คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ตอนพิเศษ (100%)
ตอนพิเศษ
มิคาเอล
- นับดาว
หลายเดือนต่อมา
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
หลังจากที่ตัดสินใจคบกับพี่มิคอย่างจริงจังได้ไม่นานเขาก็เรียนจบ
และฉันก็ไม่สามารถเจอเขาที่มหาวิทยาลัยได้บ่อย ๆ อีกต่อไปแล้ว แบบนี้ฉันก็คงจะคิดถึงเขามากแน่
ๆ เลย
“นับ!”
เสียงแหลมปรี๊ดเอ่ยเรียกชื่อฉันพร้อมกับอะไรบางอย่างโขกเข้าที่หัวเบา ๆ
“มัวเหม่ออะไรอยู่เนี่ย”
เป็นยัยส้มตัวดีนั่นเอง
หนอย...กล้ามากที่เอาม้วนกระดาษมาโขกหัวฉัน!
“มีอะไร”
ฉันถามด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ
“พี่ฟิวส์ให้มาถามว่าจะกินอะไร
พวกพี่เขาจะสั่งข้าวมาเลี้ยง”
ส้มบอกพร้อมกับมองไปยังกลุ่มรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากพวกฉันมากนัก
“แล้วนี่แกเป็นอะไร ดูเหม่อมาตั้งแต่มาถึงที่นี่แล้ว”
“ฉันคิดถึงพี่มิค”
ฉันบอกตามตรง
“โอ๊ย
นี่แกทำเหมือนไม่ได้เจอกันบ่อยขนาดนั้นอะ” ยัยส้มพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงปลง ๆ
“อะไรมันจะคิดถึงกันตลอดเวลาขนาดนั้น ไม่ได้เพิ่งจะคบกันสักหน่อย”
“มันก็ใช่...”
ฉันบอกแล้วก้มหน้างุด นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วล่ะ
ตั้งแต่ก่อนปิดเทอมจนกระทั่งเปิดเทอมใหม่แล้วแต่สำหรับฉันมันถือว่าไม่นานเลยจริง ๆ
นะ “แต่คนมันคิดถึงอะ จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”
“พริ้นต์รูปติดที่เคสโทรศัพท์ไปเลยจ้ะ
ถ้าคิดถึงก็เอาขึ้นมาดูให้หายคิดถึง”
“ทำแล้ว”
ฉันบอกพร้อมชูให้ส้มดูอย่างภาคภูมิ “ฉันเคลือบอย่างดีเลยนะเพราะกลัวสีมันซีด”
“โห...นี่แกทำจริง
ๆ หรอเนี่ย”
“ก็ใช่น่ะสิ
ไม่สังเกตเห็นบ้างหรือไง”
“แกนี่ทำตัวเหมือนเป็นแฟนคลับพี่มิคเข้าไปทุกวัน
คนเขาไม่รู้จะหาว่าแกไม่ใช่แฟนเขาจริง ๆ นะยัยนับ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย
แค่ฉันกับเขาเรารู้กันว่าเป็นแฟนก็พอแล้ว”
ฉันยิ้มอย่างปลื้มปริ่มและมีความสุขที่สุด
กว่าเราสองคนจะลงเอยกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ
มันก็ไม่แปลกถ้าฉันจะคลั่งรักพี่มิคขนาดนั้น
“นับ
ฉันถามจริงว่าพี่มิคจริงจังกับแกจริง ๆ ใช่ไหม”
ยัยส้มกับบ่าของฉันแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อื้อ
ฉันคิดว่างั้นนะ”
“ได้ไง
จะคิดเองได้ยังไง”
“ก็ฉันรู้สึกแบบนั้นนี่
พี่มิคก็ดูจริงจังออก” เขาแสดงให้ฉันเห็นว่าตัวเขาเองก็จริงจัง
แล้วจะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไงล่ะ
“ฉันล่ะเป็นห่วงแกจริง
ๆ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า
เขาถึงขั้นไปหาแม่ฉันแล้วนะ”
“โห...จริงดิ”
“อื้อ”
“โอเค
งั้นพวกฉันก็สบายใจละ” ส้มตบบ่าฉันเบา ๆ สองทีก่อนจะถอยห่างไปเล็กน้อยแล้วถามขึ้น
“สรุปจะกินไร จะได้ไปบอกพี่ ๆ เขา”
“ไม่ต้องสั่งเผื่อฉันหรอก
เดี๋ยวอีกหน่อยพี่มิคก็เอาข้าวเที่ยงมาส่งให้แล้ว”
ทันทีที่ฉันพูดแบบนั้นสายตาของยัยส้มที่มองมายังฉันก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเอือมระอากันสุด
ๆ
อะไรกันเล่า
“เออ ๆ
ฉันไปก่อนละกัน”
พูดจบส้มก็ปลีกตัวออกจากตรงที่ฉันยืนอยู่เพื่อพุ่งตรงไปยังกลุ่มรุ่นพี่กลุ่มนั้นที่ตอนนี้กำลังมองมายังฉันพอดิบพอดี
ฉันส่งยิ้มให้พวกเขาแล้วหันมานั่งทำงานของตัวเองต่อเนื่องจากเสียเวลาไปนานกับการนั่งคิดถึงพี่มิคเลยทำให้งานที่ได้รับมอบหมายมันไม่เสร็จสักที
ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอมต้อนรับน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่เป็นปีแรก
ดังนั้นในฐานะรุ่นพี่พวกเราเลยต้องมาทำซุ้มและของที่ระลึกมอบให้กับรุ่นน้องของสาขาเรา
ก็เป็นการรวมตัวของนักศึกษาตั้งแต่ปีสองถึงปีสี่ล่ะนะ
ฉันนั่งมัดเชือกตามที่พวกพี่ปีสามบอกให้ทำอย่างขยันขันแข็ง
ต้องรีบทำให้เสร็จก่อนที่พี่มิคจะมา จะได้มีเวลาไปนั่งกินข้าวด้วยกัน
“น้องนับครับ”
ขณะที่กำลังขะมักเขม้นกับการมัดเชือกอยู่นั้นพี่ฟิวส์ รุ่นพี่ปีสี่ก็เดินเข้ามาหา
“คะ?”
