ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    --ทดลองงานเฉยๆน่ะ--

    ลำดับตอนที่ #10 : ปรับสีพื้นหลัง 1

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 57


    ตอนที่ 1 ชีวิตที่มีแต่ความเย็นเฉียบ

    ฉันค้นพบหนังสือปกหนังเก่าๆเล่มนี้ ตอนไปดูซากเรืออับปางที่เกิดจากฝีมือพวกพี่สาวของฉัน 

    พวกพี่ๆดูจะชอบใจที่ยั่วยวนชาวกะลาสีเรือให้หลงเสน่ห์พวกเธอได้และสุดท้ายก็ตามลงมาฉวยจุมพิตพวกเธอใต้น้ำ แต่พวกเขาจะรู้ไหมนะ ว่าทันทีที่ตัวพวกเขาสัมผัสผิวน้ำ ไม่ว่าจะส่วนปลายของเส้นผมก็ตาม เราสามารถใช้พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างอันบอบบาง ฉวยพวกเขาลงมาถึงก้นบึ้งแห่งมหาสมุทรได้เพียงชั่วพริบตา

    เราคว้า ลาก ฉุด กระชาก และฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆใต้น้ำทะเล เลือดสีแดงลอยคละคลุ้งปนเปื้อนไปกับมหาสมุทรสีคราม

    เราทำทำไม? นั่นสิ ทำแบบนั้นทำไม ได้อะไรขึ้นมา เราไม่ได้กินเนื้อมนุษย์ เปล่าเลย เราไม่กินแม้แต่กุ้งตัวเล็กๆด้วยซ้ำ

    เราไม่กินเนื้อ ไม่กินปลา แต่เรารักษาพวกเขา พวกสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ เราดูแล ปกครองพวกเขาต่างหาก เรากินแค่พืช สาหร่ายทะเลเท่านั้น แค่นั้นก็เกินพอแล้ว

    แต่ทำไม มนุษย์ ที่แค่แล่นเรือผ่านท้องน้ำ ถึงต้องโดนฉีกเป็นชิ้นๆ

    พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาแค่อาศัยพื้นที่ที่เราอยู่เป็นตัวเชื่อมในการค้าขายตามประสามนุษย์

     

    ฉันเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจตลอดเวลาที่ฉันตามเหล่าพี่สาวที่ไปออกล่าเรือ คอยดูอย่างเงียบๆ แต่ไม่เคยช่วยพวกเขา เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะช่วยทำไม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขัดพี่ๆทำไม

    ฉันไม่รู้อะไรเลย แม้กระทั่งอายุของตัวเอง คงสัก 150 ปีแล้วล่ะมั้ง แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากจะเล่าให้พวกคุณฟัง

    ฉันเล่าถึงไหนกันนะ ... อ้อ ใช่

    ฉันค้นพบหนังสือปกหนังเก่าๆเล่มนี้ ตอนไปดูซากเรืออับปางที่เกิดจากฝีมือพวกพี่สาวของฉัน ตอนที่ฉันสะบัดหางสองสามครั้งเพื่อว่ายเข้าไปหามัน แรงน้ำจากหางของฉันส่งผลให้หน้าปกมันเปิดออกทันที ฉันตกใจกับภาพที่เห็น

    มันช่างอัศจรรย์ใจนัก มนุษย์ พวกคุณคิดได้อย่างไร เอาอะไรมาทำเป็นสิ่งสีขาวๆบางๆแบบนี้ ตอนแรกฉันไม่รู้ว่ามันเรียกว่ากระดาษ ไม่รู้ว่ามันสามารถใช้ในการบันทึก ไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้คู่กับดินสอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้ในการจดบันทึก จนกระทั่ง ฉันพบกับมนุษย์แปลกหน้าคนหนึ่งในยุคของพวกคุณ

    ฉันใช้มือขาวซีดบางๆเปิดพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยความฉงน น่าอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด ยิ่งฉันรู้จักพวกคุณ ฉันยิ่งทึ่งในความสามารถและความเพียรพยายาม

    ถ้าหากเผ่าพันธุ์ของฉันมีความสามารถหรือความพยายามได้สักครึ่งหนึ่งของพวกคุณก็คงดี บางที เราอาจไม่ต้องมาอยู่ในน้ำเย็นๆแบบนี้

    เสียงร้องโหยหวนเริ่มดังและสยดสยองมากขึ้น พวกพี่ๆคงกำลังลากกะลาสีเรือลงมาในน้ำแน่ๆ

