คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
“แว๊...แว๊...แว๊...” เสียงร้องไห้จ้าที่แผดดังลั่น จนเนื้อตัวแดงก่ำสั่นระริก ทำเอาหญิงสาวที่เพิ่งผ่านการเจ็บปวดทรมานเจียนตายเผยอยิ้มด้วยความสมใจ
“เป็นพระธิดาเพคะ” หญิงวัยกลางคนที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่นมหมาดๆ เอ่ยด้วยความชื่นชม
“ผิวสวยเหมือนเจ้าไม่มีผิดริเรียน หากเมื่อนางเติบใหญ่ เห็นทีเมืองของข้าคงได้ต้อนรับเจ้าฟ้า เจ้าชายเมืองต่างๆ ไม่ว่างเว้นแต่ละวัน” กษัตริย์ออสตินกล่าวหลังเพ่งพิศใบหน้าเล็กจ้อยด้วยความรักใคร่เอ็นดู มือใหญ่เอื้อมไปลูบเรือนผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของหญิงสาวที่บัดนี้กำลังอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมอก
“หน้าตาน่าชังเหมือนพระองค์มากนะเพคะ” ริเรียนเอ่ยด้วยความเอาอกเอาใจ แม้ลึกๆ ภายในใจกลับปวดร้าวเมื่อได้เห็นหน้าลูกน้อย คิ้วคม กับดวงตากลมขนตางอนยาว เธอมองปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความงดงามของลูกสาวตัวน้อยที่ดึงเอาส่วนดีทั้งหมดมาจากเธอและใครคนนั้น
“เจ้าคิดไว้หรือยังริเรียน ว่าจะให้นางชื่ออะไร” กษัตริย์หนุ่มเอ่ยถาม แววตาเผยความรักใคร่ยินดีอย่างปิดไม่มิด “หากอัสลัมอยู่ด้วยกันในตอนนี้ คงจะดีใจที่มีน้องสาวมาเป็นเพื่อนเล่นอีกคน”
“นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วป่านนี้ทหารยังตามไม่พบ หม่อมฉันรู้สึกไม่ดีเลยเพคะ เด็กผู้ชายตัวคนเดียวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหากต้องอยู่ในป่าเพียงลำพัง หม่อมฉันคิดว่าเจ้าชายคงจะ...........”
“เจ้าหยุดพูดเถอะริเรียน เจ้าเพิ่งผ่านการคลอดบุตรเจ้าควรพักผ่อนให้มากๆ เรื่องอัสลัมปล่อยให้ข้าจัดการเอง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตราบที่ข้าไม่พบร่างของเขา ข้ายังมีความหวังเชื่อว่าลูกข้ายังมีชีวิตอยู่ และข้าจะไม่ยอมละเว้นที่จะต้องออกตามหาจนกว่าจะพบ” สายตาของกษัตริย์หนุ่มทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความหมองหม่นที่แม้พยายามซ่อนเร้น แต่ก็ไม่พ้นสายตาของหญิงสาวที่ลอบมองด้วยความรักระคนหมั่นไส้
“หม่อมฉันขอให้พระองค์เป็นผู้ประทานชื่อให้แก่นางได้มั้ยเพคะ” ริเรียนเอ่ยเสียงเบา ทอดสายตาออดอ้อนไปให้กษัตริย์หนุ่ม ที่แม้จะไม่ได้รู้สึกรักในคราแรก แต่ความเอาอกเอาใจ กับอำนาจบารมีที่พระองค์ประทานให้ จึงไม่ยากเย็นนักที่สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เธอผูกพันธ์และไม่คิดจะให้พระองค์แบ่งปันหัวใจไปให้ใครอื่น ต่อให้คนเป็นหรือคนตาย เธอก็ไม่มีวันยินยอม
“ได้สิ ลูกข้าคนโตชื่ออัสลัม เช่นนั้นข้าขอตั้งชื่อให้นางว่าอัลมา เจ้าว่าดีหรือไม่”
“มันเป็นชื่อที่ไพเราะมากเพดะ อัลมา เจ้าชอบชื่อนี้ไหมลูกรัก” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ กับเด็กน้อยในอ้อมแขนที่บัดนี้นอนซุกอยู่ในอ้อมอกมารดาเงียบๆ
