คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 พยายาม (100%)
บทที่ 3
พยายาม
ว่ากันว่าหากเราต้องการสิ่งใดมาก
ๆ เรามักจะไม่สมหวังเพราะพระเจ้ามักจะกลั่นแกล้งคนที่มีความมุ่งมั่นและพยายามเสมอ
กลับกัน...หากเราไม่ได้ต้องการสิ่งนั้นแล้วมันจะมาอยู่ตรงหน้าเราอย่างง่ายโดยไม่ต้องร้องขอ
“ให้นับหรอคะ”
ฉันยืนมองบัตรคอนเสิร์ต DS
แถวด้านหน้าสุดที่ได้มาอย่างงุนงง
“ใช่
พี่จำได้ว่าเพื่อนน้องนับชอบมือกีตาร์วงนี้ พอดีได้มาสองใบ พี่ให้ไปเลย”
“พี่ซอว์ได้มายังไงหรอคะ”
“เขาจ้างพี่ไปเป็นตากล้องเก็บภาพบรรยากาศเลยแถมบัตรมาให้ด้วยสองใบ”
อ๋อ...เป็นแบบนี้เองสินะ
ฉันที่ตอนแรกพยายามดั้นด้นไปขอพี่มิคแทบตายจนมิเกลต้องทะเลาะกับเขากลับไม่ได้
มาได้เพราะพี่ซอว์เอาให้เสียดื้อ ๆ ซะงั้น
ไอ้เรื่องอยากได้มันก็อยากได้อยู่หรอก
แต่ฉันเพิ่งพูดประชดพี่มิคไปเรื่องที่มันจะเอาเปรียบคนไปต่อคิวซื้อบัตรนี่แหละ
เหมือนมีชนักติดหลังเลยแฮะ ไม่กล้ารับไว้เลยจริง ๆ
“ถือว่าเป็นของปลอบขวัญที่โดนกิ่งไม้ขูดแขนเป็นทางยาว”
ตอนที่พี่ก้องทำแผลให้เสร็จพี่ซอว์ก็ยื่นมันมาให้ฉันทันที
นี่คงไม่ได้มีตาทิพย์รู้เห็นหรอกนะว่าฉันอยากได้มากอะ
“ขอบคุณมากนะคะพี่ซอว์
ที่จริงเอาใบเดียวก็ได้ค่ะ เพื่อนนับจะไปแค่คนเดียว” ฉันบอกแล้วยื่นบัตรคืนพี่ซอว์ไปหนึ่งใบ
“ไม่เป็นกับเพื่อนเราหน่อยหรอ”
“นับไม่ดูอะไรอย่างนี้หรอก”
พี่ก้องตอบแทนก่อนจะเก็บของเข้ากล่องปฐมพยาบาล
“เปิดหูเปิดตาน่า”
“ไปให้คนเขาเหยียบหรือไง
ตัวก็แค่นี้”
“พี่ก้อง!”
ฉันมองเขาตาเขียว นี่เป็นห่วงหรือหลอกด่าเนี่ย
“ก็ตัวแค่นี้จริง
ๆ” พี่ก้องยีหัวฉันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วออกแรงกดเล็กน้อย
“เนี่ย
นับจะไม่โตเพราะพี่ก้องนี่แหละ มาปิดกั้นส่วนสูงที่กำลังงอกของนับได้ยังไง”
“โห...อายุเท่านี้แล้วยังจะสูงได้อีกหรอ”
พี่ซีนเอ่ยแซวอย่างเอ็นดู
“โหย...ไม่คุยด้วยแล้วค่ะ
นับจะไปดื่มนม นับจะสูง สูงกว่านี้เลยคอยดู”
ในกลุ่มเพื่อนฉันว่าฉันสูงน้อยที่สุดแล้วล่ะ
ขนาดยัยมิเกลยังสูงกว่าฉันเลย หุ่นแบบนี้มันน่าอิจฉาจริง ๆ
“เอาเป็นว่านับเก็บไว้สองใบเถอะ
เผื่อเปลี่ยนใจอยากไปดู”
“งั้น...นับเอาไปขายอัปราคาดีกว่าค่ะ”
ฉันพูดติดตลกอย่างคึกคะนอง
“อะแฮ่ม!”