ฉันหันไปมองเขาโดยที่มือยังไม่หยุดทำงาน
“เห็นส้มบอกว่าเราไม่สั่งข้าว
ไม่หิวหรอครับ” พี่เขาถามอย่างเป็นห่วงขณะที่ยืนอยู่ข้างตัวฉัน
พี่ฟิวส์นี่ใจดีมากเลยนะ
เป็นรุ่นพี่ที่น่ารักมาก ๆ
แม้เราจะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่แต่เขาก็เป็นรุ่นพี่ที่น่าเคารพมากคนนึง
“พอดีแฟนนับจะเอาข้าวมาส่งให้ค่ะ”
ฉันบอกเขาไปตามความจริง
“แฟน?
นับยังคบกับแฟนอยู่หรอ”
“อื้อ
ก็ใช่น่ะสิคะ” ฉันตอบเขาแล้วมองอย่างสงสัย “ทำไมพี่ฟิวส์ถามแบบนั้นล่ะ”
“เปล่าหรอก
เห็นไม่ค่อยลงรูปด้วยกันเท่าไหร่พี่ก็นึกว่า...”
“พอดีพี่มิคเขาไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไหร่ค่ะ”
ฉันบอกแล้วหัวเราะแห้ง ๆ ส่งไปให้
“แต่แบบนี้ไม่ดีเลยนะ
แฟนไม่ค่อยถ่ายรูปแล้วคนอื่นเขาจะรู้ได้ว่ากำลังคบกันอยู่
นับไม่กลัวว่าแฟนนับจะแอบไปมีผู้หญิงคนอื่นลับหลังเราหรอ”
“ไม่นะคะ
นับเชื่อใจพี่มิค”
สำหรับฉันแล้วพี่มิคเป็นคนที่ตรงไปตรงมาสุด
ๆ ที่ผ่านมาก่อนเราจะคบกันเขาก็บอกว่าชัดเจนว่าให้ฉันอยู่ในสถานะไหน พอเลื่อนสถานะมาเป็นแฟนกันแล้วเขาก็ทำให้ฉันเห็นว่าเขาไม่มีทางมีผู้หญิงคนอื่นแน่นอน
ถ้าเขายังรักสนุกและมีความสุขกับการที่ต้องเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อย
ๆ แบบนั้นเขาจะมาคบกับฉันทำไมล่ะ
“นับยังไร้เดียงสาแต่ไม่รู้จักผู้ชายดีพอ”
อีกแล้ว...คำพวกนี้อีกแล้ว
“นับรู้นะคะว่าทุกคนหวังดีกับนับ
แต่ว่าทุกคนสบายใจได้ เรื่องแบบนี้มันเรื่องของคนสองคนค่ะ
พี่ฟิวส์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ฉันบอกพร้อมกับส่งยิ้มจนตาหยีไปให้เขา
พี่ฟิวส์นิ่งไปชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจอันบางเบาออกมาอย่างอึดอัด
ไม่นานเขาก็เอ่ยต่อด้วยท่าทางที่ยังดูไม่แน่ใจนัก
“พี่เป็นห่วงนับนะ
ถ้าวันไหนแฟนนับทำให้เสียใจ พี่อยากบอกให้เรารู้ว่าไม่จำเป็นต้องอดทน”
“...”
