ลำดับตอนที่ #66
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #66 : [Chapter9] Worse
เสียงฝีเท้าก้าวผ่านหญ้าเขียวชะอุ่มไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ทิวทัศน์ตรงหน้าเป็นภูเขาที่ให้ความรู้สึกสบายตา เขาก้าวไปเรื่อยๆก่อนที่จะหยุดลงเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวที่เริ่มมีอายุคนนึงที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเมื่อสังเกตุเห็นเขาก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนที่จะพยายามลุกเดินเตาะแตะอย่างโงนเงนก่อนที่จะเกือบล้มลงราวกับเด็กแรกเกิด
โชคดีที่ผู้มาเยือนว่องไวพอที่จะเข้าประคองร่างของเธอทันก่อนที่จะล้มลง
“ก็รู้นี่ครับว่าทำแบบนั้นไม่ได้” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนที่จะประคองเธอในท่าอุ้มเจ้าหญิง
ผู้หญิงในอ้อมแขนเขายังคงฉีกยิ้มกว้างจนแก้มเกือบปริแตก ดวงตาของเธอสอดส่ายไปมารอบๆตัวเขา
“ผมมาคนเดียว” เขาพูดแล้วหัวเราะ “ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังครับ”
ผู้หญิงผมแดงยาวคนนั้นพองแก้มออกมาน้อยๆอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะหันไปทางทุ่งดอกไม้แล้วชี้ๆไปอีกด้านหนึ่ง
คำสั่งจากผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาทำตามอย่างว่าง่าย
เขาเดินไปตามทางที่เธอต้องการ ก่อนที่จะค่อยๆวางลงอย่างนุ่มนวล
แต่พอเมื่อกำลังจะลุกขึ้นยืนเธอก็รั้งแขนข้างนึงเขาไว้ ส่วนมือข้างที่ว่างก็ตบตักตัวเองปุๆ
เอาแต่ใจจริงๆ เขาคิดขำๆในหัว
แต่ก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักนุ่ม มือที่ค่อนข้างผอมแห้งลูบเบาๆที่ผมของเขา
ดวงตาสีฟ้าหม่นปิดลงพร้อมปรากฎรอยยิ้มบางออกมา
“จริงๆผมมาขออนุญาต”
“???” ใบหน้าของคนหญิงสาวคนนั้นเอียงเล็กน้อยเหมือนกำลังสงสัย
“ผมขอยืมชุดที่คุณขึ้นแสดงครั้งสุดท้าย… มาใช้ได้มั้ยครับ?”
เขาลืมตาขึ้น ทั้งที่คิดว่าประโยคที่เขาขอไปอาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเท่าที่ควร แต่พอมองใบหน้านั่น เธอกลับยิ้มกว้างออกมาซะอย่างนั้น มือของเธอยังคงลูบหัวเขาอยู่เอื่อยๆ แถมยังหยิบดอกไม้ขาวอันน้อยมาไว้ที่ข้างหูเขาอีก
‘ได้สิ’ เธอคงกำลังจะบอกอย่างนี้แน่ๆ
เขาพยามนึกเสียงนุ่มนวลน่าฟังของอีกฝ่ายผ่านห้วงความทรงจำ
ถึงแม้ว่าจะยาวนาน แต่ก็ยังคงติดตรึงอยู่ภายในใจ น้ำเสียงที่ไม่ได้ออกมาเป็นคำพูดแต่มาในรูปแบบของเพลงขับกล่อมในครั้งเยาว์วัย
“ผมอยากได้ยินเสียงคุณจัง….”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขาก็รู้ดีอยู่แล้ว
คนที่ถูกตัดกล่องเสียงทิ้งน่ะ…พูดออกมาไม่ได้หรอกนะ
ทั้งๆที่ภายนอกเป็นเพียงโรงแรมหรูธรรมดาเท่านั้น... ใครจะคิดว่าพอเดินเข้าไปแล้วเจอพรมแดงแบบนี้ แล้วยังมีกลิ่นหอมเฉพาะแล่นเข้าสู่โสตประสาททันทีเพียงแค่ก้าวขาเข้าไป ไหนจะยังเสียงดนตรีที่ดังจนหัวใจเต้นตามแบบนี้ด้วย หญิงสาวประหม่าจนต้องแขนที่เกาะแขนผู้ชายข้างๆอย่างลืมตัว โชคดีที่ยังมีหน้ากากปิดบางส่วนของใบหน้าเพราะไม่งั้นเธออาจจะประหม่ากว่าเดิมก็ได้ถ้าหากมีใครสักคนจดจำใบหน้าเธอ
ภายในงานเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ไม่มีโต๊ะนั่ง เป็นงานยืนซึ่งก็ดีสำหรับเธอเพราะจะได้ไม่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่รู้จัก... ในตัวงานมีเด็กเสิร์ฟเดินถือแก้วแชมเปญเดินไปมา รอบข้างเป็นอาหารชิ้นเล็กที่สามารถหยิบกันได้อย่างสะดวก คนส่วนใหญ่มักยืนพูดคุยกันอยู่กลางห้อง... นั่นจะเป็นตำแหน่งที่เธอจะไม่เข้าไปเด็ดขาด!
พอมาเจองานใหญ่แบบนี้...ก็อดที่จะกลัวไม่ได้
ถ้าหากเธอทำอะไรประหลาดๆออกไปจะต้องเป็นที่จดจำไว้แน่ๆเลย
“กลัวเหรอ?”