แต่ดันลืมไปว่าคนจัดงานดันอยู่ตรงนี้ด้วย
“พูดเล่นค่ะ”
ฉันยิ้มแหย ๆ ให้เขาก่อนจะโดนสายตาเชือดเฉือนมองมาอย่างเอาเรื่อง นี่คนหรือหมาเนี่ย
ดุจังเลย
“จริงสิ
ไอซีนบอกว่าเกลมาหาพี่งั้นหรอ มีอะไรหรือเปล่า” จู่ ๆ
พี่ก้องก็ถามขึ้นนั่นทำให้คนถูกถามเลิ่กลั่กทันที
ถึงมิเกลจะโกรธพี่มิคแค่ไหนแต่ยัยนั่นก็รู้ดีว่าไม่ควรพูดอะไรที่ทำให้ผู้ชายสองคนทะเลาะกันหรอกนะ
เห็นแบบนี้ยัยนี่ก็แคร์พี่มิคอยู่เหมือนกันนั่นแหละ
“แค่จะแวะมาเจอหน้าก่อนกลับบ้านเฉย
ๆ ค่ะ” มิเกลหยอดคำหวานแทนความจริง
“ฮิ้วววว”
และนั่นก็ส่งผลให้ทั้งคู่โดนแซวทันที
แต่พี่ก้องกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเพราะเขามองเลยไปยังพี่มิคที่ยืนพิงผนังอยู่ไม่ไกล
“งั้น...เกลกลับก่อนนะ
ต้องกลับไปให้อาหารซันนี่แล้ว” มิเกลเอ่ยลาเมื่อเห็นว่าพี่ก้องจ้องมองไม่วางตาเลย
“ไว้พี่จะโทรหา”
เขาบอกมิเกลแค่นั้นก่อนที่มิเกลจะเป็นฝ่ายเดินออกไป
ฉันมองตามหลังทั้งคู่ก่อนจะกำผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดของพี่มิคเอาไว้แน่น
“นับดาว”
พี่ก้องเรียกนั่นทำให้สมองที่กำลังครุ่นคิดบางอย่างวกกลับมายังปัจจุบัน
“คะ”
“มาที่นี่ได้ยังไง”
“ติดรถพี่มิคมาค่ะ”
“คราวหลังไม่ต้องมากับมิคนะ
ถ้ามากับมิเกลแค่สองคน มาได้” พี่ก้องเอ่ยกำชับอย่างหนักแน่น
“พี่ก้องคิดมากไปหรือเปล่าคะ
ไม่มีอะไรหรอก” ฉันบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเพราะไม่อยากให้พี่ก้องไม่สบายใจ
“พี่รู้ว่ามิคาเอลไม่ค่อยพอใจพี่เท่าไหร่
ถึงจะไม่เท่าเมื่อก่อนแต่พี่ก็เป็นห่วงกลัวว่ามันจะเอาความไม่พอใจมาลงที่เรา”
“นับเป็นเพื่อนเกลนะคะ
พี่มิคไม่ทำอะไรหรอก อีกอย่าง...นับกับพี่มิคเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นค่ะ
พี่ก้องไม่ต้องเป็นห่วง”
มันเป็นความจริงที่ฉันเองก็ต้องยอมรับให้ได้ด้วยเช่นกัน
เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น...ฉันต้องยอมรับความจริง
“พี่รักนับมากนะ
นับเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของพี่” เขาดึงฉันเข้าไปกอดอย่างหวงแหนนั่นยิ่งตอกย้ำว่าฉันห้ามทำให้พี่ก้องเสียใจเป็นอันขาด
ความรักที่เขามอบให้น่ะมันเพียงพอสำหรับฉันแล้วล่ะ
ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาจากใครที่ไหนอีกแล้ว
วันต่อมา
“อะนี่”
ฉันยื่นบัตรคอนเสิร์ต DS
ให้กับยัยส้ม
“ฮื้อ...คิดไว้ไม่มีผิดว่าแกต้องได้มาจริง
ๆ” ยัยส้มรับไปด้วยท่าทางดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ดีใจจนแทบจะกลืนบัตรนั่นลงท้องไปแล้วมั้ง
“กว่าจะได้มา
ลำบากมากรู้ไหม”
ฉันต้องไปทนเห็นพี่มิคอยู่กับยัยน้ำตาลแล้วไหนจะต้องมาทนฟังคำพูดรุนแรงของเขาอีก
แกต้องบูชาฉันไว้เลยนะยัยส้ม
“ขอบคุณน้านับดาวเพื่อนรัก”
ยัยส้มเข้ามากอดฉันอย่างซาบซึ้ง
“โอ๊ย” ฉันร้องออกมาเพราะแขนของยัยนั่นมาโดนแผลที่แขนของฉัน
“โทษที
ๆ ไม่ทันระวัง” ส้มผละออกก่อนจะมองดูแผลที่แขนของฉันด้วยความเป็นห่วง
“มันลึกมากไหมนับ”
“ไม่มาก
แต่มันแสบ ๆ อะ”
“ไปหาหมอหรือยัง”
มาหยาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม
“เมื่อวานพี่ก้องพาไปแล้วล่ะ”
หลังจากทำแผลให้ฉันแล้วพี่ก้องยังไม่สบายใจจึงพาฉันไปหาหมอเพื่อเช็กดูอาการอีกที
คุณหมอบอกว่าแผลไม่ลึกมากแต่ก็ต้องเช็ดทำความสะอาดทุกวัน