ฉันมองพี่ฟิวส์ด้วยท่าทีสงสัยใคร่รู้ เขาดูแปลกใจจากทุกทีจนฉันแปลกใจ
อันที่จริงตั้งแต่คบกันมาพี่มิคไม่เคยทำให้ฉันกังวลใจอะไรเลยด้วยซ้ำนะ
ยอมรับแหละว่าช่วงเวลาก่อนที่จะคบกันมันช่างยากลำบากและเสียใจมาไม่น้อย
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว และที่จริงเรื่องพวกนี้ก็แทบไม่มีใครรู้เลยด้วยซ้ำไป
ทำไมพี่ฟิวส์ถึงเอาแต่พูดแบบนี้กันนะ
“พี่พร้อมจะอยู่กับนับวันที่เสียใจ
ถ้าวันไหนเลิกกัน...”
“ยังไม่เลิกแล้วก็ไม่มีวันเลิกด้วย”
คำพูดของพี่ฟิวส์ถูกเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจากคนที่มาเยือนใหม่
เมื่อหันไปมองยังด้านหลังของพี่ฟิวส์ก็พบว่าเป็นพี่มิคที่ยืนจ้องมองมายังพี่ฟิวส์ด้วยสายตาดุดันแสนเย็นชา
“เอาเวลาที่จะมานั่งปลอบแฟนคนอื่นไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์กว่านี้จะดีไหม”
น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยขึ้นอย่างกดดัน
พี่ฟิวส์ค่อย
ๆ หมุนตัวหันหลังไปมองเขาอย่างช้า ๆ
เนื่องจากฉันโดนแผ่นหลังของพี่ฟิวส์บดบังเอาไว้เลยไม่เห็นว่าทั้งคู่มองกันด้วยสายตาแบบไหน
ไม่นานพี่ฟิวส์ก็เดินจากไปโดยไม่เอ่ยร่ำลาฉันสักคำเดียว
บรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูกจนเผลอจิกเล็บลงบนฝ่ามืออย่างอึดอัด
“กินข้าว”
พี่มิคเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนั้นแล้วเดินมายืนข้าง ๆ
ก่อนจะวางถุงข้าวลงบนโต๊ะ
“พี่มิคมาเร็วจังเลยค่ะ”
ฉันพูดพร้อมกับยื่นมือไปแกะถุงข้าวกินด้วยความรู้สึกกังวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ถ้ามาช้ากว่านี้จะเห็นหรอว่ามีผู้ชายคนอื่นกำลังมาจีบแฟนตัวเองอยู่”
“หือ?
จีบอะไรกันคะ” ฉันมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ดูไม่ออกหรือไงว่ามันพยายามเสี้ยมให้พวกเราทะเลาะกัน”
“พี่ฟิวส์เขา...”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมัน”
เขาเอ่ยตัดบทอย่างไม่ต้องการได้ยินเรื่องนี้อีก
จะว่าดูไม่ออกก็ไม่ใช่หรอก
แต่ฉันไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองถึงขั้นนั้นนี่นา หรือถ้าเลวร้ายสุด ๆ ก็คงเป็นพี่ฟิวส์ไม่ชอบพี่มิคแล้วพยายามหาทางให้เขาไม่มีความสุขเหมือนที่พี่เรย์เคยทำก็เป็นได้
“อยู่ห่างจากไอ้หมอนั่นเข้าไว้”
เขาขยับเข้ามาใกล้ฉันเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาเชยคางของฉันขึ้น “เข้าใจไหม”
นัยน์ตาดุดันของพี่มิคสะกดฉันให้แน่นิ่งแล้วพยักหน้าตามอย่างไม่อาจขัดขืน
“ดีมาก”
เขาลูบหัวฉันเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ แล้ววางไอแพดที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะ
ฉันหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจเพราะวันนี้พี่มิคแค่แวะมาส่งข้าวให้ฉันไม่ใช่หรอ
ทำไมถึงได้เอางานมาทำด้วยกันนะ
“มองทำไม
ไม่กินข้าว?” เขาถามฉันพลางเบนสายตากลับมามอง
“ไม่กลับเข้าบริษัทหรอคะ”
“ไม่ล่ะ
ฉันจะทำงานที่นี่”
ฉันไม่ได้ถามอะไรเขาต่อเพราะพี่มิคเป็นพวกไม่ชอบอธิบายเรื่องยุ่งยากให้ฟังเท่าไหร่
รู้แค่ว่าเขาตัดสินใจอยู่ที่นี่ก็คืออยู่ที่นี่นั่นแหละ
พี่มิคเป็นคนที่ทำงานได้ทุกที่
เพราะฉะนั้นเรื่องสถานที่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาหรอก
แต่คงเป็นสำหรับฉันตอนนี้มากกว่า...นั่งอยู่ข้างกันแบบนี้ฉันจะมีสมาธิทำงานได้ยังไงกัน!