“ค ค่ะ...” เธอตอบเสียงเบา เขาเหลือบตามองหน้าเธอเล็กน้อยผ่านหน้ากากสีดำ นั่นทำให้เขาบีบมือเธอนิดหน่อยเชิงปลอบขวัญ
“อ่ะ... เฮียนี่นา” เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่เดินปรี่เข้ามา... ผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง แต่ตัวเล็กว่าคนที่ยืนข้างเธอไปบ้าง พวกเขาทักทายกันนิดหน่อยก่อนที่ชายคนนั้นยื่นหน้าหาเธอเล็กน้อยก่อนที่จะขมวดคิ้วเอียงใบหน้าซ้ายทีขวาทีเหมือนกับจะสำรวจ จนเธอต้องเอียงใบหน้าหนีด้วยความกลัว
“พอเลย”
“ว้าว ไม่นึกว่าคนแบบพี่จะมีสาวให้พามางานอ่ะ” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับยิ้มร่าออกมานิดหน่อย
“แล้วนายล่ะเดนิส? ไม่มีคนพามาด้วยรึไง”
“พูดแบบนั้นผมก็เจ็บสิครับ แต่ก็เรื่องจริงผมไม่มีใครให้พามาด้วย”
พวกเขาชนแก้วแชมเปญกันเล็กน้อย ชายหนุ่มคนนั้นยังคงมองหน้าเธอเป็นระยะๆอย่างไม่เชื่อสายตา
“แฟนเหรอครับ?”
“ม ม ไม่ใช่แฟนนะคะ!!” กลายเป็นเธอที่โพลงตอบออกไปแบบนั้น แล้วก็หน้าแดงเอง
ส่วนคนข้างๆเธอก็แค่กระดกดื่มเจ้าแชมเปญในแก้วจนหมดแล้ววางให้กับบริกรที่เดินผ่านไปมาอย่างไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่
“แบบนี้คือโดนสาวปฏิเสธแล้วรึเปล่า?”
“...” เขาหยักไหล่เป็นการตอบคำถาม
“เอาเถอะครับ เออ! ไปทักทายคุณริวหน่อยมั้ย? อยู่ฝั่งนู้นแน่ะ มากับคุณภรรยาเขาด้วยล่ะ”
“เอาสิ”
เขาหันมองหน้าเธอก่อนที่จะยิ้มบางออกมานิดหน่อย
“ไปด้วยกันมั้ย?”
“ด ด เดี๋ยวฉันรอตรงนี้ดีกว่าค่ะ!!” เธอตอบอย่างรวดเร็วพร้อมส่ายหน้ารัวๆ เขาเลยปล่อยให้เธอยืนอยู่ตรงโซนอาหารแล้วเดินตามอีกคนไปอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่ เธอมองเขาจนหายเข้าไปในฝูงชนแล้วถอนหายใจออกมา
“ไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลยน้า...” เธอพึมพำออกมา
ก่อนที่จะสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆมีแก้วแชมเปญปริศนายื่นมาชนกับเธอทั้งๆที่เหม่อลอยอยู่แบบนั้น เกือบเผลอกรี๊ดออกไปแล้วสิ!
“ว่าไงครับคนสวย มายืนคนเดี๋ยวเหงามั้ยครับ~?” เสียงถูกดัดจนออกมาฟังแล้วดูกวนโอ้ยแบบนี้ เธอเงยหน้ามองรอยยิ้มที่ส่งมาแบบกวนๆแล้วก็อดยิ้มออกมาด้วยความดีใจไม่ได้
“โลยัล! มาด้วยเหรอ”
“มาสิ! จริงๆก็ไม่อยากมาหรอก แต่ว่าบริษัทฉันมันไม่มีใครมาเป็นตัวแทนเลยจับฉลากกัน แล้วหวยมันดันออกฉันนี่สิ” เขาถอนหายใจหน่อยๆ “เมื่อกี้ว่าจะมาทักตั้งนานล่ะ รอจังหวะหมอนั่นเดินออกไปเนี่ย”
“ฮะๆ จริงฉันก็ไม่อยากมาเหมือนกัน...” เธอพูดพร้อมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“แต่เอาเถอะ ถือว่ามากินฟรี”
เขาพูดพร้อมกับยกแชมเปญในมือขึ้นจิบแล้วยิ้มร่าออกมา ดวงตาสีนิลเหลือบมองเพื่อนตัวเองก่อนที่จะหัวเราะออกมาเล็กๆ ก่อนที่จะสังเกตุดีๆว่ามือเขาถือแชมเปญมาตั้งสองแก้วแบบนั้น...
“กินทีสองแก้วเลยเหรอ?” เธอเอ่ยแซว
“หา? เปล่าซะหน่อย หยิบมาให้แฟนต่างหาก!”
“เมื่อไหร่ฉันจะได้เจอแฟนโลยัลเนี่ย ไม่ใช่แฟนมโนใช่มั้ย?”
เธอพูดทีเล่นทีจริงใส่เพื่อนหนุ่มตัวเอง แต่ยังไม่พอพูดจบประโยคไม่เท่าไหร่ก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาเดินเข้ามาพอดี
“ไซเดอร์! ดูดีมากๆเลยนะเนี่ย!” นั่นคือเสียงของคิคุยะจังที่มองเธอตาเป็นประกายวิ้งๆ ทำให้เธอเขินอายออกมานิดหน่อย
“ไม่ทักฉันบ้างเหรอ~?”
“มาด้วยกันแล้วจะทักทำไมอีกล่ะ?”
...อะไรนะ? มาด้วยกันงั้นเหรอ ไหนจะเพื่อนตัวเองที่ส่งแก้วแชมเปญให้ผู้หญิงคนนั้นอีก อย่าบอกนะว่า
“ฮ แฮ่ม! ขอแนะนำให้รู้จัก นี่แฟนสาวคนสวยของฉันเอง!”
โลกกลมเกินไปแล้วเว้ยยยยย!!!
ไซเดอร์อ้าปากพะงาบๆอย่างช๊อคๆ เดี๋ยวสิ คนแบบคิคุยะจังน่ะเหรอจะคบกับคนอย่างโลยัล เดี๋ยวสิ! จริงๆเธอน่าจะคิดได้ตั้งแต่ที่ทำงานโลยัลอยู่ไกลปืนเที่ยงแล้วยังโผล่มาร้านกาแฟใกล้ๆบริษัทเธอแล้วนี่! จริงๆทุกอย่างมันก็สามารถเชื่อมโยงกันได้อยู่แล้วนี่หว่า
“ไม่ต้องแนะนำหรอก รู้จักกันแล้วน่า”
“อ้าวเหรอ~”
ในขณะที่สองคนนี้ยังพูดคุยกันอยู่ ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาสมทบ
“หวา~ คิงส์! ไซ!” นั่นก็คือเสียงไวท์ พอหันไปก็พบกับสาวน้อยท่าทางนุ่มนิ่มในชุดกระโปรงฟูฟ่องคนหนึ่ง อา...สีม่วงขาวระยิบระยับแบบนั้นเหมาะกับไวท์จริงๆด้วยล่ะนะ เธอมองสองสาวที่แต่งตัวน่ารักๆแบบนั้น พอหันกลับมาดูชุดเธอก็ออกจะค่อนข้างเซ็กซี่เกินเบอร์ไปหน่อยมั้ยเนี่ย!
