คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8
ค่ำคืนนี้เป็นคืนเดือนมืด แสงจันทร์สาดส่องเพียงรำไร แมลงกลางคืนร้องระงมกรีดเสียงผสมผสานกับความเย็นฉ่ำรอบกาย ไอน้ำค้างกลางคืนพร่างพรมบนผืนดินจนต้นไม้ใบหญ้าเปียกชุ่มไปด้วยละอองน้ำ ร่างเงาในชุดดำจำนวนหนึ่งแฝงกายเงียบเชียบ ซ่อนเร้นอยู่กับทิวไม้ใหญ่ ช่วงเวลาดึกสงัดจนแน่ใจว่าทุกสรรพสิ่งต่างเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ เงาสองร่างต่างพยักหน้าให้สัญญาณซึ่งกันและกัน หมอกควันสีขาวจางพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ จนทหารยามที่ยืนเฝ้าหน้าประตูเริ่มออกอาการโงนเงน ก่อนจะค่อยๆ ทรุดฮวบลงไปนอนกองที่พื้น ร่างทหารยามถูกลากเข้าไปในพุ่มไม้ ก่อนทหารชุดใหม่จะไปยืนปฏิบัติงานแทนที่ สัญญาณมือถูกส่งต่อออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบริเวณชั้นใน
เสียงเดินเท้าย่ำผ่านของเวรยามกลางคืนทำให้เงาร่างหยุดชะงักค้าง พลางเอนตัวอิงแอบแนบเสา แต่ทว่าเงาที่ทอดยาวออกมาที่พื้น เรียกสายตาทหารเวรยามให้เหลียวหันกลับมามอง ก่อนค่อยๆ สืบเท้าเดินเข้าหาด้วยความระมัดระวัง
“โอ๊ะ!!ตุ้บ!!” เสียงเพียงอึดใจที่ไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยร่างทหารเวรทรุดฮวบลงก่อนถูกลากเข้าแอบพิงในซอก
ประตูบานใหญ่สลักเสราอย่างงดงามอ่อนช้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องนั้นเป็นเช่นไร เด็กน้อยทั้งสามผู้เปรียบดั่งสมุนองค์รักษ์นอนเฝ้าอยู่ภายในห้อง ทำเอาบุรุษนิรนามทั้งสองมองสบตากันด้วยความฉงน ก่อนทุกอย่างจะพร่าเลือนเมื่อได้เห็นหน้าตาของหญิงงามผู้เป็นดั่งมงกุฎยอดเพชรแห่งเมืองคาร์เพเทียน
++++
“ซ่าส์...โอ๊ะ!!แค่กๆๆ อะไรกันนี่” เสียงไอสำลักน้ำของหญิงสาวที่นอนสลบไสลสะดุ้งเฮือกเมื่อน้ำเย็นถูกสาดโครมลงมาบนใบหน้านวล
“ตื่นได้แล้ว หมดเวลาของการพักผ่อน” เสียงเรียกของชายร่างเล็กแกร็นผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สาดน้ำปลุกหญิงสาวเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินถอยห่างออกไปเมื่อทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจบ
“ที่นี่ที่ไหนกัน” อัลมาซึ่งยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เอ่ยปากพลางมองหาที่มาของเสียงด้วยอาการงุนงง
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าที่นี่คือที่ไหน รู้แต่ว่านับจากนี้ที่นี่จะเป็นที่ที่เจ้าต้องอยู่ไปชั่วชีวิต” เสียงห้าวทุ้มทรงพลังอันคุ้นเคย ทำให้หญิงสาวหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว
“ท่านเอซ” เสียงเรียกขานอันอ่อนหวานพร้อมรอยยิ้มละไมเมื่อได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของชายคนรัก เธอรีบลุกหมายจะตรงเข้าหาเขาด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!” เสียงตวาดดังก้อง ทำเอาหญิงสาวชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่ด้วยไม่เข้าใจกับกิริยาชายหนุ่มตรงหน้า “นับจากวันนี้ เจ้าต้องอยู่ที่นี่ในฐานะทาส และจำเอาไว้ว่าทุกอย่างที่ผ่านมามันคืออดีต อย่าได้หวังจะรื้อฟื้นมันขึ้นมา”
