” ไม่ได้โกหก  แค่เห็นท่าทีของอาร์โรห์ก็ทำให้อาการของเขาหายได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้ว

    แขนเสื้อข้างที่ยังสะอาดอยู่ถูกดึงออกจากปลอกแขนและใช้เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของเดลอย่างเบามือ

    “หลับตาก่อนนะเดล  หน้าเจ้าเปื้อนน่ะ” คำกล่าวนั้นทำให้เดลเผลอทำตามอย่างไม่คิดอะไร  และอาร์โรห์ก็ใช้โอกาสนั้นเช็ดเลือดที่เลอะอยู่บนใบหน้าของเดลจนสะอาดและรีบยัดเอาส่วนปลายแขนเสื้อที่เลอะเลือดกลับเข้าไปในปลอกแขนอย่างไว  แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใครเห็นมันแม้แต่คนเดียว

    “เสร็จแล้วล่ะ” เหมือนว่าคำกล่าวนั้นจะเป็นสัญญาณ  เดลจึงได้ลืมตาขึ้น  เห็นอาร์โรห์กำลังเดินไปทางเจ้าหมูป่าที่ยังคงถูกวางทิ้งไว้ “จะกินมือเช้าเลยมั้ย??  ข้าจะได้ไปตามพวกคาร์ลกลับมา”

    “เดี๋ยวข้าไปตามเองก็ได้นะ”

    อาร์โรห์ส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าเพิ่งฟื้น  ควรจะพักซักหน่อยนะ”

    “แต่ว่า...”

    “อีกอย่าง  เจ้าไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน  แต่ข้ารู้”

    เพียงแค่เหตุผลข้อนี้ก็ทำให้เดลไร้คำโต้แย้งใดๆอีก  ถูกอย่างที่อาร์โรห์ว่า  เข้าไม่รู้ว่าสองคนนั้นไปที่ไหน  และไม่สามารถตามหาได้ด้วยตัวคนเดียว  ถึงจะเคยได้ยินเรื่องเวทแกะรอย  แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครใช้  และไม่เคยคิดที่จะศึกษามันมาก่อนด้วย

    เดลทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังบางๆของอาร์โรห์เดินไปจนลับสายตา  รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องที่แม้แต่จะช่วยไปตามใครสักคนก็ยังทำไม่ได้

    เขามองไปทางกองไฟที่มอดดับไปแล้วอยู่สักพัก  และตัดสินใจออกไปหาฟืนด้วยระยะเวลาสั้นๆ  ใช้เวทในการจุดไฟและค้นเอามีดพกเล่มเล็กๆออกมาจากกระเป๋า  ตัดแบ่งส่วนเจ้าหมูป่าและเอามาปิ้งให้สุกรอเวลาที่คนอื่นๆจะกลับมา

    พอมาถึงทุกคนจะได้กินกันทันที  คิดว่าอย่างน้อยลูน่าก็น่าจะหิวมากแล้วล่ะนะ

    พวกอาร์โรห์กลับมาหลังจากนั้นไม่นาน  พวกเขาดูมีท่าทีแปลกใจที่เดลทำอาหารไว้คอยท่าอยู่ก่อนแล้ว  แต่หลังจากนั้นทุกคนต่างก็เข้าจับจองที่นั่งรอบกองไฟ  เริ่มจัดการกับอาหารในส่วนของตนเอง

    อาร์โรห์ละเลียดอาหารอยู่สองสามคำก็กินไม่ลง  เขาลดมือที่ถือเนื้อเสียบไม้อยู่ลง

    คาร์ลมองอาร์โรห์เงียบๆ  รู้ดีว่าร่างกายของอาร์โรห์กำลังต่อสู้กับผลกระทบของการปลดผนึกความทรงจำของเดล  แต่เขาก็ตัดสินใจทำเพียงมองดูเงียบๆ  เพราะตามนิสัยของอาร์โรห์  อีกฝ่ายไม่ชอบให้ใครมาเป็นห่วงตนเอง

    “ข้า...ขอไปจัดการตัวเองหน่อยนะ...” กล่าวจบก็ลุกออกไป  ตรงไปยังแหล่งน้ำตามที่ความรู้สึกบอก

    เมื่อเขามาถึงลำธาร  ร่างของอาร์โรห์ก็ทรุดฮวบลง  ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนไม่มีแรงมากพอจะคุกเข่าอยู่ได้  สุดท้ายก็ล้มลงนอนอย่างหมดท่าลงกับพื้น  หัวสมองรู้สึกขาวโพลนเมื่อร่างกายพยายามจะรักษาตัวเอง  หากแต่ก็กลับถูกทำให้บอบช้ำในเวลาเดียวกัน  ลมหายใจที่พยายามทำให้มั่นคงมาตลอดสั่นจนขาดห้วงไปบางครั้ง  เขาขดร่างเข้าหากัน  กอดตันเองแน่น  ไม่ว่ายังไงก็ให้ใครเห็นสภาพนี้ของเขาไม่ได้  ขอแค่บางครั้งเท่านั้น  เมื่อทนไม่ไหว  ไม่ว่ายังไงก็ต้องปลีกตัวออกมา  อยู่ในสถานที่ที่ถึงแม้จะแสดงความอ่อนแอออกมาก็ไม่มีใครเห็น

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่กว่าอาร์โรห์จะควบคุมลมหายใจของตนเองให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง  และมันคงจะนานมากพอให้คาร์ลเดินมาตามเขา

    อาร์โรห์เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งๆที่สภาพของเขาแทบจะเรียกได้ว่าหมอบอยู่กับพื้น

    “คาร์ล...”

    “อาร์โรห์  เจ็บมากสินะ  ถ้าทรมานมากก็ไม่เห็นจะต้องทนเลยนี่”

    อาร์โรห์เบือนหน้าหนี  ไม่อยากจะยอมรับกับอีกฝ่าย  แต่สภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้จะให้เขาทำอย่างไร  ในเมื่ออีกฝ่ายมาเห็นสภาพเขาคาตาขนาดนี้...

    “ข้าอยากให้เจ้าทำตัวเหมือนเมื่อก่อนมากกว่าเวลาอยู่กับข้า  พูดออกมาตรงๆ  อยากยิ้มก็ยิ้ม  อยากร้องไห้ก็ร้อง  เหมือนกับตอนที่เจ้ายังเรียกข้าว่า พี่ชายได้ไหม?”

    อาร์โรห์แค่นยิ้มขมขื่นเมื่อได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “เจ้าจะให้คนนอกคอกอย่างข้าเรียกเจ้าว่าพี่ชายงั้นหรือ?  เจ้าไม่กลัวจะถูกประนามไปด้วยหรือไง?”

    ผิดคาด  คาร์ลกลับส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะโดนรวมเป็นคนนอกคอกไปด้วยตั้งแต่ที่ข้าออกมากับเจ้าแล้วล่ะ”

    “ที่ข้าทำแบบนี้เพราะข้าคิดดีแล้วอาร์โรห์  ข้าไม่สนหรอกว่าคนอื่นจะมองเจ้ายังไง  ข้าก็แค่อยากได้น้องชายคืนมาก็เท่านั้น”

    “ข้าไม่ใช่น้องของเจ้า  เราไม่เกี่ยวกันแม้แต่ทางสายเลือดด้วยซ้ำ  พวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เท่านั้น  คาร์ล”

    คาร์ลยักไหล่ทั้งใบหน้าประดับรอยยิ้ม “รีบกลับไปหาเดลกับลูน่าดีกว่านะ  สองคนนั้นเป็นห่วงเจ้าจนขอให้ข้าออกมาตามเลยล่ะ”

    อาร์โรห์พยักหน้า  จากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปสมทบกับพวกเดลและเริ่มออกเดินทางกันต่อ

     

    คณะเดินทางเล็กๆนี้เดินทางต่อมาอีกเกือบอาทิตย์  อาการของอาร์โรห์ดีขึ้นเป็นลำดับ  ถึงแม้จะยังไม่หายสนิท  แต่ก็เรียกได้ว่าดีขึ้นมากแล้ว  และเรื่องนี้ก็มีเพียงคาร์ลเท่านั้นที่รู้เรื่องอาการของเขา

    และในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเข้า  ดูเหมือนว่าที่นี่จะค่อนข้างห่างไกลความเจริญแต่ก็ยังไม่ถึงกับซบเซา  บ้านเรือนต่างๆถูกสร้างด้วยดินและอิฐแดงบ้างประปราย  แตกต่างจากเมืองใหญ่ที่สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆออกมาอย่างสวยงาม  และแข็งแรงทนทานด้วยอิฐและปูนทั้งหมด

    แต่ถึงกระนั้น  ทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ดูจะไม่ได้ขัดสนอะไร  และดูเหมือนจะไม่สนอะไรเลยด้วยซ้ำ  ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข...เอ่อ...ไม่สิ...ก็ไม่ถึงขั้นสงบสุขซะทีเดียว...

