คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5
ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลง เลยเวลายามบ่ายไปมากแล้ว ร่างสมส่วนระเหิดระหงของหญิงสาวนางหนึ่งเดินวนไปเวียนมาจนเด็กทั้งสามนั่งมองตามจนเริ่มตาลาย
“พี่อัล ท่านมีอะไรกลัดกลุ้มในใจหรือไม่ ข้าเห็นท่านเดินกลับไปกลับมาหลายรอบแล้วนะ” เซลซิสเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่งเมื่อเห็นว่าการเดินวนเวียนนั้นไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดลง
“ปละ..เปล่า ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากออกกำลังกายน่ะ” หญิงสาวตอบอึกอักนึกเขินอายกับคำถามซื่อๆ ของเซลซิส
“หากไม่เป็นอะไร ท่านจะเดินไปเดินมาทำไม พวกข้านั่งมองท่านจนเริ่มเวียนหัวแทนแล้วล่ะ ท่านไม่ต้องห่วงนะพวกเราสัญญากันไว้แล้ว ความลับของพวกเราจะไม่มีวันเปิดเผยแก่ใคร ดังนั้นหากท่านมีเรื่องอะไรที่กลุ้มใจแบ่งให้พวกข้าช่วยบรรเทาบ้าง แม้พวกข้าจะยังเด็กท่านไว้ใจพวกข้าได้ รับรองว่าข้าจะทำให้ดีที่สุด” เซลซิสเอ่ยแข็งขัน ทำเอาหญิงสาวอดยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้ เธอไม่มีพี่น้อง ดังนั้นเด็กทั้งสามจึงเปรียบเสมือนน้องน้อยที่เธอต้องคอยดูแล และให้ความรักความอบอุ่น
“พี่อัล ท่านกำลังคิดเรื่องของชายในตลาดผู้นั้นใช่หรือไม่” ทีน่าเอ่ยถามเสียงเรียบ ทีน่าแม้จะเป็นเด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่ทว่าสภาพแวดล้อมที่เด็กน้อยใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นมา ทำให้ทีน่าเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรทีน่า” เซลซิสเอ่ยถามด้วยความสนใจ ก่อนสายตาของเด็กทั้งสองจะหันไปมองที่หญิงสาว ด้วยความอยากรู้ และรอคอยคำตอบว่าการคาดเดาของทีน่านั้นถูกต้องหรือไม่
“ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ข้าไม่ชอบให้ใครมาเอ่ยนัดข้าทั้งที่ข้าไม่ได้รับปาก” อัลมาเอ่ยแก้ตัวเสียงเบาเมื่อถูกเด็กจับได้ว่าเธอกำลังเป็นอะไร
“ถ้าท่านไม่สบายใจ เป็นห่วงพวกเขา เราก็แอบออกไปสิ” ทีน่าพูดราวกับเป็นเรื่องปกติ
“ไม่หรอกทีน่า ป่านนี้มันใกล้จะเย็นแล้ว พวกเขาคงไม่รอแล้วล่ะ เขาคงไปกันหมดแล้ว บางทีข้าอาจจะกังวลเกินเหตุมากไป” อัลมาเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะตัดใจชักชวนให้เด็กๆ ไปวิ่งเล่นกันในสวน
เช้าวันใหม่อัลมาตื่นแต่เช้า วันนี้เธอตั้งใจจะหนีเข้าไปเดินในตลาด เหมือนเช่นที่เคยผ่านๆ มา ใบหน้าเล็กๆ ของโนร่าโผล่ออกมาจากหลังม่านก่อนจะมีใบหน้าของทีน่าและเซลซิสโผล่ตามมาเมียงมองดูลาดเลา ทั้งสามแอบหนีหัวหน้าแม่บ้านมาซุกตัวในอยู่ในห้องของอัลมาได้พักนึงแล้ว หลังจากสบโอกาสช่วงที่หัวหน้าแม่บ้านจอมเฮี้ยบกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมการสำหรับมื้อเช้าอันแสนหรูหราให้แก่พระนางริเรียน และกษัตริย์ออสตินซึ่งยังคงได้แต่นอนบรรทมบนเตียงอย่างไร้ความหวัง