“มันคืออะไร ท่านเอซ มันเกิดอะไรขึ้น ข้า..ข้าไม่เข้าใจ”
“เจ้าไม่ต้องเข้าใจหรอกเจ้าหญิงอัลมา ข้าผู้น้อยต่ำต้อยวาสนา ไม่บังอาจมักใหญ่ใฝ่สูงไปยืนเคียงข้างหงส์อย่างเจ้า หงส์ที่มีสายเลือดอสรพิษไหลเวียนในร่างกาย” ชายหนุ่มพูดพลางเหยียดสายตามองด้วยความรังเกียจ แรกที่ได้เห็นร่างงามคุ้นตาถูกแบกเข้ามา สีหน้าพิอักพิอ่วนของนักซยาและอาลันเทีย ทำให้เขานึกสงสัย และเมื่อเปิดผ้าออกดู ใบหน้างามผู้เป็นเจ้าของหัวใจกล้าแกร่งของเขา ทำเอาร่างแทบทรุด หัวใจรักแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าครึ่งหนึ่งมีสายเลือดเดียวกันกับเขา และอีกครึ่งหนึ่งเป็นสายเลือดนางงูพิษที่เขาสาบานไว้ว่าชาตินี้ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ชีวิตแลกชีวิต เมื่อสถานการณ์แปรเปลี่ยนไป เขาจึงหลบเลี่ยงไปที่น้ำตกอันเย็นเยียบเพื่อสงบสติ สงบหัวใจ ท้ายที่สุดความอัดอั้นที่ไม่อาจหาทางออก ทำให้เขาต้องตะโกนกู่ก้องร้องราวสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ชะตาฟ้าลิขิตทำไมคนที่เขารักกลับกลายมาเป็นน้องสาวของตัวเอง และเป็นลูกสาวของศัตรูคู่อาฆาตของเขา ไม่เข้าใจ!! เขาไม่มีวันเข้าใจ!!
“เอซ ท่านจะอธิบายให้ข้าเข้าใจหน่อยได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา หรือว่า...” อัลมาใบหน้าซีดเผือดลงเมื่อลองลำดับเหตุการณ์ดู เธอไม่รู้สาเหตุแห่งการลักพาตัวครั้งนี้ แต่ทว่าเธอนอนอยู่ในวัง ดังนั้นผู้ที่จะเข้าไปจับตัวเธอมาจะได้รู้ว่าเธอเป็นใคร หรือว่าความลับที่เธอปกปิดฐานะของตัวเองไว้ว่าเป็นเจ้าหญิงจะเป็นต้นเหตุทำให้ชายหนุ่มโกรธ สมองน้อยๆ ทำงานอย่างหนักเพื่อหาสาเหตุแห่งความโกรธเกรี้ยวของชายหนุ่มตรงหน้าทว่ายังไงเธอก็ไม่อาจหาเหตุผลมาตอบตัวเองได้
“เจ้าไม่ต้องเข้าใจอะไรทั้งสิ้น รู้ไว้เพียงว่า ข้าเป็นนาย และเจ้าเป็นทาส จำเอาไว้!!!” ชายหนุ่มตวาดเสียงดังลั่น กลบความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจ เขายังทำใจรับกับสภาพความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ไม่ได้ เขาอยากให้ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก
ดวงตาหวานหยาดคลอคลองไปด้วยหยดน้ำตา เธอกำลังสับสน ทำไมคนที่เธอรักจึงไม่เปิดโอกาสอธิบาย หรือปรับความเข้าใจกัน เหตุใดเขาเอาแต่โกรธ และลงโทษเธออย่างรุนแรง หัวใจมันเจ็บแปรบ บีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก หากว่าวันนั้นเขาไม่เข้ามาตอแย หากว่าวันนั้นเขาไม่เข้ามาผูกสัมพันธ์ หากว่าวันนั้นเขาไม่เอาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดเธอจนสายเกินแก้ ทุกอย่างเป็นแผน หรืออย่างไร เขาจะทำไปเพื่ออะไร เธอเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ วนไปวนมา ริมฝีปากบางเริ่มซีดด้วยอากาศที่เย็นจัดประกอบกับน้ำที่ถูกสาดลงมา ฟันเรียวขาวดั่งไข่มุกกระทบกันดังกึกๆ ดวงตาหวานแดงก่ำเฝ้ามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาตัดพ้อโดยไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ย ทุกอย่างตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน
“ปิรุส เจ้าพานางไปพักที่กระท่อมท้ายเผ่า เอายาให้นางกิน จัดคนเฝ้าไว้อย่าให้นางมาเป็นอะไรตายในตอนนี้ หากแผนทุกอย่างยังไม่สำเร็จนางจะตายไม่ได้” ชายหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบ ถ้อยคำเชือดเฉือนบาดลึกซ้ำลงมาบนหัวใจดวงน้อยที่สะอื้นฮักทันทีที่ได้ยิน ทำเอาองค์รักษ์ผู้ติดตามทั้งสามถึงกับเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ
กระท่อมท้ายเผ่าสภาพไม่ทรุดโทรมจนเกินไปนัก ทว่าก็แทบจะเก็บความอบอุ่นได้ไม่เพียงพอในช่วงที่มีหิมะตก เธอมองเงียบๆ พลางก้าวเท้าเข้าไปนั่งภายใน อาการสั่นสะท้านยังคงเผยออกมาให้เห็นเป็นระยะ ทั้งที่พยายามบังคับตัวเองไม่ให้แสดงความอ่อนแอออกมา
“ปิรุส ข้าทำสิ่งใดผิดไปหรือ” อัลมาเอ่ยเสียงเศร้าไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ และมันก็จริงดังคาด เมื่อปิรุสปิดปากเงียบได้แต่มองหน้าเธอด้วยความเห็นใจ
ยาสมุนไพรกลิ่นฉุนจัดถูกยื่นส่งมาให้ เธอมองเห็นแต่ส่ายหน้าช้าๆ ไม่เอื้อมมือไปหยิบ
“หากท่านบอกข้าไม่ได้ว่าข้ากำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่ ข้าก็ขอปฏิเสธน้ำใจจากท่าน เก็บยาอันมีค่าของท่านไว้รักษาผู้ที่สมควรได้รับการรักษาเถิด ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก” เธอกล่าวก่อนเดินไปนั่งบนเตียงไม้กระชับผ้าคลุมให้แน่นเข้า เพราะอาการสั่นสะท้านไม่มีทีท่าจะหยุดลง
“โปรดรับยาจากข้าเจ้าหญิง อย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจ วันนี้แม้พระองค์จะไม่ทรงรู้เรื่องราวอะไร แต่โปรดอดทน และให้ความรักของพระองค์ทรงช่วยเยียวยาท่านเอซ อีกไม่นานทุกอย่างคงจะดีขึ้น” ปิรุสเอ่ยอย่างไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอย่างไรมากไปกว่านี้ อาการของเจ้าชายหนุ่มที่สุขุม เยือกเย็น อยู่เป็นนิจ แม้ในเหตุการณ์คับขันคาบเกี่ยวความเป็นความตายก็ยังคงเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่เคยมีสักครั้งที่จะทรงระเบิดอารมณ์ได้หนักหน่วงขนาดนี้
ถ้อยคำของปิรุสลอยเข้ามากระทบโสตประสาท เธอหวนรำลึกถึงค่ำคืนอันแสนงดงาม ถ้อยคำสาบานที่เธอเอ่ยย้อนกลับเข้ามาในหัวเป็นระลอก ใช่เธอควรต้องอดทน แม้วันนี้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านเอซ แต่เธอจะต้องสืบหาให้รู้ความจริงให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คิดได้ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเอื้อมมือเรียวสวยไปรับยาจากปิรุสมายกดื่มกินเงียบๆ
+++++
ในวัง ท่ามกลางความโกลาหลอันใหญ่ยิ่ง เหล่าทหาร และข้าราชบริหารวิ่งวุ่นหัวหมุนเมื่อได้รับรู้ว่าเจ้าหญิงอัลมาพระธิดาคนงามที่จะเข้าพิธีเลือกคู่ในวันสำคัญวันนี้อันตธานหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทหารยามถูกไล่เบี้ยอย่างหนักหน่วง ก่อนถูกสั่งลงโทษประหารชีวิต ทำเอาเสียงร่ำไห้ อ้อนวอนขอชีวิตดังระงมไปทั่ว น้ำเสียงตวาดลั่นของพระนางริเรียนดังสะท้อนเข้าไปถึงห้องบรรทมกษัตริย์ออสติน
