คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3
ตลาดวันนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่เอาสินค้ามาแลกเปลี่ยน วางขายกันจนดูคึกคัก เสียงโหวกเหวกโวยวายตะโกนดังลั่นไปทั่ว กลิ่นควันไฟผสมกับฝุ่นจากพื้นดินตลบอบอวลจแยกแยะไม่ออก แม้จะเป็นอากาศในช่วงยามบ่ายที่ควรจะแผดร้อนด้วยดวงอาทิตย์อันร้อนแรง แต่สำหรับที่นี่อากาศที่เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับหญิงสาวนัยน์ตาคมหวานที่ซ่อนใบหน้าสวยไว้ภายใต้ผ้าโพกหน้าสีดำผืนใหญ่ เรือนผมงามถูกขมวดเป็นปมมัดด้วยเชือกผ้าอย่างดี ร่างอรชรซ่อนพลางอยู่ในชุดคลุมยาวสีดำตุ่นๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของคนอื่นที่นี่ ดวงตาสวยสอดส่ายมองไปรอบๆ ตัวด้วยความสนอกสนใจและเพลิดเพลิน
“ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย!! จับมันไว้ที มันคือไอ้หัวขโมย” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่น เรียกให้หญิงสาวหันกลับไปมอง และในทันใดนั้นเอง ร่างเล็กๆ ผมหยิกหยองสั้นๆ วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ในอ้อมแขนมีขนมปังกอดเอาไว้แน่นอยู่สองชิ้น พรวดพราดผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตามติดด้วยช่างร่างเตี้ยที่วิ่งไล่กวดมาไม่ห่าง
“โครม!!! โอ๊ยย!!” เสียงหมูล้มยังดังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับชายร่างเตี้ยหน้าคะมำหัวทิ่มถลาลงไปพร้อมกับแขนสองข้างที่กางยันพื้นดินเอาไว้ด้วยสัณชาติญาณ แต่มันกลับไม่ช่วยอะไร ใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นไปทั้งแถบผุดลุกขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอายทั้งโมโห
“เจ้าเอาขามาสกัดข้าทำไม!!” เสียงตวาดดังลั่นใส่หน้าหญิงสาวทันที่ที่ชายร่างเตี้ยตั้งหลักได้
“ข้าเปล่า” อัลมาสั่นศรีษะหวือเมื่อนิ้วอ้วนป้อมชี้หน้าตรงมาที่เธอ
“เจ้านั่นแหละ อย่ามาปฏิเสธ!!” ชายร่างเตี้ยเดินส่ายอาดๆ เข้าหาหญิงสาวด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธบรรลุถึงขีดสุด ทำเอาเท้าบางของอัลมาจิกพื้นเตรียมตั้งรับเมื่อเห็นสายตาอาฆาตมาดร้ายของชายตรงหน้า
“ข้าขอโทษท่าน ข้ามิได้ตั้งใจ พวกท่านวิ่งกันมาด้วยความรวดเร็ว อีกทั้งข้ามิได้เคยมีเรื่องบาดหมางกับท่าน ข้าจะไปแกล้งท่านด้วยเรื่องอันใด” น้ำเสียงไพเราะดังระฆังแก้วเอื้อนเอ่ยออกมา ดวงตาคมหวานเอ่ยหลุบมองพื้นดินดั่งเสียใจกับสิ่งที่โดนกล่าวหา
“เจ้าโกหก!! เจ้าขัดขาข้าเพื่อช่วยไอ้เด็กเวรนั่น!!”