    เฮ!!!!

    “เอาเลย! ฟันมันเลยยยยยย!!!

    “หลบดิวะ! เออ!!! มันต้องอย่างงั้น!!

    “...” ทั้งสี่มองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในจุดที่ห่างจากทางเข้าหมู่บ้านไม่มากนัก  ที่กลางวง  พวกเขาเห็นคนสองคนกำลังใช้ดาบเข้าปะทะกันด้วยสีหน้าสนุกสนาน   ราวกับว่านี่เป็นเพียงการละเล่นชนิดหนึ่งทั้งๆที่กำลังใช้ดาบจริงตอบโต้กันอยู่แท้ๆ

    “จะเอายังไง  เข้าไปดีไหม?”

    “ข้าว่าเข้าไปหาที่พักก็ยังดีนะ  อย่างน้อยก็จะได้พักผ่อนให้เต็มอิ่มหลังจากที่นอนในป่ากันมาหลายคืน”

    “ข้าว่าก็ดีเหมือนกัน  อย่างน้อยก็จะได้หาซื้ออาวุธติดตัวกันสักชิ้นด้วย”

    หลังจากได้ข้อสรุป  สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่หมู่บ้านนักรบเจ้าค่ะ!!” เสียงเล็กๆของเด็กหญิงดังขึ้นด้านหลังอาร์โรห์ที่เดินรั้งท้าย  เป็นเหตุให้เขาต้องหันไปมอง  เห็นดวงหน้าน่ารักของเด็กหญิงอายุไม่น่าจะเกินสิบปีส่งยิ้มมาให้ “ซื้อดอกไม้ของข้าหน่อยมั้ยเจ้าคะ  เพิ่งเก็บมาสดๆเลยนะเจ้าคะ!” เด็กหญิงกล่าวอย่างกระตือรือร้น  ในมือของเธอมีตะกร้าใส่ดอกไม้สีขาวสะอาดอยู่หลายดอก  กลิ่นหอมที่ติดจมูกเขามาโดยตลอดทำให้อาร์โรห์ตัดสินใจซื้อดอกไม้นั้นมาด้วยราคาหนึ่งยู* *หนึ่งยูเป็นค่าเงินที่เล็กที่สุดซึ่งเท่ากับหนึ่งส่วนสี่เหรียญทองแดง

    “ขอดอกนึงก็แล้วกันนะ”

    “เจ้าค่ะ!” กล่าวจบก็ดึงเอาดอกไม้ดอกหนึ่งออกมาจากตะกร้าเตรียมจะยื่นมันมาให้เขา

    ในตอนแรกเด็กหญิงทำท่าจะยื่นดอกไม้ให้แก่เขาเลย  แต่เพียงแค่เขาคุกเข่าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย  มือเล็กๆนั้นก็ดึงกลับและบรรจงเลือกเอาดอกไม้ดอกหนึ่งขึ้นมาทัดหูให้เขา

    “ขอให้สนุกกับการเที่ยวชมหมู่บ้านนักรบนะเจ้าคะ!” กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะรีบวิ่งจากไป

    อาร์โรห์มองตามแผ่นหลังเล็กๆของเด็กหญิง  มือถูกยกขึ้นลูบดอกไม้ที่ทัดผมอยู่อย่างเผลอไผล  ยิ่งมันมาอยู่ใกล้เช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอันคุ้นเคย  ดอกไม้ที่ในโลกปีศาจหาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก  แม้ว่าที่หน้าบ้านของแม่เขาจะถูกปลูกเอาไว้  แต่เมื่อไม่มีใครอื่นอยู่นอกจากเด็กตัวเล็กๆที่ยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้  บ้านหลังนั้นก็กลับมีคนเข้ามาอยู่แทน  และดอกไม้นั้นก็ถูกถอนออกไปอย่างไม่มีใครสนใจใยดี...

    “อาร์โรห์” เสียงเรียกของเดลมาพร้อมกับฝ่ามือที่แตะลงมาบนไหล่ของเขาให้สะดุ้ง  ก่อนที่เขาจะหันไปมองเจ้าของเสียงที่พอเห็นสภาพเขาชัดๆก็กลับหลุดขำพรืด

    “เจ้าเนี่ยดูเหมาะกับดอกไม้สีขาวดีนะ ฮะๆๆ”

    “อ๊ะ...” อาร์โรห์ที่อยู่ๆก็ถูกทักใบหน้าขึ้นสีด้วยความรู้สึกอาย  ก่อนจะรีบดึงเอาดอกไม้ที่ทัดผมอยู่ออกมาใส่ที่กระเป๋าเสื้ออย่าทะนุถนอม

    เดลที่มองการกระทำนั้นรอจนอาร์โรห์จัดการตนเองเสร็จและเงยหน้าขึ้นมาเป็นเป็นเชิงถามว่า แล้วคาร์ลกับลูน่าอยู่ที่ไหนเขาจะชี้ไปที่ร้านขายอาวุธร้านหนึ่ง “พวกคาร์ลรออยู่ที่หน้าร้านขายอาวุธน่ะ”

    อาร์โรห์พยักหน้าเบาๆก่อนจะเดินตามเดลไป

    ที่หน้าร้านขายอาวุธ  อาร์โรห์ทำเพียงยืนมองอาวุธหลากหลายรูปแบบ  มีบ้างที่เขาไม่รู้จัก  แต่ก็ไม่ได้สนใจจนถึงขนาดต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร  ขาใต้รองเท้าบูทหนังสีดำถูกก้าวเข้าไปสำรวจในร้าน  มองดูอาวุธชนิดต่างๆที่ถูกวางเรียงรายเอาไว้  ไม่ว่าจะเป็นดาบสั้น  ดาบยาว  ดาบวงพระจันทร์  มีดสั้น  มีดยาว  ขวาน  หอก  หรือแม้แต่ธนูที่ไม่ค่อยจะมีคนใช้กันก็ยังมี

    อาร์โรห์หยิบธนูคันหนึ่งขึ้นมาสำรวจ  เป็นธนูไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างงดงามด้วยลวดลายอ่อนช้อยพอๆกับอารยะธรรมของเผ่าเอลฟ์

    “ตาถึงนี่ที่เลือกเจ้านั่นน่ะ” เสียงนั้นมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่เอื้อมมาหยิบเอาคันธนูออกไปจากมือของเขา

    อาร์โรห์มองตามอย่างข้องใจ  แต่ชายร่างใหญ่คนนั้นกลับชี้ไปที่คาร์ลซึ่งกำลังจ่ายเงินในจำนวนที่ถือได้ว่ามากพอสมควร  นอกจากนี้บนโต๊ะที่คาร์ลวางเงินลงไปยังมีดาบอีกสามเล่มและธนูอีกหนึ่ง  รวมกับธนูที่อีกฝ่ายเพิ่งถือไปเมื่อครู่ก็เป็นห้าชิ้นด้วยกัน

    ชายร่างใหญ่หยิบเอากระบอกลูกธนูขึ้นมาด้วยกันสองชุด

    “เจ้านี้คู่กัน  แล้วก็เจ้านี่คู่กัน” เขากล่าวพลางจัดชุดของธนูให้เรียบร้อย

    “ทั้งหมดนี่หกเหรียญทองสินะ” คาร์ลกล่าวก่อนจะวางเหรียญทองจำนวนหกเหรียญลงบนโต๊ะ  หยิบดาบเล่มที่ตนเองเลือกออกมาเช่น  เดียวกันลูน่าและเดลเองก็หยิบเอาสิ่งที่ตนเลือกติดมือมา  สุดท้ายแล้วอาร์โรห์ก็ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกและเดินเข้าไปหยิบอาวุธที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวออกมา

    “เท่านี้พวกเราก็มีอาวุธติดตัว  ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเผลอใช้เวทก็แล้วกันนะ” นั่นคือคำเตือนจากคาร์ล  จากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันว่าจะแยกกันเป็นสองกลุ่ม  กลุ่มหนึ่งจะไปหาซื้อเสบียงสำหรับการเดินทางต่อ  ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะไปหาที่พักในหมู่บ้าน  เสร็จแล้วค่อยไปเจอกันที่ที่พักเลย

    หน้าที่หาที่พักเป็นของเดลและลูน่า  ส่วนเรื่องหาซื้อเสบียงเป็นของคาร์ลและอาร์โรห์

    “อาการเจ้าดูจะดีขึ้นมากแล้วสินะ”

    “อืม  นอกจากอาการเจ็บหน้าอกเป็นพักๆก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”

    “งั้นก็ดีแล้ว” คาร์ลเผยยิ้มบาง “อะ...ตรงนั้นมีร้านขายของแห้งอยู่  เจ้ารอข้าตรงนี้ก็แล้วกันนะ  เดี๋ยวข้ามา”

    “อืม”

    หลังจากได้รับเสียงเอ่ยตอบเบาๆในลำคอเหมือนรับรู้คาร์ลก็เดินตรงไปยังร้านเป้าหมาย

    อาร์โรห์ยืนหลบเข้ามาข้างทางเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ขวางทางสัญจร  แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาชนเขาจนเกือบเสียหลักล้ม

    อาร์โรห์ที่เซไปสองสามก้าวเพราะไม่ทันได้ตั้งตัวเลื่อนดวงตาสีนิลขึ้นมองอีฝ่ายที่สูงกว่าเขาสองช่วงหัวได้  ลำตัวล่ำสันสมกับเป็นนักรบพอๆกับใบหน้าดิบเถื่อนที่มองตรงมา

    “เจ้าหาเรื่องหรือไง”

    “เจ้ามาชนข้าเองไม่ใช่รึไง” อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่น  ไม่ชอบใจเลยทั้งๆที่อีกฝ่ายเดินมาชนเขาเอง  ในเมื่อเขาเดินเลี่ยงมายืนอยู่ข้างทางแล้ว  แต่อีกฝ่ายก็ยังเดินมาชนเขา  เห็นชัดๆว่าจงใจ

    “เหอ? เจ้าเป็นคนนอกหมู่บ้านสินะ  ถึงได้ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น

    “ข้าไม่จำเป็นต้องรู้” กล่าวจบก็หมายจะเดินเลี่ยงออกไป  แต่ก็กลับถูกขวางเอาไว้ด้วยชายหนุ่มอีกจำนวนหนึ่งที่คาดว่าคงจะเป็นพรรคพวกของเจ้าคนที่หาเรื่องเขานี่ล่ะ

    “นี่ๆ อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้สิ หึๆๆ”

    “ข้าไม่จำเป็นต้องมาวิวาทกับคนไร้สามัญสำนึกอย่างพวกเจ้าเสียหน่อย” ประโยคเดียวที่เอ่ยออกมาทำเอาหน้าของอีกฝ่ายกระตุก

    “ตอนแรกกะว่าแค่จะเรียกค่าเสียหาย  แต่พูดแบบนี้คงอยากจะเละสินะเจ้าน่ะ...”

    “ชกข้าให้โดนสักหมัดก่อนดีไหมค่อยมาพูดอวดดีแบบนั้น” อาร์โรห์โปรยสายตาเย็นเยียบไปยังชายหนุ่มที่พอได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็หักนิ้วจนกระดูกลั่นดังกร๊อบๆ

    “อ้อ คิดว่าตัวเองวิเศษสินะ!!!!?” อีกฝ่ายยกกำปั้นขึ้นชกตรงมาที่อาร์โรห์  จุดหมายคือที่ใบหน้าสวยๆนั่นอย่างจะให้บทเรียน  แต่อาร์โรห์กลับทำเพียงเบี่ยงตัวหลบก่อนจะแตะมือลงบนแขนอีกฝ่ายออกแรงใช้แขนใหญ่ๆนั่นเป็นฐานส่งร่างของตนเองให้ขึ้นไปตั้งฉากกับพื้น  และเหวี่ยงขาขวาลงไปที่ศีรษะอีกฝ่ายหมายจะจบการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นนี้ด้วยกระบวนท่าเดียว

    ผิดคาด  อีกฝ่ายใช้มืออีกข้างจับขาเขาไว้ได้  เห็นดังนั้นอาร์โรห์จึงใช้แขนเป็นศูนย์ในการเหวี่ยงขาอีกข้างเตะเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มๆ  เป็นเหตุให้ฝ่ามือที่จับขาขวาเขาไว้อยู่คลายออก

    พลั่ก!

    อาร์โรห์รีบดีดตัวออกมาก่อนที่เขาจะล้มลงไปด้วย  เขาตั้งหลักได้ด้วยขาทั้งสองข้างอย่างมั่นคงโดยไม่ต้องอาศัยตัวช่วยใดๆ

    เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบๆด้าน  เริ่มมีเสียงคนโห่เชียร์มากขึ้น  และส่วนใหญ่ก็เชียร์เจ้าตัวยักษ์นั่นแหละ

    “เฮ้ย! อย่าเสียท่าให้เด็กผู้หญิงนอกหมู่บ้านดิวะ!! เสียชื่อว้อย!!!!

    “แค่แพ้ยัยนั่นเจ้าก็โดนประจานไปทั้งอาทิตย์แล้วยังจะเสียท่าเด็กผู้หญิงนอกหมู่บ้านอีกเรอะ!!!

    “ไม่ได้เรื่องเลยเจ้าบ้า! เอาให้มันดีกว่านี้หน่อยเด้!!!

    และอีกมากมายที่ทำให้คนโดนพูดถึงกัดฟันกรอดแล้วลุกขึ้นมาพุ่งเข้าใส่อาร์โรห์อีกรอบ! แถมครั้งนี้ยังเร็วกว่าการโจมตีเมื่อกี้เสียอีก!!

    อาร์โรห์กระโดดถอยไปด้านหลังก่อนจะขยับขาไปด้านข้างเล็กน้อย  เมื่ออีกฝ่ายพุ่งกำปั้นเข้ามาอาร์โรห์ก็เบี่ยงตัวหลบโดยที่ขาไม่ขยับไปไหนพร้อมกับสวนกำปั้นกลับไปเสยอีกฝ่ายเต็มๆเมื่อร่างนั้นพุ่งเข้ามาอยู่ในระยะที่พอเหมาะ

    ร่างใหญ่ๆนั่นลอยขึ้นไปด้านบนและลอยเป็นพาราโบลาไปตกลงบนลังไม้ที่ถูกวางกองสุมไว้หน้าร้านขายผลไม้ใกล้ๆ

    เสียงฮือฮาดังขึ้นจากรอบๆข้าง  ไม่มีใครนึกว่าอาร์โรห์จะสามารถทำให้คนตัวใหญ่ๆลอยลิ่วข้ามฟากถนนทางเดินไปได้  และยิ่งไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอาชนะได้ภายในการเข้าปะทะกันเพียงสองครั้ง!

    ร่างของอาร์โรห์ทรุดลง  คงเพราะร่างกายยังไม่หายดีแล้วดันมาออกแรงเยอะๆแบบนี้ทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก  เขากำหน้าอกของตนเอง  รู้สึกปวดร้อนเหมือนโดนไฟเผา  เหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับลมหายใจที่ถี่ขึ้นเล็กน้อย

    “ตั้งแต่ยัยนั่นหายตัวไปก็ไม่เคยมีใครจัดการข้าจนหมอบขนาดนี้มาก่อน  ภูมิใจไว้ซะล่ะ” อาร์โรห์มองตรงไปยังร่างที่โดนลูกน้องพยุงเข้ามาหาเขา  ไม่น่าเชื่อว่าโดนไปขนาดนั้นยังจะมีสติอยู่ได้อีก...

    “เอ้า! ลุกขึ้น! ผู้ชนะไม่มีใครลงไปกองกับพื้นแบบนั้นหรอก!

    อีกฝ่ายกล่าวพลางยื่นมือมาให้  อาร์โรห์มองมือข้างนั้นครู่หนึ่งสุดท้ายก็ยอมรับความหวังดีใช้แขนข้างนั้นเป็นหลักยึดให้ลุกขึ้น  แม้จะซวนเซเล็กน้อยแต่ก็กลับมายืนตามปกติได้

    โดยไม่ทันตั้งตัว  อีกฝ่ายก็ยกมือของเขาขึ้นประกาศชัยชนะให้เสียอย่างนั้น...