    ฉันไม่ได้สนใจจะหันไปดู จนกระทั่งได้ยินเสียงๆหนึ่ง เสียงของเด็ก

                “พ่อจ๋า!” เด็กหญิงตัวน้อยๆกรีดร้อง เธอพยายามคว้าตัวพ่อของเธอเอาไว้ด้วยแขนอวบๆดูนุ่มนิ่มของเธอ

                “ลิซ่า! หลบ หลบไป! หลบเข้าไปข้างใน!” พ่อของเด็กน้อยตะโกนกลับมาและกวาดมือไหวๆบอกให้ลูกสาวหาที่ซ่อน

    ฉันเห็นภาพเหล่านี้บ่อยจนเคยชิน แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะมองความรักความผูกพันของครอบครัวมนุษย์ มันช่าง...

    อบอุ่นเหลือเกิน...

    และภาพแห่งความอบอุ่นนั้นก็ทะลายลง พี่สาวของฉันตนหนึ่งลากผู้เป็นพ่อลงไปใต้น้ำ และตนอื่นๆก็พยายามจมเรือให้อับปางอันมีเด็กน้อยอยู่เพียงคนเดียว

                ฉันเบื่อเหลือเกินกับภาพเหล่านี้ ฉันเห็นมาเป็นร้อยๆปี และคราวนี้ ฉันจะเปลี่ยนมัน

                “หยุด” ฉันตัดสินใจเอ่ยออกมา เสียงดังกังวานเหมือนหยดน้ำที่หยดลงบนหินในห้องเงียบๆ มันเป็นเสียงที่เงียบงันแต่สะท้อนอยู่ในหูของทุกคน

    พี่สาวของฉันหันมามองและชักสีหน้า พวกเธอดูไม่แปลกใจเลย ที่จู่ๆน้องสาวจะพูดขัด ทั้งๆที่เป็นครั้งแรกที่ฉันขัดพวกเธอ

                “มีอะไร?” ซาเฟียน่า พี่สาวคนโตทำเสียงแหลมและใช้สายตาอาฆาตมองมาทางฉัน แต่ก็ใช่ว่าฉันจะสน

                “ฉันจะรับเด็กคนนี้มาเลี้ยง”

                “มาเป็นอาหารฉลามรึ?”

                “เปล่า มาเลี้ยง”

                “เด็กนี่หายใจในน้ำไม่ได้หรอกนะ”

                “ถ้างั้นฉันจะพาเขาไปส่ง” ฉันเบื่อที่จะต้องมาต่อปากต่อคำกับพวกพี่ๆ ร้อยห้าสิบปีที่ผ่านมามันช่างไม่มีอะไรแปลกใหม่เอาเสียเลย และวันนี้ ฉันจะเปลี่ยนวิถีเดิมๆ

                “ได้ยินไหม ฉันจะพาเขาไปส่ง” เสียงที่เหมือนหยดน้ำ หยดลงบนหิน ทีละหยด หยด หยด.. มันก้องกังวานอยู่ในห้องเงียบๆ อยู่ในหู อยู่ในโสตประสาท มันเหมือนยาที่ทำให้หลอน เหมือนเครื่องทรมานที่ทำให้นักโทษเสียสติ

                “พา ไป ส่ง” เสียงของฉันก้องในใบหูของพี่ๆทุกถ้อยคำ ทุกพยางค์ มันไม่สามารถสะกดจิตใครได้ มันแค่ สั่ง เท่านั้น แต่เป็นการสั่ง ที่คนถูกสั่งไม่ได้เต็มใจยอมทำตามนัก เพียงแต่ทนความกดดันจากประสาทของตัวเองไม่ไหว

                และในที่สุด พวกเขาก็เปิดทาง ก่อนจะดำดิ่งสู่ผืนน้ำสีดำมืดใต้มหาสมุทร

                ฉันค่อยๆสะบัดหาง ว่ายไปหาเรือสินค้าอันใหญ่ยักษ์ ใบเรือของมันขาดกระจัดกระจาย เสากระโดงเรือหักและล้มลงมา เรือกำลังจะจม อันที่จริงมันเริ่มจมไปแล้วครึ่งลำ ฉันมีเวลาไม่มาก

                “ออกมาเถอะ หนูน้อย” ฉันเรียกหาเด็กน้อยคนนั้นเบาๆ โดยไม่ได้ใช้พลังใดๆแบบที่ทำกับพี่สาวของฉัน

                ชั่วขณะหนึ่งที่ฉันคิดว่าเด็กคนนั้นคงสิ้นลมเพราะความหนาวเย็นแห่งท้องทะเลไปแล้ว และฉันกำลังจะว่ายกลับ เด็กคนนั้นก็ค่อยๆเอ่ยทักฉันเบาๆ

