ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชุมนุมเทพยุทธ

    ลำดับตอนที่ #1 : มารบูรพาปรากฏ

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 56


    หลังจากพรรคห้าขุนเขากระบี่ได้จัดตั้งขึ้นมากว่า 60 ปีแล้ว วันนี้จึงเป็นวันครบรอบการจัดตั้ง พรรค อีกทั้งยังมีการจัดประลองยุทธ์เพื่อคัดเลือกประมุขพรรค คนที่ 4 แห่งพรรคห้าขุนเขากระบี่ แต่เดิมพรรคห้าขุนเขากระบี่อันประกอบไปด้วย ซงซาน ไท่ซาน หัวซาน หานซานและเหิงซานเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ซึ่งในครั้งอดีตกาล พรรคสุริยันจันทรา ซึ่งเป็นพรรคมารได้ออกก่อกวนยุทธภพอีกทั้งยังเข่นฆ่าัสังหารชาวยุทธนับไม่ถ้วน  เจ้าสำนักจ้อแน่เซี้ยงแห่งซงซาน จึงเสนอความคิดในการรวมฝีมือของสำนักกระบี่ทั้งเพื่อรับมือกับพรรคมาร อีกทั้งยังมีอำนาจต่อรองกับพรรคใหญ่ อย่าเส้าหลิน บู้ตึ๊ง ได้อีกด้วย 

     แม้ว่าพรรคห้าขุนเขากระบี่จะรวมตัวกันมากว่า60ปีแล้ว แต่ด้วยแนวทางวิชาต่างๆแต่ละแขนงที่ยังมีความแตกต่างกันมาก ทำให้ยากที่จะรวมตัวกันได้อย่างกลมกลืน  พรรคห้าขุนเขากระบี่จึงแบ่งเป็น 1สำนักใหญ่และ5สำนักย่อย โดยมีประมุขพรรคของสำนักใหญ่เป็นคนคอยดูแลประสานงานเรื่องราวต่างๆน้อยใหญ่ในพรรคห้าขุนเขากระบี่ทั้งหมด อีกทั้งประมุขพรรคยังต้องทำหน้าที่คอยปกป้องดูแลสำนักย่อยทั้ง 5 สำนักให้คงอยู่สืบต่อไป เพื่อผลิตยอดฝีมือรุ่นเยาว์ส่งเข้าสู่พรรค5ขุนเขากระบี่เพื่อเป็นกำลังสำคัญในยุทธภพต่อไป 

     ซึ่งแต่เดิมเมื่อ60ปีก่อน พรรคห้าขุนเขากระบี่มีประมุขคนแรกคือ งักปุ๊กคุ้ง แห่งสำนักหัวซาน ไม่นานหลังจากเป็นประมุขพรรคห้าขุนเขากระบี่ งักปุ๊กคุ้ง ก็ได้บุกขึ้นผาไม้ดำทำลายพรรคสุริยันจันทรา โดยแลกชีวิตกับหยิ้นอั้วฮั้ง กลายเป็นตำนานและสัญลักษณ์ ของพรรคห้าขุนเขากระบี่มาจนถึงปัจจุบัน  

     ส่วนประมุขคนที่สองคือ หลิวเหลียง แห่งเหิงซาน ทายาทของหลิวเจิ้นฟง แม้มิได้มีวรยุทธล้ำเลิศแต่อย่างใด แต่กลับมีคุณธรรมสูงส่งหาผู้ใดเปรียบ ในตอนนั้นนักพรตชงซีแห่งบู้ตึ๊งและไต้ซือฟางเจิ้นแห่งเส้าหลิน พร้อมทั้งผู้อาวุโสในยุทธภพกว่า 20 คน ได้เชิญหลิวเหลียงขึ้นเป็นประมุขพรรคห้าขุนเขากระบี่รุ่นที่หลิวเหลียงแม้ไม่ได้มีวรยุทธล้ำเลิศ แต่กลับมีมันสมองแห่งอัจฉริยภาพแฝงอยู่ภายใน หลังจากเข้าสำรวจถ้ำที่เขาหัวซาน พร้อมกับอาวุโสในพรรคอีกหลายท่านเป็นเวลากว่า3ปี จึงคิดค้นวิชาของพรรคห้าขุนเขากระบี่ขึ้นด้วยตนเอง อีกทั้งยังได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือหลายคนในพรรค จึงบัญญัติขึ้นเป็นวิชาสุดยอดเรียกว่า เพลงกระบี่ห้ากระบี่คุณธรรม แม้วิชาจะมีชื่อเรียบง่าย แต่วิชากระบี่กลับร้ายกาจจนสามารถประลองกับวิชาของบู้ตึ๊งและเส้าหลินได้อย่างสูสี ไม่เพียงแต่ร้ายกาจสามารถต้านทานวิชาต่างๆได้ แต่กลับไม่ได้หมายเอาชีวิตของคู่ต่อสู้ ทุกการโจมตีเป็นเพียงแค่การทำลายวิชาตัวเบา อาวุธ วรยุทธ และกำลังภายใน จึงเรียกได้ว่าเป็นวิชากระบี่ที่ทรงคุณธรรมที่สุดในเวลานั้น 

     ในเวลากว่า17 ปีของพรรคห้าขุนเขากระบี่ หลิวเหลียงได้สร้างชื่อเสียงของพรรคห้าขุนเขากระบี่จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในยุทธภพ และหลังจากที่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ หลายอย่าง เรียบร้อยแล้วหลิวเหลียงด้วยความที่รักอิสระและไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับยุธภพอีกต่อไป จึงได้ตั้งกฎการประลองยุทธเพื่อเฟ้นหายอมฝีมือเพื่อเป็นประมุขพรรคคนต่อไปของสำนักห้าขุนเขากระบี่ โดยมีข้อแม้ว่า ผู้ที่จะมาเข้าประลองและเป็นประมุขพรรคได้นั้น หนึ่งจะต้องเป็นที่ยอมรับของคนในสำนัก ซึ่งหมายความว่าต้องเป็นผู้มีคุณธรรมทำให้คนในสำนักยอมรับได้ สองคือผู้ที่จะขึ้นเป็นประมุขได้จะต้องไม่เป็นเจ้าสำนักย่อยมาก่อน เพียงเท่านี้ จึงจะได้ประมุขพรรคห้าขุนเขาที่โดดเด่นทั้งคุณธรรมและวรยุทธ หลังจากคัดเลือกตัวแทนจากห้าขุนเขากระบี่และได้ผู้ชนะการประลองคือ หลี่เว่ย แห่งไท่ซาน หลิวเหลียงจึงถ่ายทอดเพลงเพลงกระบี่ห้าคุณธรรมและถอนตัวเร้นกายออกจากยุทธภพ 

     ในทุกๆ 20 ปี สำนักย่อย ใน5ขุนเขากระบี่จะส่งผู้มีฝีมือสูงสุด เข้าประลองยุทธเพื่อคัดเลือกเป็นประมุขของพรรคห้าขุนเขากระบี่ ในเวลานี้การประลองยุทธ มาถึงรอบชิงระหว่าง หยางอิงเจี๋ย สำนักซงซาน และ กงซุนจี้สำนักหัวซาน โดยมีสักขีพยาน เป็นชาวยุทธกว่า300คนที่มาร่วมงานประลองครั้งนี้ โดยมี หลี่เว่ย นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของเวทีประลอง พร้อมทั้งผู้อาวุโสในยุทธภพอีกมากมาย ด้านขวาคือเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินมีนามว่า ไต้ซือเซ่งกี่ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นเจ้าสำนักบู้ตึ๊ง นามว่านักพรตเทียนหลุน ทั้งสองต่างเป็นผู้ทักษะยุทธชั้นแนวหน้าของยุทธภพ อีกทั้งยังมี ประมุขพรรคกระยาจก หานเจียง เจ้าสำนักง๊อไบ๊ หลิมเซียนซือไท่ เหอเกาฟง ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักและอดีตเคยเป็นถึงผู้ฝึกสอนนักสู้องครักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังมียอดฝีมือจากนอกด่าน ชูหูเอ๋อซัน ซึ่งเป็นองครักษ์ที่เก่งกาจที่สุดของข่านมองโกล รวมทั้งยอดฝีมืออีกหลายเชื้อชาติ รวมกันอยู่ตรงนั้นทั้งสิ้น 

