คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 หย่า
บทที่1 หย่า
2 เดือนก่อน
“เฮียจะพาน้องคิลกลับไปอยู่ด้วย” น้ำเสียงที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวอย่างคนตัดสินใจมาแล้วของพันเอกคีรี อิชยกุล ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกประจำกรุงมอสโก ประเทศรัสเซียที่เอื้องเอ่ยออกมาพาให้หัวใจของหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรู้สึกไหววูบ
ใจหายวาบเมื่อคีรีบอกว่าจะพา “น้องคิล” หรือ เด็กชายคีรกร อิชยกุล ลูกชายวัย6ขวบเศษของคีรีที่คนทั้งคู่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกในฐานะลูกบุญธรรมไปอยู่ที่รัสเซียด้วยกัน...นั่นหมายความว่าจากนี้ไปเขาและเธอจะไม่ได้เจอเด็กน้อยในทุก ๆ เช้าและเย็นอีกต่อไปแล้ว
คริษฐาอ้าปากหมายจะคัดค้านแต่แล้วก็ต้องหุบปากฉับ...แม่บุญธรรมอย่างอย่างเธอไม่มีสิทธิ์มีเสียงมากพอจะไปคัดค้านพ่อแท้ ๆ ได้เลย...ไม่มีสิทธิ์จริง ๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่คริษฐาที่เป็นเช่นนั้น สามีของหญิงสาวอย่างร้อยตำรวจเอกคีรินทร์ อิชยกุล หรือ ผู้กองคีรินทร์ ผู้เป็นน้องชายแท้ ๆ ของคีรีเองก็ไม่ต่างกัน...เขาและเธอเป็นแค่พ่อแม่บุญธรรมเท่านั้นจะคัดค้านอะไรคีรีได้
“เฮียรู้ว่าเคทกับคีย์รักน้องคิลเหมือนลูก แล้วก็เลี้ยงมาตลอด แต่ตอนนี้เฮียกับมาช่าเข้าใจกันแล้วและทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางแล้ว น้องคิลควรได้อยู่กับพ่อแม่ เฮียกับมาช่าอยากจะใช้เวลาทั้งหมดชดเชยให้ลูกที่หายไปถึง6ปี เข้าใจเฮียด้วย” คีรีเอ่ยเมื่อรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของทั้งคู่ ชายหนุ่มเองก็ละอายใจไม่น้อยเลยที่พูดออกไป 6ปีก่อนเพราะเมริย่า หรือ มาช่า ภรรยาสาวชาวรัสเซียของเขาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคริษฐาถูกผู้ไม่ประสงค์ดีหลอกให้เข้าใจเขาผิดจนฝากลูกชายที่เพิ่งคลอดได้เพียง3เดือนไว้กับคริษฐาที่เป็นญาติผู้น้องเพื่อไปเคลียร์ปัญหาและได้หายตัวไปเขาจึงตามไปทวงภรรยาคืนและยกหน้าที่ดูแลเด็กชายคีรกรให้คริษฐาก่อนจะไร้การติดต่อไปอีกคนจนทำให้ครอบครัวที่รอโอกาสอยู่แล้วสบโอกาสคลุมถุงชนคริษฐาและคีรินทร์เพื่อรับเด็กชายคีรกรเป็นลูกบุญธรรมและช่วยกันดูแล
6ปีทีเดียวที่ทั้งคู่ต้องทิ้งอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อเด็กชายคีรกรแต่ตอนนี้เขากลับมาพูดทำร้ายจิตใจจะพรากเด็กชายคีรกรไปจากพวกเขา ช่างน่าละอายจริง ๆ
“เคทรักน้องคิลค่ะ ไม่รู้ว่าขาดน้องคิลไปเคทจะเป็นยังไง แต่เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับน้องคิล น้องคิลควรได้อยู่กับพ่อและแม่แท้ๆของแก ถ้าเฮียคีรีตัดสินใจแล้วเคทก็ไม่ขัดข้องค่ะ”