+++++++++++++++
ยี่สิบปีผ่านไป
“ให้ใครไปตามอัลมามาให้พบข้าเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดเบาๆ ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ทำเอาแม่นมต้องยกมือปาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาราวทำนบแตก เมื่อสาวใช้ตามหาเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกหาไม่พบ
อนงค์นางน้อยที่งดงามราวกับนางสวรรค์ คิ้วโก่งเรียวสวยดั่งคันศรรับกับดวงตากลมหวาน เรือนผมดำขลับลื่นเป็นเงาวาวเหยียดตรงราวไหมเนื้อดี ผิวกายขาวผ่องจนไร้ที่ติขับให้ร่างอรชนสูงโปร่งงามสง่าจนชื่อเสียงขจรขจายเป็นไปทั่วทุกเขตแดนตามที่กษัตริย์ออสตินคาดการณ์ไว้แต่แรกที่เห็นใบหน้าน้อยถือกำเนิด
ความซุกซนอันดับหนึ่งด้วยถูกพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจมาตลอดทำให้หญิงสาวไม่เคยคิดกลัวเกรงสิ่งใด ศิลปะการต่อสู้ที่นางชื่นชอบ ถึงกับแอบไปขู่บังคับเหล่าองค์รักษ์ฝีมือดีให้ช่วยฝึกสอน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจำใจยอมรับตำแหน่งอาจารย์โดยไม่อาจขัดขืน และเสี่ยงต่อการถูกโบย ถูกลงโทษ ทำให้จำต้องร่วมหัวจมท้ายในการช่วยปิดบังความไม่เป็นกุลสตรีของพระองค์หญิงตัวน้อยอย่างเสียมิได้
“มาแล้วเพคะท่านแม่ ข้ามาแล้ว ท่านแม่มีอะไรหรือเพคะถึงได้ส่งเสียงดุดังไปถึงนอกห้อง ข้ากำลังจะเข้ามาพบท่านแม่พอดี” อัลมารีบชิงกล่าว ด้วยรู้ดีว่าที่มาของอารมณ์กรุ่นโกรธของท่านแม่มาจากสิ่งใด
“สารภาพมาอัลมา เจ้าแอบหนีออกไปนอกวังอีกแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงจริงจังประกอบกับสายตารู้ทันที่คาดคั้นมองจ้องมา ทำเอาหญิงสาวหดคอ ฝืนส่งยิ้มไปให้ทั้งที่หน้าจืดเหลืออยู่สองนิ้ว ด้วยรู้ว่าครานี้โดนลงโทษแน่
“ใครเอาอะไรมาฟ้องหรือเพคะ ข้า..เอ่อ...ข้า....”
“พอทีเถอะอัลมา เจ้านี่วันๆ จะทำให้แม่ปวดหัวไปถึงไหน ปีนี้เจ้าอายุครบยี่สิบแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่คิดจะหนีออกไปเที่ยวไหนต่อไหน เจ้าหัดลองส่องกระจกดูเงาตัวเองบ้างอัลมา เจ้าโตเป็นสาวแล้ว เจ้าก็รู้ดีเจ้าชายหลายเมืองส่งคนมาทาบทามเจ้าจนแทบจะฆ่ากันตาย เจ้ายังกล้าจะเอาตัวเองออกไปเสี่ยงข้างนอกวังอีกหรือ ใจคอเจ้าจะทำให้แม่เป็นห่วงจนอกแตกตายเลยรึไง” ริเรียนเอ่ยบ่นยืดยาว ด้วยรู้ดีว่าความงามที่มีมากจนเกินไปก็มักเป็นภัยกับตัวเอง หัวเมืองน้อยใหญ่ กษัตริย์ทั้งหนุ่มทั้งแก่ เจ้าชายแทบทุกหัวระแหง ได้ยินกิตติศัพท์ความงดงามของอัลมาบุตรสาวของนางแล้วเป็นต้องหาโอกาสหาเรื่องมาเยือนที่เมืองคาร์เปเทียนหวังได้ยลโฉมหรือผูกสัมพันธ์จนในวังแทบจะต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว
“ข้าขอโทษเพคะท่านแม่ คราวหน้าข้าจะทำตัวให้ดีขึ้น”