     ไม่น่าเชื่อว่า ในเวลา10ปีที่ผ่านมาในยุทธภพ กลับสงบสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่เจ้าสำนักสุริยันจัทรา ซึ่งเป็นอัจฉริยะในรอบ50ปีของสำนักมารเกิดกลับตัวกลับใจ ทำลายพรรคสุริยันจันทราและออกบวชศึกษาพระธรรมขังตัวเองอยู่ในหอธรรมของวัดเส้าหลินเป็นเวลากว่า10ปี อีกทั้งนอกด่าน และชนเผ่าต่างๆก็เบื่อหน่ายการสู้รบจึงหันมาทำการค้าและผูกมิตรกันอย่างจริงจัง ในเวลานี้แผ่นดินจึงสงบล่มเย็นที่สุดเท่าที่เคยมีมา

     ในขณะที่หยางอิงเจี๋ย และกงซุนจี้เดินออกมาจากกระโจมของแต่ละสำนัก หลังจากเตรียมความพร้อมในการประลองอย่างเต็มที่ หลี่เว่ยพลันลุกขึ้นเดินขึ้นกลางเวทีประลอง กุมมือทำความเคารพต่อผู้อาวุโสและยอดฝีมือในยุทธภพ พร้อมกล่าวอย่างนอบน้อมว่า

     "หลังจากเส็จสิ้นการประลองนี้แล้ว ข้าพเจ้าหลี่เว่ย ผู้ด้วยวรยุธจะขอมอบคัมภีร์ เพลงกระบี่ห้าคุณธรรมให้แก่ผู้ชนะและยกตำแหน่งประมุขพรรคห้าขุนกระบี่ให้กับผู้ชนะเพื่อรับใช้ยุทธภพสืบต่อไป ส่วนตัวข้าพเจ้า จะคอยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ประมุขพรรคตราบจนชีวิตจะหาไม่และหากประมุขพรรคห้าขุนเขากระบี่คนต่อไปกระทำผิดอันใด ข้าพเจ้าจะเป็นคนรับผิดชอบต่อการกระทำครั้งนั้นด้วยตนเอง"

     เสียงของหลี่เว่ยแฝงด้วยลมปราณ30ปี แผ่ดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนในยุทธภพล้วนเข้าใจความหมายที่หลี่เว่ยกล่าว พรรคห้าขุนเขากระบี่ตั้งแต่สร้า้งชื่อในยุทธภพมาไม่เคยทำชื่อเสียงเสื่อมเสีย ความหมายของมันคือหากประมุขพรรคคนใหม่กล้าทำผิด ประมุขคนเก่าต้องตัดสินโทษด้วยตนเอง ทั้งหยางอิงเจี๋ย และกงซุนจี้เดินขึ้นมาบนลานประลองพร้อมกับ คารวะหลี่เว่ย ด้วยความนอบน้อมเป็นการบ่งบอกว่าเข้าใจความหมายที่หลี่เ่ว่ยกล่าว พร้อมทั้งหันไปคารวะผู้ชมดูการประลองรอบทิศ สุดท้ายหันกลับมาคารวะซึ่งกันและกัน ก่อนเริ่มตั้งท่าต่อสู้

     หยางอิงเจี๋ยหลับตา เร่งเร้าลมปราณ ก่อเกิดเป็นประกายน้ำแข็งขนาดเล็กระยิบระยับรอบตัว ไอเย็นเริ่มแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วบริเวณ มือข้างขวาค่อยๆบรรจงดึงกระบี่ออกจากฝัก วาดกระบี่ระดับสายตา ดัชนีซ้ายพลันลูบกระบี่จากโคนไปจนจรดปลายกระบี่ ตัวกระบี่ พลันเปลี่ยนจากกระบี่เหล็กกลายเป็นกระบี่น้ำแข็งไปในบัดดล

     หลังจากมิได้พบกัน3ปี วิชากระบี่ไอเย็นของพี่หยางรุดหน้าไปถึงขั้นแตกฉานปรานกระบี่ กระบี่และปรานรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ นับว่าพลังฝีมือของพี่หยางล้ำหน้าเจ้าสำนักซงซานไปแล้วกระมังกงซุนจี้กล่าวพลาง ชักกระบี่เป็นท่าตั้งรับพร้อมผนึกปรานรัศมีม่วง ก่อเกิดเป็นพายุม่วงก้อนเล็กๆรอบตัว

     น้องกงซุนกล่าวเกินไป ไหนเลยข้าพเจ้าจะมีฝีมือเหนือล้ำกว่าอาจารย์ตนเอง เพียงได้รับการชี้แนะเคล็ดวิชาเล็กน้อยเท่านั้นจึงมีฝีมือมาได้ถึงวันนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่า น้องกุนซุนเมื่อ3ปีก่อนที่ไร้วรยุทจะกลับกลายเป็นยอดฝีมือที่มาประลองกับข้าพเจ้าได้ในวันนี้ นับว่าหัวซานซุกซ่อนยอดฝีมือไว้อย่างมิดชิด

     หยางอิงเจี๋ยกล่าวพลางลืมตาขึ้นพุ่งเข้าใส่กงซูนจี้อย่างรวดเร็วในระยะ2ก้าวกระบี่ไอเย็นพลันตวัดออกอย่างเชื่องช้า เข้าปะทะกระบี่ของกุงซุนจี้ที่ตั้งรับอยู่

     กงซูนจี้เร่งพลังปรานรัศมีม่วงคุ้มกาย ถอยหลังหนึ่งก้าวมือขวาตั้งกระบี่ชี้ขึ้นฟ้ามือซ้ายทาบปลายกระบี่ตั้งรับแรงกระแทก แรงกระบี่ของหยางอิงเจี๋ย พร้อมกล่าวว่า

     ร่ำสุรากันเมื่อ3ปีก่อนหาจำเป็นต้องใช้วรยุทธไม่ เพียงไม่ได้แสดงออกไปทำให้พี่หยางเข้าใจผิด ผู้น้องต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง” ในสายตาผู้มาเข้าร่วมชมการประลองนี้เป็นเพียงการปะกระบี่เพื่อเริ่มต้นการต่อสู้ที่แท้จิงเท่านั้น

    ทันใดนั้นเองพลังปรากฏ สตรีชุดแดงสวมหมวกทรงสูงมีม่านแดงปกปิดใบหน้าจากหมวกลงมาถึงลำคอ ในม่านแดง กลับมีหน้ากากทำด้วยทองคำอีกชั้นหนึ่ง ด้วยท่าร่างที่รวดเร็วดุจภูติพราย สตรีชุดแดงเหินร่อนลงตรงกลางระหว่าง ชายทั้งสอง จนทุกคนที่มารับชมการประลองล้วนตกตะลึงในวิชาตัวเบาอันร้ายกาจ

     "พี่หยางและพี่กงซุน ท่านทั้ง2มาเพื่อประลองยุทธชิงตำแหน่งจ้าวสำนักหรือมาเล่นปาหี่ให้ข้าพเจ้าชมกันแน่ ข้าพเจ้ารอมาครึ่งวันจนหมดความอดทนแล้ว” สตรีชุดแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยไม่พอใจเล็กน้อย