“ผมด้วย น้องคิลอยู่กับพ่อแม่ต้องมีความสุขกว่าอยู่กับผมกับเคทแน่ ๆ แต่ยังไงขอผมกับเคทยังเป็นพ่อคีย์กับแม่เคทได้มั้ย ไม่ชินเป็นอาคีย์เลย” คีรินทร์เอ่ยขณะที่มือหนายื่นมากุมมือคนเป็นภรรยาไว้ แม้ว่าเขาและเธอจะแต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่และเพราะเด็กชายคีรกรแต่อย่างไรก็คือสามี หน้าที่ปลอบใจภรรยาก็คือหน้าที่ของเขา
คีรีที่ไม่อยากให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบถอนใจก่อนจะเอ่ยขึ้นราวกับเพิ่งคิดขึ้นมาได้ “จริงสิ คีย์ เคท ตั้งแต่กลับมาเฮียยังไม่ได้ขอบใจทั้งสองคนเลย ขอบใจนะที่ช่วยดูแลน้องคิล ขอบใจจริง ๆ”
“ขอบจงขอบใจอะไรกัน เจ้าคิลก็หลานผม อาดูแลหลานทำไมต้องขอบใจ”
“นั่นสิคะไม่เห็นต้องขอบจงขอบใจเลย มาช่ากับเคทก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน มาช่าฝากน้องคิลไว้กับเคท เคทก็ต้องดูแลอยู่แล้ว ถ้าเฮียคีรีอยากขอบคุณจริง ๆ หลังจากนี้ก็ดูแลน้องคิลดี ๆ แล้วก็หาเพื่อนเล่นให้น้องคิลด้วย น้องคิลร่ำ ๆ อยากมีน้องมาพักใหญ่แล้ว เคทกับเฮียคีย์ไม่มีน้องให้แกเล่นด้วย น้องคิลต้องเหงามาหลายปี เฮียคีรีต้องรีบๆ มีน้องให้น้องคิลนะคะ” ลูกเสี้ยวสาวที่มีแม่เป็นน้องสาวของพ่อตาอีกฝ่ายเอ่ยก่อนจะแสร้งเย้าแหย่กลบเกลื่อนความเสียใจ “แว่ว ๆ ว่าน้องคิลอยากมีน้องสาวนะคะ ฝาแฝดได้ก็ดีนะ”
“เฮียกับมาช่าก็คิด ๆ อยู่ ว่าแต่เราสองคนเถอะ ต่อไปไม่มีน้องคิลอยู่ด้วยคงจะเหงากันแน่...ไม่คิดจะมีสักคนสองคนไว้คลายเหงาเหรอ?”
“ก็ถามกันแต่แบบนี้ล่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะบ่นราวกับอัดอั้น “ลูกนะไม่ใช่หมาใช่แมว นึกอยากมีก็หามาเลี้ยงได้เลยน่ะ ถ้าเขาไม่อยากมาบังคับให้มาเขาก็ไม่มาหรอก เลิกถามกันสักทีเถอะค่ะ”
“เอ่อ..เฮียขอโทษนะเฮียไม่รู้ว่ามีคนถามบ่อย” คีรีที่รู้ว่าตัวเองอาจจะไปพูดแทงใจดำเข้าให้แล้วเอ่ยก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างคนอยู่เป็น “เออจริงสิ คืนนี้เฮียว่าจะพาน้องคิลกับมาช่าไปกินข้าวนอกบ้าน เราสองคนไปด้วยกันสิ”
“ผมมีธุระแล้ว ไปด้วยไม่ได้หรอกครับ”
“เคทเองก็มีนัดกับพี่หมอแล้ว เฮียคีรีกับมาช่าพาน้องคิลไปเถอะค่ะ พ่อแม่ลูกจะได้คุ้นชินกันมากขึ้น”
“หว่า เสียดายจัง งั้นไว้คราวหน้าแล้วกัน ก่อนเฮียกลับต้องได้ไปกินข้าวกับเราสองคนนะ” คีรีไม่รบเร้า ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก็ลุกออกไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกของภรรยาสาวที่ดังแว่วมาจากสนามหญ้าของบ้านทิ้งให้สองสามีภรรยาที่แต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่ไว้เพียงลำพัง
ดวงตาคู่หวานทรงเสน่ห์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากมารดาชาวรัสเซียมองผ่านผนังกระจกไปยังสนามหญ้าที่ตอนนี้มีเมริย่า คีรี และเด็กชายคีรกรกำลังวิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน รอยยิ้มของเด็กชายคีรกรทำให้คริษฐาคลี่ยิ้มตาม การได้อยู่กับพ่อแม่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับหนุ่มน้อยคนนี้ขอเพียงแค่หนุ่มน้อยมีรอยยิ้มเธอก็มีความสุขแล้ว แม้ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนที่เป็นมาตลอด