“ไม่ใช่ดีขึ้นอัลมา มันต้องไม่มีอีก หวังว่าแม่คงไม่ต้องเอาทหารไปยืนเฝ้า เอาองค์รักษ์ไปตามติดเจ้าตลอดเวลาหรอกนะ” ริเรียนเอ่ยเสียงข่มขู่ แววตาขึงขังเอาจริงเอาจัง
“ท่านแม่อย่าทรงกริ้วมากนักนะเพคะ ข้าโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ถ้าท่านแม่บีบบังคับใจข้ามากๆ ท่านไม่กลัวข้าจะเสียใจแล้วอาจหนีท่านแม่กับท่านพ่อไปหรือไง”
“ข้ารู้เจ้าไม่ทำหรอกอัลมา”
“ก็ไม่แน่เพคะ หากท่านแม่บีบบังคับ กักขังรังแต่จะให้ข้าเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องตลอดเวลา ข้าเบื่อ” หญิงสาวพูดเสียงแผ่วในตอนท้าย
“แม่รู้ อัลมา ว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร แต่ที่แม่ทำไปก็เพื่อตัวเจ้า เพื่อความสุขของเจ้า ทำไมเจ้าจึงไม่เข้าใจ”
“ท่านแม่ข้าเสียใจ ข้ารู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักข้ามากแค่ไหน และข้าไม่คิดจะทำให้พวกท่านเสียใจ เพียงแต่ความรักของพวกท่านมันทำให้ข้าเป็นคนอ่อนแอที่ไม่รู้จักโลกภายนอก ไม่รู้จักความรัก ไม่รู้จักความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งไม่รู้จักความยากลำบากของผู้คนชาวเมือง เมื่อไหร่กันที่ท่านพ่อกับทหารจะตามหาพี่ชายของข้าพบ ตั้งแต่ข้าเกิดจนบัดนี้ข้ายังไม่รู้จักหน้าตาของพี่ชายคนเดียวที่ข้ามีเลย ท่านพ่อสุขภาพก็ไม่ค่อยจะแข็งแรง ทรงตรอมใจกับการหายตัวไปของท่านพี่อัสลัม แล้วเช่นนี้ท่านแม่คิดว่าต่อไปใครกันที่จะช่วยปกครองดูแลผู้คนในเมืองคาร์เปเทียนเล่าเพคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความเศร้าหมอง ตั้งแต่จำความได้เธอดีใจที่ได้รับรู้ว่ามีพี่ชายอีกคน และเธอก็เสียใจในคราวเดียวกันที่รับรู้ว่าพี่ชายของเธอหายสาบสูญไป ใช่ว่าเธออยากจะดื้อรั้นเอาแต่ใจ ใช่ว่าเธอต้องการทำให้ท่านแม่คอยมากังวลกับเธอตลอดเวลา ตั้งแต่เล็กเธอมักจะได้ยินคำสั่งของท่านแม่เสมอให้เธอนั่งเล่น นอนเล่นอยู่แต่ในห้อง พอโตขึ้นมาหน่อยจึงได้สิทธิออกมาวิ่งเล่นในวัง แม้ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องเล่นมากมายจะถูกประเคนซื้อขนเข้ามาเสียมากมาย แต่หาใช่สิ่งที่เธอต้องการ โลกกว้างภายนอกต่างหากคือสิ่งที่เธอเฝ้าร่ำร้องถวิลหา เธอต้องการมีเพื่อนเล่นอย่างคนอื่นๆ เธออยากเจอพี่ชาย เมื่อยังเล็กเธออาจไม่คิดอะไรมาก หากแต่นานวันเข้าความรู้สึกราวกับถูกกักขังอยู่ในวังอันใหญ่โตก็ยิ่งครอบงำจิตใจจนเธอทนไม่ไหว การหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกวังในครั้งแรกจึงเปรียบเสมือนความท้าทายที่โลดโผนโจนทะยาน มันทั้งตื่นเต้น เร้าใจ และสนุกสนานจนมีครั้งที่สอง สาม และต่อมาอีกนับครั้งไม่ถ้วนการหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองบ่อยๆ ใช่ว่าเธอคิดจะออกไปเที่ยวเล่นเพียงอย่างเดียว แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจคือเธอต้องการออกไปสืบข่าวพี่ชาย นาม อัสลัม
