ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อัลมา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 13 เม.ย. 58


    ในค่ำคืนอันเงียบสงัด ใบไม้หยุดแกว่งไกวหยอกล้อกับสายลมดั่งที่เคยเป็นมา ผืนน้ำอันเย็นเยียบจนจับตัวเป็นแพน้ำแข็งขนาดใหญ่ราวกับกระจกชั้นดี ทั่วทุกหนแห่งถูกปกคลุมไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งสีขาวพราวพร่างราวกับน้ำนมตัดกับสีดำมืดขมุกขมัวของบรรยากาศรอบด้าน เงาร่างสองร่างต่างช่วยกันพยุงเดินทุลักทุเลจวนเจียนจะล้มลงไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

                    “พักก่อนเถิดท่านแม่” เด็กชายตัวน้อยที่เหนื่อยหอบจนตัวโยนเอ่ยเสียงเบา

                    “ไม่..ไม่..หยุดไม่ได้” หญิงสาวสูงวัยผู้เป็นแม่กล่าวพลางพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทว่าความอ่อนล้าและความเย็นเยียบที่เข้าเกาะกุมไปถึงข้างในกระดูกกลับทำให้สองขาที่เคยคิดว่ากล้าแกร่งอ่อนยวบทรุดลงอย่างอ่อนแรง

                    “โอ๊ะ!! ท่านแม่” เด็กน้อยร้องอย่างตกใจเมื่อร่างของผู้เป็นแม่ล้มลงอย่างรวดเร็วจนเขาไม่อาจรั้งไว้ได้ทัน ไม่นานนักเสียงบางอย่างก็แหวกทำลายความเงียบจนกระทบเข้าสู่โสตประสาท ทำเอาเด็กชายที่กำลังพยายามรั้งเอาร่างของผู้เป็นแม่ขึ้นมาสะดุ้งเฮือก ใบหน้าคมคร้ามแดงก่ำเพราะเริ่มถูกหิมะกัดเหลียวหันกลับไปยังต้นเสียงด้วยสีหน้าวิตกกังวล

                    ไป!! รีบหนีไปอัสลัม ไปให้พ้นจากที่นี่อย่าห่วงแม่ แม่ไม่ไหวแล้ว

                    ไม่!! ท่านแม่ก็รู้ว่าข้าจะไม่มีวันทิ้งท่าน” น้ำเสียงสั่นเครือของเด็กชายตัวน้อยผู้มีนามว่าอัสลัมบ่งบอกถึงความหวาดหวั่นที่กำลังคืบคลานมาใกล้ เขาเริ่มมองเห็นลางหายนะที่กำลังมาเยือนก่อนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และรวบรวมเอาพลังในร่างกายทั้งหมดยื้อยุดแบกร่างของผู้เป็นแม่ขึ้นบนบ่า

                    ไป!! แม่บอกให้เจ้าหนีไปยังไงล่ะอัสลัม ไป๊!!” เสียงท่านแม่ตวาดแหวและดิ้นรนทั้งที่เรี่ยวแรงแทบไม่หลงเหลือ

                    ไม่ ข้าไม่ไป!! หากต้องตายข้าขอตายไปพร้อมกับท่านแม่ ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด และข้าจะไม่มีวันยอมทิ้งท่านเพื่อเอาตัวรอดเด็ดขาด” เด็กชายอัสลัมร้องบอกปากคอสั่น น้ำตาไหลพรากไม่อยากยอมรับในชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

                    เพี้ยะ!!

    “ท่านแม่!!เด็กน้อยยกมือกุมใบหน้าที่ปรากฎรอยนิ้วมือแดงด้วยความตกใจ

    “ฟังแม่นะอัสลัม..เจ้าเป็นหัวใจเป็นความหวังของผู้คนในคาร์เพเทียนที่ยังรักเคารพในพระบิดาของเจ้า เจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่ เจ้าคือดวงใจของแม่ เจ้าเข้าใจมั้ย เจ้าต้องรอดชีวิต..ไป..หนีไปให้พ้นจากที่นี่ แล้ววันนึงเจ้าต้องกลับมาเมื่อเจ้าเข้มแข็ง กลับมาทวงสิทธิ์อันชอบธรรมของเจ้า เจ้าต้องมีชีวิตอยู่แทนแม่  อย่าทำให้แม่ผิดหวัง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นชะตากรรม จงใช้ชีวิตที่เหลือนับจากนี้อย่างเข้มแข็งและอดทน ชีวิตแม่แลกอิสรภาพกับเจ้า  ไปซะ อัสลัมอย่าให้ชีวิตแม่ต้องสูญสิ้นโดยไร้ประโยชน์ แม่ทนไม่ได้หากลูกต้องเป็นอะไรไป..แม่รักลูกมากที่สุดจำไว้” ดวงตาคมหม่นเศร้าของผู้เป็นแม่ทอประกายฉายความรู้สึกรักออกมาอย่างแจ่มชัดจนอัสลัมถอนสะอื้น

