ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SET MY NIGHT | หลงรัก ได้ใจ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 พยายาม (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.93K
      390
      11 ม.ค. 65


    บทที่ 3

    พยายาม

     

    ว่ากันว่าหากเราต้องการสิ่งใดมาก ๆ เรามักจะไม่สมหวังเพราะพระเจ้ามักจะกลั่นแกล้งคนที่มีความมุ่งมั่นและพยายามเสมอ กลับกัน...หากเราไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นแล้วมันจะมาอยู่ตรงหน้าเราอย่างง่ายโดยไม่ต้องร้องขอ

    “ให้นับหรอคะ” ฉันยืนมองบัตรคอนเสิร์ต DS แถวด้านหน้าสุดที่ได้มาอย่างงุนงง

    “ใช่ พี่จำได้ว่าเพื่อนน้องนับชอบมือกีตาร์วงนี้ พอดีได้มาสองใบ พี่ให้ไปเลย”

    “พี่ซอว์ได้มายังไงหรอคะ”

    “เขาจ้างพี่ไปเป็นตากล้องเก็บภาพบรรยากาศเลยแถมบัตรมาให้ด้วยสองใบ”

    อ๋อ...เป็นแบบนี้เองสินะ

    ฉันที่ตอนแรกพยายามดั้นด้นไปขอพี่มิคแทบตายจนมิเกลต้องทะเลาะกับเขากลับไม่ได้ มาได้เพราะพี่ซอว์เอาให้เสียดื้อ ๆ ซะงั้น

    ไอ้เรื่องอยากได้มันก็อยากได้อยู่หรอก แต่ฉันเพิ่งพูดประชดพี่มิคไปเรื่องที่มันจะเอาเปรียบคนไปต่อคิวซื้อบัตรนี่แหละ เหมือนมีชนักติดหลังเลยแฮะ ไม่กล้ารับไว้เลยจริง ๆ

    “ถือว่าเป็นของปลอบขวัญที่โดนกิ่งไม้ขูดแขนเป็นทางยาว”

    ตอนที่พี่ก้องทำแผลให้เสร็จพี่ซอว์ก็ยื่นมันมาให้ฉันทันที นี่คงไม่ได้มีตาทิพย์รู้เห็นหรอกนะว่าฉันอยากได้มากอะ

    “ขอบคุณมากนะคะพี่ซอว์ ที่จริงเอาใบเดียวก็ได้ค่ะ เพื่อนนับจะไปแค่คนเดียว” ฉันบอกแล้วยื่นบัตรคืนพี่ซอว์ไปหนึ่งใบ

    “ไม่เป็นกับเพื่อนเราหน่อยหรอ”

    “นับไม่ดูอะไรอย่างนี้หรอก” พี่ก้องตอบแทนก่อนจะเก็บของเข้ากล่องปฐมพยาบาล

    “เปิดหูเปิดตาน่า”

    “ไปให้คนเขาเหยียบหรือไง ตัวก็แค่นี้”

    “พี่ก้อง!” ฉันมองเขาตาเขียว นี่เป็นห่วงหรือหลอกด่าเนี่ย

    “ก็ตัวแค่นี้จริง ๆ” พี่ก้องยีหัวฉันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วออกแรงกดเล็กน้อย

    “เนี่ย นับจะไม่โตเพราะพี่ก้องนี่แหละ มาปิดกั้นส่วนสูงที่กำลังงอกของนับได้ยังไง”

    “โห...อายุเท่านี้แล้วยังจะสูงได้อีกหรอ” พี่ซีนเอ่ยแซวอย่างเอ็นดู

    “โหย...ไม่คุยด้วยแล้วค่ะ นับจะไปดื่มนม นับจะสูง สูงกว่านี้เลยคอยดู”

    ในกลุ่มเพื่อนฉันว่าฉันสูงน้อยที่สุดแล้วล่ะ ขนาดยัยมิเกลยังสูงกว่าฉันเลย หุ่นแบบนี้มันน่าอิจฉาจริง ๆ

    “เอาเป็นว่านับเก็บไว้สองใบเถอะ เผื่อเปลี่ยนใจอยากไปดู”

    “งั้น...นับเอาไปขายอัปราคาดีกว่าค่ะ” ฉันพูดติดตลกอย่างคึกคะนอง

    “อะแฮ่ม!” แต่ดันลืมไปว่าคนจัดงานดันอยู่ตรงนี้ด้วย

    “พูดเล่นค่ะ” ฉันยิ้มแหย ๆ ให้เขาก่อนจะโดนสายตาเชือดเฉือนมองมาอย่างเอาเรื่อง นี่คนหรือหมาเนี่ย ดุจังเลย

    “จริงสิ ไอซีนบอกว่าเกลมาหาพี่งั้นหรอ มีอะไรหรือเปล่า” จู่ ๆ พี่ก้องก็ถามขึ้นนั่นทำให้คนถูกถามเลิ่กลั่กทันที