“กินข้าวได้แล้ว”
เขาเอ่ยย้ำขึ้นอีกเมื่อฉันเอาแต่นั่งนิ่ง
“นับ...ไปซื้อน้ำแป๊บนึงนะคะ”
ฉันลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วจนพี่มิคยังมองตามด้วยความฉงนใจ
เขาเบนสายตาไปมองข้าวที่เพิ่งเอามาให้ก่อนจะโฉบสายตามามองฉันราวกับต้องการจับผิด
จะ...จับผิดอะไร
“กินข้าวแล้วก็ต้องกินน้ำใช่ไหมคะ
เดี๋ยวนับไปซื้อมาไว้เลยดีกว่า” พูดจบฉันก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
แย่แล้ว...หัวใจเจ้ากรรมมันเต้นแรงไม่หยุดแถมยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเต้นโครมครามเสียงดังแบบนั้นด้วย
ถึงจะคบกันมาสักพักแล้วแต่ทุกครั้งที่ที่อยู่ด้วยกันฉันมักจะตื่นเต้นและควบคุมตัวเองไม่ได้เสมอเลย
วันนี้ก็ไม่ได้เตรียมใจที่จะให้พี่มิคอยู่ด้วยเลยทำตัวไม่ถูกจนต้องปลีกตัวออกมาสงบจิตสงบใจข้างนอกแบบนี้
ฉันนี่มันเงอะงะจริง
ๆ เลย
เอาล่ะ
ฉันต้องใจเย็น ๆ นะ แล้วก็ฉันต้องทำตัวให้เป็นปกติด้วย
ฉันคิดแบบนั้นมาตลอดทางที่เดินไปซื้อน้ำจนกระทั่งกลับมายังที่เดิมที่พี่มิคนั่งอยู่
แต่เมื่อเดินกลับมาถึงก็พบว่าพวกรุ่นพี่และรุ่นเพื่อนของฉันต่างพากันมองเขาอย่างสนใจแถมยังพากันยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาเก็บเอาไว้อย่างไม่เกรงใจฉันที่เป็นแฟนของเขาด้วย
อันที่จริงฉันก็ชอบถ่ายรูปบันทึกความทรงจำต่าง
ๆ เอาไว้เหมือนกันนะ แต่ทำไมกับเขาฉันถึงไม่กล้าก็ไม่รู้
คงเพราะรู้สึกว่าโดนมองจากข้างหลังพี่มิคที่นั่งก้มหน้าทำงานอยู่จึงยืดตัวขึ้นก่อนจะเอี้ยวตัวหันมามองฉันที่ยืนห่างเขาไม่กี่ก้าว
พอเห็นเขามองฉันก็ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้สังเกตเห็นว่าฉันหยุดยืนมองเขาอยู่
“ไม่คิดจะซื้อมาให้ฉันด้วยหรือไง”
เขาทวงถามเมื่อฉันนั่งลงข้าง ๆ
“อ่า...นับลืมค่ะ”
ฉันบอกอย่างงุ่นง่านก่อนจะเลื่อนมันไปยังตรงหน้าเขา “พี่มิคกินก่อนได้เลยนะคะ
เดี๋ยวนับไปซื้อใหม่”
“ไม่ต้อง
กินด้วยกันก็ได้ ซื้อมาขวดใหญ่เลยไม่ใช่หรือไง” พูดจบเขาก็จัดการเปิดฝาแล้วกระดกน้ำด้วยความกระหายอึกใหญ่
ความตื่นเต้นของฉันที่มีต่อเขามันไม่เคยลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว
“นับดาว”
จู่ ๆ เขาก็เรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจัง
“คะ?”
“เมื่อไหร่จะเลิกตื่นเต้นเวลาที่ต้องอยู่กับฉันสักที”
เขาเหมือนรู้ทันทุกความคิดของฉันอย่างไม่ต้องคาดเดาอะไรเลยสักนิด
“นับ...เปล่า”
“เธอโกหกไม่เก่ง”
“นับแค่...”
“มากกว่านั่งข้างกันเราก็ทำมาแล้ว
มากกว่าจูบเราก็ทำมาแล้ว...”