“งั้นก็ค่อยหายห่วงหน่อย”
พอทั้งสองคนรู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บก็ดูตกใจมากแถมยังเข้ามาขอดูแผลกันไม่หยุดเลย
แต่ภาพแบบนี้ฉันเห็นจนชินตาแล้วแหละเลยไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของทุกคนมันดูเกินไปเลยสักนิด
ครืด ๆ
ขณะนั่งคุยกับเพื่อนอยู่โทรศัพท์ของฉันก็มีสายเข้า
ฉันกดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อปรากฏบนหน้าจอ
“ค่ะพี่ซอว์”
[นับอยู่ไหน] เสียงปลายสายดังขึ้นแข่งกับเสียงดนตรีที่ดังมาก
“นับอยู่คณะค่ะ
พี่ซอว์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
[บัตรอีกใบที่พี่ให้นับไป
นับให้ใครหรือยัง]
“ยังเลยค่ะ
ไม่รู้ว่าจะเอาให้ใคร”
[งั้นพี่ขอคืนได้ไหม
พอดีเพื่อนพี่มันอยากได้พอดี นับเอามาด้วยหรือเปล่า]
“เอามาค่ะ”
โชคดีนะเนี่ยที่ฉันเอาบัตรมาให้ยัยส้มเลยได้เอามาด้วยทั้งใบ
“เดี๋ยวนับเอาไปให้ที่ชมรมตอนเย็นนะคะ”
[นับสะดวกตอนนี้ไหม
พอดีเพื่อนพี่มันรีบ]
“ได้ค่ะ
ตอนนี้พี่ซอว์อยู่ไหนหรอคะ เดี๋ยวนับเอาไปให้”
[ไม่เป็นไร
เดี๋ยวพี่ไปเอากับเราเอง...ซอว์มาดูตรงนี้หน่อย] ยังไม่ทันได้พูดจบพี่ซอวก็เหมือนถูกเรียก
[แป๊บนะนับ]
เขาพูดกับฉันแค่นั้นแล้วก็ได้ยินเสียงที่ดังมาก
ๆ มาจากทางของเขา จากนั้นก็ได้ยินเหมือนคุยอะไรกันก็ไม่รู้ ฟังไม่ได้ความเลย
[นับมาหาพี่ที่ตึก
2 คณะวิศวะหน่อยนะ พอดีพี่ยุ่งมากเลย] หลังจากที่ค้างสายฉันไว้พี่ซอว์ก็กลับมา
[โทษทีนะ]
“ไม่เป็นไรค่ะ
นับจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
ความใจดีของพี่ซอว์ที่มีต่อฉันมันทำให้ไม่อยากรบกวนเขามากกว่านี้แล้ว
ถ้าอะไรที่ฉันพอทำให้ได้ฉันก็จะทำ
เราจบบทสนทนากันแค่นั้น
ฉันรีบเก็บของเข้ากระเป๋าท่ามกลางเพื่อนทั้งสองที่มองมา
“ฉันจะไปคณะวิศวะแป๊บนึงนะ
เดี๋ยวกลับมา”
“ให้ไปเป็นเพื่อนไหม”
มาหยาเอ่ยถามแล้วทำเหมือนจะลุกขึ้นยืน
“ไม่เป็นไร
นับไปแป๊บเดียว”
ฉันบอกเพื่อนแค่นั้นก่อนจะรีบสะพายกระเป๋าแล้วพุ่งตรงมายังด้านหลังคณะเพื่อจะใช้เส้นทางลัดไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์
ถึงจะไม่อยากไปเท่าไหร่แต่มันก็ช่วยไม่ได้
ยังไงโลกก็ไม่กลมถึงขนาดไปเจอพี่มิคที่นั่นหรอกมั้ง
พี่ซอว์กับพี่มิคไม่ได้สนิทกันสักหน่อย ถึงจะเรียนคณะเดียวกันแต่พวกเขาแทบไม่ได้พูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเดินมาได้สักพักฉันก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้เก็บบัตรคอนเสิร์ตมาด้วยหรือเปล่าเพราะก่อนหน้านี้เอามันออกไปให้ยัยส้มแล้วอาจจะเผลอวางไว้บนโต๊ะก็ได้
ฉันหยุดเดินแล้วควานบัตรใบนั้นในกระเป๋าอย่างลนลานเพราะค่อนข้างเดินมาไกลแล้ว
หากต้องย้อนกลับคงได้เหนื่อยหอบกันพอดี
อ๊ะ! เจอแล้ว!
ฉันสัมผัสได้เหมือนเจอบัตรดังกล่าวแต่พยายามดึงออกมาเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมออกมาสักทีเพราะติดกับของที่ของอยู่ในกระเป๋า
โอ๊ย...อะไรกันเนี่ย
คนยิ่งเจ็บแผลที่แขนอยู่ด้วย ยังจะเอาออกมายากเย็นแสนเข็ญอีก
ด้วยความหงุดหงิดฉันเลยดึงมันออกมาแรง
ๆ กะให้หลุดออกมาแล้วจะถือเอาไว้เลย แต่คงกะแรงมากไปมันเลยทำให้พวงกุญแจที่อยู่ใกล้กับบัตรนั้นออกมาด้วย
แถมยังกระเด็นไปตกตรงตะแกรงท่อระบายน้ำอีก โชคยังดีที่มันไม่ได้ตกลงไปด้านล่างเพราะพวงกุญแจนั้นยังเกี่ยวอยู่กับตะแกรงเหล็กอย่างหมิ่นเหม่
กึก!