     หลี่เว่ยเป็นผู้ควบคุมการประลองเห็นดังนั้นจึงกระโดดขึ้นบนเวทีประลองร่อนลงหลังสตรีชุดแดง5ก้าวพร้อมกับกล่าวว่า

     แม่นาง โปรดอย่าได้เสียมารยาท นี้เป็นการประลองยุทธศักสิทธิ์ ของสำนักเราข้าพเจ้าหลี่เว่ย ขอเชิญแม่นางลงจากการประลองก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายต่อตัวแม่นางเองหลี่เว่ยยังคงความสุภาพไว้อย่างที่สุดแม้จะรู้ว่าผู้มามีจุดประสงไม่ธรรมดา

     การประลองยุทธศักสิทธิ์อันใด ข้าพเจ้าคิดว่านี้เป็นการเล่นปาหี่ศักสิทธิ์ของสำนักท่านเสียมากกว่า

     สตรีชุดแดงยังดูหมิ่นเหยียดหยามพรรคห้าขุนเขากระบี่ต่อจน หลี่เว่ย หมดความอดทนเร่งเร้าพลังลมปราณขึ้น ด้วยวิชาลมปรานของไท่ซานที่ฝึกปรือมาจนถึง30ปี บวกกับวิชากระบี่ห้าคุณธรรมอันร้ายกาจ ในยุทธภพน้อยคนนักที่กล้าจะต่อแยกับยอดฝีมือผู้นี้

     หลี่เว่ย แม้จะอายุเพียง48 ปี แต่การที่ได้เป็นประมุขพรรค5ขุนเขากระบี่ตั้งแต่อายุ28 ปีก็แสดงถึงความอัจฉริยภาพได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพียงแต่หลี่เว่ยเข้าสำนักไท่ซานช้าไป  เริ่มเข้าสำนักตอนอายุ 15ปี เป็นเด็กรับใช้อยู่3ปีจึงได้เริ่มฝึกวรยุทธ หากเพียงแต่ได้ฝึกวรยุทธตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันอาจได้เป็นยอดคนแห่งยุคก็เป็นได้

     หากแม่นางยังไม่ลงจากลานประลอง หลี่เว่ยอาจต้องล่วงเกินแล้ว” หลี่เว่ยกล่าวเตือนอีกครั้ง เสียงของหลี่เว่ยแผงด้วยลมปราณแผ่ออกไปให้ทุกคนได้ยินเพื่อให้เป็นการเข้าใจว่าได้ใช้ไม้อ่อนแล้ว

     เดิมที ข้าพเจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่อยากมารับชมการประลองยุทธ แต่วันนี้อาจได้ประลองยุทธเสียเอง เพียงแต่อยากทราบว่าถ้าข้าพเจ้าชนะการประลอง จะได้คัมภีร์เพลงกระบี่ห้ากระบี่คุณธรรมหรือไม่..?”

     สตรีชุดแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน ทำให้หลี่เว่ยถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ตั้งแต่เป็นประมุคพรรคห้าขุนเขากระบี่มายังมิเคยมีผู้ใดกล้าล้อเล่นเช่นนี้กับตน เห็นดังนั้นหลี่เว่ยพลันชักกระบี่ออก พุ่งเข้าใส่สตรีชุดแดง ในระยะ5ก้าวซึ่งถือว่าใกล้มากแล้ว ปลายกระบี่เล็งจุดสำคัญไปที่เส้นเอ็นข้อเท้าหวังทำลายวิชาตัวเบาของสตรีชุดแดง ในเสี้ยววินาทีนั้นปลายกระบี่ตวัดหนึ่งครั้ง แต่กลับโดนเพียงอากาศธาตุ สตรีชุดแดงค่อยๆร่อนลงด้านหลังของหลี่เว่ยอย่างช้าๆดุจพญามาร พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า

     นี่สิถึงจะเรียกว่าการประลอง ข้าพเจ้าขอรับชมวิชากระบี่คุณธรรมซักเล็กน้อยจะเป็นไรไป” 

     หลี่เว่ยเห็นว่าการจู่โจมครั้งนี้ไม่มีทางพลาดจึงใช้พลังฝีมือเพียงแค่ ส่วนก็เพียงพอที่จะสั่งสอนสตรีชุดแดง แต่กลับกลายเป็นสร้างความอับอายแก่ตนเอง พลันหันไปมองเห็น หยางอิงเจี๋ยและกงซุนจี้ จ้องมาด้วยสีหน้าท่าทางงงๆ จึงบังเกิดโทสะขึ้นในใจทันใดนั้นก็เร่งเร้าพลังลมปราณถึงขีดสุด สบัดกระบี่ในมือออกด้วยวิชากระบี่ห้าคุณธรรม ในเพลงกระบี่ทำลายวิชาตัวเบาอีกครั้งหนึ่ง เป้าหมายยังเป็นสตรีชุดแดงที่หันหลังให้แก่ตน วงกระบี่รวดเร็วดุจดาวตก ลากจากบนเฉียงลงล่างมุ่งทำลายรากฐานที่มั่นทั้งปวง ในระยะห่างเพียงสองก้าว กระบี่กลับฟันใส่พื้นดินบังเกิดเสียง ปึง ดังสนั่นหวันไหว แผ่นปูนสนามประลองพลันระเบิดออก แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แต่กลับหาโดนสตรีชุดแดงไม่ ในสายตาของผู้รับชมจากนอกลานประลอง สตรีชุดแดงเพียงขยับเดินไปข้างหน้าเพียง หนึ่งก้าวก็รอดจากการโจมตีของหลีเว่ยแล้ว

     "ข้าพเจ้า เริ่มผิดหวังในฝีมือของประมุขหลี่แล้ว เพียงว่าฝีมือพรรคห้าขุนเขากระบี่มีเพียงแค่นี้แล้วไซร้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักใหญ่สำนักย่อยอันใด ข้าพเจ้าคิดว่าล้วนเป็นสำนัก ปาหี่ทั้งสิ้น ควรปิดกิจการกลับไปทำำไร่ ไถนาหรือค้าขายอาจจะรุ่งเรืองกว่านี้" 

     สตรีชุดแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยีดหยามอย่างรุนแรง ทำให้ หยางอิงเจี๋ยและกงซุนจี้บังเกิดโทสะ พุ่งกระบี่สองสายอย่างพร้อมเพรียงเข้าหาสตรีชุดแดงที่กำลังหันมาอย่างช้าๆ  ไม่ว่าอย่างไร ทั้งหยางอิงเจี๋ยและกงซุนจี้ ก็เป็นชนชั้นยอดฝีมือ ผู้ที่เข้าถึงรอบชิงประลองยุทธนี้ได้นับว่าต้องมีฝีมือร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆของสำนักอยู่แล้ว เพียง ก้าวจะบรรลุถึงตัว ผ้าสีแดงสองสายพลันพุ่งตรงออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้างของสตรีชุดแดงอย่างรวดเร็ว หยางอิงเจี๋ยเห็นเป็นเพียงแค่ผ้าแดง จึงถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดสู่กระบี่หมายจะทะลวงผ้าแดงพร้อมเข้าโจมตี เป้าหมายคือสตรีชุดแดงที่ห่างเพียง3ก้าว หลี่เว่ยเห็นว่า การที่สตรีชุดแดงไม่มีท่าทีเกรงกลัวรังสีกระบี่ของหยางอิงเจี๋ย พลันฉุกคิดว่าผิดท่าจึงร้องเตือนออกไป

     "มิได้ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของง....?!!" 