“พี่มิคอย่าพูดแบบนี้สิคะ”
ฉันมองไปรอบ ๆ เพราะกลัวว่าจะมีคนมาได้ยินเข้า
“เธอกำลังทำให้ฉันหงุดหงิดนะ”
เขาเอื้อมมือข้างนึงมาวางพากกับพนักเก้าอี้ของฉันไว้หลวม ๆ
คล้ายกำลังโอบไหล่แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น “คนยิ่งชอบพูดว่าเราไม่เหมือนคนคบกันเลย”
“พี่มิคสนใจด้วยหรอคะ
ปกติไม่เห็นจะใส่ใจคำพูดของคนอื่นเท่าไหร่นี่นา” เขาเป็นแบบนี้จริง ๆ นะ
แต่ให้ใครพูดยังไงเขาก็ไม่สนหรอก เขาสนแค่ว่าพวกเรารู้สึกยังไงกันมากกว่า
“เรื่องแบบนี้มันก็ต้องสนใจอยู่แล้ว”
เขาพูดพร้อมถอนหายใจแล้วกรอกตาไปมา ไม่นานก็หยิบเอาโทรศัพท์ของฉันขึ้นมาแล้วพลิกด้านหลังที่มีรูปของเขาติดเอาไว้กับเคสมาจ่อตรงหน้าฉัน
“แล้วนี่อะไร เธอทำตัวเหมือนเป็นแฟนคลับฉันเข้าทุกวัน”
“นับก็แค่ติดเอาไว้ดูเวลาที่คิดถึงเฉย
ๆ ค่ะ”
ฉันบอกเสียงหงอยและนั่นก็ทำให้พี่มิคนิ่งไปก่อนจะกระแอมไอออกมาหนึ่งที
“แล้วรูปนี้เอามาจากไหน”
“เพจแฟนคลับของพี่มิคยังไงล่ะคะ”
ฉันบอกอย่างภาคภูมิ “นี่นับเลือกรูปที่ดูดีที่สุดเลยนะ
พี่มิคไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่หล่อเพราะสำหรับนับพี่มิคดูดีที่สุดเลยค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่เห็นจะรู้สึกว่าเธอคลั่งไคล้ฉันขนาดนี้”
เขาหรี่ตาลงมองฉันพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
“เพราะนับไม่กล้ายังไงล่ะคะ
นี่ขนาดนับไม่แสดงออกพี่มิคยังดูออกเลยว่านับแอบชอบ
ไม่ใช่ว่าแอบมองนับอยู่ก่อนแล้วเหมือนกันน้า”
ฉันแกล้งแหย่เขาเล่นเพราะตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่แล้ว
เวลาที่ฉันรู้สึกประหม่าพี่มิคก็มักจะถึงเนื้อถึงตัวเพื่อสร้างความคุ้นชินให้กับฉันและละลายพฤติกรรมที่ชอบตื่นเต้นเวลาอยู่กับเขาให้
“เพ้อเจ้อ”
เขาดีดหน้าผากของฉันเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวกลับไปนั่งตามเดิม “กินข้าวได้แล้ว”
“อึ้ม!”
ฉันขานรับอย่างมุ่งมั่นก่อนจะลงมือกินข้าวที่เขาซื้อมาให้ทันที
ฉันกินแล้วแอบเหลือบมองเขาเป็นระยะแล้วก็พบว่าเจ้าตัวก็เหลือบมองฉันด้วยเหมือนกัน
พอเห็นว่าพี่มิคมองฉันก็ยิ้มให้แต่พี่มิคกลับส่งเพียงใบหน้าเรียบนิ่งกลับมาเท่านั้น
“นับ” ขณะที่กำลังนั่งมองคุณแฟนสุดหล่อทำงานอยู่นั้นยัยส้มก็เดินเข้ามาหาก่อนจะหันไปทักทายพี่มิค
“สวัสดีค่ะพี่มิค”
เขาพยักหน้าตอบรับแล้วหันไปสนใจงานของตัวเองต่อ
“มีไรหรอส้ม”
“คืองี้นะ
แกจำได้ใช่ไหมว่าวันที่จัดงานรับน้องอะจะมีคนใส่ชุดไทยไปยืนรออยู่หน้าซุ้ม
ซึ่งก็คือยัยกวาง แต่ทีนี้ยัยกวางติดธุระแล้วมาไม่ได้เลยต้องหาคนใส่คนใหม่”
“อื้อ
แล้ว?”
“ทุกคนลงความเห็นว่าจะเอาแก”
สิ้นเสียงของยัยส้มฉันสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากคนข้างตัวที่ตอนนี้กำลังนั่งนิ่งคล้ายแอบฟังอยู่
ที่จริงก็ไม่ได้แอบหรอก พวกเราก็ไม่ได้พูดเบาถึงขั้นที่เขาจะไม่ได้ยิน
“หา?
อะไรกันเนี่ย ตกลงกันเองโดยไม่ถามฉันสักคำ”
“พี่เขาก็ให้มาถามอยู่นี่ไง”
“ไม่ใส่ได้ไหม
นับไม่อยากแต่งหน้า” ฉันเดาว่าวันนั้นอากาศต้องรอนมากจนหน้าเยิ้มแน่เลย
“แต่ชุดมันเช่ามาแล้วอะ
คนที่ขนาดตัวกับยัยกวางก็มีแต่แก คนอื่นใส่ไม่ได้”
“เช่ามาแล้วก็เช่าใหม่ได้”
คำพูดนี้ไม่ใช่ของฉันแต่เป็นของพี่มิค
เมื่อสิ้นเสียงของเขาฉันและยัยส้มก็เงียบกริบทันทีเพราะดูจากอารมณ์ที่แสดงออกมาตอนนี้เหมือนกำลังไม่พอใจอยู่
“คือ...”