“เกิดอะไรกันขึ้น เสียงดังโหวกเหวกเข้ามาถึงในนี้” กษัตริย์ออสตินเอ่ยถามทันทีเมื่อ องค์รักษ์ใกล้ชิดโค้งคำนับก่อนย่อตัวคุกเข่าถวายรายงาน
“พระธิดาอัลมาหายตัวไปพะย่ะค่ะ”
“หายไปเมื่อไหร่กัน!! ทหารยามหายไปไหนกันหมด ถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้” เสียงตวาดดังลั่นขึ้นอีกหน พระองค์ทรงตกพระทัยกับเรื่องที่ได้ยิน หัวใจราวถูกหยิบกระชากออกจากร่าง เจ้าชายอัสลัมหายสาบสูญไปยังไม่รู้ชะตากรรม ยังกลับมาเกิดเรื่องขึ้นกับพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวได้อีก
“พระนางริเรียนทรงกำลังสอบสวนอยู่พะย่ะค่ะ ตอนนี้ทหารส่วนที่ประจำการริมกำแพงวังกำลังถูกส่งตัวไปที่ลานประหาร ตามคำสั่งของพระนางด้วยเช่นกันพะย่ะค่ะ”
“นำคำสั่งของข้าไป องค์รักษ์ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะออกไปตามหาลูกของข้าเดี๋ยวนี้” ร่างของกษัตริย์ออสตินลุกขึ้นมายืนโงนเงนพยายามอย่างยิ่งที่จะทรงตัวให้มั่น ทรงนอนมามากพอแล้ว ทรงปล่อยเรื่องราวให้ทุกอย่างมันบานปลายจนเกินกว่าจะแก้ไข ขอเทพเบื้องบนโปรดปกป้องลูกของพระองค์ด้วย ทรงเอ่ยอ้อนวอนเงียบๆ ในใจ
ร่างของกษัตริย์ออสตินยังคงดูสูงสง่าแม้จะล่วงเลยเข้าสู่วัยชราในชุดเสื้อเกราะอ่อน เมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องโถงท้องพระโรง สายตานับร้อยคู่เพ่งมองไปยังจุดเดียวพร้อมเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสดั่งหึ่งๆ พลันเงียบลงสนิท พระบาทที่ก้าวเดินอย่างมั่นคงทรงค่อยๆ ก้าวผ่านทุกสายตาเดินขึ้นสู่ที่นั่งบัลลังค์ทองที่ตั้งสูงเด่น เมื่อทรงประทับนั่งลงเรียบร้อย สายตาคมของพระองค์ค่อยๆ กวาดตามองแขกเหรื่อที่มากันอย่างมากมาย กี่คนกันในที่แห่งที่นี้ที่มาด้วยใจสุจริต กี่คนกันในที่แห่งที่ทรงมาด้วยความเป็นมิตรแท้ กี่คนกันในที่แห่งนี้ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อลูกสาวของพระองค์
“ก่อนอื่นข้าขอขอบใจทุกท่านที่เสียสละเวลาอันมีค่ามาในงานวันนี้ ทุกท่านคงได้รู้แล้วสินะว่าวันนี้เมืองของข้ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มิตรแท้ ศัตรู คู่หมาย ดูเหมือนสามคำนี้ข้าคงยากที่จะตัดสินใจว่าพวกท่านทุกคนมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร การที่เจ้าหญิงอัลมาทรงหายตัวไปแม้มิใช่ความผิดของนางแต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความเสื่อมเสียชื่อเสียงนางย่อมหลีกหนีไม่พ้น ข้าออสตินผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองคาร์เพเทียน ข้าขอประกาศว่า หากแม้นผู้ใดก็ตามที่สามารถออกติดตามหาตัวลูกสาวของข้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้าจะมอบทรัพย์สมบัติกึ่งหนึ่งในท้องพระคลังให้แก่คนผู้นั้นในทันที” สิ้นเสียงประกาศก้องกังวาน เสียงพูดคุยดังหึ่งๆ ขึ้นอีกครั้ง