     ฉึกกกก ฉึกก... หน้าของหยางอิงเจี๋ยขาวซีด ท่าทางตกใจสุดขีด เมื่อผ้าแดงของศัตรูกลับพุ่งผ่านดาบของตนไป กระบี่เหล็กเคลือบด้วยปราณไอเย็นจนเป็นน้ำแข็งอันซึ่งสามารถรับมือกับดาบเหล็กกล้าได้ บัดนี้หักร่วงลงสู่พื้น ผ้าแดงจากแขนเสื้อของสตรีชุดแดงทะลวงเข้าสู่หัวใจ หยางอิงเจี๋ยหันไปมองทาง กงซุนจี้กลับเห็นเหตุการณ์สยองยิ่งกว่าศรีษะของกงซุนจี้ พลันลอยกระเด็นขึ้นสูงกว่า วา ในชั่วอึดใจหยางอิงเจี๋ยก็สิ้นลม

     ทุกผู้คนที่มาชมดูการประลองล้วนอ้าปากตาค้าง ไม่คิดว่าในยุทธภพนี้จะมีวิชาร้ายกาจเช่นนี้ ไต้ซือเซ่งกี่เห็นดังนั้งจึงกระโดดจากเก้าอี้ลงสู้ลานประลองพร้อมกล่าวว่า

    อามิตาพุธ วิชาที่ประสกใช้นั่นคือวิชามารที่หายสาบสูญไปกว่า 60 ปีแล้ว มันคือวิชาทานตะวัน ของมารบูรพาไร้พ่ายในอดีต ไม่ทราบว่าประสกร่ำเรียนวิชานี้มาจากไหน?”

    หลี่เว่ย หันไปมองไต้ซือเซ่งกี่ ด้วยอาการงุนงงสงสัย พร้อมกับกล่าวถามไต้ซือเซ่งกี่

    ใครคือมารบูรพา อะไรคือวิชาทานตะวัน” ชาวยุทธที่มาร่วมรับชมการประลองล้วนงุนงงสงสัยเช่นเดียวกัน ทุกคนจึงยังมองมาที่ไต้ซือเซ่งกี่เป็นสายตาเดียวกัน

    สตรีชุดแดงยังมิได้ตอบคำใด ไต้ซือเซ่งกี่พลันเล่าเรื่องราว ต่างๆในยุทธภพเมื่อ 60 ปีก่อนให้ทุกคนได้รับฟัง

     นับตั้งแต่เกิดเรื่องราวเมื่อ 60 ปีก่อน ทั้งสุดยอดวิชาอย่าง วิชาทานตะวัน วิชาปราบมาร หรือแม่แต่เก้ากระบี่เดียวดาย ล้วนสูญหายไปจากยุทธภพ ผู้อาวุโสต่างๆในยุทธภพล้วนช่วยกันปิดบังซ่อนเร้น ไม่กล่าวถึงสุดยอดวิชาเหล่านี้ ซึ่งเกรงว่าจะกลายเป็นภัยต่อยุทธภพในภายหลัง อาตมาเองตอนนั้นอายุเพียง 23 ปีเคยเป็นหนึ่งในผู้ฝึกค่ายกล 18 อรหันต์ทองคำ เข้าต่อสู้กับตงฟางปุ๊ป๊าย เพียงไม่ถึง 20 กระบวนท่า ค่ายกล 18 อรหันต์ทองคำกลับพลังทลาย พระเส้าหลินล้มตายไป 10 กว่าคนที่เหลือล้วนบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็พิการตลอดชีวิต เป็นความรู้สึกกลัวจับใจมาจนถึงทุกวันนี้

    ทุกผู้คนล้วนรับฟังจนแตกตื่น ค่ายกล 18 อรหันต์ทองคำ นับว่าเป็นตำนานแห่งเส้าหลินกลับถูกทำลายโดยง่ายดาย อีกทั้งผู้ฝึกว่าชาค่ายกลนี้ได้ล้วนแต่ต้องเป็นยอดฝีมือของเส้าหลินทั้งสิ้น แสดงว่า วิชาทานตะวันต้องร้ายกาจเลิศภพจบแดนแล้ว

    สตรีชุดแดงยืนฟังอยู่ด้านหน้าจึงกล่าวกับไต้ซือเซ่งกี่ ในเมื่อท่านรู้จักมารดาบุญธรรมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขอแนะนำตัวเพื่อให้ชาวยุทธทุกท่านได้รู้จักข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้ามีนามว่า ตงฟางไป๋ เป็นบุตรบุญธรรมของบูรพาไร้พ่าย  วันนี้ข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจมาก่อกวนหาเรื่อง ที่ข้าพเจ้าพลั้งมือฆ่าคนนั้นเป็นเพราะว่า คนทั้งสองไม่เจียมตัว กลับคิดจะทำร้ายสังหารข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้าจึงต้องลงมือป้องกันตนเอง

    ไต้ซือเซ่งกี่เห็นดังนั้นจึงกล่าวถามต่อ ประสกหมายความว่าบัดนี้มารบูรพายังไม่ตาย?”

    ตายหรือไม่พวกท่านไม่จำเป็นต้องรู้ เพียงแต่ว่าวันนี้ที่ข้าพเจ้ามาเพียงต้องการหยิบยืมคัมภีร์ยุทธต่างๆจากหลายๆท่านไปศึกษา มิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด ขอทุกท่านโปรดให้ความร่วมมือ” สตรีชุดแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลปนข่มขู่

    เป็นคัมภีร์ยุทธอันใดที่ประสกตงฟางต้องการอีก เพียงแต่วิชาทานตะวันของท่านก็เลิศภพจบแดนแล้ว” ไต้ซือเซ่งกี่กล่าวอย่างสงสัย

    สตรีชุดแดงแค่นเสียงหัวเราะน้อยๆ ในลำคอแล้วกล่าวต่อ ข้าพเจ้าเพียงได้ยินมาว่า สุดยอดคัมภีร์ของแต่ละสำนักนั้นเจ้าสำนักจะเป็นคนเก็บไว้กับตัวเอง ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า มีเจ้าสำนักมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันหลายท่านจึงอยากจะขอให้เจ้าสำนักทุกท่านส่งคัมภีร์ออกมาให้ข้าพเจ้าแต่โดยดี รวบรวมเพียงครั้งเดียวข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องไปขอยืมทีละสำนักให้เปลืองแรง

    พลันมีเสียงตะโกนออกมาจากฝูงชนดังว่า โง่เง่าสิ้นดี เจ้าสำนักไหนกล้าให้ตัวมารอย่างเจ้าหยิบยืมคัมภีร์ ก็นับเป็นตัวโง่ง่มที่สุดในยุทธภพแล้ว ฮ่าๆ

    ทุกผู้คนล้วนหัวเราะตามเสียงปริศนา กลายเป็นเรื่องตลบขบขันไปทันที ทันใดนั้นเข็มเล็กๆในแขนเสื้อของสตรีชุดแดงพลันพุ่งเข้าสู่ฝูงชน เสียงร้องพลันดังขึ้น สตรีชุดแดงกระตุกด้ายแดงในมือเล็กน้อยก็ร่างของชายอ้วนคนหนึ่งก็ลอยจากฝูงชนขึ้นมาบนเวทีกองอยู่แทบเท้าของนางพลันกล่าวว่า

    ข้าพเจ้านิยมพวกตลกขบขันยิ่ง ถือว่าวันนี้ท่านดวงดี ข้าพเจ้าจะให้ท่านเป็นคนทำหน้าที่เก็บรวบรวมคำภีร์วรยุทธต่างๆให้ข้าพเจ้าก็แล้วกัน ว่าแต่ท่านมีนามว่าอะไร

    ข้าคือ โต้วเหมียน แห่งหัวซาน ข้าผิดไปแล้วปล่อยข้าไปเถิด” โต้วเหมียนพูดด้วยความเจ็บปวดน้ำตานองหน้า