    เสียงเฮดังขึ้น  จากนั้นทุกคนก็เริ่มเข้ามาล้อมเขา  เอ่ยชมการต่อสู้สุดคาดคิดเมื่อครู่จนอาร์โรห์ทำได้เพียงยิ้มแห้งตอบรับไป

    คาร์ลมองสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น  ในมือกอดของจำพวกขนมปังแห้งๆและของแห้งอีกจำนวนหนึ่งอยู่

    ...นี่เขา...พลาดอะไรไปหรือเปล่า...?

     

    “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง  ข้าก็ว่าอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น” คาร์ลกล่าวทั้งเสียงกลั้วหัวเราะหลังจากที่ได้ฟังอาร์โรห์เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง

    “เฮ้ๆ ข้ายอมรับว่าตอนนั้นข้าหาเรื่องก่อน  แต่นี่ต้องฟ้องคนอื่นเลยเรอะ!?” ชายหนุ่มที่มีเรื่องกับอาร์โรห์และนั่งอยู่ข้างๆเขาโวยขึ้นมา

    “คาร์ลไม่ทำอะไรหรอก” อาร์โรห์เอ่ยนิ่งๆ

    “...” ชายหนุ่มที่ได้แนะนำตัวว่าชื่อแอสทรอน  มองมาทางคาร์ลอย่างระแวดระวัง  เขารู้สึกว่าถ้าแม้แต่อาร์โรห์ยังมีฝีมือขนาดนั้นแล้วเจ้าคนที่มาด้วยกันจะขนาดไหน!?

    “ฮะๆๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ลำพังแค่ฝีมือการต่อสู้ของข้าน่ะยังสู้อาร์โรห์ไม่ได้เลย”

    “หึ ถ้าไม่รวมความเจ้าเล่ห์เข้าไปด้วยน่ะนะ”

    แอสทรอนมองทั้งสองพูดคุยกันแล้วรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนส่วนเกินอย่างไรอย่างนั้น  แถมมานั่งรวมกับพวกหน้าตาโดดเด่นจนใครๆก็มองแบบนี้  คนหน้าตาบ้านๆอย่างเขามาทำอะไรตรงนี้หว่า?

    “ขอบคุณสำหรับขนมที่เลี้ยงนะ” คาร์ลกล่าวขณะที่ลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับอาร์โรห์ที่ยกห่อของขึ้นถือครึ่งหนึ่ง  เป็นเหตุให้ชายหนุ่มมองตามด้วยความงุนงง

    “นี่  พวกเจ้ากินไปแค่ชิ้นเดียวเองนะ”

    “พอดีพวกเราต้องกลับไปสมทบกับอีกสองคนที่โรงแรมน่ะ แต่เค้กน้ำผึ้งนั่นอร่อยมาก ถ้าว่างๆพวกข้าอาจมากินอีก ฮะๆๆ” กล่าวจบคาร์ลก็ยกของอีกส่วนหนึ่งขึ้นและเดินออกไปจากร้านพร้อมกับอาร์โรห์

    อาร์โรห์เหลือบมองคาร์ลที่เดินอยู่ข้างๆ “สีหน้าเสแสร้งนั่นมันอะไรกันน่ะ”

    “อะไร?  เปล่านี่”

    “เอาเถอะ  ข้าขี้เกียจพูด” อาร์โรห์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง  หลังจากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกจนกระทั่งถึงโรงแรมที่พวกเขารู้สึกถึงกลิ่นอายของพวกเดล

    เพียงแค่ก้าวเข้าไปในโรงแรม  ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง

    ภายนอกที่วุ่นวายให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน  แต่เมื่อเข้ามาในตัวอาคารที่น่าจะมีนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางเข้ามาพักก็กลับเงียบสงบซะจนเหมือนคนละโลก

    “อ้าว  อาร์โรห์  คาลร์  มาพอดีเลย  พวกข้าเพิ่งจะสั่งอาหารไปแน่ะ” เป็นเดลที่สังเกตเห็นพวกเขาก่อนเป็นคนแรก  พวกเขานั่งอยู่ที่เคาเตอร์  ที่ด้านหลังเคาเตอร์มีชายหนุ่มที่ดูเอ่อ...จะเรียกว่าอะไรดี ขาวปลอดทั้งตัว? ก็ไม่ทั้งตัวนะ  ผิวหนังยังเป็นสีเนื้ออยู่  ก็แค่ขาวกว่าคนในหมู่บ้านก็แค่นั้นเอง  ส่วนเรื่องสีผมกับสีตาก็...ขาวจริงๆนั่นแหละ  แต่ถ้าจะเรียกไม่ให้เสียมารยาทก็คงต้องเรียกว่าสีเงิน...

    “ยินดีต้อนรับขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มบางๆ  แต่ก็ดูงดงามไปอีกแบบ  สวยแบบสว่างๆน่ะนะ...

    อาร์โรห์มองสำรวจอีกฝ่ายครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ถัดจากเดลมาตัวหนึ่ง  เป็นเชิงว่าให้คาร์ลมานั่งข้างๆเดลก็แล้วกัน  จากนั้นก็มองรายการอาหารที่ถูกวางลงมาทันทีที่ตัวเขาถึงเก้าอี้

    “รับอะไรดีขอรับ?”

    “...” อาร์โรห์มองเมนูอาหารแล้วก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมาถาม “ไอนี่...คืออะไร...” กล่าวพลางชี้นิ้วไปที่อาหารหนึ่งในเมนูที่เขียนไว้ว่า ชูเดริอัส  คอร์เดโร่

    ชายหนุ่มที่ได้เห็นชื่ออาหารแล้วก็หัวเราะเบาๆ “ถึงชื่อจะฟังดูหรูหรา  แต่อันที่จริงมันก็แค่ซี่โครงอบน่ะขอรับ  ถ้าจะสั่งอาหารข้ามีเมนูแนะนำอย่างพาสต้าสารพัดเนื้อนะขอรับ”

    “สารพัดเนื้อ...” แม่จะถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยแววสงสัยใคร่รู้

    เหมือนชายหนุ่มจะสามารถสังเกตเห็นความอยากรู้อยากเห็นของอาร์โรห์  เข้าจึงได้เอ่ยปากอธิบายต่อ “ที่นี่คือหมู่บ้านนักรบ  ชาวบ้านทุกคนในอดีตเคยเป็นนักรบที่ผ่านการสงครามมา  และได้ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ต่างๆมาจากรุ่นสู่รุ่น  แต่ในยุคที่ไม่ได้มีสงครามแพร่หลายเช่นนี้  พวกเราก็ไม่อาจจะหาเงินเข้าหมู่บ้านมาด้วยการออกไปสู้รบปรบมือและรับค่าจ้างจากนายจ้างหรือรัฐบาลได้  พวกเราจึงหาทางแก้ปัญหาด้วยการล่าสัตว์และผลิตอาวุธเพื่อเอาไปขาย  และบางส่วนก็เอามาแจกจ่ายกันเองในหมู่บ้านน่ะขอรับ”

    อาร์โรห์ที่ได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง “งั้นขอพาสต้าสารพัดเนื้อก็ได้”

    หลังจากที่ทุกคนจัดการกับอาหารจนท้องอิ่ม  ชายหนุ่มก็เริ่มพาทุกคนไปยังห้องพัก  และเนื่องจากที่นี่ไม่ค่อยจะมีใครมาเข้าพักอยู่แล้วห้องจึงมักจะเหลือตลอด  ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงนี้ที่ไม่มีใครเดินทางมาที่หมู่บ้านนักรบแห่งนี้เลย

    “เชิญพักผ่อนตามสบายนะขอรับ” ชายหนุ่มโค้งอยู่หน้าประตูห้องของอาร์โรห์ซึ่งถูกจัดไว้ลึกที่สุด  ไม่ใช่อะไรหรอก  เขาบอกให้หาห้องที่ไกลจากทุกคนเองนั่นล่ะ

    อาร์โรห์เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง  ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์เริ่มโผล่ขึ้นมาให้ได้เห็นบนท้องฟ้า  ดวงจันทร์สีขาวนวลตาที่ไม่ได้เป็นสีเลือดเหมือนกับที่โลกปีศาจ

    หวังว่าคืนนี้เขาจะฝันดี...

