ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SET MY NIGHT | หลงรัก ได้ใจ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 หนทางที่โรยด้วยขวากหนาม (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.1K
      436
      11 ม.ค. 65


    บทที่ 4

    หนทางที่โรยด้วยขวากหนาม

     

    หลายวันต่อมา

    ฉันกวาดทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่มิคลงกล่องใบใหญ่ด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น ถ้าจะตัดใจต้องไม่มีของเหล่านี้มาให้เห็น ทั้งรูปถ่าย ทั้งกระดาษที่จดเบอร์โทรของเขาเอาไว้เพราะไม่กล้าเมม ทั้งผ้าเช็ดหน้าที่ตั้งใจจะทิ้งตั้งแต่แรกที่กลับทิ้งไม่ลง

    โอ๊ยยย ทำไมฉันดูเหมือนหลงเขาหัวปักหัวปำขนาดนี้เนี่ย

    พึ่บ!

    ฉันจัดการปิดกล่องนั้นแล้วเอาเทปมาแปะทับอีกรอบกันตัวเองเปิดออกมาอีก ครั้งจะเอาไปทิ้งก็กลัวคนอื่นเห็นฉันเลยตัดสินใจเก็บกล่องนั้นไว้ในตู้เสื้อผ้า เก็บไว้ให้ลึกที่สุดเลย

    ไม่เอาแล้ว ฉันจะพอแล้ว

    เรื่องนี้มันจะจบแค่เท่านี้และจะไม่มีใครรู้ว่าคนที่ฉันตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นคือพี่มิคาเอล พี่ชายของยัยมิเกล

    ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะเปิดไลน์แล้วส่งข้อความหาคน ๆ เดิม

     

    นับดาว :: นับจะตัดใจแล้วค่ะ

    นับดาว :: นับจะเลิกชอบพี่มิค

     

    กดส่งข้อความเสร็จฉันก็สะพายกระเป๋าเดินลงมายังด้านล่างเพื่อดูคุกกี้ที่อบทิ้งไว้

    “ใช้ได้ไหมคะป้าสายพิณ” ฉันเอ่ยถามป้าแม่บ้านที่มาช่วยฉันอบขนมในวันนี้

    “หอมน่ากินมากเลยค่ะคุณหนู” ท่านเอาถาดคุกกี้ออกจากเตาอบแล้วมาให้ฉันดู

    “นับฝากแบ่งใส่กระปุกที่ซื้อมาเมื่อวานให้หน่อยนะคะ จะเอาไปฝากเกล”

    “ได้ค่ะ” ท่านรับคำแล้วหันไปจัดการในสิ่งที่ฉันไหว้วาน

    พอบอกป้าแม่บ้านเสร็จฉันก็เดินออกมายังด้านนอกเพื่อมาหาพี่ก้องที่กำลังนั่งเช็ดกล้องคู่ใจของเขาอยู่

    นาน ๆ ทีจะได้มีวันหยุดอยู่บ้านกับเขาบ้างนะเนี่ยพี่ชายของฉัน

    “เก็บของเสร็จแล้วหรอ” พี่ก้องหันมาถามเมื่อเห็นฉัน

    “เสร็จแล้วค่ะ”

    “จะไปกันหรือยัง พี่จะไปส่ง” พี่ก้องเตรียมตัวลุกขึ้นยืน

    “ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้เกลบอกว่าจะมารับ”

    “ทำไมไม่เห็นรู้เลย” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ

    “เกลเพิ่งบอกเมื่อเช้าเองค่ะ บอกว่าอยากมารับเอง พี่ก้องจะได้ไม่ต้องลำบากเทียวไปรับไปส่ง”

    วันนี้ฉันจะไปนอนค้างกับมิเกล เนื่องจากมีงานที่ต้องทำด้วยกันหนึ่งวิชาเพราะยัยเกลมาลงเรียนวิชาเสรีของคณะฉันอีกเทอม และไหน ๆ ก็ได้ทำงานด้วยกันแล้วเลยอยากนอนค้างกันสักคืนด้วย

    ไม่ได้อยู่พูดคุยกันตามประสาสาว ๆ มานานแล้วเหมือนกันนะ

    “ทำไมต้องมารับเอง มีอะไรที่ให้พี่รู้ไม่ได้หรอ” พี่ก้องถามอย่างสงสัย

    “มันไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่ก้องจะคิดมากทำไมเนี่ย” ฉันหัวเราะให้กับความสงสัยไม่เข้าเรื่องของเขา

    เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด เมื่อได้รู้ว่าฉันมีคนที่แอบชอบเขาก็ย่อมอยากรู้ด้วยจริง ๆ

    แต่เรื่องอะไรจะยอมบอกล่ะ พี่ก้องเองก็ใช่ว่าจะบอกฉันทุกเรื่องด้วยนี่นา

    “เสร็จแล้วค่ะคุณหนู” ขณะที่ยืนคุยกับคนตัวสูงอยู่นั้นป้าสายพิณก็เดินเอาขนมมาให้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มิเกลขับรถมาถึงหน้าบ้านพอดี

    “เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง” เขาบอกแล้วเดินตามฉันมายังหน้าบ้าน

    กึก!