“อ้าว... นี่ไซเดอร์มางานกับใครล่ะ?”
“ก็กับลูคไง”
“หวา!! แฟนเหรอเนี่ย!! ไม่น่าเชื่อ!”
“ม ม ไม่ใช่แฟนกันค่ะ! “ เชื่อเถอะว่าในวันนี้เธอคงจะพูดประโยคแบบนี้วนไปเป็นรอบที่ล้าน
อย่างน้อยก็พอโล่งใจอยู่บ้างเมื่อค้นพบว่ามีคนรู้จักเดินอยู่ในงาน... แต่ว่านะเพื่อนๆเธอที่มาอยู่ในงานก็อยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดไม่ได้นี่นะ ต่างคนก็ต้องออกทักทายพวกแขกผู้ใหญ่กันทั้งนั้น
...ทำให้สุดท้ายผ่านไปก็เลยเหลือแค่เธอคนเดียวอยู่ดี
รู้สึกว่าแชมเปญที่กินไปค่อนข้างจะออกฤทธิ์แล้วสิ... ไม่น่าคิดว่าแอลกอฮอล์น้อยกินมากๆแล้วจะไม่เป็นไรเลย
ใบหน้านวลเริ่มขึ้นสีแดงขึ้นมานิดหน่อย เธอยังยืนอยู่ที่เดิม แม้ว่าร่างกายจะขยับไม่ได้ดั่งใจไปบ้างแต่ก็ยังคงทรงตัวได้อย่างแนบเนียน เธอพยายามสอดส่องสายตาหาคนที่ทิ้งเธอไว้ที่เดิมมาเป็นพัก
...อ่ะ คนผมแดงตรงนั้น!
เมื่อสังเกตุเห็นเธอเลยเดินดุ่มๆไปจับคนที่ยืนอยู่เข้าให้... ก่อนที่จะค้นพบว่าเธอทักคนผิด
“-__-“ ใครล่ะนั่น... แล้วทำไมเขาต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย น น่ากลัว!
“หวา...” แต่ยังไม่ทันที่จะขอโทษอะไรก็มีเสียงใสดังขึ้นมาจากข้างหลังเสียก่อน
“ขอโทษทีนะ~ พี่ลีอองไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอกลัวหรอกนะ!” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นละต้นคอเดินเข้ามาพร้อมฉีกยิ้มหวานแล้วจับมือคนที่ยืนจ้องหน้าเธอนิ่งๆไว้ คนที่เธอทักผิดเหลือบมองสาวน้อยคนนั้นด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง สาวน้อยคนนั้นมองหน้าเขาสักครู่ก่อนหันมาพูดกับเธอยิ้มๆ
“พี่ลีอองบอกว่าเธอคงจำคนผิด!”
“-__-“
เครื่องแปลภาษารึยังไงนะ?
แต่เพราะสมองที่สั่งการช้าทำให้เธอไม่ได้ติดใจอะไรมากแล้วปล่อยให้สองคนนั้นเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม... หมายถึงแค่สาวน้อยคนนั้นนะที่ยิ้มน่ะ เธอก็ได้แต่ยืนงงๆแล้วโบกมือให้คนทั้งคู่
“หาผมไม่เจอเหรอ?” เสียงนุ่มดังขึ้นมาข้างหูทำให้อดสะดุ้งไม่ได้ พอหันไปก็เจอคนที่กำลังตามหาด้วยใบหน้ายิ้มมุมปากแบบที่เจ้าตัวชอบทำ
“...” เธอเบนหน้าไปทางอื่น จริงๆคนแบบเขาก็น่าจะแอบมองเธอตั้งแต่แรกแล้วนี่นา...
“หน้าแดงขนาดนี้ หยุดดื่มได้แล้ว”
“ค่ะ...” เธอตอบไปเสียงแผ่วๆ พอเดินมากร่างกายก็เริ่มโงนเงนนิดหน่อย จนชายข้างๆต้องดึงให้ไปเกาะแขนเขาอย่างช่วยไม่ได้
“เกาะผมไว้” เป็นคำสั่งที่เธอยินดีทำตามอย่างยิ่ง
กลายเป็นว่าหลังจากนั้นเธอแทบจะเกาะเขาตลอดทั้งงานเลย ทั้งที่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ในใจนึกโทษแอลกอฮอล์ที่ทำให้สภาพเธอเป็นแบบนี้ ตลอดทั้งงานแทบจะมีคนเดินมาชนแก้วกับเขาตลอดเลยล่ะ... แล้วคนที่ชนแก้วกับเขาก็ต้องเห็นเธอในสภาพที่ไม่ไหวแบบนี้แล้วด้วยเนี่ยล่ะ(…)
เสียงพิธีกรคนนึงพูดขึ้นทำให้ทั้งงานที่เสียงดังเซ็งแซ่เบาลงกระทันหัน เธอจับใจความในสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ แต่พอเห็นคนรอบข้างปรบมือกันตัวเองก็ปรบมือด้วยอย่างงงๆ แล้วก็มีใครก็ไม่รู้ขึ้นเวทีไปเรื่อยๆเลยล่ะ
“ยืนไหวมั้ย?”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวผมต้องขึ้นเวที” เขาพูดด้วยน้ำเสียงชวนเบื่อหน้านิดหน่อย
“ไว้จะส่งเสียงเชียร์นะคะ” เธอพูดยิ้มๆแล้วผละตัวออกจากเขา
ดวงตาสีฟ้าหม่นเหลือบมองเธออย่างยิ้มๆก่อนที่เจ้าตัวจะขยับออกห่างเธอออกไปจนลับสายตาคนอีกครั้ง เธอค่อนข้างที่จะดีขึ้นนิดหน่อยจากตอนแรก คิดว่าสภาพร่างกายคงจะเริ่มสร่างด้วยตัวเอง
“อา แล้วนะครับ ตอนนี้ก็ขอทุกคนปรบมือให้กับ…”
เสียงพิธีกรยังคงประกาศต่อไปโดยมีใครหลายคนที่เธอไม่รู้จักขึ้นลงเวทีตลอดเวลา เธอพยายามเพ่งสายตาหาเขา แต่ว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน
“อ้าว มาด้วยเหรอ?” เธอสะดุ้งเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างๆตัว พอหันไปก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาเข้า…
“...”