    ถึงมิเกลจะโกรธพี่มิคแค่ไหนแต่ยัยนั่นก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรที่ทำให้ผู้ชายสองคนทะเลาะกันหรอกนะ

    เห็นแบบนี้ยัยนี่ก็แคร์พี่มิคอยู่เหมือนกันนั่นแหละ

    “แค่จะแวะมาเจอหน้าก่อนกลับบ้านเฉย ๆ ค่ะ” มิเกลหยอดคำหวานแทนความจริง

    “ฮิ้วววว” และนั่นก็ส่งผลให้ทั้งคู่โดนแซวทันที

    แต่พี่ก้องกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเพราะเขามองเลยไปยังพี่มิคที่ยืนพิงผนังอยู่ไม่ไกล

    “งั้น...เกลกลับก่อนนะ ต้องกลับไปให้อาหารซันนี่แล้ว” มิเกลเอ่ยลาเมื่อเห็นว่าพี่ก้องจ้องมองไม่วางตาเลย

    “ไว้พี่จะโทรหา” เขาบอกมิเกลแค่นั้นก่อนที่มิเกลจะเป็นฝ่ายเดินออกไป

    ฉันมองตามหลังทั้งคู่ก่อนจะกำผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดของพี่มิคเอาไว้แน่น

    “นับดาว” พี่ก้องเรียกนั่นทำให้สมองที่กำลังครุ่นคิดบางอย่างวกกลับมายังปัจจุบัน

    “คะ”

    “มาที่นี่ได้ยังไง”

    “ติดรถพี่มิคมาค่ะ”

    “คราวหลังไม่ต้องมากับมิคนะ ถ้ามากับมิเกลแค่สองคน มาได้” พี่ก้องเอ่ยกำชับอย่างหนักแน่น

    “พี่ก้องคิดมากไปหรือเปล่าคะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเพราะไม่อยากให้พี่ก้องไม่สบายใจ

    “พี่รู้ว่ามิคาเอลไม่ค่อยพอใจพี่เท่าไหร่ ถึงจะไม่เท่าเมื่อก่อนแต่พี่ก็เป็นห่วงกลัวว่ามันจะเอาความไม่พอใจมาลงที่เรา”

    “นับเป็นเพื่อนเกลนะคะ พี่มิคไม่ทำอะไรหรอก อีกอย่าง...นับกับพี่มิคเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นค่ะ พี่ก้องไม่ต้องเป็นห่วง”

    มันเป็นความจริงที่ฉันเองก็ต้องยอมรับให้ได้ด้วยเช่นกัน

    เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น...ฉันต้องยอมรับความจริง

    “พี่รักนับมากนะ นับเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของพี่” เขาดึงฉันเข้าไปกอดอย่างหวงแหนนั่นยิ่งตอกย้ำว่าฉันห้ามทำให้พี่ก้องเสียใจเป็นอันขาด

    ความรักที่เขามอบให้น่ะมันเพียงพอสำหรับฉันแล้วล่ะ ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาจากใครที่ไหนอีกแล้ว

     

    วันต่อมา

    “อะนี่” ฉันยื่นบัตรคอนเสิร์ต DS ให้กับยัยส้ม

    “ฮื้อ...คิดไว้ไม่มีผิดว่าแกต้องได้มาจริง ๆ” ยัยส้มรับไปด้วยท่าทางดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ดีใจจนแทบจะกลืนบัตรนั่นลงท้องไปแล้วมั้ง

    “กว่าจะได้มา ลำบากมากรู้ไหม”

    ฉันต้องไปทนเห็นพี่มิคอยู่กับยัยน้ำตาลแล้วไหนจะต้องมาทนฟังคำพูดรุนแรงของเขาอีก แกต้องบูชาฉันไว้เลยนะยัยส้ม

    “ขอบคุณน้านับดาวเพื่อนรัก” ยัยส้มเข้ามากอดฉันอย่างซาบซึ้ง

    “โอ๊ย” ฉันร้องออกมาเพราะแขนของยัยนั่นมาโดนแผลที่แขนของฉัน

    “โทษที ๆ ไม่ทันระวัง” ส้มผละออกก่อนจะมองดูแผลที่แขนของฉันด้วยความเป็นห่วง “มันลึกมากไหมนับ”

    “ไม่มาก แต่มันแสบ ๆ อะ”

    “ไปหาหมอหรือยัง” มาหยาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม

    “เมื่อวานพี่ก้องพาไปแล้วล่ะ” หลังจากทำแผลให้ฉันแล้วพี่ก้องยังไม่สบายใจจึงพาฉันไปหาหมอเพื่อเช็กดูอาการอีกที

    คุณหมอบอกว่าแผลไม่ลึกมากแต่ก็ต้องเช็ดทำความสะอาดทุกวัน

    “งั้นก็ค่อยหายห่วงหน่อย”