                    ท่านแม่ ข้าก็รักท่านแม่มากที่สุดได้โปรดอย่าให้ข้าต้องจมอยู่กับความผิดไปตลอดชีวิตด้วยการหนีเอาตัวรอดไปเพียงลำพังเลย” เสียงสั่นพร่าร่ำไห้อย่างหนักหัวใจบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ร่างเล็กโถมกายเข้ากอดรัดผู้เป็นแม่ซึ่งบัดนี้ดูชราลงไปอย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืน เสียงฝีเท้าของผู้คนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนผู้เป็นแม่ต้องรีบดันตัวลูกชายออกห่าง

                    “หมดเวลาคร่ำครวญแล้วลูกรัก แม่ไม่เคยขออะไรจากลูก จงทำเพื่อแม่สักครั้งนะอัสลัม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพาตัวเองหนีให้รอดพ้น อย่าให้พวกมันจับได้ รับปากกับแม่”

                    “ท่านแม่..ได้โปรด..” อัสลัมเอ่ยครางอย่างน่าสงสาร หัวใจร้าวรานสุดที่จะทานทน

                    “รับปากกับแม่นะลูก อย่าให้แม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยการเห็นเจ้าต้องถูกมือแปดเปื้อนของคนชั่วพวกนั้นจับเจ้าไป ให้แม่ได้มีความสุขเป็นครั้งสุดท้าย รับปากแม่อัสลัม ” ดวงหน้าชราจ้องมองเด็กชายอย่างรอคอยคำตอบ

                    “ครับ..ท่าน..แม่” เสียงรับปากแผ่วเบาสั่นสะท้าน ดวงตาคมดุที่ถอดแบบออกมาจากผู้เป็นพ่อทอดมองใบหน้าผู้ที่ให้กำเนิดด้วยความอาลัยรักอย่างท่วมท้น

    “ขอบใจจ้ะ จงรักษาสัญญาของเจ้าด้วยชีวิต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดปกปักรักษาดวงใจของแม่ให้หนีรอดปลอดภัย จำไว้แม่อยู่กับเจ้าเสมอ” ริมฝีปากเหี่ยวบางบรรจงกดย้ำลงไปกลางหน้าผากเล็กเป็นครั้งสุดท้ายราวกับการสั่งลา

                    เสียงสะอื้นของเด็กชายตัวน้อยถูกสะกดไว้อยู่ในลำคอ หัวใจแตกสลายยามก้าวถอยห่างร่างผู้เป็นแม่ที่บัดนี้ทำได้เพียงนั่งอิงต้นไม้พร้อมส่งยิ้มบางๆ มาให้ เขาจะจดจำรายละเอียดของผู้เป็นแม่ไว้ในห้วงคำนึงเป็นครั้งสุดท้ายมือเล็กปาดน้ำตาที่หลั่งรินลงมาไม่ขาดสายก่อนตัดสินใจหมุนตัววิ่งไปตามทางพื้นดินที่ยังไม่ถูกหิมะฝังกลบ

                    ลับร่างของเด็กชายตัวน้อยไป กลุ่มชายฉกรรจน์นับสิบคนก็วิ่งโผล่พ้นแนวโขดหินออกมา

                    “นั่นไง นางอยู่นั่น!!” เสียงร้องตะโกนดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าที่วิ่งกรูกันเข้ามา

                    “อัสลัมล่ะ มันอยู่ที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะท่านเบรินด้า ท่านให้มันไปซ่อนอยู่ที่ไหน!!” เดโลชายร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายกล่าวตะคอกอย่างหัวเสีย เขาอุตส่าห์เร่งพาพรรคพวกออกตามไล่ล่าหวังเอาความดีความชอบจากริเรียนหญิงสาวผู้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตขององค์กษัตริย์ออสตินแทนที่หญิงชราผู้น่าสงสารนามเบรินด้า

                    เมื่อไม่มีเสียงตอบจากหญิงสูงวัยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงชัยชนะ ทำเอาเดโลถึงกับเลือดขึ้นหน้า