    แต่เมื่อมาถึงก็พบว่ารถที่จอดอยู่หน้าบ้านนั้นไม่ใช่รถของมิเกล แต่เป็น...

    “มิคาเอล” พี่ก้องเอ่ยทักทายเขาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “ทำไมเป็นมึง”

    “เกลให้กูมารับนับดาว” เขาตอบก่อนจะถอนหายใจออกมา

    “เกลติดอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมาเองไม่ได้” ฉันถามอย่างเป็นห่วงเพราะก่อนหน้านี้เรายังคุยกันดี ๆ อยู่เลย

    ที่จะมารับเพราะยัยนั่นอยากจะแวะพาฉันไปกินข้าวกันก่อนนี่นา

    “ปวดท้อง” เขาตอบสั้น ๆ

    อ่า...มิเกลปวดท้องเพราะโรคกระเพาะอีกแล้วสินะ

    “ไม่เห็นรู้เลย” พี่ก้องพูดคำนี้อีกแล้ว ไม่นานเขาก็หันมามองฉันด้วยท่าทางใคร่รู้

    “นับเองก็ไม่รู้นะคะ” ฉันรีบตอบไปทันควัน เมื่อกี้ก็ยังถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมิเกล

    “จะไปได้ยัง ร้อน” พี่มิคถามอย่างหงุดหงิดคงเพราะอากาศร้อนอบอ้าวจริง ๆ

    “เดี๋ยวกูไปส่งนับเอง มึงกลับไปเลย”

    พี่มิคทำทีจะเถียงกลับแต่เสียงโทรศัพท์ของพี่ก้องก็ดังขึ้นซะก่อน เขามองหน้าจอแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปรับโทรศัพท์ด้วยท่าทางหงุดหงิดเช่นกัน

    ขณะที่รอพี่ก้องคุยโทรศัพท์อยู่นั้นพี่มิคก็ตวัดสายตาขึ้นมองฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะเบนสายตาไปมองที่อื่น

    บรรยากาศแสนกระอักกระอ่วนนี้ทำให้ฉันอยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีซะจริง ๆ

    พี่ก้องไปคุยโทรศัพท์ไม่นานก็เดินกลับมา

    “สรุปจะไปส่งเอง?” พี่มิคถามด้วยท่าทางหงุดหงิดไม่ต่างกัน

    ฮือ...ทำไมผู้ชายสองคนนี้มักมีบรรยากาศไม่ดีที่อยู่ด้วยกันทุกครั้งเลย

    “ให้นับไปกับมึง ฝากน้องกูด้วย” พี่ก้องตอบด้วยท่าทางไม่เต็มใจเท่าไหร่

    “พี่ก้อง” ฉันเรียกเขาเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่สบอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

    “ไม่มีอะไร พี่คุยกับเกลแล้ว” เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นต่างจากที่คุยกับพี่มิคลิบลับเลย

    “งั้น...ถ้าถึงแล้วนับจะโทรหานะ”

    แม้จะลำบากใจที่จะต้องไปกับพี่มิคเพียงสองคนแต่ฉันก็ไม่อยากให้มันวุ่นวายกว่านี้แล้วจริง ๆ

    พี่ก้องพยักหน้าให้แล้วฉันก็พุ่งเข้าไปกอดเขาเต็มแรงก่อนจะผละออกมา

    “ร้อนแล้วโว้ย” พี่มิคที่ยืนรออยู่สักพักเริ่มบ่นเสียงดัง

    “จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่า” ฉันหันไปบอกเขาแล้ววิ่งไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว

    พอมานั่งในรถฉันก็เห็นว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันต่อเล็กน้อยก่อนที่พี่มิคจะเดินอ้อมมายังฝั่งคนขับแล้วเข้ามานั่งด้วยท่าทางร้อนจัดจริง ๆ