“ตายจริง สงสัยตอนนั้นเธอคงโกรธ ฉันขอโทษล่ะกัน” คู่สนทนายิ้มนิดๆก่อนที่จะยกแก้วแชมเปญขึ้นมาทางเธอนิดหน่อย
“ค่ะ…” เสียงที่ตอบออกไปก็กลายเป็นเสียงที่เรียบนิ่งซะงั้น
“ไม่คิดเลยว่าเขาจะพาเธอมางานแบบนี้นะ สงสัยคงไปไกลกว่าเจ้านายกับลูกน้องแล้วล่ะนะ “ เธอไม่ได้ใช้คำว่าบ่าว...?
“คงจะอย่างนั้นค่ะ”
ไซเดอร์ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงแม้ว่าจะมีสติที่เลือนลางไปบ้าง… อย่างว่าแหละ แอลกอฮอล์มักจะทำให้คนกล้าขึ้นซึ่งนั่นอาจรวมตัวเธอด้วย ไม่ว่าจะยังไงก็ตามตอนนี้เธอยืนอยู่ข้างๆผู้หญิงคนนั้นโดยที่ไม่ได้รู้สึกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่าเธออยู่เหนือกว่าผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำในหลายๆความหมาย
เสียงพิธีกรยังคงพูดอะไรอีกยืดยาว… แต่ตอนนี้เธอเห็นเขาแล้ว ยืนอยู่ข้างๆพิธีกร ทั้งๆที่ก่อนออกไปหน้าเบื่อโลกแท้ๆ แต่พอยืนบนเวทีก็กลับยิ้มออกมาซะงั้น…
เล่นละครได้เนียนจริงๆเลยนะ
“…กำลังจะคิดอยู่ล่ะสิ ว่าทำไมเขาเปลี่ยนหน้ากากเก่ง”
เธอหันไปมองคนข้างๆที่เหมือนกับพูดถึงความคิดเธอถึงแม้ว่าจะใช้ถ้อยคำที่แตกต่าง
“ใช่ค่ะ เมื่อกี้ยังหน้านิ่งอยู่เลยแท้ๆ”
“อา นั่นสิ แต่เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่นะ”
“ค่ะ” เธอเบนสายตากลับที่เดิม
“พูดเหมือนรู้จักเขานะ… “
“สงสัยว่าฉันคงได้เข้าไปในโลกเขาแล้วมั้งคะ?” เธอพูดพร้อมกับฉีกยิ้มออกมาโดยไม่ได้หันมองหน้าอีกฝ่าย เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีสีหน้าอย่างไรบ้าง แต่ว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่ได้พูดออกมา
“…”
“พอดีว่าฉันไม่ต้องหากุญแจแบบที่คุณเอลี่บอกเลยค่ะ” เธอยิ้มบางเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปหยิบแชมเปญจากบริกรที่เดินผ่านเข้ามาทางเธอ
“…”
“เขาเป็นคนเปิดให้ฉันเข้าไปเอง”
เธอได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงสูงในลำคอ ใบหน้าของเธอพยักลงช้าๆแต่ว่ากลับยียวน ไซเดอร์เผลอหันมองใบหน้านั่นซึ่งก็ตกใจนิดหน่อยที่ผู้หญิงคนนั้นก็หันจ้องเธออย่างไม่ละสายตา ผู้หญิงผมสีอ่อนส่ายแก้วแชมเปญในมือตัวเองเบาๆ
“แต่ก็คงไม่ใช่ทั้งหมดล่ะสิ”
“!!!” อา รู้สึกเหมือนจุกที่ลำคออีกแล้วสิ
“แหม ก็นะ… บางทีส่วนที่ไม่เปิดรับเธอเข้าไปเพราะอาจจะมีใครอยู่ก็ได้มั้ง”
ใบหน้าหวานขมวดคิ้วมุ่ยเข้าหากัน ดวงตาสีนิลภายใต้หน้ากากตวัดมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่สุภาพโดยลืมตัว ถึงจะแสดงออกไปอย่างนั้นก็เถอะแต่ร่างกายมันก็กลับเริ่มสั่นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มือของเธอเผลอเลื่อนไปสัมผัสที่คอตัวเองแต่ก็พบว่าสร้อยเส้นนั้นของเธอยังไม่อยู่ในตอนนี้
…รู้สึกกลัวอีกแล้วสิ
เสียงพิธีกรพูดขึ้นเสียงดังอีกหนึ่งครั้งทำให้เธอที่กำลังจะอ้าปากพูดชะงักลง… เสียงปรบมือดังขึ้นรอบๆจนต้องปรบมือตาม จากนั้นเสียงในงานจึงค่อยๆเงียบลงตามลำดับ เธอเห็นคนที่คุ้นตาขึ้นกล่าวอะไรบนเวทีแต่เธอหามีสมาธิที่จะสนใจมันไม่ ตอนนี้ตัวเธอยังคงคาใจกับสิ่งที่ผู้หญิงคนข้างๆพูด
“รู้อะไรมั้ย?” ผู้หญิงข้างๆเธอพูดขึ้นมาเสียงเบา “ว่าสาเหตุของช่องว่างที่เธอเข้าไปไม่ได้คืออะไร?”