มือหนายื่นมาตบไหล่คนที่ยืนยิ้มอยู่ทว่านัยน์ตาเศร้าก่อนจะเอ่ย “ไม่อยู่3วันนะ ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วย”
“งานใหญ่?” หญิงสาวถามพร้อมกับหันมามองใบหน้าคม คีรินทร์เป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดหลายครั้งหลายหนที่เขาหายไปเพื่องานของเขาเป็นเวลาหลายวัน 2-3วันบ้าง 2-3สัปดาห์บ้าง และทุก ๆ ทั้งก็จะบอกเธอไว้อย่างนี้เสมอและทุก ๆ ครั้งเธอก็จะถามอย่างนี้ทุกครั้งเช่นกัน
“ก็หนักเอาการ แต่สบายใจได้ ยังไงก็กลับมาส่งเจ้าคิลได้แน่นอน”
“ให้มันจริงเถอะ”
“เคยพูดแบบนี้แล้วมาไม่ได้มั้ยล่ะยัยจุ้น” เขาพูดก่อนจะยักไหล่และเอ่ยในเชิงเย้าแหย่ “ไปล่ะ อย่านอนร้องไห้นะ ไม่ได้อยู่ปลอบ”
“ใครเขาจะให้ปลอบ เหอะ” หญิงสาวเอ่ยก่อนจะหันหลังให้ราวกับคนแสนงอนทว่าคริษฐาก็รู้ดีว่าคนที่ควรจะเย้าหยอกต่อนั้นไม่มีทางสานต่อ เวลาของคีรินทร์มีค่าเกินกว่าจะมาเสียเวลาหยอกเย้าภรรยาที่ผู้ใหญ่หาให้ หยอกไม่จบอย่างนี้ประจำนั่นล่ะ แรก ๆ คริษฐาหันหลังให้เขาเล่นต่อแต่หลัง ๆ การหันหลังคือการตัดใจส่งคนขึ้นชื่อว่าเป็นสามีไปทำภารกิจที่อาจจะเสี่ยงถึงชีวิต
เธอไม่อยากจะมองเขาเดินจากไป ด้วยกลัวว่าเขาจะจากไปแล้วจากไปลับไม่กลับมาหาเธออีก เธอจึงเป็นฝ่ายหันหลังให้เขาเสมอ แม้ไม่พูดอะไรออกไปแต่คีรินทร์ก็รับรู้และเข้าใจได้เสมอ ก็เป็นอย่างนี้ประจำนั่นล่ะ
หลายต่อหลายคนมาเห็นท่าทีของทั้งคู่คงจะแปลกใจอยู่บ้าง ไม่ก็คิดว่าเป็นคู่รักที่น่ารักและเข้าอกเข้าใจกันดี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย แม้หลายอย่างจะเหมือนเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดแต่ก็มีอย่างนึงที่ทั้งคู่ไม่เคยพูดกัน และไม่แน่ว่าอาจจะไม่รู้กันด้วยก็ได้
เพราะคีรินทร์และคริษฐาแทบจะเติมโตมาอย่างเพื่อน อย่างพี่อย่างน้องไม่ได้มาเจอกันในวันนึงและตกหลุมรักกัน คบหาดูใจกัน และแต่งงานกันเหมือนกับคู่แต่งงานคู่อื่น ๆ แต่ทั้งคู่แทบจะอยู่ด้วยกันในเกือบทุกช่วงเวลา บ้านก็อยู่ห่างกันแค่คนละฟากถนน ครอบครัวสนิทสนมเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ พี่น้องต่างเติบโตมาด้วยกันรวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวเดียวเมื่อต้องมาแต่งงานกันสิ่งหนึ่งที่ไม่มีเหมือนกับคู่แต่งงานคู่อื่นก็คือความรัก และไม่รู้ว่าจะเริ่มปลูกต้นรักกันอย่างไรเพราะความสัมพันธ์มันเกินจุด ๆ นั้นไปแล้ว