    เขาจัดการปลดกระดุมเสื้อเชิร์ตสีดำออกสามเม็ดด้วยความร้อนแล้วเปิดแอร์ให้หันเข้าหน้าตัวเอง

    ฉันต้องรีบเบนหน้าไปทางอื่นเพราะตอนนี้พี่มิคกึ่ง ๆ เปลือยอกอยู่ข้าง ๆ ฉันเลย

    ฮือ...รู้งี้ขอให้พี่ก้องไปส่งซะก็ดีหรอก

    นอกจากจะหันหน้าหนีแล้วฉันก็จัดการแกะยางมัดผมออกแล้วปล่อยมันลงเพื่อปิดใบหูเอาไว้ด้วย กลัวว่าพี่มิคจะเห็นว่าฉันมีอาการขัดเขินได้จากใบหูที่แดงเถือก

    ฉันได้ยินเสียงเขาทำโน่นทำนี่อยู่ข้าง ๆ แต่ก็ไม่ยอมขับรถออกไปสักที พี่ก้องก็ยืนมองไม่ยอมเดินกลับเข้าบ้านด้วยเช่นกัน

    “คาดเข็มขัดด้วย” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

    “อ้อ ค่ะ” ฉันหันไปดังสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดอย่างรวดเร็ว

    จากนั้นพี่มิคก็ขับรถออกไปโดยที่มืออีกข้างก็เอื้อมมาเปิดเพลงคลอเบา ๆ ระหว่างทาง

    พวกเราเงียบด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเลย แม้ฉันจะพยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากแค่ไหนแต่มันก็ทำได้ยากเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ชอบ แถมยังอยู่ด้วยกันแค่สองคนอีก

    ไม่สิ ฉันบอกตัวเองแล้วนี่นาว่าจะเลิกชอบเขาแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่มันจะไปเลิกชอบได้ยังไงกันเล่า

    คิดสิ เวลาอยู่กับคนอื่นฉันทำตัวแบบไหนนะ ฉันไม่ได้นิ่ง ๆ แบบนี้ด้วยซ้ำ

    “วันนี้พี่มิคไม่ได้ทำงานหรอคะ” ฉันหันไปถามแล้วส่งยิ้มให้แม้พี่มิคจะไม่ได้หันมามองก็ตาม

    ใช่แล้วล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็จะถามแบบนี้

    “เห็นว่าทำไหมล่ะ”

    แต่คำตอบของเขากลับไม่เหมือนคนอื่นเลยสักนิด แล้วฉันจะไปต่อยังไงเนี่ย

    “ไม่ค่ะ”

    “งั้นก็แปลว่าไม่ได้ทำ”

    เอ๊ะ! นี่เขากวนฉันหรือเปล่า?

    เพราะเขาเป็นแบบนี้แหละฉันเลยทำตัวลำบากเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา ไม่เห็นใจดีเหมือนพี่ ๆ คนอื่น ๆ บ้างเลย น่าน้อยใจชะมัด ฉันก็เพื่อนคนหนึ่งของน้องสาวเขาเหมือนกันนะ

    พอจบบทสนทนานั้นแล้วฉันก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก  แล้วเราก็นั่งเงียบ ๆ กันมาตลอดทาง

    “แขนเป็นไงบ้าง” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมา

    “หายแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับอย่างรวดเร็วเพราะรอฟังคำพูดจากเขาอย่างใจจอใจจ่ออยู่ก่อนแล้ว

    แล้วก็...เงียบกันอีกครั้ง

    “พี่มิคคะ” สุดท้ายฉันก็ทนความอึดอัดนี้ไม่ไหวเลยหันไปหาเขาอย่างจริงจัง

    “ว่าไง” เขาก็ตอบกลับมาอย่างปกติ

    “พี่มิคเกลียดนับหรอคะ” ฉันถามออกไปด้วยความรู้สึกใจเต้นระรัว

    “ทำไมถามงั้น”

    “พี่มิคดูเย็นชากับนับมากเลยค่ะ” ประโยคนี้ฉันพูดด้วยความน้อยใจสุด ๆ “ทำเหมือนไม่ชอบนับอยู่ตลอดเวลาเลย”

    ที่ผ่านมาก็คิดว่าทนได้อยู่ตลอด แต่พอนับวันเข้าฉันก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

    “ถ้าเธอติดใจเรื่องบัตรคอนเสิร์ต DS ล่ะก็...”