“ชุดเนี่ยใช่แค่นับดาวคนเดียวหรือไง”
“เปล่าค่ะ
จะมีผู้ชายใส่ด้วยอีกคน”
“ใครครับ”
“พี่ฟิวส์ค่ะ”
คำตอบของส้มทำเอาหน้าของพี่มิคตึงขึ้นมาทันตา
เขาถอนหายใจคล้ายกำลังข่มอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้
อันที่จริงมันก็เช่าชุดใหม่ได้แหละฉันว่า
แต่กลัวว่าจะเป็นเรื่องกับพวกรุ่นพี่มากกว่าเพราะมันก็คืองานจิตอาสาอย่างหนึ่ง
ถ้าฉันไม่ยอมทำก็จะดูเป็นการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า แต่ฉันไม่อยากทำนี่นา
“เช่าใหม่”
เขาตอบกลับนิ่ง ๆ แค่นั้น
ยัยส้มที่เป็นคนกลางก็ดูลำบากใจไม่น้อยที่จะเอาคำเหล่านี้ไปบอกกับพวกรุ่นพี่
“เดี๋ยวนับไปเอง
นับจะไปคุยกับพี่ ๆ เขาเอง” พอเห็นแบบนั้นฉันเลยต้องออกตัวแทน
“ไหวหรอแก”
ส้มทำหน้าเหมือนไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
“อื้อ
ไหว”
“งั้นฉันไปด้วย”
[Michael Talks]
ผมนั่งใช้นิ้วเคาะโต๊ะพลางจ้องมองไปยังจุดที่นับดาวและเพื่อนของเธอกำลังยืนคุยกับรุ่นพี่อยู่
เห็นได้ชัดว่าไอ้หมอนั่นมันตั้งใจจะให้นับดาวไปยืนคู่กับมันอย่างออกนอกหน้า
เห็นท่าทางที่ดูจะเคลียร์กันไม่ได้เท่าไหร่แล้วผมก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
มันจะยากอะไรนักหนากับอีแค่เช่าชุดใหม่
สักพักผมก็เห็นว่ามีคนกำลังทำหน้าเครียดจัดแล้วมองมายังนับดาวด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันอยู่แต่วินาทีที่เธอคนนั้นง้างมือขึ้นคล้ายกำลังจะตบนับดาวผมก็ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
คนรอบตัวของนับดาวยื่นมือเข้ามาห้ามผู้หญิงคนนั้นเอาไว้
แล้วไอ้ฟิวส์ก็รีบพุ่งเข้ามาปกป้องเธอโดยการดึงเข้าไปกอดอย่างถือวิสาสะ
เอาล่ะ...ผมไม่ชอบไอ้หมอนี่ละ
“มีอะไร”
ทันทีที่เดินมาถึงผมก็เอ่ยถามเสียงเย็นพร้อมจ้องมองกลุ่มรุ่นพี่ที่กำลังใช้สายตารุมนับดาวกับเพื่อนของเธออยู่
“พี่มิค”
นับดาวที่พยายามจะผละออกจากไอ้ฟิวส์อยู่ก่อนหน้านั้นแล้วก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักมันออก
เธอพุ่งเข้ามาหาผมคล้ายกำลังกังวล
ผมโฉบสายตาไปมองยังจุดที่ผู้หญิงคนดังกล่าวยืนอยู่พร้อมมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
ตั้งแต่คบกันมาแม้แต่ตวาดเพียงครั้งเดียวผมยังไม่เคยทำเลย
แล้วนี่เป็นใคร กล้าดียังไงจะมาทำร้ายนับดาว
“เกิดอะไรขึ้น”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำพลางดึงนับดาวให้มาอยู่ด้านหลังของผมแทน
ไม่มีใครเอ่ยตอบคำถามผมสักคนและนั่นก็ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองส้ม
เพื่อนของนับดาวเพื่อเอาคำตอบ
“พอดีพวกพี่เขาอยากให้นับดาวใส่ชุดมากค่ะ
แต่นับไม่อยากทำ ก็เลย...”
“คุยกันดี
ๆ ไม่ได้หรือไง” ผมตวัดสายตาจากเพื่อนของนับดาวไปยังผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม “ทำไมต้องใช้กำลัง”
“เฟย์เปล่านะคะ”
“ก็เมื่อกี้เห็นว่าจะตบ”
ใบหน้าของเธอเริ่มซีดเผือดอย่างหวั่นกลัวก่อนจะก้มหน้างุดเพราะไม่กล้าสบตากับผมอีก
กลัว?