เกร๊ง!
แต่ฉันดีใจได้ไม่ทันไรก็ต้องเกือบร้องตะโกนออกมาเพราะจู่
ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านตรงนี้อย่างพอดิบพอดี
เขาเหยียบเข้ากับตะแกรงท่อระบายน้ำส่งผลให้ตะแกรงเหล็กนั้นสะเทือนจนพวงกุญแจน้อย ๆ
ของฉันที่เกาะอยู่ในตอนแรกตกลงไปในท่อระบายน้ำเข้าจนได้
ฉันเงยหน้าขึ้นมองคนที่ทำให้พวงกุญแจฉันตกลงไป
เจ้าตัวเองก็เหมือนจะรู้สึกถึงบางอย่างจึงชะงักฝีเท้าแล้วละสายตาจากไอแพดที่ถืออยู่ในมือลงไปยังด้านล่างตรงที่ตัวเองยืนอยู่
ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
สายตาที่มองมาดูไม่สบอารมณ์เอาซะเลย
เป็นพี่มิคอีกแล้ว
ในช่วงที่ฉันไม่อยากจะเจอและพยายามจะตัดใจเขาก็มักจะโผล่หน้ามาให้เห็นทุกครั้งเลย
ฉันที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่วิ่งไปก้มดูพวงกุญแจพวงนั้นอย่างเสียดาย
ยังไงฉันก็ต้องเอามันขึ้นมาให้ได้เพราะนั่นมีทั้งกุญแจบ้าน กุญแจคอนโดของพี่ก้อง แล้วไหนจะบ้านพักตากอากาศอีก
“อะไรตกลงไป”
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่มักทำให้ฉันใจเต้นทุกครั้งที่ได้ยินก่อนจะขยับปลายเท้าออกจากตะแกรงเหล็ก
“พวงกุญแจค่ะ”
ฉันตอบพลางพยายามดึงตะแกรงนั้นขึ้น แต่ใช้แรงเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมขยับเลยสักนิด
นี่ฉันแรงน้อยขนาดนั้นหรือตะแกรงบ้านี่มันหนักเกินไปเนี่ย
“เฮ้อ...”
ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาจากคนเบื้องบนก่อนที่เขาจะย่อตัวลงมานั่งในระดับเดียวกันกับฉัน
พี่มิคจ้องลงไปยังด้านล่างด้วยสายตาแน่วแน่ก่อนที่เขาจะวางไอแพดไว้แล้วจับตะแกรงเหล็กนั่น
นี่เขาจะช่วยฉันใช่ไหม
ถึงนี่จะเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่งแต่ฉันก็ไม่คิดจะโทษพี่มิคหรอกนะ
“นับช่วยค่ะ”
ฉันบอกอย่างแข็งขันก่อนแล้วจับตะแกรงเหล็กอีกฝั่ง
พี่มิคมองมาอย่างดูแคลนก่อนจะพ่นคำพูดทำร้ายจิตใจกันอีกครั้ง
“แรงเท่ามด”
“แต่มันหนักมากนะคะ
พี่มิคยกคนเดียวไม่ไหวหรอก” ฉันลองยกมาแล้ว มันหนักมาก ๆ เลย
“ปล่อย”
เขาไม่ฟังคำเตือนฉันแถมยังมองด้วยสายตาดุ ๆ อีก
ฉันจำยอมปล่อยอย่างเลือกไม่ได้เพราะพี่มิคไม่ชอบคนที่ไม่เชื่อฟังเขา
เฮอะ
ฉันจะคอยดู ถ้ายกไม่ได้แล้วหน้าแหกขึ้นมานับจะไม่หัวเราะพี่มิคหรอกนะ
นับสัญญาด้วยเกียรติของยุวกาชาดค่ะ
พรึ่บ!