    หลี่เว่ยยืนอยู่ไม่ไกลจากชายอ้วนพลันกล่าวขึ้นว่า นั่นเป็นไปไม่ได้ วิชาต่างๆล้วนมีเจ้าของ อีกทั้งยังเป็นสมบัติของสำนัก ไม่มีทางให้คนนอกหยิบยืมได้เป็นอันขาด เว้นแต่ว่าแม่นางจะฆ่าเจ้าสำนักทุกคนแล้วชิงไปมิฉะนั้นก็ได้แต่ฝันลมๆแล้งๆแล้ว

    สตรีชุดแดงหันไปมองหลี่เว่ยหัวเราะคิกคิก แล้วกล่าวว่านั่น ง่ายดายยิ่ง

    เข็มเล็กในแขนเสื้อพุ่งออก 3 เข็มตรงเข้าใส่หลี่เว่ยด้วยความเร็วดุจดาวตก หลี่เว่ยเห็นท่าไม่ดีจึงชักกระบี่ขึ้นมาปัดป่าย เสียงเคร้ง ดังขึ้น ครั้งหลี่เว่ยปัดเข็มทั้ง3 เล่มได้สำเร็จ แต่สตรีชุดแดงกลับหายไป

    ฉึกก...

    เข็มขนาดใหญ่ทะลุอกออกมาจากด้านหลัง เพียงเสี้ยววินาทีที่คลาดสายตา นางกลับมาอยู่ด้านหลัง เข็มใหญ่พลันแทงทะลุหัวใจจากด้านหลังของหลี่เว่ยออกมา สร้างความตกตะลึงไปทั้งบริเวณ

    ประมุขพรรคห้าขุนเขากระบี่สิ้นชีพแล้ว โต้วเหมียนจงช่วยล้วงคัมภีร์เพลงกระบี่ห้าคุณธรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วย

    ชั่วอึดใจพอทุกคนได้สติยอดฝีมือ จากทั่วสารทิศพลันชักกระบี่ออกจากฝัก อาวุธทั้งหลายล้วนถูกนำขึ้นมาถือในมือจนหมดสิ้น ชาวยุทธกว่า 100 ชีวิตมองเข้ามาในเวทีประลองด้วยความโกรธแค้น แต่ยังมิกล้าขยับตัวแต่อย่างใด เพราะเวลานี้บนลานประลองกลับปรากฏยอดฝีมือจากฝ่ายธรรมมะ กว่าสิบคนยืนล้อมวงตงฟางไป๋ไว้ แต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าสำนักหรือยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของยุทธภพทั้งสิ้น ไต้ซือ เซ่งกี่พลันกล่าวขึ้นว่า

    วันนี้อาตมาจะต้องทำกรรม กำจัดมารเพื่อสร้างบุญให้แก่ยุทธภพแล้ว ขอยอดฝีมือทุกท่านอย่าได้ประมาทต่อวิชาทานตะวัน มีฝีมือเพียงไหนขอให้ใช้ออกมาให้เต็มที่

    พูดพลางพุ่งตัวเข้าหาสตรีชุดแดงอย่างรวดเร็วออกด้วยฝ่ามืออรหันต์ทองคำที่ฝึกปรือมาอย่างยาวนาน กระแสลมวูบหนึ่งพัดผ่านสตรีชุดแดงหายไปจากสายตาเข็มหนึ่งเล่มปักอยู่ที่หัวไหล่ของไต้ซือเซ่งกี่ นักพรตเทียนหลุนเห็นดังนั้นจึงพริ้วกายเข้าหาตงฟางไป๋ วาดมือเป็นวงพุ่งออกด้วยวิชาหมัดไท้เก็ก 3หมัดซ้อนแต่ละหมัดเกร็งลมปราณเต็มเปี่ยมทุกหมัดล้วนพุ่งสู่จุดตายทั้งสิ้น หานเจียงและเหอเกาฟง เห็นนึกพรตเทียนหลุนเข้ากลุ้มรุมโจมตีจึงกระโจนเข้าต่อสู้ด้วย หานเจียนแม้จะไม่ค่อยนิยมการต่อสู้แบบรุมทำร้ายซักเท่าไรห่ แต่เพื่อกำจัดมารยุทธภพจึงต้องจำใจเข้ารุมโจมตี ส่วนเหอเกาฟง เป็นชนชั้นยอดฝีมือแห่งวังหลวงเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองยอมทำทุกอย่างได้อย่างไม่ลังเล

    ขณะที่หมัดทั้งจะปะทะเข้าจุดตาย จู่ๆร่ายกายของไต้ซือเซ่งกี่ก็ถูกกระชากลอยมาบังร่างของตงฟางไป๋ไว้ นักพรตเทียนหลุนในชั่วอึดใจสลายพลังหมัดได้เพียง ส่วนกระแทกหมัดเข้ากลางหลังใต้ซือเซ่งกี่ กระเด็นไปไกล 3ก้าว หานเจียงเห็นดังนั้นจึงไม่คิดยั้งมืออีกต่อไปไม้ตีสุนัขพุ่งออกเข้าสกัดการเคลื่อนไหวของตงฟางไป๋จากทางหน้า เหอเกาฟงชักดาบเหล็กกล้าขนาดใหญ่ออกจากฝักพลันตวาดก้อง

    หลิมเซียนซือไท่โปรดสมบท!!” หลิมเซียนซือไท่แห่งง้อใบ๊ ยามปรกติไม่นิยมการต่อสู้ซักเท่าไรห่ แต่หากวรยุทธของหลิมเซียนซือไท่นั้น เล่าลือกันว่าแตกฉานในวิชาฟ่ามือโคมทอง แม้นคู่ต่อสู้จะมีวิชาตัวเบารวดเร็วร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่อาจหลบรอดหนีพ้นไปได้  

    ในขณะที่เหอเกาฟง ตวาดก้อง พลันตวัดดาบในมือพุ่งใส่ตงฟางไป๋ทางด้านหลัง สำหรับตงฟางไป๋แล้วทางหลบรอดที่ง่ายที่สุดกลับเป็นทางด้านบน นางเพียงแตะพื้นเบาๆร่างกายก็หลบรอดจากวิชาไม้ตีสุนัขและดาบสูบวิญญาณได้อย่างง่ายดาย ตงฟางไป๋ขึ้นลอยกลางอากาศอยู่ 3 วา ปรากฎร่างของหลิมเซียนซือไท่ขึ้นตรงหน้าออกด้วยวิิชาฝ่ามือโคมทอง ด้วยความเร็วระดับลูกศร ตงฟางไป๋เกร็งลมปราณรับฝ่ามือโคมทองแต่ยังชักช้า ฟ่ามือโคมทองกระแทกเข้าหน้าอก ร่างของนางลอยไปไกลถึง 10 ก้าว ตงฟางไป๋ยามคับขันไม่เรรวน ผนึกปราณป้องกันจุดตายไว้ได้ทัน แม้กระเด็นจากการโดนฟาดฝ่ามือใส่แต่ยังสามารถความคุมวิชาตัวเบา ร่อนลงสู่พื้นได้อย่างสวยงาม

    ลมพัดพริ้วเปิดม่านแดง มองให้เห็นหน้ากากทองคำลวดลายสวยงาม หน้ากากทองคำปกปิดใบหน้าตั้งแต่หน้าผากลงมาถึงปลายจมูก เผยให้เห็นผิวหน้าอันขาวเนียนตั้งแต่ช่วงปากลงมาถึงคาง ปากเล็กๆสีแดงเป็นกระจับได้รูป ที่มุมปากปรากฎรอยเลือดซึมไหลออกมาเล็กน้อย ตงฟางไป๋ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มเดินเข้ามากลางลานเวทีประลองอีกครั้ง 
     