เพราะไร้ข่าวคราวของคีรีและเมริย่าเพื่อไม่ให้เด็กชายตัวน้อยต้องรู้สึกขาดคริษฐาจึงต้องรับบทแม่และภรรยา คีรินทร์เองก็ต้องรับบทพ่อและสามีเวลาส่วนใหญ่ก็คือการทำหน้าที่พ่อกับแม่ให้กับหนุ่มน้อย ความสัมพันธ์ทางด้านหัวใจของทั้งคู่จึงแทบไม่คืบหน้า...ถ้าไม่มีหนุ่มน้อยคีรกรก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นเช่นไรต่อไป
ดวงตาคู่หวานมองไปยังเด็กชายคีรกรอีกครั้งก่อนจะถอนใจ...หรืออิสระที่เธอเคยฝันหากำลังจะมาเยือนเธอแล้วจริง ๆ
แล้วตอนนี้เธอต้องการมันหรือไม่? หากตั้งคำถามนี้กับตัวเองในตอนนี้หญิงสาวก็รู้สึกสมองขาวโพลนไปหมด เธอไม่รู้ ไม่สามารถตอบได้ มันสับสนไปหมด
เธอรักคีรินทร์เหรอ? คำถามนี้เธอก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ มันสับสนยิ่งกว่าคำถามที่แล้วเสียอีก เธอไม่รู้ว่ารักคีรินทร์หรือแค่ผูกพัน ไม่รู้ว่าระหว่างกันมันควรเรียกว่ารักหรือผูกพัน...ไม่รู้จริง ๆ
วันเวลาผ่านพ้นไปแต่คนที่บอกว่าจะไปแค่3วันก็ไม่โผล่หัวกลับมา เผลอแว่บเดียวก็ถึงเวลาที่เด็กชายคีรกรต้องเดินทางแล้ว
ร่างบางกอดอกมองร่างสูงที่นั่งยอง ๆ ให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาของหนูน้อยผู้เคยเป็นลูกชายมาโดยตลอดด้วยความหมั่นไส้ ปากบอกว่าไม่อยู่3วันแต่เอาเข้าจริงแล้วหายไปเป็นสัปดาห์ กว่าจะกลับมาก็วันที่เด็กชายคีรกร ต้องไปแล้วซะอย่างนั้น...น่าโมโหนักเชียว
“คิล พ่อคีย์ขอโทษนะที่หายไปหลายวัน กว่าจะโผล่มาก็วันคิลจะไปแล้ว”
“พ่อคีย์ชอบเบี้ยวตลอดนั่นล่ะ คิลชินแล้ว ให้อภัยได้ครับ” เด็กชายคีรกรเอ่ยกับพ่อบุญธรรมที่เพิ่งจะโผล่มาหลังจากหายไปหลายวันก่อนจะยักไหล่ “คิลรู้นา ความจริงแล้วที่หายไปน่ะ หายไปทำใจใช่มั้ยล่า ต่อไปไม่มีคิลอยู่ด้วยแล้ว พ่อคีย์จะต้องไปแอบไปร้องไห้มาแน่ ๆ เลย”
“ทำเป็นรู้ไป ลูกผู้ชายเขาไม่ร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะ”
“หึ อย่าให้คิลรู้ก็แล้วกันว่าคิลไม่อยู่แล้วพ่อคีย์ร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“ไม่มีทางหรอกเจ้าหนู” คีรินทร์เอ่ยพลางยกมือยีผมเจ้าหนูน้อยอย่างที่เคยทำมาโดยตลอด รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมก่อนที่ชายหนุ่มจะรวบร่างเล็กเข้ามากอด “ต่อไปไม่มีพ่อคีย์คอยแหย่ ไม่มีแม่เคทคอยปรามแล้ว อย่าดื้อกับแด๊ดดี้กับม๊ามี้นะเจ้าหนู พ่อคีย์รักคิลนะ โทรหาพ่อคีย์กับแม่เคทบ่อย ๆ ด้วยล่ะ”
“ครับ คิลก็รักพ่อคีย์ รักแม่เคท คิลไม่อยู่พ่อคีย์ต้องดูแลแม่เคทดี ๆ นะ”
“ถ้าคิลสัญญาจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อ พ่อคีย์ก็สัญญาว่าจะดูแลแม่เคทอย่างดี”
“อือ คิลจะเป็นเด็กดีครับ” หนุ่มน้อยตอบรับก่อนที่สองพ่อลูก(บุญธรรม)จะผละออกจากอ้อมกอดของกันและยกมือขึ้นชนกำปั้นทำสัญญาระหว่างกัน หลังจากทำสัญญาระหว่างลูกผู้ชายหนุ่มน้อยคีรกรก็ผละไปหาแม่เคทของตน หญิงสาวนั่งลงและกอดลาร่างเล็กที่กำลังจะไปจากอ้อมกอดของเธอไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงด้วยใบหน้าที่กลั้นความรู้สึกเต็มที่