แต่สิ่งที่ฉันคิดไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะพี่มิคยกเจ้าตะแกรงที่หนักมากนั่นถึงได้ด้วยท่าทางสบาย
ๆ
เขาวางมันลงข้าง
ๆ แล้วก้มลงไปเก็บพวงกุญแจขึ้นมาก่อนจะวางมันตรงหน้าฉันแล้วยกตะแกรงอันเดิมมาปิดอย่างง่ายดาย
ฉันอ้าปากค้างอย่างงุนงงเพราะไม่คิดว่าพี่มิคจะยกมันได้ง่ายขนาดนี้
สรุปคือตะแกรงเหล็กไม่ได้หนักแต่ฉันแรงเท่ามดอย่างที่เขาบอกจริง
ๆ สินะ
แง...คนที่หน้าแหกกลับเป็นฉันซะอย่างนั้น
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันหยิบพวงกุญแจมาถือไว้ด้วยความรู้สึกตื้นตัน
สำหรับคนที่ชอบแค่เขาทำอะไรให้นิดหน่อยเราก็จะมองว่านั่นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นสินะ
ตึกตัก
ๆ
ฉันใจเต้นกับเขาอีกแล้ว
เป็นแบบนี้อีกแล้ว ไหนบอกจะเลิกชอบไงยัยนับดาว
พี่มิคไม่ได้มีปฏิกิริยากับคำขอบคุณของฉันแต่อย่างใด
เขาทำเพียงแค่หยิบไอแพดขึ้นมาแล้วเตรียมจะเดินจากฉันไปด้วยซ้ำ
“พี่มิคคะ”
ฉันร้องเรียกเขาไว้ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะได้เดินออกไปซะอีก เขาหันกลับมามองแต่ไม่ได้พูดอะไร
“นับมีของจะคืนค่ะ”
ว่าแล้วฉันก็รีบควานหาของในกระเป๋าอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้นั้นหาง่ายเพราะฉันนำมันใส่ซองพลาสติกใสมาอย่างดี
“ขอบคุณสำหรับผ้าเช็ดหน้านะคะ”
ฉันยื่นผ้าเช็ดหน้าราคาแพงกลับคืนให้พี่มิค
ฉันตั้งใจซักมันด้วยใจ
แม้จะเจ็บแผลที่แขนแต่ฉันก็อยากซักเองกับมือ
แถมยังแอบซักตอนที่พี่ก้องไม่อยู่ด้วยนะ
ผ้าผืนนี้ไม่ได้แช่น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรเลยเพราะพี่มิคไม่ชอบที่กลิ่นมันฉุน
“ไม่เป็นไร
ทิ้งมันไปเถอะ” แต่คำตอบกลับของเขาราวกับโดนค้อนตีแสกกลางใจ “ไม่เห็นต้องมาคืนเลย”
“แต่มันราคาค่อนข้างแพง”
ฉันยกเอาเรื่องราคามาอ้างแทนความตั้งใจจริงของฉัน
ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะไม่ได้สำคัญอะไรกับพี่มิคด้วยซ้ำ
ในขณะที่ฉันมัวแต่คิดไปเองว่านี่คือของที่มีค่า
เขาอุตส่าห์ใช้มันเพื่อซับเลือดให้กับฉัน ฉันควรจะทำความสะอาดแล้วนำส่งคืนเขาในสภาพเดิม
แต่เจ้าของกลับบอกให้ทิ้งไปราวกับไม่ใยดี ไม่ได้เห็นอยู่ในสายตา
“ไม่เท่าไหร่หรอก”
ดูเหมือนเขาจะยังยืนยันให้ฉันทิ้งไปอยู่ดีสินะ
หรือเป็นเพราะเขาเห็นว่ามันเปื้อนเลือดของฉันแล้วเลยไม่อยากจะใช้ต่อก็ได้
พี่มิคอาจจะรังเกียจ เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรเอามันมาคืนเขาด้วยซ้ำสินะ
“งั้น...เดี๋ยวนับเอาไปทิ้งให้ก็แล้วกันค่ะ”
ฉันเก็บผ้าเช็ดหน้านั้นคืนก่อนจะฝืนยิ้มให้กับเขา
พี่มิคพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป
แม้เส้นทางที่เขาเดินไปจะเป็นทางเดียวกับที่ฉันจะไปด้วยพอดีแต่ฉันกลับก้าวขาไม่ออก
รู้สึกเหมือนไม่อยากเดินเข้าไปใกล้เขาอีกแล้ว
ฉันคงต้องรักษาระยะห่างเพื่อให้เขาเดินไปไกลมากกว่านี้ ห่างจากฉันมากกว่านี้
....แล้วฉันค่อยเดินตามไปทีหลังก็แล้วกัน
“ขอบคุณมากนะ”
พี่ซอว์กล่าวอย่างใจดีก่อนจะมองแผลที่แขนของฉัน “มันไม่ลึกมากใช่ไหม
ไอ้ก้องบอกว่าพาเราไปหาหมอแล้ว แต่พี่ก็เป็นห่วงอยู่ดี”
“ไม่มากค่ะ
พี่ซอว์สบายใจได้” ฉันบอกแล้วยิ้มให้อย่างร่าเริง “ไม่กี่วันก็หายแล้ว”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ”
เขายกมือขึ้นมาลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู
“นี่พี่ซอว์ก็มาช่วยงานของคณะด้วยเหมือนกันหรอคะ”
ฉันถามเพราะตอนนี้พี่ซอว์นั้นกำลังวุ่นอยู่กับการดูวง DS ซ้อมดนตรีกันอยู่ ใกล้จะถึงวันงานแล้วก็คงซ้อมหนักกันน่าดู
“ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก
พี่ทำหน้าที่เป็นตากล้องตามที่เขาจ้างแค่นั้นแหละ แต่ที่มาดูวันนี้เพราะว่าไอ้เบสเพื่อนที่มันเป็นมือกลองของวง”
อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง
ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะได้เจอกับวง DS ล่ะก็...ฉันให้ยัยส้มมาด้วยซะก็ดีหรอก
ยัยนั่นจะต้องดีใจแน่ ๆ เลยที่ได้เห็นพี่วินในระยะประชิดแบบนี้
“จะกลับเลยไหม”
พี่ซอว์ถามหลังจากที่เรายืนคุยกันมาสักพัก
ฉันจึงพยักหน้าให้เพราะกลัวว่าจะเจอพี่มิคเข้าซะก่อน “งั้นรอพี่แป๊บนึงนะ”
พี่ซอว์ปลีกตัวออกไปทิ้งให้ฉันยืนรออยู่แถวหน้าประตูห้องประชุม
เขาหายเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงเวที
ห้องนี้น่าจะเป็นห้องซ้อมเพราะไม่น่าใช่ห้องแสดงจริงเนื่องจากบริเวณมันไม่กว้างเท่ากับที่เห็นในผัง
ถึงกับได้ห้องประชุมใหญ่ของตึกเป็นห้องซ้อมดนตรี
งานนี้ดูท่าจะไม่ธรรมดาซะแล้วสิ แต่คนที่ไม่ธรรมดาคงเป็นพี่มิคมากกว่า
เขาน่ะทำได้ทุกอย่างถ้าต้องการ
ขณะที่กำลังยืนรอพี่ซอว์อยู่นั้นฉันก็ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดมาจากด้านนอกประตูราวกับมีคนกลุ่มคนมายืนออแล้วส่งเสียงอยู่ตรงนั้นเลย
และเสียงก็ดังขึ้นเมื่อประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่โผล่เข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ทันทีที่เห็นเขาฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าต้นเหตุสาจากเสียงเหล่านั้นคืออะไร
ฉันแอบมองลอดจังหวะที่เขาปิดประตูก็พบว่ามีผู้หญิงหลายคนยืนอออยู่ตรงด้านนอกเต็มไปหมด
ตอนฉันมาไม่เห็นมีเลย
ฟึ่บ!
พอปิดประตูลงคนที่เข้ามาใหม่ก็หันมามองด้วยสีหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรทั้งสิ้น
ช่างเย็นชาเหลือเกินนะ
ทักกันหน่อยก็ไม่ได้
แต่ไม่ทันได้พูดอะไรเสียงประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งแล้วตามมาด้วยร่างบางระหงที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม
“อ้าว
นับดาว” เธอหันมาเห็นฉันพอดี
“หวัดดีน้ำตาล”
ฉันยกมือทักทายตามมารยาท
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอมากับพี่มิค
ชายผู้แสนเย็นชากับฉันเหลือเกิน
เขารู้หรอว่าฉันชอบ
ทำไมถึงได้ทำตัวห่างเหินกับฉันขนาดนี้ มันดูมากเกินไปกว่าปกติ
กับคนอื่นพี่มิคนั้นปกติมาก เพื่อนของมิเกลทุกคนพี่มิคใจดีด้วยหมดเลย
มีเพียงแค่ฉันเท่านั้นที่เขาเย็นชาและมองผ่านราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา
เขาไม่ได้ทำทีเป็นรังเกียจหรือแสดงออกว่าไม่ชอบฉันเลยนะ
แต่สิ่งที่เขาทำคือมองฉันเป็นเพียงอากาศธาตุ
...หรือเพราะฉันเป็นน้องสาวของพี่ก้องเลยทำแบบนี้
“นับดาวมาทำอะไรที่นี่หรอ”
เธอถามพร้อมกับใช้มืออีกข้างเอื้อมไปจับมือของพี่มิคเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาเดินนำไปก่อน
ทำไมทำแบบนั้นล่ะ
เธอดูออกหรอว่าฉันชอบพี่มิค
หรือทำเพราะแสดงความเป็นเจ้าของเนื่องจากกลัวว่าจะมีคนมาแย่งไป
ไม่ต้องห่วงหรอกน้ำตาล
พี่มิคเขาไม่เห็นค่าของฉันด้วยซ้ำ เธออย่าคิดมากนักเลย
“เรามาหาพี่...”