แล้วทำไมถึงกล้าที่จะทำร้ายเด็กคนนี้ น่าขำสิ้นดี
“ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไปเรียกอาจารย์มา
ฉันจะเคลียร์ให้เอง”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่นะ”
ไอ้ฟิวส์ที่ยืนเงียบอยู่พักใหญ่ก็ได้เอ่ยปากขึ้น “นี่เป็นเรื่องภายในสาขาของพวกเรา
คนนอกไม่ควรมายุ่งป้ะครับ”
“ก็ดูเป็นคนรู้นี่ว่าเรื่องไหนควรยุ่งไม่ควรยุ่ง”
ผมมองมันกลับอย่างเอาเรื่องและมันก็มองผมกลับด้วยสายตาเชือดเฉือนด้วยเช่นกัน
มันรู้ว่าผมหมายถึงเรื่องอะไรเพราะก่อนหน้านี้มันพยายามจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของผมกับนับดาวเหมือนกัน
“แต่เรื่องนี้ฉันไม่ยุ่งไม่ได้หรอกนะ
เพราะเหมือนจะคุยกันดี ๆ ไม่ได้”
ถึงผมไม่ออกตัวแต่ถ้านับดาวเป็นอะไรขึ้นมาคงไม่มีใครอยู่เฉยแน่
เธอเป็นน้องสาวสุดที่รักของไอ้ก้องตะวันเลยนะ แถมยัยเด็กนี่ยังมีเหล่าทาสที่พร้อมจะออกโรงปกป้องอย่างเต็มที่ด้วย
แม้ว่าพวกเราจะเรียนจบไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคอนเนกชั่นอยู่ในนี้สักหน่อย
“พี่มิค
เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเองครับ” จู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งออกหน้ารับแทนพร้อมยกมือไหว้อย่างคนร้อนรนก่อนจะหันไปหานับดาว
“พวกพี่ขอโทษจริง ๆ นะน้องนับ เดี๋ยวเรื่องนี้พี่จัดการเองนะครับ”
เมื่อเห็นว่าผมจะเอาเรื่องเลยยอมอ่อนข้อให้อย่างนั้นหรอ
แต่ทุกคนก็คงรู้แล้วว่าผมจัดการกับคนที่มายุ่งกับผู้หญิงของผมยังไงบ้าง
“นับไม่ต้องใส่แล้วใช่ไหมคะ”
เธอถามอย่างกังวล
“เดี๋ยวพี่บอกอีกทีนะ”
“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไง”
ผมย้อนถามอย่างรำคาญ จะอะไรกันนักหนา แค่พูดว่าได้หรือไม่ได้มันยากตรงไหน
“พี่ครับ
ผมขอเวลาจัดการก่อนนะ” มันมองผมด้วยสีหน้าขอร้องให้เห็นใจ
ความเห็นใจของผมน่ะมีให้แค่นับดาวคนเดียวก็พอแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเผื่อแผ่คนอื่นให้เปลืองพื้นที่ความรู้สึกหรอก
“ก็ได้ค่ะ”
แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไปนับดาวก็เอ่ยขึ้นก่อน
ผมก้มหน้ามองเธอคล้ายตำหนิที่ยอมเอาง่าย
ๆ แต่เธอกลับจับเสื้อของผมไว้แน่นคล้ายไม่อยากให้มีเรื่อง
โอเค...เห็นแก่ยัยเด็กนี่ผมจะไม่เอาเรื่องก็ได้
แต่คนที่จะตบนับดาว...ผมจำหน้าใส่สมองไว้แล้ว
[End Michael
Talks]
“ฉันว่ามันแปลก
ๆ” มาหยาพูดพร้อมกับครุ่นคิดอย่างสงสัย
หลังจากที่เราเดินกลับมาที่เดิมยัยส้มก็โทรตามมาหยาให้มาหาที่นี่
ในบรรดาเพื่อนกันมาหยาพึ่งพาได้มากที่สุดแล้ว
“แปลกยังไง”
“แค่เรื่องที่ไม่ยอมใส่ชุดถึงกับจะลงไม้ลงมือกันเลยหรอ
ฉันว่ามันเกินไปอะ”
“ก็นั่นแหละ
ตอนนั้นฉันตกใจมากเลย ดีนะที่พี่ฟิวส์มาขวางไว้ซะก่อน”
“แล้วพี่ฟิวส์ว่าไงบ้าง”
มาหยาถามก่อนจะหันไปมองยังกลุ่มรุ่นพี่ “เขาพี่เป็นพี่ชายของพี่เฟย์นี่นา
เขาปกป้องยัยนับแต่ไม่ดุน้องสาวเขาเลยหรอ”
“เออใช่
จริงด้วย” ฉันพึมพำอย่างสงสัย ตอนนั้นไม่ทันสังเกตอะไรเพราะอยู่อารามตกใจบวกกับพี่มิคโผล่มาพอดีเลยไม่ทันได้คิด
“หรือไม่ก็อาจจะไปเคลียร์กันอีกที”