                    เพี้ยะ!!” ฝ่ามือหยาบกร้านซัดลงไปบนแก้มที่ซีดเผือดไร้สีเลือดจนขึ้นรอยแดงห้านิ้ว

    “จนป่านนี้ท่านยังไม่รู้ชะตาตัวเองอีกหรือ ถึงได้กล้าทำสีหน้ายิ้มเยาะใส่ข้า จำไว้ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอย่าริอาจทำสีหน้าน่ารังเกียจแบบเมื่อครู่ใส่ข้าอีก” เดโลตวาดก้องหวังให้เสียงที่เกิดขึ้นดังสะท้อนไปเข้าหูใครบางคนที่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้ผลร่างกระจ้อยร่อยของอัสลัมไม่ปรากฎแม้เงา ทว่าในมุมมืดด้านหนึ่งกลับถูกเฝ้ามองด้วยดวงตาคมที่แดงก่ำไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากหยักหนาได้รูปกัดเม้มจนรับรู้ได้ถึงรสเค็มปร่าของคาวเลือด ฝ่ามือเล็กกำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดปูดโปน

    อัสลัม เจ้าลูกหมา!! เจ้าขี้ขลาด!! ข้าให้โอกาสเจ้าออกมาแสดงความเป็นลูกผู้ชาย ถ้าไม่อยากให้แม่ของเจ้าต้องเจ็บตัวมากไปกว่านี้!!” เสียงร้องตะโกนก้องไปทั่วทั้งป่าของเดโลหาได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น

    เพี้ยะ!! เพี้ยะ!!” เสียงฝ่ามือหยาบกร้านของเดโลกระทบหวดลงไปบนผิวหน้าขาวซีดจนมุมปากแตกสองครั้งติดๆ กัน “อัสลัม ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังดูข้าทำร้ายแม่ของเจ้าอยู่ น่าสงสารแม่ของเจ้าที่มีลูกขี้ขลาดตาขาว ไอ้ลูกหมา จะออกมาหรือไม่ออก!!” เมื่อไม่มีสิ่งใดตอบรับกลับมาอีก อารมณ์ต้องการเอาชนะ และความแค้นเคืองที่เด็กชายไม่ตอบ ส่งอารมณ์ของเดโลให้พุ่งถึงขีดสุด

     “ได้..ถ้าเจ้าคิดอยากลองดีกับข้าก็ลองดูกันสักตั้ง เฮ้ย!! พวกเจ้าทั้งหลายอยากลองลิ้มรสผิวเนื้อหวานๆ ของท่านเบรินด้าดูบ้างมั้ย แม้อายุของนางจะมากไปสักนิด แต่พวกเจ้าดูสิผิวของนางยังเปล่งปลั่งเนียนลื่นไม่ต่างกับผิวสาวๆ ในเผ่าเราเลยนะ ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า พวกเจ้าจัดการได้เลยแต่ทีละคนนะโว้ย เดี๋ยวนางจะหัวใจวายตายซะก่อนก่อนที่พวกเจ้าจะทันได้ขึ้นสวรรค์” เดโลกล่าวหยอกเย้ายั่วยวนพร้อมกับตะโกนสั่งลูกน้องดังลั่น ดวงตาเจ้าเล่ห์กวาดมองหาความผิดปกติรอบตัวด้วยความละเอียด

    เสียงผ้าขนสัตว์เนื้อหนาถูกฉีกดังควากพร้อมกับเสียงกรีดร้องของท่านเบรินด้าที่ตื่นตกใจด้วยคิดไม่ถึงว่าชายโฉดชั่วนามเดโลจะกล้าใช้วิธีเลวทรามต่ำช้าถึงขนาดนี้

    ไม่!! ไอ้พวกชั่ว ไอ้สารเลว ข้ายอมตาย และต่อให้ข้าตายพวกแกก็ไม่มีวันได้เจออัสลัม เขาจะไม่มีวันตกหลุมพรางพวกเจ้า อัสลัมลูกข้าจะไม่ออกมาให้พวกเจ้าได้เจอ  เขาจะต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ไป๊..ไปให้พ้น..ไปให้ไกลๆ เดี๋ยวนี้นะ อัสลัมจะไม่มีวันทำให้ข้าผิดหวัง ไม่มีวัน!!! ” เสียงกรีดร้องของท่านเบรินด้าในตอนท้ายที่ดูเหมือนจะพูดฝากมาให้เด็กชายทำเอาเท้าเล็กๆ ของอัสลัมที่หมดความอดทนและกำลังจะวิ่งออกไปช่วยมารดาอันเป็นที่รักมีอันต้องชะงักลงอีกครั้ง