     

    เช้าวันใหม่มาเยือนพร้อมกับเสียงนกที่บินผ่านไป  อาร์โรห์ตื่นขึ้นมาและแต่งตัวด้วยชุดสบายๆอย่างเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงสบายๆ  และออกไปจากโรงแรมโดยการกระโดดออกไปทางหน้าต่างและไม่ลืมที่จะพกเอาธนูที่เพิ่งจะซื้อมาไปด้วย

    “เอาล่ะ!  พวกเราทุกคนเตรียมตัว  เราจะออกไปล่ากันแล้ว!!

    เสียงตะโกนนั้นสามารถเรียกความสนใจจากอาร์โรห์ได้อย่างชะงัด  เขามองตรงไปยังชายที่อยู่ในช่วงวัยกลางคน  หากแต่ก็กลับมีร่างกายสูงใหญ่สง่าผ่าเผยคล้ายแม่ทัพผู้เที่ยงธรรมและเจนสงคราม

    “อ้าว นั่น! อาร์โรห์ไม่ใช่เรอะ!!?” เสียงใหญ่ๆแตกๆของแอสทรอยดังมาจากกลุ่มชายวัยฉกรรจ์ที่รวมตัวกันอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน  เป็นเหตุให้คนหลายคนมองตรงมาที่อาร์โรห์เป็นตาเดียว

    อาร์โรห์เกิดอยากจะซัดใครสักคนก็วันนี้แหละ!!

    อุตส่าห์ทำให้ตัวเองให้ไม่เป็นที่สนใจด้วยการแต่งตัวให้เหมือนกับคนในหมู่บ้านและรวบผมขึ้นแล้วก็ยังมีคนทักจนเสียเรื่องอีกแน่ะ!

    อาร์โรห์ปั้นหน้ายุ่ง  แต่ก็ทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ให้อีกฝ่ายวิ่งเข้ามาหาเขา “ไปล่าสัตว์ด้วยกันไหม?”

    “ข้า?” อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้น  ก่อนจะมองอาวุธที่ตนเองมีติดตัวอยู่  นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่อย่างชั่งใจ

    ที่เขาขออยู่ห้องพักที่ห่างจากคนอื่นก็เพราะอยากจะออกมาเดินเล่นโดยที่ไม่มีใครรู้  และอีกอย่าง  ยังไงเสียวันนี้ก็คงจะไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย  การได้ออกไปนอกหมู่บ้านทำกิจกรรมอะไรสักอย่างก็อาจจะไม่เลวนักก็ได้...

    “เฮ้ย! จะดีเรอะชวนผู้หญิงไปที่อันตรายๆแบบนั้นน่ะ!!?”

    “เออเนอะ...ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นผู้หญิง...”

    “ไม่ล่ะ  ข้าจะไป  แล้วก็ช่วยทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย  ข้าเป็นผู้ชาย  ไม่ใช่ผู้หญิง” แม้ว่าจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  แต่ดวงตากลับส่องประกายเหมือนอยากจะจับเจ้าคนพูดไปถ่วงน้ำเสียเดี๋ยวนั้น

    “ฮะ!!? ไม่จริงอ่ะ! รูปร่างหน้าตาแบบนี้เนี่ยนะผู้ชาย!!!?”

    “จะต้องให้ข้าถอดเสื้อผ้าให้ดูมั้ยล่ะ” ไม่ว่าเปล่ามือยังจับชายเสื้อทำท่าจะถก...ไม่สิ  ถกขึ้นมาจนเห็นแผ่นท้องแบนราบนั่นแล้วด้วยซ้ำ

    “อะๆๆๆ หยุดๆๆๆๆ  ข้าเชื่อแล้ว! ข้าเชื่อแล้ว!!!  ปล่อยชายเสื้อลงเดี๋ยวนี้เลย!!!!

    และสุดท้ายแล้วอาร์โรห์ก็ได้ร่วมคณะล่าสัตว์ของหมู่บ้านนักรบเข้าไปในป่า

    “ทุกคน! พวกเราจะแยกออกเป็นสี่กลุ่มนะ!! ล่ามาได้ตามจำนวนที่ต้องการเมื่อไหร่ให้กลับมาสมทบกันที่นี่  เอ้า!! แยกกลุ่มกันให้เรียบร้อย!!!!

    หลังจากคำพูดนั้นจบลง  ทุกคนต่างก็เริ่มจับกลุ่มกันกลุ่มละห้าคน

    อาร์โรห์โดนแอสทรอยลากมาเข้ากลุ่มของเขาที่ดูเหมือนจะเอาขนาดตัวเป็นมาตรฐานซะมากกว่าฝีมือ  เพราะแต่ละคนในกลุ่มล้วนมีขนาดตัวที่พอๆกับแอสทรอยทั้งหมด  จะมีก็เพียงอาร์โรห์ที่พอเข้ามาจากที่ปกติก็มีรูปร่างบอบบางและส่วนสูงน้อยกว่าคนอื่นที่อายุรุ่นเดียวกันอยู่แล้วตอนนี้เลยดูตัวเล็กไปเลย

    “นี่น่ะเหรอคนที่ชนะเจ้าเมื่อวาน??  ดูไม่ได้เลยนะแอสทรอย” หนึ่งในกลุ่มกล่าวพลางมองสำรวจอาร์โรห์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ตัวเล็กบอบบางอย่างกับผู้หญิง”

    “แต่ผิวขาวดีนา  อย่างกับไม่เคยโดนแดดแหนะ”

    “ฮ่าๆๆๆๆๆ”

    “แอสทรอย”

    “หือ?”

    “แล้วหายไปไหนคนนึงล่ะ  กลุ่มของเราน่ะ”

    “อ้อ  เจ้าบิวาร์น่ะเหรอ  เดี๋ยวก็ตามมาแหละ  หมอนั่นทำงานอยู่ที่โรงแรม  ต้องทำความสะอาดรอบเช้าก่อนกว่าจะมาได้”

    “งั้นเหรอ...”

    “ขอโทษที!!!

    เจ้าของเสียงที่วิ่งเข้ามาทำให้อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ  เจ้าตัวชายหนุ่มเองก็มองมาทางอาร์โรห์ด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนไม่นึกว่าจะเจอเขาที่นี่เช่นกัน

    “เอาล่ะ  ครบแล้วงั้นก็ไปกันเลย!

    หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็เริ่มออกตัวเดินเข้าไปในป่าทึบด้วยความคึกคะนอง

    “ข้าไม่นึกว่าจะเจอท่านที่นี่นะขอรับ”

    “อือ...ไม่ต้องคำสุภาพก็ได้นะ  ข้าไม่ว่าอะไรหรอก”

    “อ่า...เอางั้นเหรอ...”

    “แบบนั้นแหละ  ข้าไม่ชินกับการให้คนอื่นมาทำตัวนอบน้อมน่ะ”

    “อ...อืม...ได้...”

    บทสนทนาเบาๆของทั้งสองจบลงที่ความเงียบ  อาร์โรห์กลอกตาไปมาเหมือนพยายามจะหาอะไรคุย  สุดท้ายก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากการแนะนำตัว

    “ข้าชื่อ  อาร์โรห์  ยินดีที่ได้รู้จักนะ  บิวาร์”

    “เอ๊ะ ท่าน...เอ้ย! เจ้ารู้ชื่อข้าได้ยังไง??”

    อาร์โรห์ไม่เอ่ยตอบ  เขาทำเพียงมองไปยังร่างใหญ่ๆอีกสามร่างที่เดินนำอยู่  เพียงเท่านั้นบิวาร์ก็เข้าใจว่าอาร์โรห์คงจะได้ยินคนในกลุ่มเรียก  หรือไม่ก็นินทาเขา...