“ข้าเปล่า ข้าไม่ได้ตั้งใจ” น้ำตาราวกับหยาดเพชรคลอคลองนัยน์ตาหวานจวนเจียนจะหยด สร้างความสงสารให้แก่ผู้คนที่เริ่มมามุงดูกันมากมาย
“ท่านมีสิ่งใดเป็นหลักฐานว่านางกลั่นแกล้งท่าน ใครๆ ก็เห็นว่าท่านวิ่งกันมาด้วยความรวดเร็ว พื้นดินที่นี่กรวดหินก็มีมากมาย ท่านอาจไปสะดุดล้มก็ได้ ท่านจะไปโทษนางได้อย่างไร” ชายผู้หนึ่งร้องตะโกนด้วยนึกสงสารเวทนาหญิงสาวผู้บอบบางตรงหน้า
“ใช่ๆ ข้าก็เห็น เจ้าวิ่งไล่ไอ้เด็กนั่นมาฝุ่นตลบ แล้วก็สะดุดหกล้มลงไป ข้าเองยังเกือบหลบเจ้าไม่ทัน” หญิงวัยกลางคนอีกคนร้องบอก
“พวกเจ้ารวมหัวกันโกหก นางแกล้งข้าข้าจะเอาเรื่อง ข้าไม่ยอม!!” เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธของชายร่างเตี้ยที่ไม่มีทีท่าจะยอมหยุดเรื่องราว ทำให้ชาวบ้านที่ต่างเห็นใจหญิงสาวผู้อ่อนแอที่บัดนี้กำลังตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวชายร่างเตี้ยตรงหน้าค่อยๆ ก้าวเข้ามาโอบล้อมชายร่างเตี้ยเอาไว้
ตัวคนเดียวต่อให้เป็นผู้ชายกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเป็นฝูง แม้ตัวเขาจะเตี้ยแต่สมองเขาไม่ต่ำตามตัว สายตากร้าวมองกราดไปทั่วด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนจะไปหยุดมองที่อัลมาด้วยสายตาเกลียดชัง
“ไป๊..ป..!!ถอยออกไป ฝากไว้ก่อนเถอะ คอยดูนะข้าไม่ยอมให้เรื่องมันจบแค่นี้แน่” ชายร่างเตี้ยชี้นิ้วสั่นระริกกราดใส่หน้าชาวบ้านทุกคนที่รวมกลุ่มกันเพื่อปกป้องหญิงสาวร่างบาง เสียงกร่นด่ายาวเหยียดถูกพ่นออกมาจนแทบนับคะแนนไม่ทัน ทำให้หญิงสาวผู้บอบบางแอบซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ในผ้าคลุมหน้าโดยไม่มีใครเห็น
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง หญิงสาวกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่มาช่วยเหลือเธอเอาไว้อย่างซาบซึ้ง ก่อนจะค่อยๆ เดินไปตามทางที่เห็นร่างเด็กน้อยวิ่งหายลับไป สายตาคมดุที่จับตามองเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยตลอด หญิงผู้นั้นยื่นขาออกมาสกัดชายร่างเตี้ยจนหัวทิ่ม บทสาวน้อยผู้บอบบางนางตีบทแตกกระจุย เพราะเขาสังเกตเห็นว่าร่างที่สั่นระริกแท้จริงหาใช่ว่าหวาดกลัว แต่เกิดจากแรงสั่นของการกลั้นหัวเราะภายใต้ผ้าคลุมของนาง อีกทั้งหยาดน้ำตาที่คลอคลองจวนเจียนจะหยดคาดว่าน่าจะมาจากการกลั้นหัวเราะมากเกินไปอีกเช่นกัน มันจึงทำให้ชายหนุ่มเกิดความสนใจในตัวหญิงสาวผู้นั้น พร้อมทั้งแอบติดตามนางไปเงียบๆ โดยที่นางไม่รู้ตัว
ตรอกแคบๆ เต็มไปด้วยกระโจมผ้าใบเก่าคร่ำคร่า กลิ่นอับสาบโชยตามสายลมมาเป็นระยะ ดวงตาหวานสอดส่ายไปตามกระโจมต่างๆ จนกระทั่งมองเห็นร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ เมื่อมองให้ดีจะเห็นว่าเด็กน้อยกำลังฉีกขนมปังที่ขโมยมาได้ค่อยๆ ยัดใส่ปากหญิงชราที่นอนซมเพราะพิษไข้
“เจ้าเด็กน้อย”
“……..”