ถ้อยคำของบุตรสาวคนเดียวที่เอ่ยออกมาทำให้ริเรียนนิ่งเงียบ พลางคิดในใจเวลาแห่งการแก้แค้นกำลังใกล้เข้ามา อำนาจในมือที่มากล้น ลูกสาวสวยสมใจ หมากการแก้แค้นกำลังจะเริ่มต้น อีกทั้งเมื่อหวนคิดไปถึงกษัตริย์หนุ่มที่บัดนี้แก่ชราลงจนเส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ความตรอมใจบวกกับความสำนึกผิดที่ค้างคาใจเมื่อวันที่เบรินด้าจากไปยังไม่ได้รับการสะสาง อีกทั้งควานหาตัวองค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวไม่พบแม้แต่เงา ทำให้สภาพจิตใจที่เคยแข็งแกร่งกับทรุดลงจนริเรียนแอบนึกเบ้หน้าเหยียดด้วยความสมเพชเวทนาในความโง่เขลาของกษัตริย์ออสติน ต่อให้ออกรบเชิงรุกยอดเยี่ยมแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องพ่ายด้วยมารยาสตรีแทบทั้งสิ้น รอยยิ้มบางเกิดขึ้นที่มุมปากของริเรียนก่อนจะลุกเดินออกจากห้องของหญิงสาวเงียบๆ
++++++++
“ฮี้ๆๆๆๆๆๆ” เสียงม้าร้องดังมาแต่ไกล ฝุ่นฟุ้งตลบเมื่อร่างสูงสง่าควบอาชาสีน้ำตาลตัวเขื่อง ขนมันปราบ กล้ามเนื้อเป็นลอนๆ แข็งแกร่งถูกต้องตรงตามลักษณะยอดอาชาไนยชั้นดี ใบหน้าคมคร้าม ดวงตาคมดุจเหยี่ยวสอดรับกับเรือนผมหยักศกที่ถูกมัดรวบด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าคมคาย แผงอกกว้างแข็งแกร่ง เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศจนสาวๆ ทั่วทั้งเผ่าเพียรเข้าหาเพื่อเอาอกเอาใจหว่านเสน่ห์ใส่จนหนุ่มๆ ในเผ่าอิจฉาตาแทบลุกเป็นไฟ
“ท่านหนีออกไปหาความสำราญส่วนตัวโดยลำพังอีกแล้วนะท่านเอซ” นักซยา องค์รักษ์หนุ่มเอ่ยทักทายด้วยความคึกคะนอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากเจ้าชายคือความเงียบ มีเพียงดวงตาที่วูบไหวเพียงนิดไปตามคำเย้าแหย่ของสหายคนสนิท
หลังจากที่กษัตริย์ออสตินมีพระบัญชาให้ทหารออกตามหาเจ้าชายองค์น้อย พวกเขาสามทหารเสือ นักซยา อาลันเทีย และปิรุส ผู้ที่เปรียบเสมือนเพื่อน พี่ และองค์รักษ์ประจำตัว ได้ทราบข่าวจึงแอบนัดแนะกันและวางแผนหนีออกมาจากวังเพื่อตามหาเจ้าชายองค์น้อย จนกระทั่งได้มาพบและขอติดตามอารักขาอยู่ด้วยกันมานับแต่นั้น
เอซ คือชื่อใหม่ที่บิดาบุญธรรมนามว่า แคสเซียสเป็นผู้ตั้งให้นับจากวันที่เขาฟื้นขึ้นมาจากการสลบไปถึงสองวันเต็มๆ ภายหลังจากค่ำคืนอันโหดร้ายนั้น ทุกเหตุการณ์ยังติดตรึงฝังแน่นในความทรงจำ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นฉายซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่ายากที่จะลืมเลือน จากเด็กหนุ่มที่เคยร่าเริงพูดเก่งฉลาดเฉลียว กลายเป็นเด็กเก็บตัวพร้อมกับรอยยิ้มที่เคยประดับบนใบหน้าอยู่เป็นนิจก็ลอยลับตายจากไปพร้อมกับมารดาด้วยเช่นกัน เขาเฝ้าฝึกฝนตัวเองอย่างหนักโดยมีแคสเซียสหัวหน้าเผ่าชวาเบน และเป็นพ่อบุญธรรมช่วยฝึกฝน ถ่ายทอดวิชาการต่อสู้ทุกรูปแบบทั้งขี่ม้า