    โดยไม่ทันคาดคิดเบรินด้าสะบัดข้อมือหลุดจากการเกาะกุมก่อนที่ใบหน้าโสมมของสมุนเดโลคนหนึ่งจะซุกไซร้ลงมาที่ซอกคอ ดาบที่เหน็บอยู่สีข้างของสมุนชั่วถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับบาดลึกลงไปยังลำคอเรียวระหงที่ตั้งตรงสง่างาม รอยยิ้มสาแก่ใจในเฮือกสุดท้ายแห่งชีวิตบ่งบอกถึงความนัยแก่เดโลว่า ไม่มีวันที่คนชั่วอย่างพวกแกจะเอาชนะข้าได้ แล้วใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกชายตัวน้อยก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงสุดท้ายเรียกรอยยิ้มอ่อนบางก่อนที่ร่างของนางจะค่อยๆ อ่อนปวกเปียกล้มลงแน่นิ่งไปในที่สุด

                    อัสลัมตกใจถึงขีดสุดสองมือน้อยยกขึ้นปิดปากป้องกันเสียงร้องที่ยามนี้เขาอยากจะกรีดร้องให้ดังสุดหัวใจ เลือดสีแดงเข้มหลั่งรินลงมาไม่ขาดพร้อมกับดวงวิญญาณของท่านแม่ที่หลุดลอยไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ขาของเขาสั่นระริกสุดที่จะฝืนยืนอยู่ได้ต่อไป

    ท่านแม่ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษเด็กชายสะอื้นฮั่กพร้อมกับพร่ำเอ่ยเบาๆ เฝ้ายืนมองพวกเดโลกำลังลากร่างของท่านแม่ไปด้วยดวงตาแดงก่ำ ไม่นานนักร่างเล็กก็มีอันล้มพับลงไปบนกองหิมะหนา สติทั้งมวลดับวูบลง โดยไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงอ้อมกอดใครบางคนที่บังเอิญผ่านมาเจอ และเข้ามาโอบอุ้มร่างของเขาไว้ก่อนที่มันจะถูกความเย็นเยียบกลืนกิน

                    *********

                    “ว่าไง พวกเจ้าจับตัวหญิงแพศยามาไม่ได้รึ” เสียงตวาดแหวของหญิงสาวรูปร่างอวบเนื่องจากเริ่มมีครรภ์อ่อน ใบหน้าถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบเนียนสวยที่บัดนี้ยับยู่ด้วยความกรุ่นโกรธ

                    “ท่านเบรินด้าพระนางสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระนางชิงฆ่าตัวเองทันทีที่พวกข้าไปถึง” เดโลกล่าวพลางแสดงสีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อหน้ากษัตริย์ออสตินที่ได้แต่นั่งนิ่งไม่เอื้อนเอ่ยคำใดๆ หัวใจวูบโหวงเมื่อได้รับรู้ถึงข่าวร้าย  

                    เมืองคาร์เพเทียนเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งซุกซ่อนอยู่ทางภาคตะวันออกของเทือกเขาแอลป์ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงที่มีหิมะหนาปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี ด้วยพื้นที่ที่มีความยาวเป็นอันดับ 2 ในยุโรป จึงถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ทิวเขาเวสเทิร์นคาร์เพเทียน ทิวเขาเซนทรัลคาร์เพเทียน และอิสเทิร์นคาร์เพเทียน โดยมีเทือกเขาที่สูงที่สุดคือทาทรัส ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างโปแลนด์และสโลวาเกีย บดบังเมืองใหญ่ของพวกเขาไว้จากโลกภายนอก เมืองคาร์เปเทียนถูกปกครองโดยกษัตริย์ออสติน กษัตริย์หนุ่มในวัย 50 ปี หลังจากราชินีองค์ก่อนสวรรคตลง พระองค์จึงได้รับพระนางเบรินด้าเข้ามาเป็นภรรยาคนที่ 2 ด้วยความรัก และความมีคุณธรรมทั้งสองพระองค์ปกครองบ้านเมืองด้วยความสงบสุขมาช้านาน โดยเฉพาะเมื่อท่านเบรินด้าได้ให้กำเนิดองค์รัชทายาทแห่งคาร์เปเทียนหลังจากที่พระองค์ทรงรอคอยมาอย่างยาวนาน ความรักและความเอาใจใส่ขององค์กษัตริย์ที่มีต่อพระนางเบรินด้าจึงเพิ่มพูนขึ้นจนทั่วทั้งวังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรัก ความร่าเริง ซุกซน และฉลาดของเด็กชายพระองค์น้อยเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างได้เสมอ แต่บัดนี้ด้วยตัณหาราคะของริเรียนหญิงสาวสวยของเผ่าซัคเซนที่บังเอิญพัดหลงหรือจงใจก็ไม่อาจแน่ชัดเข้ามาเส้นทางชีวิตขององค์กษัตริย์ ทำเอาทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงอย่างราบคาบ