“เจ้าเด็กน้อยเจ้านั่นแหละ” อัลมาเรียกซ้ำเมื่อเห็นเด็กน้อยยังคงตั้งหน้าตั้งป้อนอาหารกับคนป่วยโดยไม่สนใจใยดีกับผู้คนรอบข้าง เสียงเรียกของเธอทำให้เด็กน้อยที่เหลียวหน้ามามองเกิดอาการสะดุ้งตกใจ รีบวิ่งไปแอบอยู่หลังคนป่วย สายตามองหญิงตรงหน้าด้วยอาการหวาดระแวง
“ข้ามาดี เจ้าไม่ต้องกลัว นั่นแม่เจ้ารึ” อัลมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จึงได้เห็นดวงหน้าน้อยพยักหน้าเบาๆ
“นางไม่สบายมากเหรอ นางเป็นมากี่วันแล้ว” คำถามที่เอ่ยออกไปกลับได้รับคำตอบเพียงดวงตากลมสีม่วงอ่อนของเด็กน้อยที่จ้องมองเธออย่างเอาเป็นเอาตาย แขนสั้นๆ เลื่อนโอบกอดผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกหวงแหน
อัลมาส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนใจเมื่อดูทีท่าว่าเด็กน้อยจะหวาดกลัวเธอเอามากๆ มือบางเรียวสวยจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปปลดผ้าโพกหน้าเผยให้เห็นดวงหน้าสวยหวาน ทำเอาชายหนุ่มที่แอบเฝ้ามองเงียบๆ ถึงกับตะลึงในความงดงามอันพิสุทธิ์ดวงตาคมดุจ้องมองไปยังหญิงสาวตรงหน้าตาไม่กระพริบ ทำเอาผู้ติดตามที่มาด้วยถึงกับลอบยิ้มเมื่อได้เห็นอาการที่ผิดแผกของชายหนุ่ม ยากที่ใครจะล่วงรู้ว่าคณะผู้ติดตามต่างภาวนาอ้วนวอนพระผู้เป็นเจ้าในเรื่องเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่ว่าจะด้วยพระเมตตาของทวยเทพองค์ใดที่ส่งให้หญิงผู้งดงามและกล้าหาญมาให้ได้พบกับเจ้าชายผู้อาภัพของพวกเขา ขอพระเมตตานั้นจงสัมฤทธิ์ผลให้ความรักเป็นตัวบรรเทาความทุกข์ ความแค้นในจิตใจของชายหนุ่มผู้ที่พวกเขารักยิ่งให้เบาบางลง และพบกับความสุขเหมือนเฉกเช่นคนทั่วไปเสียที
เด็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าที่เพียรทอดยิ้มหวานละไมมาให้ จึงค่อยๆ ก้าวออกมา
“ท่านเป็นใคร” เด็กน้อยเอ่ยถามเสียงหวาดๆ
“ข้าชื่ออัล เรียกข้าว่าพี่อัลนะ แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร”
“ข้าชื่อเซลซิส” เด็กน้อยเอ่ยออกไปในที่สุด
“เจ้าอยู่กับแม่เจ้าสองคนหรือ ข้าไม่เห็นมีคนอื่นๆ อยู่ด้วยเลย” อัลมาเอ่ยถามด้วยความสงสัย สายตาหวานกวาดมองไปทั่วกระโจมที่สกปรก เต็มไปด้วยข้าวของที่แทบจะเอามาใช้งานไม่ได้
“ข้ามีน้องสาวอีกสองคน แต่น้องสาวของข้าถูกพ่อขี้เหล้าเอาตัวไปขายเป็นทาสหมดแล้ว” เด็กหญิงเซลซิสเอ่ยเสียงเบาด้วยความรู้สึกเสียใจปนเจ็บปวด น้ำตาหยดไหลเป็นทางโดยไร้เสียงสะอื้น
“ข้าขอโทษ แล้วนี่พ่อของเจ้าไปไหนล่ะ”