“ไม่ทราบค่ะ”
“แหมๆ เด็กๆแบบเธอน่ะก็ต้องเคยเจออยู่แล้วล่ะ ใครสักคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเป็นครั้งแรก จับมือครั้งแรก ดูหนังด้วยกันเป็นครั้งแรก… เรียกง่ายๆก็รักแรกนั่นแหละ คงจะยากหน่อยนะที่เขายังไม่ลืมมันน่ะ”
“…ฉันเข้าใจดีค่ะ ว่าความรักครั้งแรกมันลืมยาก” เธอนึกถึงคำที่เขาเคยพูดแล้วก็หลับตาลงช้าๆชั่วครู่ “บางทีรักแรกของประธานอาจจะจบไม่สวยก็ได้ค่ะ เขาเลยยึดติดแบบนี้… แต่ว่าสักวันฉันจะช่วยให้เขาลืมให้ได้ค่ะ!”
“ช่วย…?” พูดเสียงยียวนก่อนที่จะกลั้นหัวเราะในลำคอ
“มีอะไรน่าขำเหรอคะ?”
“เธอจะช่วยเขาได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ?”
“คุณพูดเหมือนคุณรู้จักเขาดีจังเลยนะคะ… ฉันเองก็เคยมีค่ะ! รักแรกที่เป็นแรงผลักดันทุกอย่างให้กับฉัน เขาสอนทุกอย่างที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน… แต่ว่า”
“จะบอกว่า แต่สุดท้ายเธอก็ลืมเขาได้งั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ… ก็แค่” เธอเหลือบสายตาขึ้นไปบนเวที “มีใครสักคนเคยบอกฉันว่าไม่ต้องลืมก็แค่ใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้”
ดวงตาสีเขียวใสหลับตาลง มือยกแก้มแชมเปญขึ้นมาจิบเบาๆ ก่อนที่จะเบนสายตาไปมองคนบนเวทีบ้าง
“ผู้หญิงที่เป็นรักแรกประธาน… ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร แต่ว่าเธอทำในสิ่งที่ไม่ดีไว้ เพราะงั้นฉันจะเป็นคนที่จะคอยช่วยเหลือประธานให้ลืมผู้หญิงคนนั้นเอง นั่นคือสิ่งที่ฉันพยายามจะทำช่วยเหลือเขา-”
“ก็บอกแล้วไงล่ะ… ว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ”
ริมฝีปากที่กำลังจะพูดอยู่ถูกปิดลงกระทันหันเมื่อได้ยินเสียงที่ยียวนนั้นเรียบเย็นในทันใด ดวงตาสีเขียวใสนั่นไม่ฉายแววขี้เล่นเหมือนซักครู่เลยสักนิด แต่ตอนนี้เธอยังขอบคุณเจ้าแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในหัวที่ยังทำให้เธอหันไปจ้องตาผู้หญิงคนนั้นอย่างหาญกล้า
“ฉันแค่ถามคำถาม เธอก็แค่ตอบ”
“กำลังจะบอกว่าที่ประธานยังไม่ให้ฉันเข้าไปในโลกของเขาทั้งใบเพราะว่ารักแรกของเขาใช่มั้ยคะ? ก็พอยอมรับได้”
“แล้วรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?”
“ไม่รู้” เธอตอบห้วนๆไร้หางเสียง
“ฉันว่าเธอก็ไม่โง่นะ น่าจะคิดได้…”
เธอหันมองผู้หญิงข้างกายที่ยืนส่งยิ้มบางๆให้เธออีกครั้ง… แต่น่าแปลกที่อะไรบางอย่างในหัวของเธอมันกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนทำให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ทั้งน้ำเสียงของเขาเวลาที่เรียกชื่อเธอคนนั้น ทั้งคำพูดในตอนที่เขาเล่าออกมา แววตาที่แสนเจ็บปวดในตอนนั้น… ไม่ยากเลยที่จะเชื่อมโยงทุกสิ่งไว้ด้วยกัน เพราะสิ่งที่ประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกันก็คือรอยยิ้มของผู้หญิงตรงหน้า
“…คุณ”
“ไม่ได้โง่จริงๆด้วย”
เธอรู้สึกตกใจมากเสียกว่าตอนที่ไปกินกาแฟด้วยกันตอนนั้นซะอีก…
“แต่ก็นะ… เข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วใช่มั้ย? ว่าเธอไม่มีทางเข้าไปได้เพราะว่าอะไร การที่เธอจะทำให้เขาลืมฉันหรือลืมในสิ่งที่ฉันเคยสอนเขามันก็เท่ากับว่าเธอกำลังปฏิเสธในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ไม่ใช่รึไง?”
“…”
“ ฮะๆ เธอควรไปทบทวนตัวเองให้ดีเถอะว่าจริงๆเธอไม่ใช่ตัวแทนของฉันน่ะ”
เพี้ย!