    พอทั้งสองคนรู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บก็ดูตกใจมากแถมยังเข้ามาขอดูแผลกันไม่หยุดเลย แต่ภาพแบบนี้ฉันเห็นจนชินตาแล้วแหละเลยไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของทุกคนมันดูเกินไปเลยสักนิด

    ครืด ๆ

    ขณะนั่งคุยกับเพื่อนอยู่โทรศัพท์ของฉันก็มีสายเข้า ฉันกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อปรากฏบนหน้าจอ

    “ค่ะพี่ซอว์”

    [นับอยู่ไหน] เสียงปลายสายดังขึ้นแข่งกับเสียงดนตรีที่ดังมาก

    “นับอยู่คณะค่ะ พี่ซอว์มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    [บัตรอีกใบที่พี่ให้นับไป นับให้ใครหรือยัง]

    “ยังเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะเอาให้ใคร”

    [งั้นพี่ขอคืนได้ไหม พอดีเพื่อนพี่มันอยากได้พอดี นับเอามาด้วยหรือเปล่า]

    “เอามาค่ะ” โชคดีนะเนี่ยที่ฉันเอาบัตรมาให้ยัยส้มเลยได้เอามาด้วยทั้งใบ “เดี๋ยวนับเอาไปให้ที่ชมรมตอนเย็นนะคะ”

    [นับสะดวกตอนนี้ไหม พอดีเพื่อนพี่มันรีบ]

    “ได้ค่ะ ตอนนี้พี่ซอว์อยู่ไหนหรอคะ เดี๋ยวนับเอาไปให้”

    [ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปเอากับเราเอง...ซอว์มาดูตรงนี้หน่อย] ยังไม่ทันได้พูดจบพี่ซอวก็เหมือนถูกเรียก [แป๊บนะนับ]

    เขาพูดกับฉันแค่นั้นแล้วก็ได้ยินเสียงที่ดังมาก ๆ มาจากทางของเขา จากนั้นก็ได้ยินเหมือนคุยอะไรกันก็ไม่รู้ ฟังไม่ได้ความเลย

    [นับมาหาพี่ที่ตึก 2 คณะวิศวะหน่อยนะ พอดีพี่ยุ่งมากเลย] หลังจากที่ค้างสายฉันไว้พี่ซอว์ก็กลับมา [โทษทีนะ]

    “ไม่เป็นไรค่ะ นับจะไปเดี๋ยวนี้เลย”

    ความใจดีของพี่ซอว์ที่มีต่อฉันมันทำให้ไม่อยากรบกวนเขามากกว่านี้แล้ว ถ้าอะไรที่ฉันพอทำให้ได้ฉันก็จะทำ

    เราจบบทสนทนากันแค่นั้น ฉันรีบเก็บของเข้ากระเป๋าท่ามกลางเพื่อนทั้งสองที่มองมา

    “ฉันจะไปคณะวิศวะแป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา”

    “ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” มาหยาเอ่ยถามแล้วทำเหมือนจะลุกขึ้นยืน

    “ไม่เป็นไร นับไปแป๊บเดียว”

    ฉันบอกเพื่อนแค่นั้นก่อนจะรีบสะพายกระเป๋าแล้วพุ่งตรงมายังด้านหลังคณะเพื่อจะใช้เส้นทางลัดไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ ถึงจะไม่อยากไปเท่าไหร่แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ยังไงโลกก็ไม่กลมถึงขนาดไปเจอพี่มิคที่นั่นหรอกมั้ง พี่ซอว์กับพี่มิคไม่ได้สนิทกันสักหน่อย ถึงจะเรียนคณะเดียวกันแต่พวกเขาแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ

    เมื่อเดินมาได้สักพักฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้เก็บบัตรคอนเสิร์ตมาด้วยหรือเปล่าเพราะก่อนหน้านี้เอามันออกไปให้ยัยส้มแล้วอาจจะเผลอวางไว้บนโต๊ะก็ได้

    ฉันหยุดเดินแล้วควานบัตรใบนั้นในกระเป๋าอย่างลนลานเพราะค่อนข้างเดินมาไกลแล้ว หากต้องย้อนกลับคงได้เหนื่อยหอบกันพอดี

    อ๊ะ! เจอแล้ว!

    ฉันสัมผัสได้เหมือนเจอบัตรดังกล่าวแต่พยายามดึงออกมาเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมออกมาสักทีเพราะติดกับของที่ของอยู่ในกระเป๋า

    โอ๊ย...อะไรกันเนี่ย คนยิ่งเจ็บแผลที่แขนอยู่ด้วย ยังจะเอาออกมายากเย็นแสนเข็ญอีก

    ด้วยความหงุดหงิดฉันเลยดึงมันออกมาแรง ๆ กะให้หลุดออกมาแล้วจะถือเอาไว้เลย แต่คงกะแรงมากไปมันเลยทำให้พวงกุญแจที่อยู่ใกล้กับบัตรนั้นออกมาด้วย แถมยังกระเด็นไปตกตรงตะแกรงท่อระบายน้ำอีก โชคยังดีที่มันไม่ได้ตกลงไปด้านล่างเพราะพวงกุญแจนั้นยังเกี่ยวอยู่กับตะแกรงเหล็กอย่างหมิ่นเหม่

    กึก!