“คงนอนอยู่ที่ไหนสักแห่งในตลาดโน่นแหละ เงินที่ได้จากการขายน้องของข้ายังมีเหลือ เงินหมดเมื่อไหร่รายต่อไปคงเป็นข้า” สิ้นเสียงของเด็กสาว หญิงชราผู้ซูบผอมพยายามอย่างยิ่งที่จะยกมืออันผอมแห้งสั่นระริกเพื่อไปสัมผัสเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าลูกสาวตัวน้อยของเธอ เธอรู้ดีว่าสามีของเธอเลือกที่จะเอาน้องๆ ไปขายนั่นเพราะลูกสาวเล็กๆ ทั้งสองของเธอยังไร้ประโยชน์เมื่อเทียบกับเซลซิส เธอเป็นห่วงลูกสาวตัวน้อยของเธอมาก แต่หนทางที่ตีบตันทำให้เธอได้แต่นอนมองหน้าบุตรสาวแล้วร้องไห้เงียบๆ
อัลมาได้ฟังถึงกับนิ่งเงียบ เธอได้ยินเรื่องพวกนี้มากมาย และดูจะเป็นเรื่องปกติของชนชั้นล่างที่ไม่มีอันจะกิน เรื่องทาสแม้จะไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก แต่ทว่าในตลาดมืดยังคงมีการนิยมค้าทาสทุกเพศทุกวัย แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้กับบุคคลใกล้ตัวมันทำให้เธอรู้สึกหดหู่ และสามารถเข้าใจหัวอกของผู้ที่ต้องตกเป็นทาสได้มากกว่าการฟังจากการบอกเล่าต่อๆ กันมา อีกทั้งใบหน้าที่จิ้มลิ้มน่ารักล้อมกรอบด้วยผมหยิกฟูดวงตาสีม่วงราวดอกไลแลคคู่นี้ทำให้เธอสามารถจินตนาการได้ทันทีว่าอนาคตข้างหน้าชะตาของเด็กสาวเหล่านี้จะเป็นเช่นไร
“น้องสาวของเจ้าถูกขายไปเมื่อไหร่เซลซิส” อัลมาเอ่ยถาม สมองน้อยๆ พลางคิดหาหนทางที่จะช่วยเหลือเด็กสาวที่น่าสงสารตรงหน้า
“เมื่อสองวันก่อน พ่อข้าพาน้องๆ ไปขายในตลาดมืด” เด็กสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่” เสียงของอัลมาที่เอ่ยออกมาทำเอาใบหน้าน้อยหันขวับจ้องมองด้วยดวงตาบ่งบอกความรู้สึกหลากหลาย รวมไปถึงแม่ของเด็กน้อยที่เหลือบตามองเธอด้วยดวงตาแวววามเอ่อล้นด้วยน้ำตาแห่งความหวัง
“มันอันตรายมากสำหรับหญิงสาวที่สวยมากๆ อย่างท่านอัล” เด็กน้อยเอ่ยอย่างเป็นห่วง ด้วยรู้สึกว่าแม้ปาฏิหารย์ในการช่วยน้องๆ ของเธอกำลังจะเกิด แต่หากหญิงสาวที่แสนสวยและจิตใจดีคนหนึ่งต้องมาตกอยู่ในอันตราย เธอคงรู้สึกผิดบาปไปตลอดทั้งชีวิต
“ขอบใจสำหรับความห่วงใยของเจ้า หากมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของข้า ข้ายินดีจะช่วย เอาเป็นว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อของเจ้าเอาน้องๆ เจ้าไปขายที่ใด”
“ข้ารู้” เด็กหญิงเอ่ย สายตาบ่งบอกถึงความลังเล หวาดหวั่น ตลาดมืดที่นั่นทั้งป่าเถื่อน รุนแรง ไม่มีคนดีๆ ที่ไหนอยากจะย่างกรายเข้าไป เพราะรู้ดีว่ากฎหมายใช้ทำอะไรกับสถานที่แห่งนั้นไม่ได้เลย
“อย่ากังวลไป เชื่อใจข้า หากว่าเราช่วยน้องของเจ้าออกมาได้แล้ว เจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป” อัลมาเอ่ยถาม เพราะหากช่วยแล้วผลลัพธ์ของการช่วยยังออกมาเป็นเหมือนเดิมคือเด็กถูกนำไปขายอีก การช่วยของเธอก็จะเปล่าประโยชน์