    "นับว่าการประลองยุทธครั้งนี้ข้าพเจ้าสนุกสนานมากพอแล้ว วันนี้หากผู้ใดยอมทิ้งอาวุธให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไว้ชีวิตคนผู้นั้น"
     
    ตงฟางไป๋เร่งเร้าพลังปราณพิศดารขึ้น ไอร้อนสีแดงพวยพุ่งออกมาหมุนวนรอบๆกาย ม่านบังหน้าพันพริ้วไหวเป็นจังหวะ มองเข้าไปในดวงตาภายใต้หน้ากาก พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงสุกใสดุจดวงตาปีศาจ ตงฟางไป๋เพียงขยับ 1 ก้าวกลับเป็นรอยไหม้ บนพื้น1ดวง ตอนนี้ ตงฟางไป๋กลับเดินหน้าเข้าหาหลิมเซียนซือไท่ เดินได้เพียง3 ก้าวตงฟางไป๋พลันหายไปจากสายตา เห็นแต่เพียงรอยไฟบนพื้นพุ้งเข้าหาหลิมเซียนซือไท่อย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนที่จ้องมองล้วนตื่นตระหนก นี่เป็นวิชาพิศดารที่สุดเท่าที่เคยประสบพบเห็นมา 

    "ระวังหลัง!"
     
     นักพรตเทียนหลุนร้องเตือนหลิมเซียนซือไท่ที่ยังตื่นตระหนกอยู่ แต่เพียงพริบตาเดียวตงฟางไป๋กลับมาอยู่เบื้องหลังหลิมเซียนซือไท่แล้ว เข็มในมือ 2 เล่มเตรียมที่จะแทงลงด้านหลังซึ่งเป็นจุดตายของหลิมเซียนซือไท่ 
     
    ฟิ้ว .... เสียงไม้ตีสุนัขพุ่งใส่ตงฟางไป๋อย่างรวดเร็ว เป็นหานเจียงไหวตัวอย่างรวดเร็วพุ่งเข้าสกัดการจู่โจมของ ตงฟางไป๋ แต่ยังชักช้าไป1ก้าว เข็มสองเล่ม เล่มหนึ่งปักเข้าท้ายทอย อีกเล่มปักเข้ากระดูกสันหลัง ไม้ตีสุนัขของหานเจียงเมื่อพุ่งมาถึงกลับถูกปัดออกอย่างง่ายดาย ไม้กระเด็นไปไกลถึง5ก้าว
    หลิมเซียนซือไท่ พลันมีเลือดออกจากทวารทั้ง7 ทรุดตัวลงกับพื้นสิ้นสติไป 
     
    "วิชาอำมหิตนัก ครั้งนี้ข้าเทียนหลุนขอแลกชีวิตกับเจ้า!!" 
     
    เสียงนักพรตเทียนหลุนตวาดก้องพร้อมเร่งสภาวะลมปราณถึงขีดสุด พุ่งร่างเข้าประชิดตงฟางไป๋อย่างรวดเร็ว พร้อมออกด้วยฝ่ามือไท้เก็กหมายแลกชีวิต ในฝ่ามือนี้กลับผนึกลมปราณทั้งหมดที่สั่งสมมา  ทางด้านไต้ซือเซ่งกี่เห็นนักพรตเทียนหลุนออกวิชาไม้ตายตนเองจึงพุ่งดัชนีวชิระอันเป็นไม้ตายของตนเองพร้อมผนึกปราณ80ปีเข้าสู่ดัชนีหมายตัดสินกันเพียงครั้งเดียวเช่นกัน
     
    ตงฟางไป๋เห็นยอดฝีมือทั้งสองพุ่งเข้าหาตนอย่างรวดเร็ว ทั้งยังออกด้วยรังสีฆ่าฟันอย่างรุนแรงจึงรู้ตัวว่าการโจมตีครั้งนี้ยอดฝีมือทั้งสองหมายเผด็จศึกให้จงได้ พลันเกร็งลมปราณในร่างกายพร้อมดูดซับลมปราณที่ชอนไชอยู่ในร่างกายหลายสายจากการปะทะเข้าสู่ท้องน้อย เมื่อร่ายกายเริ่มซึมซับลมปราณของหลิมเซียนซือไท่เข้าสู่ท้องน้อยพลันเกิดการการต่อต้านอย่างรุนแรงของปราณสองสาย ถึงจุดนี้ลมปราณของวิชาทานตะวันและวิชาสำนักง๊อใบ๊เกิดการต่อต้านกันอย่างรุนแรงในร่างกายก่อเกิดเป็นธาตุไฟอย่างมหาศาลพวยพุ่งเหมือนไกล้จะระเบิดออก 
     
    ตงฟางไป๋ แต่เดิมได้รับการถ่ายทอดวิชาหลากหลายแขนง แต่วิชาที่ร้ายกาจที่สุดที่ได้รับการถ่ายทอดมากลับเป็นวิชา ปราณพิษอัคคี เคล็ดวิชาขั้นที่5 ของปราณพิษอัคคีคือ การรวมปราณที่ได้รับมาทั้งจากการปะทะหรือแม้แต่ดูดมาด้วยอวิชาต่างๆ เข้าสู้ท้องน้อยเพื่อเข้าสุ่สภาะวะต่อต้าน สร้า้งเป็นธาตุไฟร้ายในร่างกาย และระบายออกด้วยความรุนแรงเป็นทวีคูณ แต่เดิมอาการลมปราณสับสนนี้เรียกว่าธาตุไฟเข้าแทรก เพียงแต่ผู้คนในยุทธภพไม่เคยมีใครคิดนำพลังปราณด้านร้ายนี้มาใช้ มีแต่หาหนทางสลายออกไป หรือไม่ก็รอความตาย แต่ด้วยความอัจฉริยะของมารบูรพาคนก่อน ได้คิดค้นยอดวิชานี้ขึ้นมาตอนบาดเจ็บสาหัส ลมปราณเกิดความสับสนแตกซ่าน ธาตุไฟเข้าแทรก จึงก่อเกิดเป็นยอดวิชาทำลายล้าง ยิ่งลมปราณในร่างกายสับสนมากเท่าไรห่ การทำลายล้างเมื่อใช้ออกยิ่งรุนแรงเป็นหลายร้อยเท่า
     
    เมื่อนึกถึงเคล็ดวิชาตงฟางไป๋พลันรวบรวมสมาธิ เพ่งไปที่ธาตุไฟในร่างกาย ที่กำลังจะปะทุออก พลันดึงกระแสพลังงานธาตุไฟร้ายแบ่งแยกพลังงานเป็นสองสาย สายหนึ่ง ถ่ายทอดเข้าสู่ฝ่ามือซ้าย อีกสายถ่ายทอดเข้าสู่ดัชนีทางด้านขวา
     
    ฟ่ามือปะทะฝ่ามือ ดัชนีปะทะดัชนี เสียงปงดังสั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ 
     
    ร่างของนักพรตเทียนหลุน และไต้ซือเซ่งกี่ลอยละล่องกลางอากาศ ดุจว่าวขาดป่าน ระหว่างที่ลอยอยู่กลางอากาศบังเกิดเพลิงลุกไหม้ออกทางทวารทั้ง 7  เมื่อกระเด็นไปไกลถึง 20 ก้าวค่อยตกลงพื้น ทั้งตัวเกิดเพลิงไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตา 
     
    หานเจียงและเหอเกาฟงมองดูจนอ้าปากตาค้าง ส่วนเจ้าสำนักย่อยอื่นๆ ที่อยู่เป็นแนวหลังบนเวที เห็นดังนั้นจึงเริ่มทิ้งอาวุธในมือลงสู่พื้น เพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
     