“นับ
เสร็จละ ไปกัน” ในตอนที่กำลังจะตอบพี่ซอว์ก็เดินกลับมาพอดี
พอเขาเห็นพี่มิคกับน้ำตาลก็ทำเพียงแค่มองเท่านั้น
ไม่ได้ทักทายอะไร
“นับกลับเองได้ค่ะ”
ฉันบอกเขาเพราะดูเหมือนพี่ซอว์จะลำบากที่ต้องส่งฉันที่คณะ
“ไม่เป็นไร
เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง ข้างนอกคนเยอะ เราตัวแค่นี้เบียดออกไปไม่ไหวหรอก”
เขาบอกอย่างใจดี พี่ซอว์เป็นพี่ชายที่อบอุ่นเสมอเลย “เดี๋ยวโดนเขาเหยียบ”
“พี่ซอว์ล้อนับอีกแล้วนะคะ”
ฉันทำปากยู่อย่างขัดใจและสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงเสียงหัวเราะพร้อมกับมือที่ยื่นมายีหัวฉันเล่นอย่างเอ็นดู
คนชอบล้อเรื่องส่วนสูงฉันจริง
ๆ เลย ฉันว่าตัวเองก็ไม่ได้เตี้ยขนาดนั้นนะ แต่เพราะอยู่ท่ามกลางดงมะพร้าวต่างหากฉันเลยกลายเป็นเด็กตัวแค่นี้
“ไปกัน”
พี่ซอว์ดันหลังฉันให้เดินออกไปยังอีกประตูฝั่งนึงโดยไม่ได้เอ่ยร่ำลาพี่มิคกับน้ำตาลเลย
เพราะกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเลยหันไปหาทั้งสองคนแล้วโบกมือลา
“ไว้เจอกันนะ”
ฉันยิ้มให้น้ำตาลและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่มิคเป็นฝ่ายเดินนำเธอเข้าไปยังด้านในอีกที
ทุกอย่างมันก็ชัดเจนแล้ว
ดังนั้นฉันจะต้องเตือนตัวเองอีกครั้งว่าให้ตัดใจ
มันก็แค่ความชื่นชอบและหลงใหลเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางเป็นได้มากกว่านี้แล้ว
ถ้าฉันยังอยู่ที่เดิมแล้วถลำลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนยากจะถอนตัวล่ะก็...ฉันคงจะเจ็บปวดใจไม่น้อยเลย
[Michael talks]
“นับดาวน่ารักจังเลยนะคะ”
น้ำเสียงเซ็กซี่นั้นเอ่ยขึ้นตอนที่เรามานั่งพักกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องประชุม
“ขนาดน้ำเป็นผู้หญิงยังรู้สึกชอบเลย”
ผมไม่ได้มีคำพูดโต้ตอบใด
ๆ ออกไปก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมาเพื่อทำงานต่อ
“ตัวเล็ก
ๆ นุ่มนิ่มเหมือนกับแมวเลย”
ผมเกลียดแมว...
มิเกลชอบเอาแมวไอ้ก้องมาเลี้ยงที่ห้อง
เข้าไปเจอทีไรเป็นต้องได้เปิดศึกกับแมวของมันทุกที
ไอ้แมวอ้วนนั่นก็รู้ว่าผมไม่ชอบยังจะวิ่งเข้ามาหาอีก
พอขึ้นเสียงเข้าหน่อยมิเกลก็มักจะหาว่าผมใจร้ายอยู่เสมอทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ใครเห็นก็ต้องเอ็นดูทั้งนั้น
แต่ดูเหมือนจะมีแฟนแล้วนะคะ ผู้ชายคนนั้นก็ดูดีไม่เบาเลย
เหมือนจะเป็นเพื่อนของพี่ชายเธอด้วย”
“พูดจบหรือยัง
ฉันจะทำงาน” ผมหันไปมองคนข้างตัวด้วยสีหน้าตำหนิ
“ทำไมพี่มิคดูไม่ได้สนิทกับนับดาวเลยล่ะคะ
เห็นเพื่อนคนอื่น ๆ ของมิเกลพี่มิคก็ดูพูดคุยกันดีนี่นา”
“ฉันจำเป็นต้องสนิทกับเพื่อนของน้องสาวฉันทุกคนเลยหรือไง”
ขืนเป็นแบบนั้นมีหวังปวดหัวตายกันพอดี
ผมก็คนมีการมีงานทำนะ
ไม่ได้มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องพวกนี้ขนาดนั้นหรอก
“แต่น้ำว่านับดาวก็เป็นเด็กที่น่ารักคนนึงนะคะ”
“น้ำตาล”
ผมเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งราวกับรู้ความผิด
“ข้อตกลงของเราคืออะไร ฉันไม่ชอบผูกมัดและไม่ชอบให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว”
ผมมองออกว่าเธอกังวลเรื่องของนับดาวจึงได้พยายามเลียบ
ๆ เคียง ๆ ถามอยู่แบบนี้ แต่มันก็แค่ความกังวลเพราะมันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ
“ถ้าเธอกังวลเรื่องผู้หญิงของฉันล่ะก็...มั่นใจได้เลยว่าไม่ใช่เด็กคนนั้น”
น้ำตาลไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่เข้ามาติดพันผม
เธอก็แค่คือหนึ่งในผู้หญิงที่เข้าหาผมเท่านั้น
ทุกคนรู้ดีว่าผมขี้เบื่อ
เมื่อได้พบก็ต้องจาก เธอคงกังวลว่าหากต้องจากกันแล้วใครจะเป็นคนต่อไปที่ได้มาอยู่เคียงข้างผมในที่ที่เธอยืนอยู่
“น้ำตาลก็แค่...”