“แล้วแม่เคทจะไปเยี่ยมนะครับ”
“ฝากความคิดถึงถึงคุณตาด้วยนะมาช่า” ทันทีที่ผละจากร่างเล็กหญิงสาวก็หันไปบอกแก่ญาติผู้น้องและโอบกอดคนเป็นลูกผู้น้องก่อนที่การจากลาจะเกิดขึ้นจริง ๆ ในวินาทีต่อมา
ร่างบางยืนมองจนเครื่องบินที่ทั้งสามคนโดยสารบินห่างไปลับตาจึงได้ตัดใจหันหลังให้ ดวงตาคู่หวานที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองใบหน้าคมที่คล้ายกับมีเรื่องครุ่นคิดก่อนจะเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้า
“เคทนึกว่าคีย์จะร้องไห้ซะอีก อุตส่าห์ปล่อยไปตั้งเยอะนึกว่าจะมีคนร้องไห้เป็นเพื่อน”
“บังเอิญไม่ได้ชอบเป่าปี่”
“เหอะ แล้วนี่เป็นอะไร มีเรื่องที่ต้องกังวลเหรอทำหน้าคิดหนักอยู่ตลอด”
“ก็...นิดหน่อย” เขาตอบก่อนจะยักไหล่ “ช่างเถอะ มันอาจจะไร้สาระเกินไป กลับเถอะ”
คริษฐามองตามแผ่นหลังของคนที่เดินนำออกไปด้วยความแปลกใจ...เขาดูแปลกไปจากเดิม ไม่เหมือนคีรินทร์คนเดิมที่เธอรู้จัก
ร่างสูงก้าวนำร่างบางมาจนถึงลานจอดรถกก่อนจะหยุดราวกับตัดสินใจในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ได้ในนาทีต่อมาจึงเอ่ยเรียกโดยไม่หันหน้ามามองคนที่เดินตามหลังมา “เคท”
“อะไร?”
“หย่ากันเถอะ” น้ำเสียงที่ไม่แสดงความรู้สึกเอ่ยออกมาโดนไม่แม้แต่หันมามองคนที่รับฟังก่อนจะเอ่ยต่อโดยไม่รีรอให้หญิงสาวได้ตั้งตัว “ไม่มีคิลแล้วไม่มีความจำเป็นต้องฝืนอยู่ด้วยกันอีก”
“คีย์”
“เธอเคยบอกว่าถ้าหมดห่วงเรื่องคิลเธออยากจะทำงานมีชีวิตอิสระไปไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ก็หมดเรื่องคิลแล้ว ถึงเวลาคืนอิสรภาพแล้ว ไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”
คริษฐานนิ่งอึ้งราวกับมีคนเอาค้อนปอนด์มาทุบหัวซ้ำ ๆ เมื่อลองรวบรวมสติและคิดทบทวนกับสิ่งที่ได้ยิน...เขาพูดเรื่องหย่าอย่างนั้นเหรอ?
พูดโดยที่ไม่แสดงความรู้สึกอีกด้วยว่าเป็นการพูดโดยไม่รู้สึกอะไรหรือฝืนพูด...เขาไม่ได้อยากให้เธออยู่ในฐานะภรรยาต่อไปอย่างนั้นใช่มั้ย?
“แรกเริ่มเราแต่งงานกันเพราะคิล ตอนนี้คิลได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงแล้ว เราก็ควรเดินไปตามทางที่แต่ละคนเคยวาดฝันไว้...จริงมั้ย?”
“คะ คีย์ตัดสินใจดีแล้วเหรอ?”
“อื้อ” คำว่าอื้อคำเดียวเป็นการตอบกลับคำถาม หญิงสาวตั้งสติเมื่อได้ยินคำตอบที่ต้องการจะได้ก่อนจะพยักหน้าให้ “โอเค...เราหย่ากัน”
“วันไหนดีล่ะ...วันนี้เลยมั้ย?”
“วันนี้เลยก็ดี ถ้าช้าพวกผู้ใหญ่รู้เข้าจะไม่ดี” เขาตอบมาราวกับไม่รู้ถึงความนัยของสิ่งที่หญิงสาวถาม...เธอประชด แต่เขาก็ยังคงตอบราวกับว่าเธอถามจริง ๆ
ได้...ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว เธอก็จะทำตามที่เขาต้องการ
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเป็นสามีภรรยากัน...นี่คือสิ่งที่ตัวเขาเป็นฝ่ายเลือกเอง
มาต่อแล้วจ้า
ความคิดเห็น