“พวกเจ้ามากันเร็วดีจริง” อัลมาเอ่ยชม นับจากวันที่เด็กๆ ก้าวเข้ามาอยู่ในวัง ทั้งสามก็เปรียบเสมือนเงาตามตัว เป็นองค์รักษ์ตัวจ้อยให้กับเธอ คราวแรกที่ท่านแม่รู้เข้าว่าเธอไปเอาเด็กๆ เข้ามาอยู่ในวังถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงซักไซร้ถึงที่มาที่ไปถึงการได้มาของเด็กๆ เหล่านี้ ท่านแม่ของเธอฉลาดเป็นกรด กว่าเธอจะเอาตัวรอดมาได้แทบแย่เช่นกัน เพราะเรื่องราวที่เธอปั้นแต่งโยงไปโยงมามันพัวพันจนเธอเล่าเองยังสับสน ดีที่ท่านแม่ไม่อยากติดใจเอาความมาก จึงปล่อยผ่านไปเพราะไม่เช่นนั้น หากทรงรู้ว่าเธอไปทำอะไรเสี่ยงๆ มามีหวังชาตินี้ทั้งชาติเธอคงไม่มีวันได้ก้าวเท้าออกนอกวังเป็นแน่
ร่างในชุดเสื้อคลุมสีดำหม่นทั้งสี่ ค่อยๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางลับที่หญิงสาวนำไป ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวตลาดอันคึกคักเช่นเคย วันนี้ในตลาดดูผู้คนมากหนาตาเป็นพิเศษ กลุ่มคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูอะไรกันเสียงเฮดังลั่นเป็นระยะ จนเธอและเด็กๆ อดก้าวเข้าไปมุงดูด้วยความสนใจไม่ได้
ชายสองคนกำลังฟัดกันนัวเนีย ฝุ่นตลบคลุ้ง ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่น ชายคนหนึ่งร่างอวบอ้วน ในขณะที่อีกคนนั้นผ่ายผอม และพยายามอย่างสุดกำลังที่จะเอาตัวรอดจากศึกของเขาในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่ารูปร่างก็เสียเปรียบกันมาก จังหวะหนึ่งชายร่างอ้วนได้ที โดดขึ้นคร่อมชายร่างผอมได้ หมัดกลมป้อมประเคนใส่ใบหน้าของชายผอมผู้นั้นจนแตกยับ ผู้คนรอบข้างเงียบกริบ เพราะทุกคนต่างพยายามเชียร์เอาใจช่วยคนร่างผอม เสียงหมัดยังกระแทกใส่หน้ายังดังไม่หยุด แม้ชายร่างผอมจะสลบเหมือดไปแล้ว แต่ชายอ้วนก็ยังไม่มีทีท่าจะยอมรามือ เมื่อชกจนเหนื่อยหอบ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นชักมีดดาบสั้นที่ซุกไว้ออกมาจากข้างรองเท้า ผู้คนรอบข้างแทบลืมหายใจ ก่อนที่ชายอ้วนจะทันได้ใช้มีดปักเสียบลงไปบนร่างชายผอมที่แทบจะเหลือแต่กระดูก
“โป๊ก!! โอ๊ย!! ใครวะ ใครปาหัวข้า!!” ชายร่างอ้วนกุมหัวที่เลือดไหลอาบลงมาอย่างรวดเร็ว พลางร้องตะโกนด่าหันขวับไปยังทิศทางที่มาของหินอย่างรวดเร็ว สายตาโหดกราดไปมองเห็นร่างในชุดคลุมที่คุ้นตา ดวงตาของมันหรี่ลงอย่างมาดร้าย ก่อนจะก้าวตรงไปหาด้วยสีหน้าราวหมาบ้า เมื่อมันจ้องมองดวงตาคมหวาน รอยยิ้มแสยะน่าเกลียดจึงเผยออกมา ทำเอาอัลมาถอยเท้าไปด้านหลังด้วยความระแวดระวังเตรียมพร้อมสำหรับภัยที่กำลังจะมาถึงตัว