    “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น” ฉันบอกอธิบายไป มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้นเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบฉัน

    “แล้วมันเรื่องไหนล่ะ”

    “นับเห็นนะคะว่าพี่มิคคุยกับพวกเบนจี้กับชาช่าเหมือนพี่ชายปกติ แต่ทำไมกับนับพี่มิคถึงได้ดูห่างเหินเหมือนคนไม่รู้จักกันเลย”

    “แล้วเธอคิดกับฉันแบบพี่ชายไหมล่ะ”

    คำถามนั้นของพี่มิคทำเอาฉันตัวชาวาบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความเงียบเข้าปกคลุมเราทั้งสองไว้อีกครั้ง บรรยากาศที่อึดอัดอยู่ก่อนหน้านั้นแปรเปลี่ยนเป็นอึดอัดมากยิ่งขึ้นไปอีก

    “ว่าไง” เขาทวนคำถามเดิมอีกครั้ง

    พี่มิคถามแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ารู้อยู่แล้วหรอกหรอว่าฉันคิดยังไงกับเขา

    “เธอคิดอะไรกับฉันงั้นหรอนับดาว”

    เขาไม่แม้แต่จะแทนตัวเองว่าพี่กับฉันด้วยซ้ำ เขาแสดงออกชัดเจนว่าต้องการห่างเหิน ขีดเส้นความสัมพันธ์ให้อย่างชัดเจนแต่ฉันไม่เคยสังเกตเลยว่านั่นคือการแสดงออกของเขาที่ต้องการให้ฉันได้เห็น

    ...เห็นว่าเขาไม่ต้องการให้ฉันคิดเรื่องบ้า ๆ กับเขาอีกแล้ว

    “ถ้าคิดอะไรอยู่ก็เลิกคิดซะ มันไม่มีทางเป็นไปได้” เขาปฏิเสธออกมาโดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลยสักนิด

    คำตอบของเขาในวันนี้มันชัดเจนแล้วว่าการกระทำที่ผ่านมาของพี่มิคที่มีต่อฉันนั้นมันคืออะไร

    ฉันได้รู้คำตอบของเขาโดยที่ยังไม่ได้เอ่ยปากถามด้วยซ้ำ

    ในเมื่อเจ้าตัวเน้นย้ำซะขนาดนั้น แถมมันก็เป็นความตั้งใจเดิมของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ส ดังนั้นฉันก็ควรจะตัดใจสักที ตัดใจแบบจริงจัง แบบที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก

    มันจบ...ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วสินะ

     

    “นับ!” เสียงตะโกนดังเข้ามาในหูจนฉันสะดุ้ง

    “อื้อ มีไร” ฉันขานรับแล้วหันไปมองมิเกลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

    “ได้ฟังที่เกลพูดป้ะเนี่ย” มิเกลถามแล้วมองหน้าอย่างไม่เข้าใจ “เป็นไรไปอะ ตั้งแต่มาถึงก็ใจลอยไม่หยุดเลย”

    “ไม่มีอะไร” ฉันบอกปัดก่อนจะก้มหน้าลง “แล้วเกลเรียกเรามีไรหรือเปล่า”

    “จะถามว่าข้อนี้ทำไง” มิเกลชี้ไปยังข้อความบนกระดาษ

    ฉันมองมิเกลด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายแล้วพยายามเก็บอารมณ์ที่กำลังหม่นหมองเอาไว้

    “อ๋อ...ทำแบบนี้นะ”

    จากนั้นฉันก็สอนมิเกลทำหัวข้องานดังกล่าว เราสองคนคุยกันเรื่องงานต่อจนทำงานเสร็จในที่สุด เมื่อมองดูเวลาก็ล่วงไปถึงหกโมงเย็นพอดี

    ก๊อก ๆ

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น มิเกลก็เหมือนจะรู้ว่าเป็นใครเลยเดินไปเปิดให้โดยไม่ตะโกนถาม

    ฉันได้ยินเสียงเธอคุยกับคนด้านนอกอยู่สักพักก่อนที่จะปล่อยให้เดินเข้ามาด้วยท่าทางจำยอม

    เป็นพี่มิคที่เข้ามาพร้อมกับข้าวของเต็มไม้เต็มมือ

    เขาอยู่คอนโดกับมิเกลแต่อยู่กันคนละห้อง ทั้งคู่เลยไปมาหาสู่กันได้ง่าย

    “พี่มิคเอาข้าวไว้แล้วกลับเลยก็ได้ค่ะ ไหนบอกว่ามีธุระตอนเย็นไม่ใช่หรอ”

    “แล้วพี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเกลจะกินข้าว”

    เพราะมิเกลป่วยเป็นโรคกระเพาะเลยต้องกินข้าวให้ตรงเวลา เรื่องเมื่อตอนเที่ยงก็คงมาจากการที่เธอไม่ได้กินข้าวเลยปวดท้องจนต้องนอนพักไป