เหมือนมีไฟฟ้าช๊อตเข้าที่แขน เธอตบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรงก่อนที่จะสาดของเหลวใสที่อยู่ในแก้วใส่หน้าผู้หญิงคนนั้นด้วย เธอกำลังโกรธมาก… แต่ไม่ได้โกรธเฉพาะสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเธอ แต่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับผู้ชายของเธอด้วยต่างหาก ทั้งที่ปกติเธอไม่ได้เป็นคนชอบใช้ความรุนแรง แต่ในครั้งนี้เธอนั้นอดไม่ไหวจริงๆ
เอเลียตเช็ดของเหลวที่อยู่บนใบหน้าก่อนที่จะเดินเข้ามาผลักเธอจนเกือบเสียหลักล้ม ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเธอทั้งคู่กลายเป็นจุดสนใจของงานไปแล้ว เสียงรอบกายดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างจับใจความไม่ได้แต่ตอนนี้เธอก็ไม่ได้สนใจมัน คนที่รู้จักเริ่มเข้ามาพยายามดึงตัวเธอไว้เมื่อความรุนแรงในการทะเลาะเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอผลักผู้หญิงคนนั้นจนล้มลง แต่ว่ายังไม่ทันที่จะได้ตวัดมืออีกครั้งเธอก็เห็นใครอีกคนที่คุ้นตาเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด มือที่ค้างไว้จึงค่อยๆลดลงจนไว้ข้างตัว ไม่นานนักผู้ชายผมแดงก็เดินเข้ามาคั่นกลาง ดวงตาสีฟ้าหม่นเหลือบมองทั้งสองฝ่ายนิ่งๆ ก่อนที่จะหันมองหน้าเธอซักพัก
“…ไหวมั้ยครับ คุณเอเลียต”
แล้วก็กลายเป็นผู้หญิงคนนั้นที่เขาเข้าไปประคอง ใบหน้าหวานมีสีหน้าที่ตกใจชัดเจน ริมฝีปากเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง
“คิงส์ ฝากไซเดอร์ด้วย” เขาหันมาบอกคนที่จับแขนเธอไว้หลวมๆ
“อื้อ… ได้ค่ะ” คิคุยะตอบเสียงเบาก่อนที่จะพยายามประคองเธอที่ตอนนี้ยังคงมองตามผู้ชายผมแดงที่ประคองผู้หญิงคนอื่นออกไปทางประตูอีกด้านแทน
“คุณไม่เป็นไรหรอก หยุดสำออยเถอะ”
เสียงเรียบนิ่งดังขึ้นจากร่างที่ยืนพิงกำแพงอยู่ เขากอดอกมองสาวมีอายุที่กำลังเอาน้ำแข็งประคบหน้าตัวเองแล้วยิ้มยียวนให้เขา
“นั่นสินะ~ เล่นกับเธอเจ็บกว่าเยอะเลย” เธอวางของที่ประคบใบหน้าข้างตัวแล้วหันสบตาอีกฝ่าย
ทั้งที่แววตาห่วงผู้หญิงคนนั้นมากๆแท้ๆ แต่เพราะรู้สินะว่าถ้าหากว่าเขาไม่เข้ามาประคองเธอล่ะก็คนที่อาจจะได้รับผลกระทบมากที่สุดอาจจะเป็นผู้หญิงคนนั้นก็ได้ ถือว่ายังสามารถตัดสินใจได้อย่างเยือกเย็น
“คุณต้องการอะไร?”
“ลูซิอัส… “สาวที่นั่งอยู่พูดเสียงเรียบ “เธอเป็นเด็กฉลาด เธอย่อมรู้อยู่แล้วว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่ผมคงไม่ต้องการ”
“เธอไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นหรอก”
“ถ้าไม่รู้อะไรก็หยุดพล่ามได้แล้ว”
สาวคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มือของเธอเปลี่ยนไปกุมกันไว้ที่หน้าตัก ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าเธอรักผู้หญิงคนนั้นจริง… แล้วทำไมใบหน้าถึงดูฝืนขนาดนั้นล่ะ?”
“…”
“ฉันไม่ปฏิเสธก็ได้ว่านั่นคือความรัก” เธอพ่นลมหายใจออกมา “งั้นฉันลองเปลี่ยนคำถามดูนะ ว่าเธอพร้อมที่จะรักใครจริงๆแล้วเหรอ? “
“…”
“ฉันขอพูดในฐานะอาจารย์ของเธอ คนที่ยึดติดกับเรื่องในอดีตอย่างเธอน่ะ ไม่พร้อมที่จะมีใครหรอก… แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าเธอจะลองดันทุรังดู อยากรู้เหมือนกันว่าจะไปได้นานแค่ไหน”
“ทำให้ผมเป็นแบบนี้เองแท้ๆ… ยังจะกล้าพูดอีกนะ”ถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งแค่ไหน แต่ถ้อยคำมันกลับสะท้อนถึงความเจ็บปวดออกมาได้ชัดเจน
“…แต่เธอก็ชอบมันนี่”
“ใช่ แต่ผมก็เกลียดมันด้วย”
ทั้งที่ต่างฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ แต่บรรยากาศกลับหนักอึ้งเสียเหลือเกิน
“เธอไม่เหมาะกับความสัมพันธ์ที่ผูกมัดแบบนั้นหรอก” เธอลุกขึ้นก่อนที่จะเอื้อมมือไปแตะสัมผัสกับใบหน้าของอีกคนที่ยังยืนพิงกำแพงอยู่ที่เดิม “แต่เธอก็ไม่ชอบที่จะนอนกับใครเล่นๆแบบนั้น…ก็ทำสัญญาไว้ในระยะยาวก็ได้ เบื่อแล้วค่อยเปลี่ยนก็ดะ—“
“พอเถอะ” เขาจับมือของเธอออกห่างใบหน้าเขา “ผมจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับอะไร ผมเป็นคนตัดสินเอง”
ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจออกมายาวๆ
“งั้นก็รู้ใช่มั้ย? ว่าจุดจบของมันจะเป็นยังไง”
“…”
“เธอหนีจากตัวเองไม่ได้หรอกนะ จำไว้”
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นยังคงดังอยู่ไปทั่วบริเวณถึงแม้ว่าเจ้าของเสียงจะพยายามกลั้นมันแค่ไหนก็ตาม เพื่อนๆรอบตัวเธอมองหน้ากันด้วยความกังวล มือของคนผมน้ำตาลลูบเรือนผมของเธอเบาๆ ส่วนคนผมดำก็ลูบหลังเธอ ส่วนผู้ชายคนเดียวในกลุ่มถึงแม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสตัวเธอแต่ก็พยายามพูดอะไรให้เธอใจเย็นลงบ้าง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทุกคนพยายามทำมาก็แทบจะไม่ได้ทำให้เธอดีขึ้นแม้แต่น้อยเลย
…ขนาดออกมานอกงานซักพักแล้ว แต่เธอก็ยังไม่สงบเลย
แถมคนที่พาเธอมากลับหายไปกับผู้หญิงอีกคนซักพักแล้ว
“คิงส์… เราว่าพาไซกลับก่อนดีกว่า”
“…”หญิงสาวผมน้ำตาลพยายามคิดหาทางที่ดีที่สุด แต่ไม่นานเธอก็หันไปคุยกับแฟนหนุ่มตัวเอง
“โลยัล งั้นไปส่งไซให้หน่อยได้มั้ย?”