                “ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าเปื้อนกระค่อยๆชะโงกออกมาหลังถังเบียร์ที่ล้มระเนระนาดกองพะเนินกันไว้ “คุณช่วยหนู”

                “ฉันจะพาเธอไปส่งนะ” ฉันค่อยๆว่ายเข้าไปในเรือส่วนที่จมลง พยายามเอื้อมมือไปหาเด็กน้อย ผู้มีดวงตาสีน้ำตาลใบหน้าเปื้อนกระ

                “คุณจะฉีกหนูมั้ยคะ”

                “ไม่หรอก” ฉันยิ้มให้กับคำถามน่ารักๆของเธอ

                “พ่อของหนู...” เด็กน้อยน้ำตาปริ่มเบ้า แม้ว่าเธอจะเด็ก แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าชาตะกรรมของพ่อเธอเป็นยังไง

                “ฉันเสียใจ” ฉันพูดได้เพียงแค่นี้ เพราะจุกจนพูดอะไรไม่ออก เป็นครั้งแรกที่ฉันเสียใจกับความสูญเสีย ฉันเสียใจที่ฉันไม่ทำอะไรเลย ไม่ช่วยอะไรเลย พ่อของเด็กคนนี้อาจไม่ตาย เขา เขาอาจได้ดูตอนลูกสาวเขาโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง แต่เพราะฉันไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว พ่อของเธอเลยกลายเป็นเศษชิ้นเนื้ออยู่ใต้ทะเล

                “ฉันเสียใจจริงๆ ได้โปรดอย่ามองฉันแบบนั้น”

                ดวงตาที่แข็งกร้าวแบบเด็กๆ แต่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมองฉัน ฉันรอที่เมื่อไรน้ำตาจะไหลเอ่อลงมา แต่ไม่ว่าเด็กคนนี้จะจ้องเขม็งแค่ไหน น้ำตาแม้สักหยด ก็ไม่มีให้ฉันเห็น

                “คุณจะฆ่าหนูเป็นคนถัดไปสินะ คุณไล่พี่ๆคุณไปเพื่อจะลากหนูลงไปจัดการคนเดียวสินะ” คำพูดตัดพ้อพรั่งพรูออกมา

                “ถ้าฉันจะทำ ฉันทำไปนานแล้ว ไม่มาลอยคอคุยกับเธอแบบนี้หรอก แม่หนู” ฉันกระชากแขนอันจ้ำม่ำของเด็กน้อยลงมา “ตอนนี้เราไม่มีเวลา พี่สาวฉันอาจจะกลับมา เรือกำลังจะจม ตอนนี้เธออยู่ท่ามกลางทะเลแคริบเบียนอันไร้แสงแห่งความหวังใดๆทั้งสิ้น นอกจากฉัน” ฉันขู่เด็กน้อย

                “ขึ้นมาบนหลังและเกาะแน่นๆ” ฉันกระเถิบเข้ามาใกล้ ให้เด็กหญิงขึ้นมาขี่คร่อม “ฝากนี่ด้วยได้ไหม” ฉันยื่นหนังสือปกหนังที่เจอให้เด็กน้อยถือ

                เด็กน้อยรับไปแต่โดยดีและเอ่ยเบาๆในลำคอ “หนังสือของพ่อ...สมุดบันทึกของพ่อ...” เสียงสั่นเครือน้อยๆทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันสะบัดหางเบาๆว่ายออกไปจากเรือ เพื่อพาเธอไปขึ้นฝั่ง

                “ฉันเสียใจ” ฉันเอ่ยเบาๆขณะว่ายออกไป

    ท่ามกลางกระแสน้ำเย็นดุจน้ำแข็ง ฉันก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่เป็นของเหลวบนหัวไหล่ มันเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันได้สัมผัสกับน้ำ ที่ไม่ใช่น้ำมหาสมุทรอันเย็นเฉียบ มันเป็นน้ำตาของเด็กหญิงน้อยๆที่เพิ่งสูญเสียพ่อ

    เธอร้องไห้และซบบนไหล่ของฉัน ขณะที่ฉันทำได้เพียงเอ่ยคำขอโทษเบาๆและสะบัดหางให้เร็วขึ้นดุจดั่งกำลังหนีความรู้สึกผิดที่กอบกินหัวใจ

     --อยากอ่านต่อ ไปที่ลิงค์นี้นะจ้ะ--
    http://writer.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=1137825

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×