    เกร๊ง!

    แต่ฉันดีใจได้ไม่ทันไรก็ต้องเกือบร้องตะโกนออกมาเพราะจู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านตรงนี้อย่างพอดิบพอดี เขาเหยียบเข้ากับตะแกรงท่อระบายน้ำส่งผลให้ตะแกรงเหล็กนั้นสะเทือนจนพวงกุญแจน้อย ๆ ของฉันที่เกาะอยู่ในตอนแรกตกลงไปในท่อระบายน้ำเข้าจนได้

    ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนที่ทำให้พวงกุญแจฉันตกลงไป เจ้าตัวเองก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างจึงชะงักฝีเท้าแล้วละสายตาจากไอแพดที่ถืออยู่ในมือลงไปยังด้านล่างตรงที่ตัวเองยืนอยู่

    ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉัน สายตาที่มองมาดูไม่สบอารมณ์เอาซะเลย

    เป็นพี่มิคอีกแล้ว ในช่วงที่ฉันไม่อยากจะเจอและพยายามจะตัดใจเขาก็มักจะโผล่หน้ามาให้เห็นทุกครั้งเลย

    ฉันที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่วิ่งไปก้มดูพวงกุญแจพวงนั้นอย่างเสียดาย ยังไงฉันก็ต้องเอามันขึ้นมาให้ได้เพราะนั่นมีทั้งกุญแจบ้าน กุญแจคอนโดของพี่ก้อง แล้วไหนจะบ้านพักตากอากาศอีก

    “อะไรตกลงไป” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่มักทำให้ฉันใจเต้นทุกครั้งที่ได้ยินก่อนจะขยับปลายเท้าออกจากตะแกรงเหล็ก

    “พวงกุญแจค่ะ” ฉันตอบพลางพยายามดึงตะแกรงนั้นขึ้น แต่ใช้แรงเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับเลยสักนิด

    นี่ฉันแรงน้อยขนาดนั้นหรือตะแกรงบ้านี่มันหนักเกินไปเนี่ย

    “เฮ้อ...” ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาจากคนเบื้องบนก่อนที่เขาจะย่อตัวลงมานั่งในระดับเดียวกันกับฉัน

    พี่มิคจ้องลงไปยังด้านล่างด้วยสายตาแน่วแน่ก่อนที่เขาจะวางไอแพดไว้แล้วจับตะแกรงเหล็กนั่น

    นี่เขาจะช่วยฉันใช่ไหม ถึงนี่จะเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่งแต่ฉันก็ไม่คิดจะโทษพี่มิคหรอกนะ

    “นับช่วยค่ะ” ฉันบอกอย่างแข็งขันก่อนแล้วจับตะแกรงเหล็กอีกฝั่ง

    พี่มิคมองมาอย่างดูแคลนก่อนจะพ่นคำพูดทำร้ายจิตใจกันอีกครั้ง “แรงเท่ามด”

    “แต่มันหนักมากนะคะ พี่มิคยกคนเดียวไม่ไหวหรอก” ฉันลองยกมาแล้ว มันหนักมาก ๆ เลย

    “ปล่อย” เขาไม่ฟังคำเตือนฉันแถมยังมองด้วยสายตาดุ ๆ อีก

    ฉันจำยอมปล่อยอย่างเลือกไม่ได้เพราะพี่มิคไม่ชอบคนที่ไม่เชื่อฟังเขา

    เฮอะ ฉันจะคอยดู ถ้ายกไม่ได้แล้วหน้าแหกขึ้นมานับจะไม่หัวเราะพี่มิคหรอกนะ นับสัญญาด้วยเกียรติของยุวกาชาดค่ะ

    พรึ่บ!

    แต่สิ่งที่ฉันคิดไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะพี่มิคยกเจ้าตะแกรงที่หนักมากนั่นถึงได้ด้วยท่าทางสบาย ๆ

    เขาวางมันลงข้าง ๆ แล้วก้มลงไปเก็บพวงกุญแจขึ้นมาก่อนจะวางมันตรงหน้าฉันแล้วยกตะแกรงอันเดิมมาปิดอย่างง่ายดาย

    ฉันอ้าปากค้างอย่างงุนงงเพราะไม่คิดว่าพี่มิคจะยกมันได้ง่ายขนาดนี้

    สรุปคือตะแกรงเหล็กไม่ได้หนักแต่ฉันแรงเท่ามดอย่างที่เขาบอกจริง ๆ สินะ

    แง...คนที่หน้าแหกกลับเป็นฉันซะอย่างนั้น

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันหยิบพวงกุญแจมาถือไว้ด้วยความรู้สึกตื้นตัน