“ได้สิ”
“หวา! ไม่ต้องหรอก เราเรียกสึบะไปแล้ว เราส่งข้อความไป อีกซักพักคงมา”
คิคุยะหันมองหน้าแฟนหนุ่มตัวเองซึ่งเขาก็พยักหน้าเบาๆตอบกลับมา ทุกคนหันมองหน้าคนผมส้มอีกครั้ง แววตานั้นไม่ต่างอะไรกับแก้วที่มีรอยร้าวเต็มไปหมด ไม่ว่าจะพยายามประคองหรือทำให้มันดูดีแค่ไหน แต่แก้วนั่นก็ยังเป็นแก้วที่พร้อมแตกสลายได้อยู่ดี
“ไซ!!!” แต่ก่อนที่ทุกคนจะสะดุ้งเมื่อมีเสียงตะโกนออกมาจากอีกด้าน
ก่อนที่จะปรากฏร่างของชายผมน้ำตาลคนนึงที่แต่งตัวมองก็รู้เลยทันทีว่าเขาต้องรีบมาขนาดไหน เขาปรี่เข้ามาใกล้ๆก่อนที่จะจับไหล่มนแน่นอย่างลืมตัว
แล้วเมื่อคนผมส้มสังเกตุเห็นใบหน้าผู้มาใหม่ก็โผเข้ากอดอย่างลืมตัวเช่นกัน
ตอนนี้เธอแค่กำลังต้องการที่พึ่งเท่านั้น…
“เฮ้ๆ… ไม่เป็นไรนะ” เขาว่าแล้วลูบผมเธอเบาๆ
“ฮึก! สึบะ… ฮืออ”
“เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟังตอนหลังนะคะ” คิคุยะพูดขึ้น “ตอนนี้ขอรบกวนคุณสึบะก่อนค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” เขาจับมือเธอเบาๆ เขาย่อตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้เห็นใบหน้าของกันและกัน รอยยิ้มระบายออกมาบนใบหน้าชายผมตาลเล็กน้อย มืออีกข้างยกขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้
“กลับกันเถอะ”
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
แต่แล้วทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็สะดุ้งออกมากันอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียบเย็นของใครอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉยจนแทบกลายเป็นบึ้งตึง สึบาสะดันตัวผู้หญิงผมส้มไปไว้ข้างหลังมือยังคงจับกันอยู่แล้วหันไปประจันหน้ากับอีกคนที่เดินเข้ามา
“ฉันจะพาเธอกลับ”
“…เธอจะต้องไปกับผม”
“แล้วทำไมฉันต้องยอม?” คนผมน้ำตาลพูดเสียงเรียบนิ่ง “คนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะนาย ยังจะมีหน้ามาบังคับเธออีกงั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูด”
น้ำเสียงของต่างฝ่ายนั้นเรียบนิ่งจนรู้สึกเย็นไปทั่วร่าง พวกเขาจ้องหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาสีฟ้าหม่นจะเป็นฝ่ายเบนสายตาไปมองผู้หญิงผมส้มที่อยู่เบื้องหลัง แต่พอเมื่อเป็นอย่างนั้นน้ำตาที่เกือบแห้งไปก็ไหลออกมาอีกครั้งจนต้องซุกลงกับที่แผ่นหลังอีกคน เขามองเธอด้วยสายตาที่หงุดหงิดก่อนที่จะอื้อมมือไปกระชากแขนเธอออกมาอย่างรวดเร็ว
“ว้าย!” เธอหวีดร้องออกมา
สึบาสะปล่อยมือเธอออกเมื่อคาดได้ว่าถ้าไม่ปล่อย เธออาจจะบาดเจ็บก็ได้
ยังไงซะคนที่กระชากเธอไปก็ไม่ออมแรงอะไรอยู่แล้ว
“ลูค” สึบาสะเอ่ยเสียงนิ่ง “ปล่อยเธอซะ”
“อย่ามายุ่ง”
เขาพูดแค่นั้นก่อนที่จะกระชากเธอออกไป แต่พอเป็นแบบนั้นเลยกำลังจะวิ่งตาม แต่ก็ชะงักไว้เพราะคำพูดของอีกคนต่อจากนั้น
“ถ้ายังตามมาอีก… ไม่รับประกันความปลอดภัยของผู้หญิงคนนี้”
สุดท้ายจึงปล่อยให้เธอถูกลากออกไปแบบนั้นต่อหน้าต่อตา
“เวรเอ้ย”
“คุณสึบะใจเย็นก่อนค่ะ” สาวผมน้ำตาลเดินเข้ามาแตะที่ไหล่เขาเบาๆ พร้อมกับสาวผมดำร่างเล็กอีกคนที่เขามาจับชายเสื้อเขา
“เราว่าลูคคงไม่ทำอะไรไซหรอก ใจเย็นก่อนนะสึบะ”
“หมอนั่นเป็นคนยังไง พวกเธอก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอ?”
สาวทั้งสองคนเบนสายตาออกห่างกัน… แววตาของต่างฝ่ายยังคงสั่นระริกออกมา
ก็ใช่… เพราะพวกเธอรู้ดีนี่ล่ะนะเลยพูดออกไปแบบนั้น
“ป ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะ!!”
เธอหวีดร้องออกมาทั้งน้ำตาแล้วพยายามดึงรั้งให้เขาเดินลำบากที่สุดแต่ยังไงแรงของเธอก็ไม่สามารถสู้คนตรงหน้าได้ซักนิด แถมแรงบีบที่ข้อมือนั้นมันก็กลับแน่นขึ้นจนต้องนิ่วหน้า แล้วเมื่อเดินถึงจุดหนึ่งเขาเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะหันไปรวบตัวเธอพาดบ่าแล้วเดินออกไปอย่างเร็วๆแทน เธอหวีดร้องกับภาพที่ตัดฉากอย่างรวดเร็วจนรู้สึกเวียนหัว
พอเดินมาซักพักก็ได้ยินเสียงเปิดรถพร้อมกับร่างเธอที่ถูกยัดเข้าไปจนหลังกระแทกกับเบาะรถจนรู้สึกเจ็บจุก เขาอาศัยจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัวรัดเข็มขัดนิรภัยให้ก่อนที่จะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ
แล้วไม่นานนักรถคันงามก็พุ่งทยานออกท้องถนนไปอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างนั้นบรรยากาศในรถมันก็หนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีการพูดคุยใดๆต่อกันมาพักนึง
อา…จะบอกว่าเงียบก็ไม่เชิงเพราะก็ยังมีเสียงสะอื้นของเธอดังอยู่เบาๆ
“คุณเอเลียตพูดอะไรกับเธอ?” ในที่สุดเขาก็เอ่ยทำลายความเงียบ
“…”
“ไซเดอร์…”
“…”
“อย่ามาเล่นสงครามประสาทกับผม!” เขาขึ้นเสียงจนเธอสะดุ้ง เธอกอดตัวเองไว้แน่นก่อนที่จะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“คุณไปช่วยเธอ… “ ไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการเลยซักนิด
“เฮอะ…”เขาพ่นลมหายใจออกมา “แค่นั้น? เธอไม่พอใจกับเรื่องแค่นั้นงั้นเหรอ”
“แค่นั้น…? นั่นคือสิ่งที่คุณคิดได้เหรอคะ!? คุณกำลังดูถูกความรู้สึกฉันนะคะ!! ถ้าหากว่าพูดอะไรดีๆไม่ได้ก็อย่าพูดเลยค่ะ!!”