    “ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงอยู่กลุ่มนี้ล่ะ?  ท่าทางคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยชอบเจ้าเท่าไหร่นอกจากแอสทรอยนะ”

    “ฮะๆๆ  ก็แอสทรอยเป็นเพื่อนสมัยเด็กนี่นา  แต่กับคนอื่นคงเพราะข้าชอบมาสายนั่นแหละ”

    “ฟังดูไร้เหตุผลจังนะ...” อาร์โรห์อดไม่ได้ที่จะแค่นยิ้ม แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เดินมาด้วยกันเขายังไม่เห็นว่าอาวุธของอีกฝ่ายคืออะไรเลยจึงได้หันมามองสำรวจและพบกับดาบทรงยุโรปสองเล่มที่ถูกห้อยอยู่ข้างเอวทั้งสองข้าง

    อาร์โรห์เลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่ค่อยเจอคนใช้ดาบคู่เท่าไหร่เลยนะ”

    “ข้าเองก็ไม่ค่อยจะเจอผู้ใช้ธนูเหมือนกัน” ไม่ว่าเปล่า  บิวาร์ยังเลื่อนสายตาไปมองธนูที่อาร์โรห์ถืออยู่และกระบอกใส่ลูกธนูที่ถูกเหน็บอยู่ข้างเอวโดยที่ดูจะไม่มีผลต่อการเดินของอีกฝ่ายเลย

    “โฮ่ยๆ พวกเจ้า  อย่ามัวแต่คุยจนเป็นตัวถ่วงพวกเราสิ” หนึ่งในสองคนที่อาร์โรห์ไม่รู้ชื่อกล่าวขึ้น  ทั้งสองคนมองไปยังอีกฝ่าย  บิวาร์ยอมเงียบลงแต่โดยดี  แต่อาร์โรห์อดไม่ได้ที่จะส่งจิตสังหารตรงไปยังอีกฝ่ายให้หนาวสันหลังเล่น

    ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที  อาร์โรห์ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังขยับเข้ามาใกล้  มันทำให้เขาชะงักและมองไปยังจุดที่รับรู้ได้ถึงตัวตนของสิ่งนั้น

    โฮก!!!!

    แต่เพียงแค่เขาหันไป  เจ้าสิ่งมีชีวิตสีเหลืองน้ำตาลตัวใหญ่ก็กระโดดพรวดออกมากระโจนเข้าใส่เขา

    อาร์โรห์รีบผลักบิวาร์ที่ยังไม่รู้ตัวให้ออกไปจากวิถีที่มีสิทธิ์โดนลูกหลง  จากนั้นก็กระโดดถอยไปเพื่อเว้นระยะจากสิ่งที่เพิ่งปรากฏตัวออกมา

    สิ่งที่ปรากฏออกมาคือเสือโคร่งตัวยักษ์ที่ทำเอาหลายๆคนในกลุ่มผวาเฮือก

    “อ...อาร์โรห์ ถอยออกมาเด้! จะเข้าไปหาให้มันกินหรือไง!!!?” แอสทรอยตะโกนขึ้นเมื่อเห็นอาร์โรห์เดินเข้าไปใกล้เจ้าเสือโคร่งโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัว

    อาร์โรห์พินิจมองเจ้าเสือครู่หนึ่ง  ก่อนที่จะยื่นมือออกไปแตะลงบนหัวของมันโดยที่มีคนอื่นคอยลุ้นตัวโก่งมองดูการกระทำนั้น

    “ไปเถอะ  พวกข้าไม่ได้มาทำร้ายเจ้า” อาร์โรห์กล่าวเสียงเนิบช้า  แต่นั่นกลับทำเอาพวกแอสทรอยอ้าปากค้างเมื่อเจ้าเสือโคร่งนั่นกลับยอมเดินกลับไปอย่างสงบเสียเฉยๆซะอย่างนั้น

    “จ...เจ้าทำได้ไง...”

    “ก็แค่เข้าใจมันก็แค่นั้น” เขากล่าวแล้วเดินหน้าต่อ  เป็นเหตุให้ทุกคนต้องรีบเดินตามโดยที่ต่างคนต่างก็พกเอาความสงสัยติดตัวไปด้วย

     

    “เจ้าไปข้างนอกไม่มีบอกเลยนะ” เพียงแค่เหยียบกลับเข้ามาในโรงแรม  อาร์โรห์ก็เจอใบหน้าของคาร์ลที่ยิ้มแปลกๆส่งมาให้พร้อมกับประโยคเมื่อครู่

    อาร์โรห์สะบัดหน้าหนีเหมือนไม่ใส่ใจ

    “อาร์โรห์ เราจะออกเดินทางต่อแล้วนะ” เดลที่ลุกเดินมาหากล่าวขึ้น  และอาร์โรห์ก็ทำเพียงพยักหน้ารับเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะขอแยกตัวกลับไปที่ห้องพักเสียอย่างนั้น

    เดล  ลูน่า  และคาร์ลมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ  แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้อยู่ดีว่าอาร์โรห์เป็นอะไร  มองไปทางบิวาร์ที่เดินเข้ามาพร้อมๆกับอาร์โรห์อีกฝ่ายก็ทำเพียงยิ้มแห้งๆส่งมาให้พร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

    ในขณะเดียวกันอาร์โรห์ที่กลับเข้ามาในห้องพักกลับทรุดร่างลงนั่งที่หน้าประตูอย่างหมดแรง  อาการปวดร้อนบริเวณหน้าอกกำเริบขึ้นมาอีกระหว่างที่เขากำลังช่วยชาวบ้านล่าสัตว์  ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย  แต่อาการก็กลับดูจะหนักกว่าครั้งก่อนๆที่อาการดีขึ้นมาก

    ...เหมือนว่ามันจะทรุดลงมาอีก...

    “แค่กๆๆ” อาร์โรห์ไอแห้งๆออกมา  มันทำเอาเขารู้สึกปวดที่บริเวณอกมากกว่าเก่า  เขาหอบจนไม่รู้ว่ามันจะขาดห้วงลงตอนไหน  ไอแล้วก็หอบ หอบแล้วก็ไอ  ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกแสบไปทั้งลำคอและทรวงอก

    ก๊อกๆๆ

    “อาร์โรห์  เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมเตรียมตัวนานนักล่ะ”

    “คาร์ล...”

    อาร์โรห์พึมพำชื่อของอีกฝ่ายออกมา  เขาควรจะเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา  แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นตนเองในสภาพแบบนี้  และขณะที่กำลังจะกล่าวบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องเป็นห่วงเขาก็ดันไอออกมาอีกจนคาร์ลตระหนกและเปิดประตูพรวดเข้ามา  เห็นสภาพเขาไอจนตัวโยนแล้วก็ได้แต่รีบเข้ามาช่วยลูบหลังเขา

    “นี่อาการเจ้าทรุดลง!!?”

    “ไม่  ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

    “ข้าว่าอาการเจ้าแปลกๆนะ  พักต่ออีกหน่อยดีไหม”

    “ไม่ต้องหรอกน่า  ข้าไม่เป็นไร”

    “งั้นเจ้าอยู่เฉยๆ  เดี๋ยวข้าจัดของให้เอง”

    อาร์โรห์ไม่ปฏิเสธ  เขารู้สึกล้าเกินกว่าจะเถียงด้วยแล้ว  สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงมองคาลร์จัดของให้จนอาการดีขึ้นจึงได้ลุกไปดึงเอาเสื้อผ้าของเขามาจากมือของอีกฝ่าย “ขอบใจมากนะ  ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง  ลงไปรอข้างล่างเถอะ” เขากล่าวพลางกอดกองเสื้อในมือแน่น

    ก็เขาซุกกริชไว้ในนี้ด้วย  จะให้ใครมาจับได้ไงล่ะ...

    คาลร์นิ่งไปครู่หนึ่ง  หลังจากมั่นใจแล้วว่าอาร์โรห์จะไม่มีอาการกำเริบขึ้นมาในเร็วๆนี้เขาจึงยอมพยักหน้าและเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี

     

    หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางกันอีกครั้งโดยมีแอสทรอยและบิวาร์ออกมาส่งที่หน้าหมู่บ้าน

    “ถ้าว่างๆก็มาเที่ยวที่นี่บ้างล่ะ”

    “อาวุธและอาหารของที่นี่ก็ดีอยู่หรอกนะ  แต่น่าจะจัดระเบียบของหมู่บ้านซะหน่อย”

    “ลูน่า” เดลเอ่ยปรามจนเด็กสาวทำปากยื่น  แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำแต่โดยดี

    “ไว้จะมา” นั่นคือสิ่งที่อาร์โรห์กล่าวก่อนที่พวกเขาจะจากหมู่บ้านนักรบมา

    แต่เพียงแค่พ้นอาณาเขตป่าของหมู่บ้านซึ่งเป็นเขตล่าสัตว์ออกมา  พวกเขาก็พบกับทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งเข้ามาขวางทางไว้เสียอย่างนั้น

    “พวกเจ้าจะไปไหน!?” เสียงที่ใช้ถามไม่ได้แสดงถึงความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย  อีกฝ่ายกวาดตามองสำรวจพวกเขาทุกคน  ก่อนจะหันไปหาทหารรับจ้างคนที่ยืนอยู่ข้างๆ  พวกเขาคุยกันครู่หนึ่ง  สุดท้ายอีกฝ่ายก็หันมามองสำรวจพวกเขาอีกครั้ง

    “หน้าตาพวกเจ้าคุ้นๆนะ  เหมือนเคยเห็นมีประกาศติดอยู่ในเมืองหรือเปล่า?”