“เจ้านี่เอง ทำไมชอบแส่เรื่องของข้าอีกแล้วนะ หรือว่าเจ้าติดใจข้าก็บอกมาตรงๆ” สีหน้ายียวนเอ่ยขึ้นพลางจ้องมองเข้าไปที่ดวงตาคมหวานอย่างไม่คลาดสายตา ในใจของมันกำลังนึกประเมินดวงหน้าของหญิงสาวตรงหน้า เพราะแค่ดวงตายังงดงามขนาดนี้ มืออวบอูมไม่รอช้าเอื้อมไปกระชากผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวอย่างรวดเร็วประหนึ่งงูฉก เสียงร้องอุทานดังลั่นของผู้คนรอบข้างดังขึ้นและเงียบสงบลง เมื่อเห็นดวงหน้าของหญิงสาว
ความงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมทำเอาชายร่างอ้วนและผู้คนที่ได้พบเห็นแทบลืมหายใจ เพียงเสี้ยววินาทีที่มือหยาบอ้วนเอื้อมไปหมายฉุดกระชากหญิงสาว ร่างบางก็เซถลาถอยหลังไปปะทะกับอกแกร่งก่อนผ้าผืนบางอีกผืนจะถูกคลุมลงไปบนศีรษะของเธอเพื่อปกปิดความงดงามอันน่าหวงแหน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจน
“อย่ามายุ่ง นางเป็นของข้า!!” ชายร่างอ้วนตวาดแว๊ด ผวาร่างโถมตามติดหวังจะยื้อร่างบางกลับมา เมื่อหญิงสาวที่ตกเป็นเป้าหมายเมื่อครู่ ตกอยู่ในอ้อมอกชายหนุ่ม
“อย่ามายุ่งกับนาง!!” เสียงเรียบทุ้มกดต่ำ ดวงตาฉายชัดถึงแรงโทสะในใจ
“เจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย นางผู้นี้เป็นผู้ทำร้ายข้าถึงสองครั้ง นางต้องชดใช้ นางต้องไปกับข้า!!” ชายร่างอ้วนถูกตัณหาเข้าครอบงำ เมื่อได้เห็นใบหน้าสวยหวาน ซึ่งเขาแน่ใจว่าทั่วทั้งคาร์เพเทียน ไม่มีทางหาผู้หญิงเช่นนี้ได้อีกแน่ และเขาต้องได้นาง ต้องได้ เขานึกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น
“นางไม่ใช่สิ่งของ และเจ้าไม่สิทธิ์แตะต้องนาง” อัสลัมเอ่ยเสียงเครียดขรึม องค์รักษ์ทั้งสามรู้สึกดี ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ของเจ้าชายอัสลัมยามนี้ กำลังเปรียบประดุจน้ำเดือดลาวา
“เจ้านั่นแหละไม่มีสิทธิ์ เจ้าอย่ามายุ่ง นี่มันเรื่องของข้ากับนาง นางเป็นเมียข้า!!” เสียงอึ้ออึงดังรอบข้าง ด้วยสถานการณ์ที่ผันเปลี่ยนทันทีที่ชายร่างอ้วนเอ่ยออกมา
“ปึ้ก!! โอ๊ย!!” สื้นคำที่ชายอ้วนเอ่ยไม่ทันจบดี หมัดกำปั้นรุ่นๆ ถูกเสยเข้าที่ปากโสมมอย่างแรงจนเลือดกบปาก เสียงร้องโอดโอย ลงไปนอนกองที่พื้นร้องครางอย่างน่าสงสาร เมื่อมืออวบอ้วนค่อยๆ คลายออกมาจากปาก จึงได้เห็นว่ามีเลือดและฟันหน้าของเขาหลุดตามออกมาถึงสามซี่ ดวงตาแตกตื่นจ้องมองไปที่ชายหนุ่มที่ซัดหมัดลงมาเมื่อครู่ ก่อนนิ้วอ้วนป้อมจะชี้หน้าปากสั่นระริก พูดไม่ออก
“ปากของเจ้ามันโสมม เอาเลือดออกซะบ้าง นางเป็นคู่หมายของข้า อย่าได้บังอาจแอบอ้างว่านางเป็นเมียเจ้าอีก หากเจ้าไม่ยอมรามือจากนาง และยังคิดทำตัวอันธพาล อย่าหวังว่าข้าจะปล่อยไปเหมือนครั้งนี้”