    เหอเกาฟงยังไงก็เป็นชนนั้นยอดฝีมือ ยอมตายไม่ยอมสยบ พลันเกร็งลมปราณขึ้น พร้อมผนึกลมปราณเข้าสู่ดาบ เตรียมกระบวนท่าไม้ตายวิชาดาบสูบวิญญาณ 
     
    ตงฟางไป๋แม้จะสังหารนักพรตเทียนหลุนและไต้ซือเซ่งกี่ได้ แต่ร่างกายก็บอบช้ำไม่น้อย ตอนนี้ลมปราณหลายสายไหนเวียนอยู่ในร่างกายอย่างวุ่นวาย เพียงแต่ในเวลาชั่วอึดใจ ยากที่จะหลอมรวมปราณขึ้นมาใหม่ได้ พลันมองไปทางเหอเกาฟง ก็รับรู้ถึงรัศมีพลังทำลายของดาบต่อไปที่กำลังจะใช้ ทันใดนั้นจึงเกิดปฏิภาน ปล่อยเข็มเงินออก3เล่มจากแขนเสื้อใส่เหอเกาฟงเพื่อไปสกัด การโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะ10ก้าว
     
    เหอเกาฟงเห็นดังนั้นจึงยกดาบขึ้นปัดป้อง  เสียงดังเคล้งติดต่อกัน3ครั้ง ด้วยตัวดาบขนาดใหญ่อีกทั้งทำด้วยเหล็กกล้า เข็มเงินจึงไม่สามารถทะลวงการป้องกันของดาบหนักอันนี้ไปได้
     
    ตงฟางไป๋เห็นดังนั้น มือซ้ายจึงสบัดออกเข็มเงินเล็กอีก3ชุด มือขวาไพร่หลัง ถ่ายทอดลมปราณพิษอัคคีลงสู่เข็มเงินเล่มใหญ่ จนตัวเข็มกลายเป็นสีแดงดุจเหล็กกล้าที่พึ่งถูกหลอมออกมาจากเตาหลอม 
     
    เหอเกาฟงพยายามรวบรวมสมาธิเตรียมการโจมตีครั้งต่อไปอย่างสุดกำลัง ทันใดที่เห็นเข็มบิน3เล่มพุ่งเข้ามาจึงใช้ดาบปัดป้องออกไปได้ เมื่อรวบรวมกำลังถึงขีดสุด พลันพุ่งตัวเข้าหาตงฟางไป๋ดุจลูกศรหลุดจากคันธนู ใช้ตัวดาบเหล็กกล้าเป็นโล่กำบังหวังเพียงเข้าประชิดตัวมารร้ายได้จึงจะแสดงออกถึงแสนยานุภาพของวิชาดาบสูบวิญญาณ แห่งสำนักองครักษ์เสื้อแพรอันลือลั่น 
     
    หานเจียงอยู่ด้านหลังของตงฟางไป๋พลันเหลือบไปเห็นเข็มสีแดงในมือ จึงฉุกคิดว่าผิดท่า จึงตะโกนบอกเหอเกาฟงอย่างร้อนรน
     
    "พี่เหอระวังเข็มยักษ์!"
     
    เหอเกาฟงเพียงแต่คิดว่า เข็มยักษ์ยังไงก็เป็นแค่เหล็กเงินธรรมดาไม่อาจทะลวงเหล็กกล้าได้ จึงไม่สนใจคำพูดของหานเจียง พุ่งทะยานเข้าระยะ 5  ก้าว พลันเห็นเข็มขนาดใหญ่เท่าปิ่นปักผมถูกซัดออกจากมือขวา ตัวเข็มเป็นสีแดงมีควันพวยพุ่ง ออกมาจากปลายดุจลูกธนูไฟ จึงใช้ตัวดาบเข้าปะทะอย่างหักโหม 
     
    เสียงปงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครา เหอเกาฟง กระอัคโลหิตคำใหญ่ออกจากปาก ทวารทั้ง7บังเกิดเพลงลุกไหม้ ไม่นานร่างกายก็กลับกลายเป็นเถ้าถ่านไปอีกคน เหลือไว้แค่เพียงดาบเหล็กกล้า ที่ตัวดาบตรงกลางเป็นรูโบ๋ขนาด หนึ่งคืบฝ่ามือ
     
    หานเจียงตกตะลึงจนมือไม้สับสนรวนเร  ยามนั้นกับปรากฎยอดฝีมืออีก 3 คน กระโดดเข้าร่วมวงต่อสู้ด้วย คนแรกเป็น ชูหูเอ๋อซัน องครักษ์อันดับหนึ่งของข่านมองโกล คนที่สองเป็นลามะสวมหมวกทรงสูงประดับไปด้วยหงอนไก่สีทอง คนที่สามยืนอยู่ตรงกลางของทั้งสอง กลับสวมชุดหนังสัตว์อย่างดี ที่ปกคอกลับมีลวดลายเป็นทองคำอย่างสวยงาม ที่ข้อมือและนิ้วยังประดับด้วยปลอกข้อมือทองคำและแหวนทองคำประดับเพชร แสดงให้เห็นว่า ผู้มาย่อมเป็นชนชั้นไม่ธรรมดา
     
    "ข้า ฮูลาเต ข่านแห่งมองโกล ครั้งนี้เดินทางมาท่องเที่ยวในดินแดนภาคกลาง กลับพบเจอมารร้าย เข่นฆ่าสังหารผู้คน ไม่อาจนิ่งดูดายได้ "
     
    ฮูลาเต พลันเกร็งลมปราณก่อเกิดเป็นพายุทรายขนาดยักษ์ หมุนวนรอบตัว  ลามะจากธิเบตเห็นดังนั้นจึงหยิบวงจักร2อันขึ้นมาจากถุงย่าม เกร็งลมปราณประหลาดขึ้น พร้อมตั้งท่าจู่โจม ส่วนชูหูเอ๋อซัน กระชับมั่นหอกคู่ในมือ พร้อมเร่งสภาวะเตรียมจู่โจมทันที
     
    หานเจียงเห็นคนทั้งสามที่เข้ามาช่วยเหลือล้วนเป็นยอดฝีมือ จึงเกิดกำลังใจต่อสู้ขึ้นใหม่ พลันเกร็งสภาวะลมปราณสูงสุด รอบนี้กลับเตรียมออกด้วยฝ่ามือสยบมังกร18ท่าอันเป็นท่าไม้ตาย
     
    ฮูลาเต ข่านคนปัจจุบันแห่งมองโกลมีวรยุทธสูงเยี่ยมอีกทั้งยังมีมันสมองเป็นเลิส เห็นว่า ศัตรูมีวรยุทธอันตรายร้ายกาจยามนั้นไม่กล้าประมาท หยิบถุงทองในแขนเสื้อออกมา โยนลงกลับพื้นแล้วกล่าวว่า
     
    "ใครที่สามารถตัดหัวชิงหน้ากากทองคำให้แก่ข้าได้ ทองพันตำลึงในถุงนี้ย่อมตกเป็นของคนผู้นั้น ส่วนผู้ใดที่อยากล้างแค้นให้เจ้าสำนักของพวกท่าน ขอให้จับอาวุธเข้าจู่โจมพร้อมกัน"
     
    ชาวยุทธ์พอได้ยินว่าทองพันตำลึง ก็เกิดความโลภชักอาวุธออกมาเรียงรายกระโดดเข้าสู่ลานประลองพร้อมเข้ากลุ้มรุมจู่โจมมารร้ายทันที ไหนจะศิษย์สำนักต่างๆที่เจ้าสำนักถูกฆ่าตายโอกาสล้างแค้นอยู่แค่เอื้อม เพียงการรุมสังหารมารร้ายครั้งนี้ หากใครเป็นผู้สังหารมารร้ายได้ ผู้นั้นย่อมได้รับทั้งลาภยศชื่อเสียงเงินทองไปอย่างพร้อมเพรียง
     