                    “แล้วอัสลานล่ะ ลูกข้าอยู่ที่ไหน” คำถามที่แทบจะดังไม่พ้นลำคอแห้งผากของกษัตริย์ออสติน ทำเอาริเรียนถึงกับแอบเหยียดยิ้มด้วยความหมั่นไส้ระคนสะใจ

                    เจ้าชาย..เอ่อ..เจ้าชาย” เดโลเอ่ยตะกุกตะกักอย่างคิดไม่ตกว่าควรจะบอกไปอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่าพายุโทสะของริเรียนสาวคนรักนั้นรุนแรงแค่ไหน

                    “ว่าไงล่ะหูหนวกหรือไงถึงไม่ได้ยินที่พระองค์ตรัสถามน่ะ” ริเรียนตำหนิอย่างหงุดหงิด

                    “เอ่อ..เจ้าชายทรงหายตัวไป พวกข้าพยายามตามหา แต่ตอนไปถึงพระนางเบรินด้าก็ปลิดชีพตัวเองไปก่อนแล้ว” เดโลเอ่ยในที่สุด โดยปิดบังไม่กล่าวถึงสาเหตุการปลิดชีพตัวเองของพระนาง

                    “หึ..คนขี้ขลาด ทำผิดแล้วไม่กล้ารับผิด พระนางคงอับอายที่ถูกจับได้ว่าคบชู้กระมัง” ดวงตาเรียวแหลมของริเรียนปลายตามองไปทางองค์กษัตริย์ด้วยสีหน้าดูแคลน

                    “ใช่สินะ นิสัยของนางรักเกียรติของตัวเองแค่ไหนข้าน่าจะรู้ดี แต่เหตุใด...” กษัตริย์ออสตินเอ่ยขึ้นเบาๆ

                    “เรื่องรักเกียรติกับเรื่องหัวใจมันคนละเรื่องกัน นางรักเกียรติของตัวเองแต่ทำอะไรไม่นึกถึงหน้าพระองค์ซึ่งเป็นถึงกษัตริย์ อีกอย่างพระนางทำตัวของพระนางเองพระองค์ก็เห็นกับตานี่เพคะ” ริเรียนรีบชิงกล่าวเอ่ยเตือนสติเมื่อกษัตริย์หนุ่มเริ่มทำเหมือนรู้ตัวสำนึกผิดที่ได้กระทำโหดร้ายกับภรรยาตัวเอง

                    “ดีนะที่เดโลบังเอิญไปเห็นเข้าซะก่อน ไม่งั้นหากคนอื่นรู้เข้าคงหัวเราะเยาะพระองค์กันทั่วบ้านทั่วเมืองเพคะ โดนว่าที่ราชินีสวมเขาให้โดยไม่รู้ตัว” นางกล่าวเสริมพลางแอบเหยียดยิ้ม

                    “เจ้าหยุดพูดเรื่องนี้ซะทีเถอะข้าขอร้องไหนๆ นางก็จากไปแล้ว ทหารเจ้าพากองกำลังออกไปส่วนหนึ่งไปติดตามหาตัวเจ้าชายให้พบ เอาตัวลูกชายข้ากลับมาให้ได้” กษัตริย์หนุ่มเอ่ยตัดสินใจในที่สุดก่อนจะก้าวลงจากบัลลังค์เข้าสู่ห้องบรรทม เนื่องจากทรงเหนื่อยล้ากับปัญหารักสามเส้าที่พระองค์เป็นคนก่อขึ้นมา