“ควับ!!โอ๊ย!!” สิ้นคำขู่ของอัสลัม ปลายดาบของชายหนุ่มตวัดผ่านหน้าชายร่างอ้วนอย่างรวดเร็ว ปาดเอาเสื้อที่เขาสวมใส่ขาดเป็นริ้ว โดยไม่มีร่องรองบาดแผล ชายร่างอ้วนหวาดกลัว ตกใจจนตัวสั่น ฉี่ราดออกมาเลอะไหลนองพื้น ก่อนจะเอามือกุมปากที่เลือดยังไหลไม่หยุด พร้อมกลับวิ่งตุปัดตุเป๋หายลับไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณ” อัลมาเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะรีบดันตัวเองออกมาจากอ้อมอกอุ่น ใบหน้าเห่อร้อนด้วยถ้อยคำของชายหนุ่มที่บอกว่านางเป็นคู่หมาย
“เจ้าไม่มาตามนัด” อัสลัมเอ่ยเสียงนุ่ม
“แต่ข้าไม่ได้รับปากท่าน”
“แต่ข้ารอเจ้า จะรอทุกวัน และจะรอตลอดไป“ ถ้อยคำเอ่ยที่แสนเบาแต่ทว่าหนักแน่น ตราตรึงเข้าไปถึงหัวใจผู้ฟัง ทำเอาหญิงสาวหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ดวงหน้าร้อนวูบวาบ “ข้าขอโอกาสทวงบุญคุณที่ช่วยเจ้าเมื่อครู่ เลี้ยงอาหารพวกข้าสักมื้อ” ชายหนุ่มเอ่ยรุกต่อด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม พึงพอใจกับอาการหญิงสาวตรงหน้า
“ช..เชิญ” อัลมาเอ่ยเสียงเบา
นับจากวันนั้นความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวเจริญงอกงาม ผลิดอกออกใบราวกับทั้งคู่เกิดมาเพื่อกันและกัน เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ เสียงหัวเราะของเจ้าชายหนุ่มมีมากขึ้นทุกวัน จนบางครั้งองค์รักษ์ผู้ติดตามทั้งสามที่เฝ้ามองดูนึกอยากให้คืนวันอันแสนสุขสดชื่นเหล่านี้เยียวยารักษาบาดแผลในจิตใจของเจ้าชายหนุ่มให้ลืมเลือนความแค้นในอดีต และอยู่กับความสุขในปัจจุบัน แต่ทว่ามันคงยากยิ่ง
ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวทั้งคู่แม้ในด้านหัวใจจะหลอมประสานเป็นหนึ่งเดียว แต่ทว่าความลับบางอย่างที่ไม่อาจเปิดเผย ยังคงเป็นความลับต่อไป อัสลัมลูกชายหัวหน้าชาวเผ่าชวาเบน และอัล หญิงสาวนิรนามที่ชายหนุ่มเข้าใจเอาเองว่าเป็นลูกสาวของคนมีฐานะในเมืองคาร์เพเทียนที่หวงลูกสาวมากแค่นั้น
++++++
“เปรี้ยง!!เพล้ง!! เมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่พระองค์จะหยุดเศร้าโศกเสียใจกับอดีตที่มันผ่านไปแล้วสักที พระองค์ทรงทราบบ้างหรือไม่ว่าข้าเบื่อ ข้าเหนื่อยมากแค่ไหนที่ต้องคอยมาดูแลคนแก่สิ้นเรี่ยวแรงเช่นท่าน” เสียงถ้วยใบน้อยถูกเขวี้ยงปาเข้าหาผนังด้วยความเหลืออด ตามติดด้วยเสียงบ่นว่าหลังป้อนยาพระสวามีผู้แก่ชราเสร็จ
“หากเจ้าไม่ต้องการจะทำ ให้บ่าวไพร่มาดูแลข้า” เสียงอ่อนระโหยของกษัตริย์ออสตินเอ่ยแผ่วเบา ด้วยทรงระอากับถ้อยคำวาจาที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวตรงหน้า และทรงรับรู้เสมอมาว่าหญิงที่พระองค์ทรงเลือกเข้ามาทำลายครอบครัวอันอบอุ่นของพระองค์เองนั้นนิสัยใจคอเป็นเช่นไร ด้วยทรงคิดถึงอดีตเก่าก่อนพระองค์ยิ่งโหยไห้ถึงพระนางเบรินด้า หัวใจเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อระลึกถึงความโหดร้ายที่ได้ทรงทำกับพระนางคู่บัลลังค์อันเป็นที่รักยิ่ง สมควรแล้วที่พระองค์จะต้องพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ทรงคิดกับองค์เองเงียบๆ ในใจ