    สำหรับคนที่ชอบแค่เขาทำอะไรให้นิดหน่อยเราก็จะมองว่านั่นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นสินะ

    ตึกตัก ๆ

    ฉันใจเต้นกับเขาอีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ไหนบอกจะเลิกชอบไงยัยนับดาว

    พี่มิคไม่ได้มีปฏิกิริยากับคำขอบคุณของฉันแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่หยิบไอแพดขึ้นมาแล้วเตรียมจะเดินจากฉันไปด้วยซ้ำ

    “พี่มิคคะ” ฉันร้องเรียกเขาไว้ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะได้เดินออกไปซะอีก เขาหันกลับมามองแต่ไม่ได้พูดอะไร “นับมีของจะคืนค่ะ”

    ว่าแล้วฉันก็รีบควานหาของในกระเป๋าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นั้นหาง่ายเพราะฉันนำมันใส่ซองพลาสติกใสมาอย่างดี

    “ขอบคุณสำหรับผ้าเช็ดหน้านะคะ” ฉันยื่นผ้าเช็ดหน้าราคาแพงกลับคืนให้พี่มิค

    ฉันตั้งใจซักมันด้วยใจ แม้จะเจ็บแผลที่แขนแต่ฉันก็อยากซักเองกับมือ แถมยังแอบซักตอนที่พี่ก้องไม่อยู่ด้วยนะ

    ผ้าผืนนี้ไม่ได้แช่น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรเลยเพราะพี่มิคไม่ชอบที่กลิ่นมันฉุน 

    “ไม่เป็นไร ทิ้งมันไปเถอะ” แต่คำตอบกลับของเขาราวกับโดนค้อนตีแสกกลางใจ “ไม่เห็นต้องมาคืนเลย”

    “แต่มันราคาค่อนข้างแพง” ฉันยกเอาเรื่องราคามาอ้างแทนความตั้งใจจริงของฉัน

    ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะไม่ได้สำคัญอะไรกับพี่มิคด้วยซ้ำ ในขณะที่ฉันมัวแต่คิดไปเองว่านี่คือของที่มีค่า เขาอุตส่าห์ใช้มันเพื่อซับเลือดให้กับฉัน ฉันควรจะทำความสะอาดแล้วนำส่งคืนเขาในสภาพเดิม แต่เจ้าของกลับบอกให้ทิ้งไปราวกับไม่ใยดี ไม่ได้เห็นอยู่ในสายตา

    “ไม่เท่าไหร่หรอก” ดูเหมือนเขาจะยังยืนยันให้ฉันทิ้งไปอยู่ดีสินะ

    หรือเป็นเพราะเขาเห็นว่ามันเปื้อนเลือดของฉันแล้วเลยไม่อยากจะใช้ต่อก็ได้ พี่มิคอาจจะรังเกียจ เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรเอามันมาคืนเขาด้วยซ้ำสินะ

    “งั้น...เดี๋ยวนับเอาไปทิ้งให้ก็แล้วกันค่ะ” ฉันเก็บผ้าเช็ดหน้านั้นคืนก่อนจะฝืนยิ้มให้กับเขา

    พี่มิคพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป แม้เส้นทางที่เขาเดินไปจะเป็นทางเดียวกับที่ฉันจะไปด้วยพอดีแต่ฉันกลับก้าวขาไม่ออก รู้สึกเหมือนไม่อยากเดินเข้าไปใกล้เขาอีกแล้ว ฉันคงต้องรักษาระยะห่างเพื่อให้เขาเดินไปไกลมากกว่านี้ ห่างจากฉันมากกว่านี้

    ....แล้วฉันค่อยเดินตามไปทีหลังก็แล้วกัน

     

    “ขอบคุณมากนะ” พี่ซอว์กล่าวอย่างใจดีก่อนจะมองแผลที่แขนของฉัน “มันไม่ลึกมากใช่ไหม ไอ้ก้องบอกว่าพาเราไปหาหมอแล้ว แต่พี่ก็เป็นห่วงอยู่ดี”

    “ไม่มากค่ะ พี่ซอว์สบายใจได้” ฉันบอกแล้วยิ้มให้อย่างร่าเริง “ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

    “งั้นก็ดีแล้วล่ะ” เขายกมือขึ้นมาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู

    “นี่พี่ซอว์ก็มาช่วยงานของคณะด้วยเหมือนกันหรอคะ” ฉันถามเพราะตอนนี้พี่ซอว์นั้นกำลังวุ่นอยู่กับการดูวง DS ซ้อมดนตรีกันอยู่ ใกล้จะถึงวันงานแล้วก็คงซ้อมหนักกันน่าดู