                    ริเรียนจ้องมองตามแผ่นหลังของผู้ชายที่นางไม่เคยคิดจะรักไปด้วยความโกรธแค้น ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางที่นางจะยอมให้อัสลัมหรือใครหน้าไหนได้เสวยสุขในเมื่อตัวเธอได้ลงทุนลงแรงไปมากมาย ลูกในท้องของเธอที่ติดมาจากความผิดพลาดเพียงเพราะคำว่ารักแรก และมันสิ้นสุดลงเมื่อได้รู้ว่าชายคนนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว ภรรยาที่ชายชั่วคนนั้นเทิดทูนและเห็นความรักของเธอเป็นเพียงความน่าลิ้มลองหลงใหลในวัยสาว ความเจ็บปวดเมื่อรับรู้ว่าเขามีภรรยายังไม่น่าเจ็บปวดเท่าเมื่อรับรู้ว่าตัวเธอท้องอ่อนๆ เธอพยายามลองใจเขาในหลายครั้งหลายหนว่าเขาจะรักเธอมากพอที่จะยอมเลิกรากับภรรยา และหันมาใช้ชีวิตกับเธอหรือไม่ แต่ความเสียใจกับคำตอบที่ได้รับมาแม้เขาจะพร่ำบอกว่ารักเธอ แต่มันไม่มากพอ เขารักภรรยาของเขามากด้วยเช่นกัน และเขาไม่มีวันที่จะทอดทิ้งภรรยาเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับเธอ ความเสียใจผสานกับความริษยาพาให้เธอยอมตัดใจหนีออกจากเผ่าซัคเซน เผ่าอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่เธอรักด้วยหัวใจที่แตกสลายโดยไม่ปริปากบอกให้ชายชั่วคนนั้นได้รับรู้ว่ามีเลือดเนื้ออีกก้อนกำลังถือกำเนิดขึ้นมา

                    การรอนแรมในป่าเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเธอมาก ยิ่งทุกข์ก็ยิ่งแค้น ยิ่งทรมานก็ยิ่งคิดถึงการเอาคืน และดูเหมือนโชคจะเข้าข้างที่เธอบังเอิญไปพบกลุ่มทหารที่รายล้อมป้องกันภัยให้แก่กษัตริย์ออสตินที่ออกมาล่าสัตว์ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เธอค่อยๆ หลบเลี่ยงออกไปอีกทางด้วยไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ธารน้ำใสไหลเย็นที่เธอบังเอิญลัดเลาะมาจนเจอ ความสวยของน้ำตกผสานกับธรรมชาติอันงดงามในยามเย็นทำให้หญิงสาวซึ่งเหนียวตัวจากการเดินทางมาสองสามวันอดใจไม่ไหวที่จะชำระล้างร่างกาย เธอรอจวบจนความมืดเริ่มปกคลุม สัตว์กลางคืนส่งเสียงร้องเข้ามาแทนที่ เสื้อผ้าชุดคลุมสีมอซอที่เริ่มส่งกลิ่นจึงถูกปลดออกช้าๆ กายขาวผ่องค่อนข้างเจ้าเนื้อค่อยๆ เยื้องย่างลงไปในธารน้ำใสก่อนค่อยๆ แหวกว่ายเล่นหยอกล้อแสงจันทร์ และค่ำคืนนั้นเองที่เปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนความคิดของเธอไป กษัตริย์หนุ่มเดินมาที่ธารน้ำใสด้วยจะทรงมาชำระล้างร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ขณะที่พระองค์จะก้าวลงไป เสียงจ๋อมแจ๋มเบาๆ ที่ลอยแทรกเสียงสรรพสัตว์ เรียกความสนใจจากพระองค์ได้เป็นอย่างดี เมื่อทรงค่อยๆ เดินตามหาที่มาของเสียงจึงได้พบกับนางพรายที่งดงามสร้างท่ามกลางแมกไม้ เลือดในกายพระองค์สูบฉีดแรงเร็วด้วยห่างจากรสรักในกามารมณ์กับพระนางเบรินด้าเมื่อยามออกป่าล่าสัตว์ อารมณ์กฤษณาดำที่ตีตื้นขึ้นมาทำให้สติความรับรู้ผิดชอบชั่วดีมลายสิ้น ความตื่นตระหนกตกใจของหญิงสาวในคราแรกเปลี่ยนไปในทันทีที่รู้ว่าชายตรงหน้าคือใคร ธารน้ำเย็นแห่งเทือกเขาคาร์เพเทียนแปลเปลี่ยนเป็นธารน้ำอันร้อนระอุรอบแล้วรอบเล่าจวบจนใกล้ฟ้าสาง มันเป็นค่ำคืนแห่งโชคชะตาที่พลิกผัน ลูกน้อยในครรภ์ของสาวชาวเผ่าซัคเซนธรรมดาๆ กลับกลายเป็นลูกของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แห่งคาร์เพเทียนไปในบัดดล
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×