“หากท่านอัลไม่คิดรังเกียจข้าขอยกน้องทั้งสองของข้าให้ไปติดตามรับใช้อยู่กับท่านได้หรือไม่ ข้าขอโทษที่เหมือนเห็นแก่ตัวผลักภาระไปให้ท่าน แต่ข้าจนหนทางจริงๆ” ถ้อยคำของเด็กหญิง ทำเอาอัลมารู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ ความคิดความอ่านที่เกินตัวของเซลซิสทำให้เธอรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้คงผ่านอะไรในชีวิตมามากมายทีเดียว
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของข้า น้องของเจ้าทั้งสองหากเจ้าและแม่ไม่ขัดข้อง ข้ายินดีรับไว้ ส่วนตัวเจ้าเอง เมื่อไหร่ที่เจ้าเดือดร้อนไปหาข้าได้ทุกเมื่อ” คำกล่าวของอัลมาทำเอาหญิงชราที่นอนป่วยสะอื้นไห้จนตัวโยน เสียงครางฮือๆ ที่ดังออกมามากผิดปกติ ความทุกข์ระทมที่ถาโถมในจิตใจกำลังได้รับการเยียวยาจากเมตตาของหญิงสาวที่งดงามที่สุดในโลกของนาง เสียงร่ำไห้ดังก้องสะท้อนไปทั่ว จนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันหน้าไปมองหาที่มาของเสียงนั้น มือเหี่ยวชราสั่นระริกค่อยๆ พยายามเอื้อมไปจับมือเรียวขาวของหญิงสาว ริมฝีปากแห้งแตกกำลังพยายามเอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกมาอย่างยากเย็น
ความรู้สึกเป็นสุขปลาบปลื้มและอิ่มใจเป็นเช่นนี้เอง หญิงสาวรับรู้ได้เงียบๆ ในใจ แม้เพียงแค่ตั้งใจจะช่วย จะสำเร็จหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา หากแต่เพียงความหวังอันน้อยนิดที่เธอหยิบยื่นให้กลับสร้างความสุขความหวังอันมหาศาลแก่คนที่ไร้โอกาส การพยายามฝืนสังขารของคนป่วยเพื่อจะบอกกล่าวอะไรสักอย่างทำให้อัลมาต้องรีบก้มลงไปฟังใกล้ๆ
“ฝ..ฝาก..ฝากลูกๆ ..ด้..ว..ย.. ได้โปรด...ฝ...ฝ...” ถ้อยคำขาดกระท่อนกระแท่นเป็นห้วงๆ หากแต่หญิงสาวก็พอจะจับใจความได้ เสียงไอโขลกๆ จนตัวโยน ดังขึ้นติดๆ กันเมื่อหญิงชราพยายามฝืนสังขารที่อ่อนล้าเต็มที ดวงตาฝ้าฟางที่จ้องมองหญิงสาวเทิดทูนราวกับเทพธิดาที่ลงมาโปรดคนยากไร้เช่นพวกเธอเริ่มพล่าเรือน ลมหายใจกระตุกขาดเป็นห้วงๆ สลับกับเสียงไอที่ดังขึ้นเป็นระยะ กระทั่งมือน้อยๆ ของเซลซิสสัมผัสได้ถึงความหนืดเปียกชื้นที่พื้น
“แม่...แม่...!! ท่านอย่าเป็นอะไรไปนะ แม่!! “ เสียงตะโกนกรีดร้องร่ำไห้สะอื้นฮักเมื่อเห็นอาการที่ทรุดลงอย่างรวดเร็วของหญิงชราผู้เป็นแม่ ความเหนียวหนืดที่เธอสัมผัสได้มันคือเลือดที่เริ่มไหลออกมาตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นสัญญาณชีพที่เริ่มบอกให้รู้ว่าวาระสุดท้ายแห่งการทนทรมานกำลังจะสิ้นสุดลง