“พอ
ฉันจะทำงาน ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว” ผมบอกปัดเพราะไม่อยากฟังเรื่องนี้อีก
“งั้นน้ำกลับก่อนก็ได้ค่ะ
แต่ว่าคืนนี้...”
“เดี๋ยวฉันไปหาที่ห้อง”
ผมบอกแค่นั้นโดยไม่ละสายตาจากไอแพด
“น้ำจะรอนะคะ”
เธอโน้มใบหน้าเข้ามาจุ๊บแก้มผมก่อนจะผละออกไป
คล้อยหลังเธอแล้วไอ้วินที่เป็นเพื่อนสนิทของผมก็โผล่หน้าเข้ามาอย่างรู้งาน
“เบื่อแล้วล่ะสิ”
มันถามผมพร้อมกับเปิดถุงขนมที่วางอยู่ข้าง ๆ
“วันนี้ซ้อมเป็นไงบ้าง”
ผมไม่ตอบแต่ถามกลับ
“ก็เรื่อย
ๆ ระดับกูยังไงก็ต้องดีอยู่แล้วป่าววะ”
“กูหมายถึงภาพรวม”
“ก็ดี
มือกลองคนใหม่ก็ใช้ได้ เก่งใช่ย่อยเลยมึง”
“งั้นก็ฝากทางนี้ด้วยละกัน
ช่วงนี้ยุ่ง ๆ นิดหน่อย” ผมบอกเพราะงานของที่บ้านยุ่งมากจริง ๆ
“แล้วมึงจะเอาไงกับไอ้เรย์”
มันเอ่ยถามถึงคนที่ผมไม่ค่อยอยากจะได้ยินชื่อเท่าไหร่
“ปล่อยมัน
ตราบใดที่มันยังไม่ทำไรให้วุ่นวายกูก็จะยังไม่เอาเรื่อง”
“ทิ้งวงให้ต้องหามือกลองคนใหม่นี่ยังไม่วุ่นวายพอหรอวะ”
“ช่างแม่ง
คนอย่างมันกูไม่เก็บมาใส่ใจหรอก”
“แต่กูได้ยินอะไรดี
ๆ มาว่ะ” ไอ้วินสายเผือกเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเชิญชวนให้อยากรู้ “มึงอยากรู้ไหม”
“จะเล่าก็เล่ามา
ลีลามากนะมึง”
“กูได้ยินมาว่ามันตามจีบผู้หญิงคนนึงอยู่ว่ะ
เห็นว่าเป็นเด็กปีหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ถ้ารู้แล้วกูจะมาบอกมึง
ให้มึงจัดการคาบผู้หญิงคนนั้นตัดหน้ามัน”
“กูมีเวลามากมั้ง”
ผมย้อนมันกลับ ไอ้นี่ชอบใช้ผมเป็นเครื่องมืออยู่เรื่อยเลย
ทะเลาะกันในวงตัวเองแต่มักเอาผมไปเอี่ยวด้วยเสมอ
“แค่มึงนั่งอยู่เฉย
ๆ ผู้หญิงก็พร้อมจะคลานเข่าเข้าหามึงแล้วค้าบเพื่อน” มันล้อเลียนผมอย่างเกินจริง
“ถ้ารู้ว่าเป็นใครนะกูจะชิ่งไปบอกน้องเขาว่ามึงสนใจ
รับรองว่าเด็กคนนั้นต้องพุ่งมาที่มึงแน่ ๆ”
ผมได้แต่ถอนหายใจให้กับความคิดบ้าบอของมัน
เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำเลย ขอแค่อย่าให้ผมวุ่นวายไปมากกว่านี้ก็พอ
[End Michael
Talks]
----------------------------------------------------------
- (ทอล์ก 100%)
พี่มิคบอกว่าไม่ชอบแมวค่าทุกคนนน แมวตัวไหนกันน้าาาา
- (ทอล์ก 80%)
น้องจำคร่ำคราวญกับพี่เขาแค่ไม่กี่พาร์ทค่ะ หลังจากนั้นคือจะตัดใจแล้ว รอดูพี่มิคว่าถ้าน้องตัดใจแล้วจะทำยังไง!
- (ทอล์ก 60%)
ปากบอกไม่ค่อยอยากเจอเขาแต่ก็แอบพกผ้าเช็ดหน้าเขามาด้วยนะนับดาว เธอมันเป็นอัลไลลลล
- (ทอล์ก 40%)
ไม่ค่อยอยากเจอเท่าไหร่ แต่ก็ต้องไปคณะวิศวะซึ่งเป็นคณะที่พี่มิคเรียนอยู่จนได้ 5555555555555
- (ทอล์ก 20%)
พี่ก้องหวงน้องมากกกกกกก
เค้าลงรายละเอียดสำหรับเปิดพรีแล้วนะคะ สามารถไปดูรายละเอียดได้ในเพจเลยน้าาาา
ความคิดเห็น