    คำพูดนั้นทำให้พวกอาร์โรห์ระวังตัวมากขึ้น  มือเอื้อมไปจับอาวุธที่ติดตัวอยู่โดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น

    “พวกท่านคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ  พวกข้ายังไม่ได้เดินทางเข้าเมืองที่ไหนเลย” เป็นคาร์ลที่เอ่ยขึ้น  แต่ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีท่าทีมั่นใจมากว่าพวกเขาจะต้องเป็นคนที่ถูกติดประกาศจับอยู่  และคนที่ประกาศก็คงไม่ใช่ใครอื่น  เลียร์  เวอเรจนั่นล่ะ

    “ยังไงก็เถอะ  ช่วยมากับพวกข้าหน่อยก็แล้วกัน!” ไม่ว่าเปล่า  ทหารรับจ้างอีกหลายคนก็เข้ามาล้อมพวกเขา  หลังจากนั้น  โดยไม่มีการบอกกล่าว  พวกทหารรับจ้างก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกับดาบในมือ

    ทุกคนต่างดึงอาวุธของตนเองออกมาแล้วเข้ารับการโจมตีของพวกทหารรับจ้างได้อย่างทันท่วงที

    แต่เหมือนว่าพวกทหารรับจ้างส่วนใหญ่จะมารุมอาร์โรห์ซะเยอะจนน่าแปลก...

    อาร์โรห์อาศัยความเร็วของตนเองในการหลบหลีก  ใช้ศรในมือแทงสวนทหารรับจ้างหลายคนจนได้รับบาดเจ็บลงไปนอนกลิ้งอยู่ที่พื้น  มีบ้างที่ยกคันศรขึ้นมาใช้เล็งและฟาดมือของทหารรับจ้างจนอีกฝ่ายเผลอปล่อยอาวุธลงที่พื้นและใช้จังหวะนั้นในการทำให้อีกฝ่ายสลบ

    แต่ถึงจะเก่งกาจเพียงใดก็ใช่ว่าจะไม่สามารถพลาดพลั้ง  ไม่ว่าจะในเรื่องของจำนวนคนของอีกฝ่ายที่เล่นหมาหมู่  หรือจะด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมของเขาเองด้วยก็ตาม  ในที่สุดก็มีดาบหนึ่งแฉลบผ่านสีข้างของเขาไปจนได้แผล  ส่งผลให้ร่างของเขาชะงักไปเสี้ยววินาที  แต่นั่นก็มากพอจะทำให้มีดาบที่สองแทงลงบนต้นขาจนเขาล้มลง

    อาร์โรห์เม้มปาก  ถ้าเป็นแบบนี้การเคลื่อนไหวของเขาก็จะช้าลง  นั่นก็เท่ากับว่าความได้เปรียบของเขาจะหายไปอย่างหนึ่ง  ทั้งยังจะเป็นส่วนที่เสียเปรียบด้วย...

    เด็กหนุ่มชาวอินคิวบัสตะหวัดแขนข้างที่ถือลูกธนูแทงเข้าที่แขนของทหารรับจ้างที่ยังคงกดดาบลงมาบนขาของเขาจนอีกฝ่ายผละออกไป  อาร์โรห์จึงสามารถฝืดดึงดาบออกจากขาแล้ววิ่งเข้าหาทหารรับจ้างอีกนายที่เมื่อครู่ต่อสู้ติดพันค้างกันอยู่

    แม้จะเจ็บแผล  แต่อาร์โรห์ก็ไม่สนใจ  ตอนนี้เขาต้องทำให้การต่อสู้แบบหมาหมู่นี่จบลงให้เร็วที่สุด  ถ้ายืดเยื้อไปมากกว่านี้  ฝ่ายพวกเขานี่ล่ะที่จะเสียท่าเสียเอง

    อาร์โรห์โน้มตัวไปด้านหลังหลบการโจมตีที่ทหารรับจ้างนายหนึ่งฟาดเข้ามา  ก่อนจะเอาลูกธนูปักลงที่ช่วงท้องของอีกฝ่าย  จากนั้นก็ดึงออกและสะบัดมือโยนลูกศรที่อยู่ในมือเข้าใส่ทหารรับจ้างอีกคนที่กำลังวิ่งเข้ามา

    อาร์โรห์หยิบลูกธนูออกมาอีกหนึ่งและประทับคัน  เล็งไปยังทหารรับจ้างที่กำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับลูน่า  ก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไป!

    เมื่อคู่ต่อสู้ที่พัวพันอยู่ล้มลงด้วยฝีมือของธนูดอกหนึ่งลูน่าก็หันควบมามองทางอาร์โรห์ที่ดึงเอามีดออกมาใช้รับมือกับทหารรับจ้างที่กรูกันเข้าไปหา

    ลูน่าก็อยากเข้าไปช่วยอยู่หรอก  แต่พอล้มลงคนหนึ่งอีกคนก็เข้ามาต่อจนลูน่าไม่รู้จะปลีกตัวไปอย่างไรนี่สิ

    อาร์โรห์รู้สึกว่าขาของเขาเริ่มจะสูญเสียการควบคุมลงเรื่อยๆ  มีอยู่หลายครั้งที่อยู่ๆร่างก็ชะงักลงจนเขาเบี่ยงหลบการโจมตีไม่ทันได้แผลเพิ่ม  แม้ว่าจำนวนของทหารรับจ้างจะมีไม่มากและลดลงเรื่อยๆ  แต่อาร์โรห์กลับรู้สึกว่าเหมือนกำลังสู้อยู่กับคนเป็นร้อยทั้งๆที่อีกฝ่ายมีเพียงไม่กี่สิบคน

    สุดท้ายแล้วการที่ปล่อยให้เลือดไหลออกมาจากบาดแผลใหญ่ที่ขานานๆก็ส่งผลให้ร่างของอาร์โรห์ทรุดลงอีกครั้ง  และครั้งนี้เขาก็ไม่อาจจะลุกขึ้นมายืนได้อีกไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน

    อาร์โรห์กัดฟันอย่างขัดใจ  แต่เขาก็จำต้องรับการโจมตีอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่ง

    “อึก!” สิ่งที่ขาข้างที่เจ็บต้องรองรับไม่ใช่เพียงแค่น้ำหนักตัวของเขาเท่านั้น  แต่ยังรวมกับแรงของทหารรับจ้างที่กดดาบลงมาด้วยแรงที่อาจเรียกได้ว่าทุ่มสุดตัว

    อาร์โรห์หน้าซีด  สำหรับมีดเล่มหนึ่งอาจถือว่านี่เป็นมีดที่ดีมากแล้ว  แต่สำหรับในสถานการณ์นี้มันกลับยังดีไม่เท่ากับดาบผุๆเล่มหนึ่งเลยด้วยซ้ำ  มันทำให้อาร์โรห์ต้องใช้แรงในการดันอีกฝ่ายมากขึ้นจนมือสั่น  อันที่จริงเขาจะดึงเอากริชออกมาใช้ก็ได้  แต่เขาไม่รู้ว่าพลังอำนาจของมันจะรุนแรงขนาดไหน

    หรือว่าเขาจะต้องใช้เวทของมีดเล่มนี้จริงๆ?