ฟันดาบ ยิงธนู จนร่างกายเล็กผอมของเจ้าชายในวัย 10 ขวบที่เติบโตในวังวันนั้น กล้าแกร่งดุจพญาอินทรีย์ในวันนี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของแม่เขามันจะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสม ชายหนุ่มคิดในใจด้วยความแค้นเคืองดวงตาแข็งกร้าวจนผู้ที่ยืนรอรับอยู่รอบๆ เฝ้ามองด้วยความรู้สึกเห็นใจในโชคชะตาของเจ้าชายไร้บัลลังค์องค์นี้นัก
“ได้ข่าวอะไรมาเพิ่มเติมหรือเปล่าเอซ” แคสเซียสถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของบุตรบุญธรรมที่เขารักราวกับลูกชายแท้ๆ ตัวเขาเองนั้นไม่มีบุตรเมื่อวันที่กลับจากการออกไปค้าขายต่างเผ่าในค่ำคืนที่หิมะตกวันนั้น เขาบังเอิญได้พบกับเรื่องราวของเจ้าชายหนุ่มผู้อาภัพ ในยามนั้นตัวเขาเพียงคนเดียวไม่อาจสู้รบกับคนกลุ่มใหญ่นั้นได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเพียงเฝ้าสังเกตุเหตุการณ์ และทันทีที่ทุกอย่างสงบลง เขาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าช่วยเหลือเด็กหนุ่มในทันทีก่อนที่ร่างผอมบางจะถูกหิมะกลบฝังไป
“สายรายงานมาว่าข้างในเริ่มมีการเคลื่อนไหว หญิงชั่วคงจะวางแผนเข้ายึดกุมอำนาจในอีกไม่ช้า กองกำลังชั้นเลวส่วนหนึ่งเข้าร่วมสวามิภักดิ์กับมัน” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงรอดไรฟัน ดวงตาแข็งกร้าว ทุกคำที่เอื้อนเอ่ยบ่งบอกชัดถึงความเกลียดชังที่ฝังในทุกอณูขุมขนของร่างกาย
“แล้วเจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป”
“ข้าจะลอบเข้าเมืองคาร์เปเทียน ข้าจะไปสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ท่านรออยู่ทางนี้คอยรับสัญญาณจากข้า หากมีอะไรผิดปกติ หรือข้าต้องการความช่วยเหลือข้าจะส่งข่าวบอกท่านพ่อโดยไว”
“พวกข้าขอไปด้วย” เสียงนักซยาอีกตามเคยที่รีบชิงพูดแทรกขึ้น ด้วยเกรงว่าหากพูดช้าไปเพียงนิด ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้พวกเขาได้ออกติดตามไปด้วย
“พวกเราต้องพลางตัวเข้าไป ชาวเมืองคงจดจำพวกเราไม่ได้ แต่ข้าไม่คิดว่าบิดามารดาของพวกเจ้าและของข้าจะจำพวกเราไม่ได้” อาลันเทียเอ่ยเสียงเรียบ พวกเขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านโดยไม่ได้มีการล่ำลากับครอบครัวว่าจะออกมาตามหาเจ้าชาย เพราะพวกเขารู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวังมิใช่เรื่องเล็ก จิตใจของพวกคนเหล่านั้นใครเป็นเช่นไรยากที่จะคาดเดา ดังนั้นการที่ทำตัวให้หายไปโดยไร้ร่องรอยเหมือนเจ้าชายดูจะเป็นหนทางที่ปลอดภัยมากที่สุด
“ข้าเห็นด้วยกับอาลันเทีย การเข้าไปสืบข่าวครั้งนี้ต้องไม่มีผู้ใดจำพวกเราได้” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา
“แล้วน้องสาวท่านล่ะเอซ หากมีโอกาสได้พบท่านจะยอมรับนางได้หรือไม่ ป่านนี้นางคงอายุครบยี่สิบปีพอดี” ปิรุสเอ่ยถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