    “ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก พี่ทำหน้าที่เป็นตากล้องตามที่เขาจ้างแค่นั้นแหละ แต่ที่มาดูวันนี้เพราะว่าไอ้เบสเพื่อนที่มันเป็นมือกลองของวง”

    อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะได้เจอกับวง DS ล่ะก็...ฉันให้ยัยส้มมาด้วยซะก็ดีหรอก ยัยนั่นจะต้องดีใจแน่ ๆ เลยที่ได้เห็นพี่วินในระยะประชิดแบบนี้

    “จะกลับเลยไหม” พี่ซอว์ถามหลังจากที่เรายืนคุยกันมาสักพัก ฉันจึงพยักหน้าให้เพราะกลัวว่าจะเจอพี่มิคเข้าซะก่อน “งั้นรอพี่แป๊บนึงนะ”

    พี่ซอว์ปลีกตัวออกไปทิ้งให้ฉันยืนรออยู่แถวหน้าประตูห้องประชุม เขาหายเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงเวที

    ห้องนี้น่าจะเป็นห้องซ้อมเพราะไม่น่าใช่ห้องแสดงจริงเนื่องจากบริเวณมันไม่กว้างเท่ากับที่เห็นในผัง

    ถึงกับได้ห้องประชุมใหญ่ของตึกเป็นห้องซ้อมดนตรี งานนี้ดูท่าจะไม่ธรรมดาซะแล้วสิ แต่คนที่ไม่ธรรมดาคงเป็นพี่มิคมากกว่า เขาน่ะทำได้ทุกอย่างถ้าต้องการ

    ขณะที่กำลังยืนรอพี่ซอว์อยู่นั้นฉันก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดมาจากด้านนอกประตูราวกับมีคนกลุ่มคนมายืนออแล้วส่งเสียงอยู่ตรงนั้นเลย

    และเสียงก็ดังขึ้นเมื่อประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่โผล่เข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

    ทันทีที่เห็นเขาฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าต้นเหตุสาจากเสียงเหล่านั้นคืออะไร ฉันแอบมองลอดจังหวะที่เขาปิดประตูก็พบว่ามีผู้หญิงหลายคนยืนอออยู่ตรงด้านนอกเต็มไปหมด

    ตอนฉันมาไม่เห็นมีเลย

    ฟึ่บ!

    พอปิดประตูลงคนที่เข้ามาใหม่ก็หันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรทั้งสิ้น

    ช่างเย็นชาเหลือเกินนะ ทักกันหน่อยก็ไม่ได้

    แต่ไม่ทันได้พูดอะไรเสียงประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งแล้วตามมาด้วยร่างบางระหงที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม

    “อ้าว นับดาว” เธอหันมาเห็นฉันพอดี

    “หวัดดีน้ำตาล” ฉันยกมือทักทายตามมารยาท

    ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอมากับพี่มิค ชายผู้แสนเย็นชากับฉันเหลือเกิน

    เขารู้หรอว่าฉันชอบ ทำไมถึงได้ทำตัวห่างเหินกับฉันขนาดนี้ มันดูมากเกินไปกว่าปกติ กับคนอื่นพี่มิคนั้นปกติมาก เพื่อนของมิเกลทุกคนพี่มิคใจดีด้วยหมดเลย มีเพียงแค่ฉันเท่านั้นที่เขาเย็นชาและมองผ่านราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา

    เขาไม่ได้ทำทีเป็นรังเกียจหรือแสดงออกว่าไม่ชอบฉันเลยนะ แต่สิ่งที่เขาทำคือมองฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ

    ...หรือเพราะฉันเป็นน้องสาวของพี่ก้องเลยทำแบบนี้

    “นับดาวมาทำอะไรที่นี่หรอ” เธอถามพร้อมกับใช้มืออีกข้างเอื้อมไปจับมือของพี่มิคเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาเดินนำไปก่อน

    ทำไมทำแบบนั้นล่ะ เธอดูออกหรอว่าฉันชอบพี่มิค หรือทำเพราะแสดงความเป็นเจ้าของเนื่องจากกลัวว่าจะมีคนมาแย่งไป

    ไม่ต้องห่วงหรอกน้ำตาล พี่มิคเขาไม่เห็นค่าของฉันด้วยซ้ำ เธออย่าคิดมากนักเลย

    “เรามาหาพี่...”