ส้มพูดถึงความเป็นไปได้
“พี่มิคว่ายังไงบ้างคะ”
มาหยาหันไปถามความเห็นของเขา คงเพราะอยู่ในฐานะพี่ชายด้วยล่ะมั้ง
“ถ้าทำผิดก็ต้องตักเตือน”
เขาตอบกลับแค่นั้นก่อนจะมองไปยังกลุ่มรุ่นพี่อีกครั้งแล้วพึมพำออกมา “พี่รู้สึกคุ้นหน้าคนชื่อเฟย์”
“ไม่แปลกค่ะเพราะพี่เฟย์คือแฟนคลับตัวยงของพี่มิคเลย”
ทันทีที่มาหยาพูดแบบนั้นทุกคนก็เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างได้ขึ้นมาแม้กระทั่งเจ้าตัวเองก็ด้วย
ถึงว่าล่ะ...ทำไมเธอถึงได้ดูมองฉันแรงมากจนสายตาแทบจะเจาะร่างฉันให้เป็นรูพรุนอยู่แล้ว
“แต่ว่าตั้งแต่พี่มิคมีแฟน
พี่เขาก็ดูเงียบไปนะคะ”
ยัยมาหยานี่ยังไง
ทำไมรู้ทุกเรื่องขนาดนี้เนี่ย
ขนาดฉันคิดว่าฉันเป็นแฟนคลับตัวยงของพี่มิคฉันยังไม่รู้ลึกเท่านี้มาก่อนเลย
ข้าน้อยของคารวะ
--------------------------------------------------------------
- (ทอล์ก 100%)
น้องจะบูชาเพื่อนแล้วนะคะทุกคน 5555
ตอนพิเศษมี 3 ตอนน้าาาา ลงกันเรื่อย ๆ เลยค้าบ เวลาลงอาจจะเปลี่ยนบ้างเพราะบางวันเค้าก็ยุ่งมาก ๆ เลยค่ะ แต่จะพยายามมาทุกวันน้า วันไหนลืมอัปก็จะทดแทนให้เป็นอัปสองรอบค้าบ
ฝากนิยายเรื่องใหม่ของเค้าด้วยนะคะ เรื่องของพี่ไปป์ พี่ชายของพี่ปุณ ตอนแรกว่าจะเขียนพี่ปุณก่อนแต่ตอนนี้อยากเขียนพี่ไปป์ก่อนเลยจะอัปเรื่องนี้ก่อนนะคะ จิ้มตามลิงก์ไปได้เลย >>> จิ้มลิงก์
- (ทอล์ก 80%)
ถึงที่ผ่านมาจะใจร้ายแต่ตั้งแต่คบกันมาพี่เขาก็ทะนุถนอมน้องมากเลยนะ ยกเว้นเวาลาอยู่บนเตียง แอร๊ยยยยย
- (ทอล์ก 60%)
ทุกคนนน เมื่อวานลืมมาอัปเลยค่ะ เดี๋ยววันนี้หลังเลิกงานช่วงสามสี่ทุ่มเค้าจะมาอัปอีกรอบเป็นการชดเชยน้าา เมื่อวานลืมจริง ขอโทษค้าบบบบบ
ฝากนิยายเรื่องใหม่ของเค้าด้วยนะคะ เรื่องของพี่ไปป์ พี่ชายของพี่ปุณ ตอนแรกว่าจะเขียนพี่ปุณก่อนแต่ตอนนี้อยากเขียนพี่ไปป์ก่อนเลยจะอัปเรื่องนี้ก่อนนะคะ จิ้มตามลิงก์ไปได้เลย >>> จิ้มลิงก์
- (ทอล์ก 40%)
ฟีลนั่งทำงานเฝ้าแฟนอะค่ะ
- (ทอล์ก 20%)
ตอนพิเศษมาแล้ววววว ดีใจที่ได้กลับมาอัปนิยายและพูดคุยกับทุกคนอีกครั้งค่ะ ฮือออออ ตอนนี้ยังไม่เขียนเรื่องใหม่ เอาตอนพิเศษเรื่องนี้ไปอ่านกันก่อนน้า อิอิ มีคนไปคอมเมนต์ถามในหน้าอีบุ๊กว่านับดาวคนนี้กับนับดาวในเรื่องของศิวามะนาวเป็นคนเดียวกันไหม เค้ามาไขข้อข้องใจก่อนน้าว่าไม่ใช่ค่า นับดาวคนนี้คือตัวละครใหม่นะคะ ไม่เคยโผล่ที่ไหนในนิยายที่เค้าเขียนน้า เค้าเป็นพวกถ้าชอบชื่อไหนจะใช้ซ้ำ แม้ว่าชื่อนั้นจะเคยใช้เป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องอื่นแล้วก็ตามเพราะเค้าเชื่อว่าคนเราชื่อมันซ้ำกันได้ค่ะ 5555555555555 แต่จริง ๆ ก็มีใช้ซ้ำแค่พี่บอสกับนับดาวนี่แหละค้าบ แล้วก็เซตติ้งของนิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนิยายเรื่องไหนของเค้าเลยนะคะ เป็นเรื่องใหม่เอี่ยมอ่องเลยค่ะ
ปล.นิยายเรื่องต่อไปเค้าแจ้งว่าจะอัปพี่ปุณแต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าอยากอัปพี่ไปป์ก่อนเพราะปกดีงามมาก 55555 ไว้เค้าเปิดหน้านิยายแล้วเค้าจะเอามาแปะลิงก์ให้นะค้า ><
ความคิดเห็น