    อาร์โรห์นิ่งไปครู่หนึ่ง  สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจส่งพลังเวทเข้าไปในตัวมีด  อักขระบนใบมีดเรืองแสงสีแดงจางๆขึ้น  มันทำให้ทหารรับจ้างที่ล้อมอาร์โรห์อยู่ชะงัก  ก่อนที่เสียงกรีดร้องจะดังขึ้นและเริ่มมีคนออกวิ่งหนี

    ปีศาจตัวมหึมาที่ปรากฏออกมาจากมีดมีเกล็ดสีดำวาวและนัยน์ตาสีเลือด  เหมือนว่าจะเป็นปีศาจที่ถูกสร้างขึ้นจึงไม่เป็นที่รู้จักแม้แต่ปีศาจเช่นอาร์โรห์เองก็ตาม  เขามองเจ้าปีศาจที่มีลักษณะคล้ายพยัคฆ์ตรงหน้า  มันเดินเข้ามาหาเขา  นิ่งมองครู่หนึ่งก่อนจะยื่นใบหน้าเข้ามาหาเขา  ใช้จมูกดมกลิ่นจนอาร์โรห์รู้สึกอยากจะผละถอยออกแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอยู่นิ่งๆ  เมื่อรู้ดีอยู่แล้วว่าอาจสู้เจ้าสิ่งมีชีวิตตรงหน้านี้ไม่ได้หากยังคงอยู่ในสภาพนี้

    “จนมุมถึงขนาดต้องเรียกเจ้านั่นออกมาเลยเรอะ ฮ่าๆๆๆๆ น่าสมเพชจริงๆเจ้าคนนอกคอก!

    คำเรียกขานที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่ๆดังขึ้นมาให้อาร์โรห์ได้เงยหน้ามองร่างที่กำลังบินอยู่กลางอากาศ  ปีกที่มีขนสีนิลถูกสยายจนบังแสงแดดที่จะส่องลงมา

    อาร์โรห์ขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าคือ...เฮคเตอร์  เทรานอส...”

    “โอ้? เจ้าจำข้าได้ด้วย? หึๆๆ”

    “ใครจะจำเจ้าไม่ได้ล่ะ  เจ้าคือคนที่โยนข้าเข้าไปในห้องใต้ดินที่มีลูกครึ่งแวมไพร์นั่นอยู่  ถ้าข้าจำไม่ได้ข้าก็คงจะความจำสั้นยิ่งกว่าปลาทอง...”

    “หึๆๆ  งั้นก็ดี  ช่วยฟังคำขอของข้าหน่อยสิ...อาร์โรห์...” น้ำเสียงที่ใช้กล่าวชื่อของเขาฟังดูหวานเหมือนกับว่ากำลังเอ่ยชื่อคนรักออกมา  และนั่นก็มากพอจะทำให้อาร์โรห์ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้ว

    “ช่วย...ตายๆไปซักที!!!

    กล่าวจบเวททำลายล้างรุนแรงก็ถูกซัดเข้ามาหาอาร์โรห์โดยที่เขาไม่อาจที่จะหลบได้  แต่เจ้าสัตว์ปีศาจที่มีรูปร่างเหมือนพยัคฆ์นั่นกลับเข้ามาบังอยู่ตรงหน้าเขาและรับพลังทำลายเข้าไปเต็มๆ

    มันส่งเสียงคำรามกึกก้องอย่างเจ็บปวดก่อนที่ร่างของมันจะกลายเป็นกลุ่มแสงและกลับเข้ามาในมีดซึ่งอยู่ในมือของเขา

    อาร์โรห์มองมีดในมือ  รู้สึกขอบคุณเจ้าสัตว์ปีศาจตนนี้จากใจ  แต่ก็มีเหตุให้เขาต้องรีบเก็บมีดลงในเสื้อเมื่อเฮคเตอร์บินโฉบลงมาหมายจะชิงเอามีดในมือของเขาไป

    เมื่อชวดจากมีด  เฮกเตอร์จึงเล็งจุดหมายใหม่  ฝ่ามือทั้งสองข้างเอื้อมมาที่ลำคอของอาร์โรห์และบีบมันด้วยแรงที่ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็คงจะคอหักไปแล้วพร้อมกับดันร่างของเขาจนล้มลงไป

    ตายไปซะ!  ตายไปซะ!!  ตายไปซะ!!!  ตายไปซะ!!!!  ตายไปซะ!!!!!

    เฮคเตอร์กล่าวขณะที่ออกแรงบีบที่มือมากขึ้น

    อาร์โรห์ดิ้นรน  ทั้งข่วนทั้งจิกเล็บลงบนฝ่ามือที่บีบคอเขาอยู่  ไม่ว่าจะยกมือขึ้นทุบอีกฝ่ายอย่างแรงหรือยกมือขึ้นข่วนไปถึงใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังไม่อาจที่จะทำให้ฝ่ามือของอีกฝ่ายหลุดออกไปจากลำคอของเขาได้

    อาร์โรห์เริ่มตาเหลือก  ปากอ้าออกอย่างพยายามจะกวาดเอาอากาศหายใจเข้าปอด  แต่มันก็ยังคงเปล่าประโยชน์  แม้ว่าจะดิ้นขนาดไหนก็อีกฝ่ายก็ยังไม่หลุดออกไป  เขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าเริ่มห่างไกลออกไปทุกที  เขาได้ยินเสียงของเฮคเตอร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง  แต่ก็แทนที่ด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดก่อนที่น้ำหนักบนร่างของเขาจะหายไป  และเป็นตอนนั้นเองที่สติของเขาดับวูบลง...

    เข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาแตะบนใบหน้า  สัมผัสเย็นๆชื้นๆที่ลากผ่านข้างแก้มไปทำให้อาร์โรห์ค่อยๆลืมตาขึ้น  สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของลูน่าที่มองมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง

    “ลูน่า...”

    “อาร์โรห์  เจ้าเป็นยังไงบ้าง”

    “อือ...ไม่เป็นไร...แล้วคาร์ลกับเดลล่ะ...”

    “สองคนนั้นออกไปหาฟืนน่ะ  ว่าแต่เจ้าเถอะ  ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆนะ”

    “ไม่ต้องห่วงข้าหรอก  ข้าไม่เป็นไร” กล่าวพลางค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง  ถึงแม้ว่าจะมีอาการเวียนหัวเข้ามาจู่โจม  แต่อาร์โรห์ก็ไม่คิดจะใส่ใจเท่าไหร่  เขามองไปรอบด้านอย่างสำรวจ  พวกเขายังคงอยู่กลางป่า  เพียงแต่ว่าทัศนะรอบด้านถูกเปลี่ยนไปนิดหน่อย  ไม่มีรอยเลือดและร่างของทหารรับจ้างหรือแม้กระทั่งร่องรอยการต่อสู้  คาดว่าเขาคงถูกพาออกมาจากจุดที่เกิดเหตุด้วยฝีมือของใครซักคนที่ลงทุนแบกเขาออกมา

    “อ้าว  ฟื้นแล้วเหรออาร์โรห์”  เดลเอ่ยพลางวางฟืนลงบนพื้น

    คาร์ลที่เดินตามมาวางกองฟืนลงข้างๆเดลก่อนจะเดินเขามาใช้มือแตะลงบนหน้าผากของอาร์โรห์  “เหมือนว่าจะไม่มีไข้แล้วนะ”

    “แบบนั้นก็ดีน่ะสิ” เดลเอ่ยทั้งใบหน้าที่ดูผ่อนคลายลง  ส่วนลูน่าก็มองมายิ้มๆ

    อาร์โรห์มองทุกคนแล้วจับลำคอของตนเอง

    ต่อจากนี้...นอกจากปีศาจแล้วก็ยังมีมนุษย์ที่ตามล่าพวกเขา  และบางที  ศัตรูที่อันตรายที่สุดอาจจะเป็นเฮคเตอร์ที่เกลียดเขาเข้าไส้  แล้วมันก็มีสิทธิ์ที่อีกฝ่ายจะพยายามหาเรื่องเขาทุกทางจนคนที่อยู่รอบตัวเขาเดือดร้อน...

    ...เขาควรจะไปจากทั้งสามคนสินะ...


    ___________________________________________________________

    อะแฮ่มๆ ถึงนักอ่านทุกท่าน

    ขณะนี้ไรท์ได้ทำการเปิดเพจของไรท์เองแล้ว  เพื่อความสะดวกในการสำปวย(?) และอัพเดตนิยาย

    ทุท่านสามารถตามนิยายจากไรท์ได้ทางเพจนี้และสามารถถามสำปวยที่อยากรู้กันแค่สองคน(?) ได้ที่นี่ค่ะ

    https://www.facebook.com/pages/Ani-jigo-Writer_JJ-Drawing/782117125195411

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×