ชายรูปร่างสูงสง่าในชุดเจ้าชายพระองค์หนึ่งเดินก้าวเท้าออกมาหยุดยืนกลางท้องพระโรงด้วยความเชื่อมั่นในองค์เองเต็มเปี่ยม สายพระเนตรคมดุดุจดวงตาเหยี่ยว จมูกโด่งคมสันรับกับคิ้วเข้ม แม้ผิวพรรณของพระองค์จะเนียนละเอียดขาว ทว่ารูปร่างที่สูงใหญ่ อกกว้างบึกบึนแข็งแกร่งกลับส่งให้พระองค์ทรงดูเหมือนนักรบเทพเจ้าโรมันจุติลงมาเกิด สายตาทุกคู่หยุดหันมามองชายหนุ่มด้วยความสนใจอีกครั้ง
“ข้าแม็กซิมัส เจ้าชายแห่งเทือกเขาทาทรัส ขอถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายหนุ่มรูปงามเอ่ยแนะนำด้วยท่วงท่าดุจพญาราชสีห์
“ยินดีที่ข้าได้มีโอกาสต้อนรับ ชื่อแม็กซิมัสหมายถึงความยอดเยี่ยม ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมกับพระองค์มากเจ้าชาย” กษัตริย์ออสตินตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มบางๆ
“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอกับพระองค์เกี่ยวกับเรื่องของน้องหญิงอัลมา” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ดวงตามองด้วยสายตาแน่วแน่ไปที่กษัตริย์ชราที่กำลังจ้องมองตอบไม่ต่างกัน
“กล่าวมาเถิดเจ้าชาย” กษัตริย์ออสตินตัดใจเอ่ยออกมาในที่สุด
“กระหม่อมขออาสาไปติดตามตัวของน้องหญิง กระหม่อมจะนำตัวน้องหญิงกลับมาให้ได้”
“ทรงอาสาแบบนี้ เจ้าชายประสงค์สิ่งใดอยู่หรือ บอกข้ามาตามตรงเถิด”
“พระองค์ทรงพระปรีชาสมกับที่กระหม่อมเคยได้ยินคำร่ำลือมา หากพระองค์ประสงค์จะฟังกระหม่อมก็ขอทูลตามตรง บ้านเมืองของกระหม่อมมีพร้อมสรรพอยู่แล้วไม่ว่าจะทรัพย์สิน กองกำลัง ทรัพย์ยากร ล้วนแล้วแต่อุดมสมบูรณ์ดี หากสิ่งที่กระหม่อมตั้งใจมาร่วมงานในวันนี้คือกระหม่อมต้องการเจ้าหญิงอัลมามาเป็นคู่อภิเษก แม้น้องหญิงจะหายตัวไปก็มิได้หมายความว่าจะทำให้ความตั้งใจของกระหม่อมสิ้นสุดลง สิ่งที่จะทำให้กระหม่อมล้มเลิกความตั้งใจนี้คงมีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือเจ้าหญิงทรงมีคนที่พระองค์รักและมอบหัวใจให้แล้วเท่านั้น” สิ้นคำของเจ้าชายหนุ่มทำเอาทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง กษัตริย์ออสติน หรือแม้แต่พระนางริเรียนยังทรงนิ่งฟังด้วยคาดไม่ถึง คนหนึ่งรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญและตรงไปตรงมาของเจ้าชายหนุ่มตรงหน้า หากทว่าอีกคนหนึ่งกำลังชื่นชมยินดีด้วยทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนที่นางได้วาดหวังไว้
“ข้าขอถามหน่อยเถิด เจ้าชายทรงเคยพบอัลมาแล้วหรือ” คำถามของกษัตริย์ชรา ได้รับเพียงรอยยิ้มแย้มที่มุมปากของเจ้าชายหนุ่ม ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดๆ เพื่อไขข้อข้องใจ
“พระองค์จะทรงว่าอย่างไรเพคะ ที่เจ้าชายทรงทูลขอ” เสียงพระนางริเรียนเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน เมื่อไม่เห็นทีท่าสวามีจะตอบรับกับข้อเสนอที่เจ้าชายหนุ่มหยิบยื่นมา
“ข้าคงไม่สามารถจะให้คำตอบเจ้าชายได้ ในเมื่อคำตอบของเจ้าชายมีอยู่แล้ว สุดแท้แต่โชควาสนาจะชักพาไป เมื่อเจ้าชายหาตัวอัลมาพบ เมื่อนั้นข้าจะให้อัลมากับเจ้าชายเป็นผู้ตัดสินใจเอง”
ความคิดเห็น