“หลับให้สบายท่านป้า ข้าสัญญาว่าจะดูแลลูกสาวทั้งสามของท่านเป็นอย่างดี ท่านเหนื่อยและอดทนมามากพอแล้ว ขอทวยเทพโปรดรับท่านไปอยู่ยังเบื้องบนด้วยเถิด” อัลมากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงแผ่วเบาเพียงพอให้หญิงชราได้ยิน เพียงเท่านี้ รอยยิ้มบางๆ แตะแต้มบนเรียวปากแห้งผาก ลมหายใจยาวกระตุกเป็นห้วงๆ ก่อนจะค่อยๆ สงบลง หนึ่งความหวังมาพร้อมกับหนึ่งการจากลา อัลมาเฝ้าปลอบประโลมเด็กหญิงตัวน้อยให้คลายความทุกข์โศกลง ก่อนเริ่มต้นแผนการที่จะช่วยเด็กหญิงทั้งสองออกมา
งานศพของหญิงชราถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งอัลมาและเด็กหญิงเซลซิสต่างรู้ดีว่าทุกอย่างกำลังทำแข่งกับเวลา น้องสาวทั้งสองของเซลซิสกำลังรอความช่วยเหลือ แม้จะโศกเศร้าเสียใจสักเพียงไหน ก็จำต้องเก็บกดความรู้สึกนั้นลงไปในห้วงเหวของหัวใจไว้ก่อน และยามนี้เป็นโอกาสดีที่พ่อของเธอยังคงเมาเหล้าอยู่ที่ไหนสักแห่ง ทำให้อุปสรรคในการขัดขวางลดน้อยลงไป ใบหน้าขาวนวลของอัลมาถูกทาพอกด้วยครีมชนิดหนึ่งจนสีผิวเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ ผมยาวเหยียดตรงเงาถูกครอบทับด้วยวิกผมหยิก ริมฝีปากบางถูกย้อมด้วยสีแดงเพลิง การแต่งตัวของเธอหากมองผิวเผินจะคิดว่าคงเป็นแม่เล้าที่ไหนสักแห่ง คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดนักหากแม่เล้าเช่นเธอจะเข้าไปหาซื้อเด็กสาวๆ เอาเลี้ยงเพื่อไว้ใช้ประโยชน์ในภายหน้า
ตลาดมืดเป็นตลาดที่ดูน่ากลัวสมคำร่ำลือ บ้านเก่าคร่ำคร่าผสมกับกระโจมผ้าใบที่ตั้งกันอย่างแออัด ทั้งสุรา นารี อีกทั้งของเถื่อนมากมายถูกนำมาวางขายแบกะดินชนิดเย้ยฟ้าท้ากฎหมาย คนมากหน้าหลายตาล้วนแล้วแต่ดูน่ากลัว เดินขวักไขว่ไปมา เสียงอึกทึกครึกโครมทั้งเสียงคนเมาเหล้า เอะอะโวยวาย เสียงผู้คนค้าขายต่อรองราคาดังประสานกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ เด็กหญิงที่ถูกเชือกผูกข้อมือไว้เดินตามหลังหญิงสาวต้อยๆ ราวทาสผู้ซื่อสัตย์ ไรผมหยิกเปียกชื้อไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ทั้งร้อนทั้งหวาดหวั่น ผิดกับหญิงสาวตรงหน้าที่เดินเชิดหน้าเหลียว ปลายตามองร้านรวงสองข้างทางด้วยสีหน้าแสดงความรังเกียจ เธอเดินฝ่าร้านรวงมาเรื่อยๆ กระทั่งหยุดลงที่หน้ากระโจมใหญ่หลังหนึ่ง