“น่าแปลกที่ข่าวคราวชื่อเสียงความงามของน้องสาวท่านเป็นที่เลื่องลือขจรขจายไปทั่วทุกเขตแดน แต่น้อยคนนักที่จะได้พบหน้าค่าตาที่แท้จริงของเจ้าหญิง แม้แต่ภาพวาด หรือตามงานราชพิธีต่างๆ ไม่มีใครแทบได้พบกับนาง พวกท่านคิดเหมือนข้าหรือไม่ว่าดูท่านริเรียนจะจงใจเก็บซ่อนนางไว้จากโลกภายนอกมากจนดูน่าสงสัย” อาลันเทียเอ่ยสีหน้าครุ่นคิด
“มันเป็นแผนของนาง เจตนาที่แท้จริงยังไม่ปรากฏ ทุกอย่างจึงดูเคลือบแคลง และเราต้องระวังตัวตลอดเวลา ศัตรูที่มืดน่ากลัวกว่าศัตรูที่แจ้ง การเข้าไปครั้งนี้ข้าหวังจะสืบข่าวของนางอสรพิษสองแม่ลูกนั่นด้วย” อัสลัมเอ่ย ภาย
ในใจของเขาเคลือบแคลงเสมอมาแม้ตัวเขาจะหลบซุกซ่อนในอยู่ในเผ่าชวาเบนราวคนขี้ขลาด แต่ข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวภายในวังนั้นเขาไม่เคยพลาดเลยแม้เรื่องเดียว โดยเฉพาะเรื่องที่ชายาใหม่ของท่านพ่อตั้งครรภ์เพียงเจ็ดเดือนก็คลอดบุตรสาวออกมาก่อนกำหนด ทั้งที่สภาพของเด็กน้อยคนนั้นเมื่อแรกคลอดหมอหลวงต่างลงความเห็นว่าเป็นเด็กทารกที่มีการเจริญเติบโตตามครรภ์อายุที่ครบบริบูรณ์เก้าเดือน ต่อมาไม่นานหมอหลวงที่ทำคลอดในคืนนั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างมีเงื่อนงำ
“เรื่องนี้พ่อส่งคนไปสืบหาข่าวของหญิงชั่วผู้นั้นจากเผ่าซัคเซนอยู่ พ่อว่าไม่นานเราคงได้ข่าวอะไรมาบ้าง” แคสเซียสเอ่ยเสียงขรึมพลางเอื้อมไปตบบ่าบุตรชายบุญธรรมที่เขารักดั่งแก้วตา ทั้งที่ใจจริงแล้วเขาอยากจะบอกชายหนุ่มตรงหน้าเหลือเกินให้ลบเลือนอดีต ลบเลือนความแค้นให้หมดสิ้น แล้วสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าแทนเขา ผู้คนมากมายที่นี่เคารพศรัทธาในตัวเขา และสิ่งที่ชายหนุ่มทุ่มเททำให้กับชาวเผ่าที่นี่ เขาจึงกลายเป็นที่รักที่เทิดทูนพร้อมกับเป็นสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นหนึ่งเดียวของคนในเผ่าชวาเบนให้รักใคร่ สมัครสมาน และสามัคคีอย่างเหนียวแน่น แต่เขารู้บาดแผลของอัสลัมนั้นต่อให้เอาความรักทั้งหมดของเขาและภรรยาเติมลงไปให้มากเท่าไหร่ หัวใจดวงนี้ก็ไม่เคยเต็มหรือทดแทนชดเชยกันได้ เพราะแผลนี้มันบาดลึกมากจนเกินกว่าที่เขาจะกล้าแม้แต่เอื้อนเอ่ย “พวกเจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่กัน” แคสเซียสเอ่ยในตอนท้าย
“ทันทีที่ฟ้าสางพวกข้าจะออกเดินทางทันที” อัสลัมกล่าวเสียงขรึม
“ไม่ว่าจะอย่างไรเราจะประมาทไม่ได้ พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถิด ยังต้องเดินทางอีกไกล เดี๋ยวจะเตรียมตัวไม่ทัน ส่วนทางนี้ปล่อยเป็นหน้าที่พ่อ หากมีข่าวสำคัญได้เรื่องมาม้าเร็วจะส่งข่าวไปหาเจ้าในเมืองคาร์เปเทียน” แคสเซียสเอ่ยตัดบทก่อนที่ทุกคนจะพยักหน้าและพากันแยกย้ายเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไป
ความคิดเห็น