“พระองค์ก็ตรัสได้นี่เพคะ บ่าวไพร่จะติฉินนินทาข้าได้ว่าใจร้ายต่อพระองค์ แต่ข้าก็ไม่อยากจะว่าอะไรหรอก ในเมื่อพระองค์ยังทรงเอาแต่ตรอมพระทัย นอนไร้เรี่ยวแรงรอความตายอยู่บนเตียงนี่ นับแต่นี้ข้าจะดูแลบริหารจัดการบ้านเมืองแทนท่านเอง อำนาจการสั่งการท่านจะต้องลงนามให้ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนท่าน” ริเรียนยิ้มเหยียดด้วยสายตาชั่วร้าย เธอปล่อยระยะเวลามาเนิ่นนานเกินไปแล้ว และเธอคิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องจัดการสะสางหนี้แค้นซะที
“ม..ไม่ ข้าไม่ให้ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร” กษัตริย์ออสตินกล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ท่านต้องมอบมันให้ข้า ยามนี้สวามีผู้ยิ่งใหญ่ของข้าเป็นแค่คนป่วย ไร้เรี่ยวแรง ท่านจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาบริหารกิจการบ้านเมือง อีกทั้งองค์รัชทายาทก็ตามหาไม่เจอคงจะตายอยู่ในป่าที่ไหนสักแห่ง จะเหลือก็แค่เพียงลูกสาว ซึ่งก็ไม่สามารถขึ้นครองบัลลังค์ได้ แต่ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าจะจัดการทุกอย่างให้ท่านเอง” เสียงในตอนท้ายกดต่ำในลำคอจนกษัตริย์ออสตินนึกหวั่นใจ
“ไม่..ข้าไม่มีวันที่จะมอบอำนาจให้ผู้หญิงใจร้ายเช่นเจ้า”
“ท่านกล้าว่าข้าหรือ แล้วตัวท่านเองล่ะท่านดีนักหรือไร นี่แหละหนาบุรุษ หัวใจของพวกบุรุษอย่างพวกท่านมันแปรเปลี่ยนง่ายราวกับสายลม เพียงแค่เห็นผู้หญิงถูกตาต้องใจคนอย่างพวกท่านก็ลืมสิ้น ทำร้ายหัวใจผู้หญิงที่รักท่านได้ลงคอ เหมือนอย่างเช่น พระนางเบรินด้าไงล่ะ หรือท่านยังจะกล้าแก้ตัวอีกหรือว่าท่านไม่ได้เป็นคนฆ่านาง” ริเรียนเอ่ยพลางเอื้อมมือลูบไล้บนใบหน้าเหี่ยวชราของกษัตริย์ออสตินด้วยความรู้สึกสมเพช
“ข้า..ข้า..ไม่..ข้าไม่ได้ฆ่านาง”
“ท่านฆ่านาง ท่านฆ่านาง จำไว้ให้ขึ้นใจ ท่านนั่นแหละตัวต้นเหตุที่ทำให้พระนางเบรินด้า หญิงที่รักและบูชาท่านจนวินาทีสุดท้ายต้องตาย”
“หากเจ้าบีบบังคับยึดเอาอำนาจจากข้าไปได้ เจ้าคิดหรือว่าทหารหรือผู้คนในคาร์เพเทียนจะยกย่องและเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าริเรียน”
“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ ท่านคิดว่าข้าโง่มากจนมองไม่ออกรึ แน่นอนหากข้ายึดเอาอำนาจจากท่านมา ใช่ว่าข้าจะปกครองเหล่าทหารของคาร์เพเทียนได้ แต่ท่านอย่าลืมสิ เหล่าบรรดาเมืองน้อยใหญ่ที่คิดจะมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับลูกสาวข้าก็มีมิใช่น้อย หากข้าเลือกเมืองที่เข้มแข็งกว่าท่าน ร่ำรวยกว่าท่าน มีอาวุธมากกว่าท่านมาเป็นสวามีของอัลมา ท่านคิดว่าข้าจะกุมกองทหารกระจอกของท่านได้อยู่หรือไม่ล่ะ” ริเรียนเอ่ยอย่างยียวนพลางใช้นิ้วเคาะบนพื้นเบาๆ ไปตามจังหวะการพูด ทำเอาผู้ฟังโกรธถึงกับลมออกหู