    ตงฟางไป๋เห็นดังนั้นจึงประกาศกร้าว
     
    "หากผู้ใดยังรักขีวิตและครอบครัว โปรดลงจากลานประลองให้แก่ข้าพเจ้ามิฉะนั้นจะหาว่าข้าพเจ้าไม่เตือน"
     
    โต้วเหมียนได้ยินดังนั้นจึงวิ่งลงจากลานประลองเป็นคนแรก ส่วนเจ้าสำนักคงท้ง ชิงเฉิง เหยี่ยวทะเลทราย พรรคฉลามและสำนักเล็กอื่นๆที่รักตัวกลัวตายพากันวิ่งลงจากลานประลองกันอย่างอลหม่าน เหลือเพียงแต่ชาวยุทธ์ 50กว่าชีวิต โดยมีแกนนำเป็นฮูละเตและพวก กับ หานเจียง
     
    ทั้ง 4 คนยืนล้อมกรอบ ตงฟางไป๋ไว้เป็น4ทิศ โดยมีชาวยุทธ์กว่า50คนอยู่ด้านหลังพร้อมสนับสนุน ชูหูเอ๋อซันฝีมือสูงส่งตลอดมาเป็นหน่วยกล้าตายตั้งแต่สู้รบมาไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน  ครั้งนี้ก็เช่นกัน พลันควงหอกในมือพุ่งตัวเข้าใส่ ตงฟางไป๋อย่างรวดเร็ว ฮูลาเตเห็นดังนั้นจึงตวาดก้องเป็นสัญญาณเข้าจู่โจมทันที
     
    "ฆ่า!!"
     
    เสียงตวาดดังขึ้นฮูลาเตพลันชักดาบโค้งสีทองออกมาจากฝัก ทุ่มออกสุดฝีมือด้วยวิชาดาบทะเลทราย หานเจียงเห็นดังนั้นก็พุ่งตัวเข้าสมทบจากทางหลังออกด้วยฝ่ามือสยบมังกร ส่วนลามะลึกลับ กลับขว้างกงจักรธรรมออกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังพุ่งตามกงจักรเข้าหาตงฟางไป๋ ด้านชาวยุทธ์อื่นๆอีก50กว่าชีวิตพอได้ยินสัญญาณต่างพุ่งเข้าจู่โจมกันอย่างพร้อมเพรียง 
     
    ตงฟางไป๋ เห็นดังนั้น จึงเกร็งพลังลมปราณถึงขีดสุด แตะพื้นเบาๆ ร่างก็ลอยขึ้นไปกว่า5วา เมื่อลอยตัวจนถึงจุดสูงสุด พลันหมุนกายดุจลูกข่าง เข็มสีแดงๆนับพัน ถูกซัดออกจากร่าง เปรียบกับห่าฝนธนูเพลิงของกองทัพเล็กๆ กองทัพหนึ่ง....
     
    ในชั่วเวลา เพียงกาน้ำเดือด บนลานประลองกลับกลายเป็นทะเลเพลิง ไม่มีผู้ใดรอดออกมาจากลานประลองได้  
     
    ตงฟางไป๋ บัดนี้นั้งจิบน้ำชาอยู่บนที่นั่งของหลี่เ่ว่ยผู้เป็นประธานการจัดงานประลอง ตามองเข้าไปในทะเลเพลิง อย่างสบายอารมณ์ ด้านหลังกลับเป็นโต้วเหมียนและเจ้าสำนักเล็กทั้งหลายนั่งคุกเข่า ตัวสั่นงันงก เปรียบกับลูกไก่ได้ทั้งสิ้น
     
    "จากนี้ไป ให้พวกท่านรวบรวมคัมภีร์ ยุทธจากสำนักของพวกท่านเองและจากที่อื่นๆมาให้ได้มากที่สุด แล้วนำมามอบไว้กับท่านโต้วเหมียน ภายหลังข้าพเจ้าจึงค่อยมาทวงถามอีกครั้ง หากผู้ใดไม่ทำตาม ข้าพเจ้าจะสังหารโดยมิต้องฌาปนกิจ เหมือนกองเพลิงตรงหน้าพวกท่าน"
     
    ตงฟางไป๋ พูดในเชิงข่มขู่
     
    "ท่านทำแบบนี้หากมีใครมาเอาเรื่องกับข้าพเจ้า หรือหาว่าข้าพเจ้าเป็นพรรคมารเล่า แบบนี้ไม่เท่ากับว่าข้าพเจ้ารนหาที่ตายหรือ?"
     
    โต้วเหมียนกล่าวทั้งน้ำตา 
     
    "ท่านพี่โต้ว อย่าได้คิดมากไป จงเห็นเป็นเรื่องตลบขบขันเหมือนดั่งที่ท่านทำกับข้าพเจ้าก่อนหน้านี้เถิด หากแม้นแต่ใครกล้าสังหารท่าน ข้าพเจ้าตงฟางไป๋จะล้างแค้นให้ท่านอย่างแน่นอน แต่หากท่านไม่อยากทำงานให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ฝืนใจคงต้องมอบหมายงานให้ผู้อื่นทำแทน"
     
    ตงฟางไป๋พูดพลางหยิบเข็มเงินหนึ่งเล่มขึ้นมาลูบไล้อย่างทนุถนอม โต้วเหมียนพอเห็นดังนั้นจึงก้มหัวลงกับพื้น ร้องไห้ฟูมฟายออกมา
     
    "ข้าน้อยทำแล้ว ๆ อย่าฆ่าข้าพเจ้าเลย ๆ ฮือ ๆ "
     
    ทุกคนล้วนดูออกหากโต้วเหมียนปฏิเสธก็เท่ากับหาเรื่องตายแล้ว
     
    ตงฟางไป๋ หยิบคัมภีร์วิชาห้ากระบี่คุณธรรมขึ้นมาโบกสะบัดลมเย็นใส่หน้าประหนึ่งใช้แทนพัด พร้อมครี่อ่านผ่านๆตาอยุ่สองรอบจึงกล่าวต่อ
     
    "เห็นควรว่าวันนี้ข้าพเจ้าต้องกลับไปฝึกฝนวิชาต่อแล้ว ครั้งหน้าถ้ามีวาสนา อาจได้พบกันใหม่"
     
    พลางหยิบถุงทองพันตำลึง และคัมภีร์ห้ากระบี่คุณธรรมโยนให้โต้วเหมียน และกล่าวต่อ
     
    "ตอนนี้พรรคห้าขุนเขากระบี่ยังขาดประมุขพรรค ข้าพเจ้าเห็นว่าในเวลานี้มีเพียงท่านที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด จงฝึกไว้เพื่อป้องกันตัวเถิด ส่วนเงินทองพันตำลึงนั้น นำไปขยายกิจการให้ใหญ่โต ข้าพเจ้าจักมาเยี่ยมท่านบ่อยๆ"
     
    พูดพลางหยิบเข็มเงินสามเล่มขึ้นมาลูบไล้เป็นเชิงข่มขู่ หากใครไม่เห็นด้วยกลับต้องตายอย่างแน่นอน เจ้าสำนักคงท้ง ชิงเฉิง และสำนักเล็กอื่นๆต่างพยักหน้าเห็นด้วยทั้งสิ้น
     
    "ดี งั้นข้าพเจ้าขอลา"
     
    ตงฟางไป๋พลันพริ้วกายหายไปในชั่วอึดใจ เหลือไว้เพียงแค่กองเพลิงและตำนานสังหารหมู่บนยอดเขาไท่ซาน
     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×