    “นับ เสร็จละ ไปกัน” ในตอนที่กำลังจะตอบพี่ซอว์ก็เดินกลับมาพอดี

    พอเขาเห็นพี่มิคกับน้ำตาลก็ทำเพียงแค่มองเท่านั้น ไม่ได้ทักทายอะไร

    “นับกลับเองได้ค่ะ” ฉันบอกเขาเพราะดูเหมือนพี่ซอว์จะลำบากที่ต้องส่งฉันที่คณะ

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง ข้างนอกคนเยอะ เราตัวแค่นี้เบียดออกไปไม่ไหวหรอก” เขาบอกอย่างใจดี พี่ซอว์เป็นพี่ชายที่อบอุ่นเสมอเลย “เดี๋ยวโดนเขาเหยียบ”

    “พี่ซอว์ล้อนับอีกแล้วนะคะ” ฉันทำปากยู่อย่างขัดใจและสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะพร้อมกับมือที่ยื่นมายีหัวฉันเล่นอย่างเอ็นดู

    คนชอบล้อเรื่องส่วนสูงฉันจริง ๆ เลย ฉันว่าตัวเองก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นนะ แต่เพราะอยู่ท่ามกลางดงมะพร้าวต่างหากฉันเลยกลายเป็นเด็กตัวแค่นี้

    “ไปกัน” พี่ซอว์ดันหลังฉันให้เดินออกไปยังอีกประตูฝั่งนึงโดยไม่ได้เอ่ยร่ำลาพี่มิคกับน้ำตาลเลย

    เพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเลยหันไปหาทั้งสองคนแล้วโบกมือลา

    “ไว้เจอกันนะ” ฉันยิ้มให้น้ำตาลและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่มิคเป็นฝ่ายเดินนำเธอเข้าไปยังด้านในอีกที

    ทุกอย่างมันก็ชัดเจนแล้ว ดังนั้นฉันจะต้องเตือนตัวเองอีกครั้งว่าให้ตัดใจ มันก็แค่ความชื่นชอบและหลงใหลเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางเป็นได้มากกว่านี้แล้ว ถ้าฉันยังอยู่ที่เดิมแล้วถลำลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนยากจะถอนตัวล่ะก็...ฉันคงจะเจ็บปวดใจไม่น้อยเลย

     

    [Michael talks]

    “นับดาวน่ารักจังเลยนะคะ” น้ำเสียงเซ็กซี่นั้นเอ่ยขึ้นตอนที่เรามานั่งพักกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องประชุม “ขนาดน้ำเป็นผู้หญิงยังรู้สึกชอบเลย”

    ผมไม่ได้มีคำพูดโต้ตอบใด ๆ ออกไปก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมาเพื่อทำงานต่อ

    “ตัวเล็ก ๆ นุ่มนิ่มเหมือนกับแมวเลย”

    ผมเกลียดแมว...

    มิเกลชอบเอาแมวไอ้ก้องมาเลี้ยงที่ห้อง เข้าไปเจอทีไรเป็นต้องได้เปิดศึกกับแมวของมันทุกที ไอ้แมวอ้วนนั่นก็รู้ว่าผมไม่ชอบยังจะวิ่งเข้ามาหาอีก พอขึ้นเสียงเข้าหน่อยมิเกลก็มักจะหาว่าผมใจร้ายอยู่เสมอทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

    “ใครเห็นก็ต้องเอ็นดูทั้งนั้น แต่ดูเหมือนจะมีแฟนแล้วนะคะ ผู้ชายคนนั้นก็ดูดีไม่เบาเลย เหมือนจะเป็นเพื่อนของพี่ชายเธอด้วย”

    “พูดจบหรือยัง ฉันจะทำงาน” ผมหันไปมองคนข้างตัวด้วยสีหน้าตำหนิ

    “ทำไมพี่มิคดูไม่ได้สนิทกับนับดาวเลยล่ะคะ เห็นเพื่อนคนอื่น ๆ ของมิเกลพี่มิคก็ดูพูดคุยกันดีนี่นา”

    “ฉันจำเป็นต้องสนิทกับเพื่อนของน้องสาวฉันทุกคนเลยหรือไง” ขืนเป็นแบบนั้นมีหวังปวดหัวตายกันพอดี

    ผมก็คนมีการมีงานทำนะ ไม่ได้มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องพวกนี้ขนาดนั้นหรอก

    “แต่น้ำว่านับดาวก็เป็นเด็กที่น่ารักคนนึงนะคะ”

    “น้ำตาล” ผมเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งราวกับรู้ความผิด “ข้อตกลงของเราคืออะไร ฉันไม่ชอบผูกมัดและไม่ชอบให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว”

    ผมมองออกว่าเธอกังวลเรื่องของนับดาวจึงได้พยายามเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามอยู่แบบนี้ แต่มันก็แค่ความกังวลเพราะมันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ

    “ถ้าเธอกังวลเรื่องผู้หญิงของฉันล่ะก็...มั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่เด็กคนนั้น”

    น้ำตาลไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่เข้ามาติดพันผม เธอก็แค่คือหนึ่งในผู้หญิงที่เข้าหาผมเท่านั้น

    ทุกคนรู้ดีว่าผมขี้เบื่อ เมื่อได้พบก็ต้องจาก เธอคงกังวลว่าหากต้องจากกันแล้วใครจะเป็นคนต่อไปที่ได้มาอยู่เคียงข้างผมในที่ที่เธอยืนอยู่

    “น้ำตาลก็แค่...”