    “พี่มิคให้นับดูก็ได้ ถ้าไม่เชื่อมาถามนับได้เลย” มิเกลเสนอทางออก

    แต่เธอไม่รู้อะไรซะแล้วยัยเพื่อนรัก พี่ชายเธอน่ะเขาไม่อยากคุยกับฉันที่สุดเลย

    “ไม่ล่ะ พี่จะกลับก็ต่อเมื่อเกลกินข้าวหมด” พูดจบพี่มิคก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อแกะข้าวให้มิเกล

    ฉันไม่รู้หรอกนะว่าผู้หญิงคนอื่นจะได้เห็นมุมนี้ของเขาบ้างไหม แต่ฉันมักจะได้เห็นมุมที่เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีของมิเกลเสมอ มุมที่เขามานั่งจัดจานข้าวให้น้องสาวราวกับคุณพ่อดูแลลูก มันทำให้ฉันรู้สึกประทับใจทุกครั้งที่ได้เห็น

    “เกลบอกแล้วไงว่าวันนี้จะอยู่กับนับแค่สองคน เราจะพูดคุยกันตามประสาสาว ๆ พี่มิคอย่าเข้ามาขัดจะได้ไหม” มิเกลเดินตามเข้าไปในครัวด้วย

    “คุยก็ส่วนคุยสิ กินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยไม่ได้หรือไง”

    จากนั้นฉันก็ได้ยินทั้งคู่เถียงกันอยู่สักพักแต่ดูเหมือนมิเกลจะสู้ไม่ได้เลยจำต้องยอมให้พี่มิคอยู่ในห้องต่อ

    ฉันเริ่มทำตัวลำบากเพราะอึดอัดที่เขาอยู่ด้วย จะเอายังไงดี

    “นับ มากินข้าวด้วยกันเร็ว” ขณะที่กำลังคิดหาทางออกอยู่นั้นมิเกลก็โผล่หน้ามาจากห้องครัว “พี่มิคซื้อมาให้นับด้วย”

    “อ้อ อื้อ” ฉันขานรับแล้วทำทีเป็นเก็บของเพื่อถ่วงเวลาทำใจสักพัก

    มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ซื้อข้าวมาให้ฉันด้วย มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้แสดงความใจดีออกมาให้ฉันเห็นอีก ถ้าเขาเฉยชาเหมือนตอนที่อยู่ในรถมันคงจะดีต่อการตัดใจของฉันไม่น้อยเลยทีเดียว

    ฉันเดินเข้ามาในครัวก็เห็นว่าพี่มิคกำลังทำอะไรสักอย่างกับของที่ซื้อมาเยอะมากโดยมีมิเกลนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารชุดเล็ก ๆ

    “นับช่วยค่ะ” ฉันเดินเข้าไปใกล้อย่างลืมตัวเพราะมักจะช่วยคุณแม่จัดโต๊ะเสมอ

    “ไปนั่งรอเลย” แต่พี่มิคก็หันมาบอกสั้น ๆ แค่นั้น

    “ปล่อยให้พี่มิคทำเถอะ” มิเกลบอกฉันด้วยใบหน้าที่แสดงออกว่าหงุดหงิดที่พี่มิคยังคงยืนกรานจะอยู่

    ฉันเดินมานั่งข้างมิเกลแล้วหันมองอย่างต้องการให้เธอไล่พี่มิคออกไป

    มิเกลปากขยับว่า ไล่แล้วแต่ไม่ไป กลับมา

    “จะคุยกันก็ส่งเสียงออกมา จะได้ยินด้วย”

    ราวกับมีตาหลังเพราะพี่มิคพูดมันออกมาเหมือนรู้ว่าเราทั้งสองกำลังยุกยิก ๆ กันอยู่

    “เห็นมิเกลบอกว่าพี่มิคมีธุระตอนเย็น ไปเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวนับดูแลเกลต่อให้เอง” ฉันบอกอย่างมุ่งมั่นเพราะต้องการให้เขาออกจากตรงนี้ไปสักที จะยืนอยู่ในให้หัวใจของฉันมันทรมานเล่นทำไมล่ะพ่อคุณ

    “พี่มิคไม่ไว้ใจนับหรอคะ” พอเขาไม่ตอบฉันเลยยิงคำถามต่อพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

    ชอบทำให้คนอื่นลำบากใจดีนัก ต้องโดนเอาคืนซะบ้าง ฉันจะไม่ทนให้เขามาหว่านเสน่ห์หลอกให้หลงระเริงเล่นอีกแล้ว