“พลั่ก..!! “ ร่างเด็กตัวเล็กถูกผลักออกมาจากกระโจมอย่างแรงตามติดด้วยเสียงก่นด่าด้วยความโมโหคล้ายคนทะเลาะกันภายในร้าน ทำเอาเท้าบางชะงักกึกด้วยความตกใจ เพียงชั่ววินาทีก็ได้เห็นร่างของเด็กหญิงที่โตขึ้นมาอีกหน่อยวิ่งถลาออกมาประคองเด็กน้อยผู้เป็นน้องสาวเอาไว้ เด็กหญิงที่ถูกผลักกระเด็นออกมาในคราแรกผวากอดเอวซุกหน้ากับอกพี่สาวร้องไห้ถอนสะอื้นเบาๆ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องไห้ สองมือของพี่สาววัยประมาณ 8 ขวบ เพียรเฝ้าเช็ดน้ำตาผู้เป็นน้องน้อยให้หยุดรินไหล เนื่องจากเกรงว่าหากเจ้านายไม่สบอารมณ์เพราะเด็กหญิงโยเยจะพาลถูกตีหนักเข้าไปอีกเหมือนเมื่อวาน เพียงแค่สองวันที่ถูกพ่อเอามาขาย เด็กหญิงวัย 8 ขวบนามทีน่า และวัย 5 ขวบนามโนร่า ก็รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น เจ้านายที่พ่อเอาพวกเธอมาขายอารมณ์ดุร้าย และชอบทะเลาะกันกับภรรยา สุดท้ายพวกเธอกลับกลายเป็นที่ระบายอารมณ์โกรธ แค่เพียงสองวันตามเนื้อตัวของเธอและน้องสาวยังมีรอยแส้ยาวเป็นริ้วๆ ชะตากรรมในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปเธอแทบไม่อยากจะนึกถึงมันเลย
เชือกที่ล่ามข้อมือเซลซิสกระตุกเป็นสัญญาณเบาๆ ให้เธอรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่กอดกันร้องไห้ข้างหน้าเธอนั้นไม่ผิดตัวแน่ อัลมาจึงเดินก้าวอาดๆ ด้วยท่วงท่ามั่นใจ ตรงไปหาเด็กทั้งสอง
ดวงตากลมเล็กสีม่วงดอกไลแลคของเด็กทั้งสองเหมือนเซลซิสไม่มีผิด กำลังจ้องมองมาที่เธอนิ่งก่อนไล่สายตาไปตามเชือกและพบว่าผู้ที่ถูกล่ามมานั้นเป็นใคร
“เซลซิส!!” เสียงร้องประสานดังขึ้นก่อนร่างเล็กทั้งสองร่างจะวิ่งถลาเข้ามากอดพี่สาวคนโตไว้ เสียงร้องไห้ดังระงมมากขึ้นกว่าในคราแรกที่ยังไม่พบหน้ากัน “พ่อเอาพี่มาขายด้วยทำไม แล้วใครจะดูแลแม่” เด็กหญิงทีน่าเอ่ยถามเสียงเร่งร้อนเพราะด้วยรู้ดีว่าแม่นั้นเจ็บป่วยไม่สบายต้องคอยมีคนดูแล เธออุตส่าห์หว่านล้อมพ่อ เมื่อรู้ว่าพ่อจะเอาพี่เซลซิสไปขายเป็นทาส เธอยอมแลกให้พี่สาวที่ดูแลแม่ได้ดีกว่าเธอหลุดพ้นจากการถูกนำมาขาย โดยที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ มีแค่พ่อและเธอเท่านั้นที่รู้กันเพียงสองคน แต่ใครจะคาดคิดว่าพ่อจะมองเห็นโนร่าน้องคนเล็กเป็นภาระที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูและตัดสินใจเอามาขายเพื่อตัดปัญหาแถมได้เงินเพิ่มเพื่อไปกินเหล้าอีก
“แม่พวกเราไปสวรรค์แล้วนะ” เซลซิสเอ่ยเสียงแผ่ว
“เพราะนางปีศาจนี่ใช่มั้ยพี่ นางทำให้แม่เสียใจจนตายใช่มั้ย!!” ทีน่าเอ่ยเสียงรอดไรฟัน จ้องมองหญิงสาวที่ผิวดำคล้ำทาปากแดงน่าเกลียดด้วยความเคียดแค้น
“หยุดนะทีน่า อย่าก้าวร้าวถ้าไม่อยากอยู่ที่นี่” เซลซิสเอ่ยเสียงเบาทว่าหนักแน่น ก่อนปลายตามองน้องสาวคนเล็กที่กอดขาเธอไว้แน่นไม่ยอมพูดจา
ความคิดเห็น