เธอโพล่งออกไปอย่างหัวเสีย เป็นครั้งแรกที่พูดจาไม่สุภาพกับอีกฝ่าย ทั้งๆที่เธอทำไปแบบนั้นก็เพราะความรู้สึกที่มีให้เขาแท้ๆ แต่เขาก็กลับเลือกที่จะช่วยผู้หญิงอีกคนต่อหน้าต่อตาเธอแบบนั้น มันสมควรที่จะเป็นค่าตอบแทนกับความรู้สึกเธองั้นเหรอ!? เขาไม่ควรที่จะพูดคำแบบนั้นออกมาด้วยซ้ำ!
…แค่คำปลอบโยนยังให้เธอไม่ได้เลย
“…” คนที่ขับรถอยู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิดพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
“รักแรกของประธาน… คือคุณเอเลียตใช่มั้ยคะ?”
“ใช่”
“แล้วช่องว่างที่ฉันเข้าไปไม่ได้ก็เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นสินะคะ”
ดวงตาสีฟ้าหม่นเหลือบมองใบหน้าเธอแต่เขาก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรแล้วเบนสายตาไปข้างหน้าเช่นเดิม พอเป็นแบบนี้เธอจึงเค้นหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันแน่น
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นสำคัญขนาดนั้น” เธอพูดทั้งพยายามกลั้นเสียงสะอื้น “ถ้าช่องว่างที่ประธานมีให้เธอมันสำคัญว่าโลกทั้งใบที่ให้ฉันล่ะก็…”
“…”
“ฉันก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ในโลกของประธานหรอกค่ะ…”
เธอพยามคุมเสียงให้นิ่งเรียบที่สุด… แต่ว่าทั้งๆที่พูดออกไปแบบนี้แล้ว แทนที่เขาจะลูบหัวเธอเพื่อปลอบโยนหรือจุมพิตเบาๆเพื่อทำให้เธอมั่นใจ มันกลับไม่มีอะไรเช่นว่านั้นเลย ชายผมแดงยังคงเงียบงันไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
…จนกระทั่งรถนั้นจอดลง
ไม่ใช่คฤหาสน์อันคุ้นเคยที่เธอมักอยู่ประจำ
แต่เป็นคอนโดของเธอเอง
“ลงไป”
เสียงเรียบเย็นจากคนข้างๆดังขึ้น แววตาสีฟ้าหม่นนั้นไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา… ไม่ใช่แววตาอ่อนโยนที่เธอเคยได้รับมาโดยตลอด ความรู้สึกแบบนี้มันไม่ต่างอะไรจากที่ได้เจอกันครั้งแรก ร่างกายที่เคยนิ่งสงบมันกลับสั่นเทาออกมาอีกครั้ง หัวใจที่หน่วงในตอนแรกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนบีบรัดแน่นจนเจ็บ
“ประธาน?”
“พูดเองนี่… ไม่อยากอยู่ก็ไม่ต้องอยู่”
“ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้” เธอเอื้อมมือไปหามือของอีกคน แต่ว่าเจ้าของมือนั้นก็ดึงออก
“ลงไป” เขาย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ประธาน…”
“พูดไม่รู้เรื่องรึไง?”
“…อย่าทำแบบนี้”
“…”
“ขอให้คุณโชคดี คุณนาคามุระ”
เธอกุมมือตัวเองไว้แน่น ไม่ว่าจะมองดวงตานั้นนานเท่าไหร่ เธอก็ไม่เห็นแววตานั้นอีกแล้ว… เธอหันไปเปิดประตูฝั่งตัวเองก่อนที่จะค่อยๆก้าวขาลงจากตัวรถพร้อมปิดประตู ดวงตาสีนิลคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส แขนสองข้างกอดร่างกายอันสั่นเทาของตัวเองพร้อมเดินออกห่างไป…
ไม่เป็นไรหรอก… เดี๋ยวเขาจะต้องตามเธอมาแน่ๆ
เขาไม่มีทางทิ้งเธอให้เป็นแบบนี้หรอก…
เสียงเครื่องยนต์ที่แล่นออกไปยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนหายใจลำบากไปซะแบบนั้น
คำปลอบโยนที่ให้กับตัวเองแทบจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
ขอร้องล่ะ
อย่าให้มันจบลงแบบนี้เลย
แต่ว่าพระเจ้าคงจะไม่รับคำขอของเธอแน่ๆ รถสีดำคันงามหายไปแล้ว เธอยังคงกอดตัวเองอยู่ตรงนั้น เหมือนกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะรอเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไปตามที่เธอหวัง…
เวลาเที่ยงคืน… เวทมนต์ของนางฟ้าแม่ทูนหัวหมดลงแล้ว
เจ้าหญิงผู้งดงามจึงกลับกลายเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่านอีกครั้ง
เจ้าหญิงที่หาใช่สูญเสียรองเท้าแก้วของตัวเองไป…
แต่สิ่งที่เสียไปกลับกลายเป็น หัวใจ ของเธอ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น