“เจ้านี่มันเป็นแม่ประเภทไหนกัน ถึงได้คิดจะทำกับลูกสาวเช่นนี้”
“นางเป็นลูกสาวของข้า นางเป็นลูกก็ย่อมมีหน้าที่ตอบแทนบุญคุญข้าซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดมันก็ถูกต้องแล้ว อีกอย่างข้าส่งนางไปสุขสบาย หาใช่ว่าจะส่งนางไปเป็นนางสนม ลูกสาวข้าจะต้องเป็นราชินีเท่านั้น จะไม่มีวันที่อัลมาจะยืนอยู่บนตำแหน่งเดียวกันกับที่ท่านให้ข้ายืนบนบัลลังค์แห่งคาร์เพเทียน” ริเรียนเอ่ยด้วยความเจ็บช้ำ นางวาดหวังว่าหลังจากขจัดราชินีเบรินด้าไปได้แล้วนางจะได้ขึ้นแท่นเสวยสุขกุมอำนาจในตำแหน่งราชินี แต่ทว่าจนแล้วจนรอด ตำแหน่งที่วาดหวังก็ไม่มีทีท่าที่กษัตริย์ออสตินจะทรงมอบให้สักที
“เจ้าไม่เกรงว่าอัลมาได้ยินเข้าจะเสียใจบ้างรึ” กษัตริย์ออสตินเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ด้วยทรงผิดหวังอย่างรุนแรงกับธาตุแท้ของหญิงสาวตรงหน้า
“เสียใจ จะเสียใจทำไม อัลมาจะต้องเสียใจมากกว่าหากว่าชีวิตนี้ไม่ได้ทดแทนบุญคุณข้าผู้ซึ่งเป็นแม่ ข้าทำเพื่อลูกของข้า นางจะต้องรู้และเข้าใจ”
“เจ้ามันทำเพื่อตัวเองริเรียน อย่าอ้างว่าทำเพื่อลูก มันน่าสมเพช”
“ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไรก็สุดแต่ใจท่านเถิด จงจำไว้ว่าท่านจะต้องแต่งตั้งข้าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนท่าน แล้วหน้าที่การตามหาและความปลอดภัยของอัสลัมข้าจะตอบแทนให้ แต่หากท่านไม่ยอม ข้าคงต้องบอกว่าข้าจะส่งคนออกล่า ประกาศให้รางวัลคนที่สามารถเอาหัวของอัสลัมมาถวายแด่ท่านให้จงได้” เสียงหัวเราะที่ดังก้องช่างบาดลึกลงในหัวใจกษัตริย์ชรา หางตาปรากฎแสงแวววาวของน้ำตาที่ไหลซึมออกมา บัดนี้ผลกรรมที่เขาเผชิญ เขารับรู้แล้วว่าความทุกข์ระทมและโหดร้ายที่เขาหยิบยื่นให้แก่เบรินด้านั้นเป็นเช่นไร แม้เขาจะเจ็บป่วยด้วยความตรอมใจ แต่เขาไม่เคยพลาดในเรื่องความเป็นไปของผู้คนในคาร์เพเทียน หรือแม้แต่การกระทำของริเรียนที่ลอบเป็นชู้กับเดโลเมื่อไม่นาน ความอ้างว้างประกอบกับความต้องการทางร่างกายที่ห่างหายไปนานทำให้หญิงสาวเผลอไผลไปกับเดโล ทหารองค์รักษ์หนุ่มที่ริเรียนให้ความไว้วางใจมากที่สุด ทันทีที่พระองค์ทรงทราบเรื่องแม้จะโกรธจนอยากจะลุกขึ้นไปสั่งประหารนาง แต่ทว่าลูกสาวตัวน้อยจะต้องขาดแม่ไป มันจึงทำให้เขาต้องระงับสติอารมณ์ และใช้ความสงบเข้ามาแทนที่ เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ ให้สายรายงานความเคลื่อนไหวภายในวังมาเป็นระยะ โดยที่ริเรียนไม่เคยไหวตัว
ความคิดเห็น