    “นั่นสิ กับช่าและจี้พี่มิคยังไว้ใจให้ดูแลเกลเรื่องกินข้าวได้เลย” มิเกลกล่าวเสริมทัพอย่างเห็นด้วย

    “นับมันไม่น่าไว้ใจสินะคะ” ฉันบอกแล้วแสดงสีหน้าเศร้าสลดออกมา

    “ไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน” พี่มิคหันกลับมาอย่างทนโดนใส่ความไม่ไหว

    “โอ๊ยยยย พี่มิคใจร้ายกับนับดาวเพื่อนเกลมาตลอดนั่นแหละ” มิเกลลุกขึ้นอย่างเหลืออด “พี่มิคออกไปเลย”

    “พี่มีธุระตอนเย็น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเวลานี้” เขาบอกมิเกลด้วยอารมณ์คุกรุ่น “แล้วก็นั่งลง อย่าพูดอะไรไม่เข้าเรื่องอีก ถ้าอยากให้พี่กลับก็กินข้าวให้หมดแล้วพี่จะกลับเอง...”

    พอจบประโยคนั้นเขาก็ตวัดสายตามายังฉันที่นั่งคอหดอยู่

    “ไม่ต้องไล่”

    เอ๊ะ! ประโยคนี้คือพูดประชดใส่ฉันใช่ไหม

    สุดท้ายเราสองคนเลยต้องนั่งกินข้าวด้วยกันท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาของพี่มิค กับมิเกลฉันก็พอเข้าใจนะว่าเพราะยัยนั่นเป็นโรคกระเพาะเลยต้องกินเวลานี้ แต่ฉัน...ไม่ได้หิวสักหน่อย ไม่อยากจะกินด้วย แต่มันทำไม่ได้เพราะพี่มิคบังคับให้ฉันกินด้วยเหมือนกัน

    นี่เขาต้องการลงโทษฉันเรื่องเมื่อกี้ใช่ไหม เขาทำแบบนี้เพราะอยากให้ฉันเห็นว่าเขาใจร้ายกับฉันมากใช่ไหม

    ได้...เขาทำสำเร็จ

    แต่ฉันชินแล้วล่ะ ต่อให้ใจร้ายมากกว่านี้ฉันก็เกลียดเขาไม่ลงหรอก

    ชั่วชีวิตนี้ฉันจะมีทางเกลียดเขาได้ไหม ตัวฉันเองก็ยังไม่รู้เลย

    “โอ๊ยยย ท้องจะแตกอยู่แล้ว” มิเกลเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างอิ่มแปล้เนื่องจากพี่มิคบังคับให้กินข้าวด้วยกันจนหมด “เมื่อไหร่โรคนี้จะหายไปสักที”

    “ถ้ากินข้าวให้ตรงเวลามันก็หาย” พี่มิคสวนกลับในตอนที่เดินออกมายังข้างนอกก่อนจะบอกกับมิเกลอีกรอบ “เดี๋ยวให้แม่บ้านมาทำความสะอาด ไม่ต้องทำเอง”

    “นับทำก็ได้ค่ะ” ฉันเสนอตัวเพราะคุ้นชินกับการทำเรื่องแบบนี้สุด ๆ

    “เธอเป็นแม่บ้านหรอ” แต่คำถามของเขากลับทำให้ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้อีก

    “พี่มิค! เกินไปแล้วนะ” มิเกลแหวใส่

    “พี่จะกลับละ แล้ววันนี้ก็อย่านอนดึก” เขาไม่สนใจคำพูดไม่พอใจของมิเกลเลยสักนิด

    ร่างสูงเดินไปคว้าเอากุญแจและโทรศัพท์มือถือก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันมาสนใจพวกเราอีก

    “เดี๋ยวเราไปล้างจานให้” ฉันบอกด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะลุกขึ้น

    “ไม่เอาน่านับ ขืนพี่มิครู้ว่านับล้างจานเดี๋ยวก็เป็นเรื่อง” มิเกลห้ามเอาไว้ก่อน

    “เกลดูกลัวพี่มิคมากเลย”

    “ก็แหงสิ ขนาดเธอเองยังกลัวพี่ก้องเลย” มิเกลพูดอย่างขยาดก่อนจะเอามือลูบแขนตัวเอง “ตอนเขาโกรธนะ น่ากลัวสุด ๆ”