    “พอ ฉันจะทำงาน ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว” ผมบอกปัดเพราะไม่อยากฟังเรื่องนี้อีก

    “งั้นน้ำกลับก่อนก็ได้ค่ะ แต่ว่าคืนนี้...”

    “เดี๋ยวฉันไปหาที่ห้อง” ผมบอกแค่นั้นโดยไม่ละสายตาจากไอแพด

    “น้ำจะรอนะคะ” เธอโน้มใบหน้าเข้ามาจุ๊บแก้มผมก่อนจะผละออกไป

    คล้อยหลังเธอแล้วไอ้วินที่เป็นเพื่อนสนิทของผมก็โผล่หน้าเข้ามาอย่างรู้งาน

    “เบื่อแล้วล่ะสิ” มันถามผมพร้อมกับเปิดถุงขนมที่วางอยู่ข้าง ๆ

    “วันนี้ซ้อมเป็นไงบ้าง” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับ

    “ก็เรื่อย ๆ ระดับกูยังไงก็ต้องดีอยู่แล้วป่าววะ”

    “กูหมายถึงภาพรวม”

    “ก็ดี มือกลองคนใหม่ก็ใช้ได้ เก่งใช่ย่อยเลยมึง”

    “งั้นก็ฝากทางนี้ด้วยละกัน ช่วงนี้ยุ่ง ๆ นิดหน่อย” ผมบอกเพราะงานของที่บ้านยุ่งมากจริง ๆ

    “แล้วมึงจะเอาไงกับไอ้เรย์” มันเอ่ยถามถึงคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะได้ยินชื่อเท่าไหร่

    “ปล่อยมัน ตราบใดที่มันยังไม่ทำไรให้วุ่นวายกูก็จะยังไม่เอาเรื่อง”

    “ทิ้งวงให้ต้องหามือกลองคนใหม่นี่ยังไม่วุ่นวายพอหรอวะ”

    “ช่างแม่ง คนอย่างมันกูไม่เก็บมาใส่ใจหรอก”

    “แต่กูได้ยินอะไรดี ๆ มาว่ะ” ไอ้วินสายเผือกเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเชิญชวนให้อยากรู้ “มึงอยากรู้ไหม”

    “จะเล่าก็เล่ามา ลีลามากนะมึง”

    “กูได้ยินมาว่ามันตามจีบผู้หญิงคนนึงอยู่ว่ะ เห็นว่าเป็นเด็กปีหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้ารู้แล้วกูจะมาบอกมึง ให้มึงจัดการคาบผู้หญิงคนนั้นตัดหน้ามัน”

    “กูมีเวลามากมั้ง” ผมย้อนมันกลับ ไอ้นี่ชอบใช้ผมเป็นเครื่องมืออยู่เรื่อยเลย

    ทะเลาะกันในวงตัวเองแต่มักเอาผมไปเอี่ยวด้วยเสมอ

    “แค่มึงนั่งอยู่เฉย ๆ ผู้หญิงก็พร้อมจะคลานเข่าเข้าหามึงแล้วค้าบเพื่อน” มันล้อเลียนผมอย่างเกินจริง “ถ้ารู้ว่าเป็นใครนะกูจะชิ่งไปบอกน้องเขาว่ามึงสนใจ รับรองว่าเด็กคนนั้นต้องพุ่งมาที่มึงแน่ ๆ”

    ผมได้แต่ถอนหายใจให้กับความคิดบ้าบอของมัน เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำเลย ขอแค่อย่าให้ผมวุ่นวายไปมากกว่านี้ก็พอ

    [End Michael Talks]

    ----------------------------------------------------------

    - (ทอล์ก 100%)

    พี่มิคบอกว่าไม่ชอบแมวค่าทุกคนนน แมวตัวไหนกันน้าาาา

    - (ทอล์ก 80%)

    น้องจำคร่ำคราวญกับพี่เขาแค่ไม่กี่พาร์ทค่ะ หลังจากนั้นคือจะตัดใจแล้ว รอดูพี่มิคว่าถ้าน้องตัดใจแล้วจะทำยังไง!

    - (ทอล์ก 60%)

    ปากบอกไม่ค่อยอยากเจอเขาแต่ก็แอบพกผ้าเช็ดหน้าเขามาด้วยนะนับดาว เธอมันเป็นอัลไลลลล

    - (ทอล์ก 40%)

    ไม่ค่อยอยากเจอเท่าไหร่ แต่ก็ต้องไปคณะวิศวะซึ่งเป็นคณะที่พี่มิคเรียนอยู่จนได้ 5555555555555

    - (ทอล์ก 20%)

    พี่ก้องหวงน้องมากกกกกกก

    เค้าลงรายละเอียดสำหรับเปิดพรีแล้วนะคะ สามารถไปดูรายละเอียดได้ในเพจเลยน้าาาา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×