    แม้จะพอนึกออกถึงน้ำเสียงดุ ๆ นั้นอยู่บ้างแต่ฉันก็ไม่เคยเห็นเขาโมโหร้ายถึงขั้นทำอะไรรุนแรงกับมิเกลเลย นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าตอนโกรธยัยเกลเขาจะทำแบบไหน หรือจะทำแค่ขึ้นเสียงใส่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมากัน

    “ไม่พูดถึงพี่มิคแล้ว พวกเราไปอาบน้ำแล้วเข้านอนกันเถอะ เกลมีเรื่องคุยกับนับเยอะแยะเลย”

    มิเกลลุกขึ้นยืนก่อนจะปลีกตัวไปอาบน้ำ ทิ้งให้ฉันจมอยู่กับความคิดอันแสนสับสนอยู่คนเดียว

    เรื่องของคนอื่นฉันกลับพยายามเชียร์เต็มที่ แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองฉันกลับตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่าง มันเหมือนกับว่าตัวเองกลัวความจริง กลัวความผิดหวัง ตอนที่พี่มิคบอกให้ตัดใจฉันยังรู้สึกแย่เลย เหมือนอกหักทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มรักเลยด้วยซ้ำ ก็แค่ชอบ

    ฉันแค่ชอบเขาเท่านั้นเอง

     

    “ถ้าชอบก็บอกไปเลยสิ” ยัยเกลพูดขึ้นตอนที่เราเข้ามานอนบนเตียงด้วยกันทั้งคู่แล้ว

    ด้วยความอึดอัดในใจมันทำให้ฉันอยากหาที่ระบายเลยลองปรึกษามิเกลดู แต่ฉันไม่ได้บอกหรอกนะว่าคนที่ชอบคือพี่มิค

    “นับเองก็เคยเชียร์เกลให้จีบพี่ก้องไม่ใช่หรอ” มิเกลพูดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ “ตอนนั้นพี่ก้องดูไม่สนใจเกลเลยด้วยซ้ำแต่นับก็บอกว่าอยากให้ลองดู จำไม่ได้หรอ”

    “แต่ตอนนั้นเกลยังไม่ได้ชอบพี่ก้องนี่ ถ้าจีบไม่ติดก็ไม่เสียใจนี่นา”

    “รู้ได้ไงว่าเกลจะไม่เสียใจ” มิเกลหันหน้ามามองฉัน

    บอกตามตรงว่าตอนนั้นที่เชียร์เกลเพราะฉันคิดกว่าพี่ก้องน่าจะชอบมิเกลอยู่บ้าง แม้จะไม่มั่นใจแต่ก็คิดว่าตัวเองมองคนไม่ผิดเลยพูดออกไปแบบนั้น

    “นับได้ลองบอกเขาไปบ้างหรือยัง” มิเกลถามต่อเมื่อเห็นว่าฉันเงียบ

    “ไม่ได้บอกแต่เหมือนเขาจะรู้” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แล้วก็บอกให้ตัดใจซะ”

    “โห...แรงมาก ยังไม่ทันได้เริ่มก็โดนตัดจบซะแล้ว”

    “นับมันไม่น่ารักหรอ เขาถึงไม่ชอบอะ” ฉันถามมิเกลอย่างเสียความมั่นใจ แม้ตัวเองจะไม่ใช่พวกมีความมั่นอกมั่นใจมาแต่แรกแต่ฉันก็คิดว่าตัวเองนั้นหน้าตาดีในระดับนึงเลยล่ะ

    ขนาดเบ้าหน้าพระราชทานของพี่ก้องยังดูดีขนาดนั้น ฉันที่เป็นน้องสาวคลานตามกันมาก็ต้องดูดีไม่แพ้เขาอย่างแน่นอน

    “นี่นับชอบเขามากเลยนะ รู้ตัวป่าว” มิเกลถึงขั้นลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียงแล้วมองมายังฉันอย่างแปลกใจ

    “ขนาดนั้นเลยหรอ” ฉันลุกขึ้นนั่งบ้าง

    “ก็ใช่น่ะสิ เกลไม่เคยเห็นนับเป็นแบบนี้เลย นับดูคิดมากเอามาก ๆ” มิเกลเอ่ยอย่างเป็นห่วงพร้อมกับยื่นมมือมากุมมือฉันไว้ “นับชอบใครบอกเกลได้ เกลจะใช้อำนาจของพี่มิคไปทำให้คนคนนั้นรับรักนับดาวคนนี้ให้ได้เลย”

    ยัยเกลพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ โถ...สาวน้อย ช่างไม่รู้อะไรซะแล้วว่าคนคนนั้นก็คือพี่มิคของเธอนั่นแหละ

    “ถ้าไม่กล้าบอกพี่ก้อง บอกเกลแค่คนเดียวก็ได้ เกลช่วยนับได้”

    “ช่วยบังคับเขาน่ะหรอ” ฉันถามแล้วขำพรืดออกมาให้กับความคิดของมิเกล

    “ก็ใช่น่ะสิ กล้าดียังไงมาปฏิเสธเพื่อนรักของมิเกล ไม่รู้ซะแล้วว่าพี่ชายของฉันนั้นน่ากลัวแค่ไหน”

    รู้แล้วว่าเขาน่ากลัว แต่เธอช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอกนะมิเกล

    “ขอบใจมากนะเกล นับดีขึ้นมากแล้วล่ะ”

    การได้คุย ได้ระบายให้ใครสักคนฟังด้วยมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เองสินะ ที่ผ่านมาฉันเก็บงำความรู้สึกนั้นเอาไว้คนเดียวมาตลอด มันเลยเหมือนไม่ได้ระบายออกมาบ้างจนอึดอัดใจไปหมด พอได้พูดแล้วก็รู้สึกดีขึ้น

    “จะไม่บอกกันจริง ๆ หรอว่าใคร” มิเกลถามอย่างใคร่รู้ ยัยเพื่อนคนนี้ก็เป็นสายเผือกเหมือนกับฉันด้วยสินะเนี่ย

    “ไม่บอกหรอก” ฉันยักคิ้วอย่างกวน ๆ ก่อนจะมุดตัวลงนอนใต้ผ้าห่ม

    “แต่เกลพูดจริงนะ ลองจีบดูสักครั้งไม่เสียหาย”

    คำพูดของมิเกลจบลงแค่นั้นพร้อมกับความคิดของฉันที่ได้เริ่มต้นขึ้นใหม่อีกครั้ง

    -----------------------------------------------------------

    - (ทอล์ก 100%)

    ตอนนี้มีแต่คนสาปส่งพี่มิคแน้ววว 55555555555

    เนื้อเรื่องที่อ่านมาถึงตอนนี้จะอยู่ที่ 10% ของแล้วนะคะ ตอนนี้เค้าปั่นต้นฉบับไปได้เกือบ 50% แล้ว อีก 3 วันจะเปิดพรีนิยายแล้วเช่นกันคงได้อัปให้อ่านกันค่ะ เป็นเรื่องแรกที่เปิดพรีหลังจากอัปไปแค่ 10% เอง 5555 ปกติเค้าจะอัปถึง 30% ถึงจะเปิดพรี แต่เรื่องนี้เป็นเซตคู่ด้วย และเป็นเล่มแรกของปีด้วยค้าบ ฝากติดตามผลงานของเค้าด้วยน้า รับรองว่าพี่มิคเวลาคลั่งรักน้องนับดาวคือน่ารักมาก พี่มิคจะเป็นประเภทปากก็บอกไม่คิดอะไรแต่มือไวยิ่งกว่าอะไรดี หวงแรง หึงแรงด้วย >< แอร๊ยยยยย

    - (ทอล์ก 80%)

    พี่มิคไม่ค่อยพูดกับน้องนับเท่าไหร่ แต่พูดด้วยแต่ละทีคือมีแต่คำพูดเจ็บ ๆ ทั้งนั้น สงสารลูกสาวววววว

    - (ทอล์ก 60%)

    ปฏิเสธเขาแล้วยังจะมีน้ำใจซื้อข้าวมาฝากเขาอีก อิพี่มิค! 

    อีกไม่กี่วันจะเปิดพรีนิยายแล้วววว ตื่นเต้นมากเลยค่าา เป็นครั้งแรกที่เปิดพรีนิยายหลังจากอัปไปได้แค่ไม่กี่บทเอง ฝากหนับหนุนพี่มิคน้องนับดาวด้วยนะคะ ><

    ปล.ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ที่คอยเมนต์ให้กันอยู่ตลอดน้าา เค้าอ่านทุกเมนต์เลย ไว้เป็นกำลังใจเวลาเหนื่อย ๆ ค่า ได้อ่านแล้วหายเหนื่อยจริง ๆ คอมเมนต์คือพลังชีวิตของนักเขียนจริง ๆ ค่าา

    - (ทอล์ก 40%)

    เขาจะตัดใจแล้วยังจะมาปลดกระดุมเสื้ออ่อยเขาอีก

    - (ทอล์ก 20%)

    พี่มิคมาอีกแล้ววววววววว พ่อคนไม่ชอบแมวววววว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×