ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องราว 纸嫁衣 | Paper Bride [วิวาห์ใบสั่งตาย]

    ลำดับตอนที่ #2 : วิวาห์ใบสั่งตาย 2 หมู่บ้านจางหลิง (1/2)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ค. 67


    เถาเมิ่งเยียน [陶梦嫣]
    เหลียงเส้าผิง [梁少平]
    จู้เสี่ยวหง [祝小紅]

    «บทนำ»

    “ที่นี่…ที่ไหนกัน?” ฉันมองไปรอบ ๆ ตัว ซึ่งเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาว

    ภาพโดยรอบแทบไม่เห็นแสงสว่างหรือสิ่งที่อยู่สุดปลายทาง แต่ภาพตรงหน้าของฉันเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น

    เสาไม้สองต้นตั้งเด่นตรงกลางเส้นทางท่ามกลางป่าเขาและหน้าผาที่อยู่สุดเส้นทาง โดยที่คานของเสาทั้งสองมีเชือกและด้ายแดงที่พันผูกกับร่างใครบางคนอยู่

    “ข้างหน้ามีผู้หญิงถูกมัดอยู่? แถมชุดแต่งงานสีแดงของเธอ” ฉันเงียบพยายามสังเกตคนตรงหน้า “ดูเหมือนทำมาจากกระดาษเลย”

    ฉันเดินเข้าไปใกล้ผู้หญิงที่ไม่เห็นใบหน้าของเธอก่อนที่จะหยุดเพราะเพิ่งสังเกตเห็นรากขนาดใหญ่ของต้นไม้ยักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ แท่นแขวนนั้นกำลังทอดยาวกีดขวางตามเส้นทางอยู่

    ถ้าหากเส้นทางข้างหน้าไปไม่ได้ ฉันก็คงต้องหาของที่พอจะจัดการรากไม้ซะก่อน ไม่แน่ว่าด้านหลังของฉันจะพอมีของที่ใช้ประโยชน์ได้อยู่

    และสิ่งที่คิดไว้ก็มีอยู่จริง ๆ มันคือดาบขนาดใหญ่ปักอยู่ตรงกลางลานกว้าง และสุดปลายทางที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาและต้นไม้มากมายนั้น

    ซึ่งเหมือนว่าจะเป็นเงาของฝูงชนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ แต่พยายามเรียกก็ไม่มีท่าทีว่าเงาที่ว่าจะขยับหรือส่งเสียงตอบกลับมาเลย

    ฉันเลิกสนใจก่อนที่จะเดินกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นเพื่อใช้ดาบขนาดใหญ่ทำการฟันรากไม้ที่ขวางทางอยู่

    ขนาดของดาบที่หนักมากสำหรับเด็กสาวอย่างฉัน และหลังจากที่ฉันได้เหวี่ยงฟันรากไม้แล้วก็โยนมันไว้ข้าง ๆ ต้นไม้ก่อนที่ฉันจะวิ่งเข้าไปที่แท่นแขวนนั้น

    “ไอ๊หยา! ฉ-ฉันนี่น่า” ฉันเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่ถูกแขวนก่อนที่ภาพจะเริ่มมืดลง “ฉ-ฉันถูกแขวนไว้บนแท่นบูชาเนี่ยนะ?”

    “วันสารทจีนร่วมแต่งเจ้าสาว ญาติสนิทมิตรสหายต่างร่ำไห้ สวมชุดวิวาห์กระดาษ พลัดพรากจากคนรักชั่วนิจนิรันดร์” เสียงร้องเพลงของเด็กดังไปทั่วรอบตัวฉันท่ามกลางความมืดมิด

    “เสียงเพลงกล่อมเด็กมาจากไหน? เนื้อร้องฟังดูแปลก ๆ”

    ฉันพยายามมองหาต้นเสียง แต่แล้วเสียงร้องก็เงียบลงก่อนที่ฉันจะลืมตาขึ้นมาก็เห็นฝูงชนยืนอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมดพร้อมทั้งมือที่ถูกมัดเอาไว้บนคานที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้

    “พวกคุณเป็นใครน่ะ? จับฉันมาแขวนไว้ที่นี่ทำไม?” ฉันถามออกไปและเพิ่งสังเกตเห็นแต่ละคนตรงหน้า “ไอ๊หยา! พวกคุณไม่ใช่คน ห-หุ่นเชิดงั้นเหรอ?”

    เสียงกระดิ่งดังมาจากหุ่นเชิดตรงหน้าฉันที่แปลกตาไปจากหุ่นกระบอกชาวบ้านทั่วไปพร้อมทั้งชี้มาที่ฉัน

    หุ่นเชิดชาวบ้านแต่ละตัวเงยหน้ามองมาที่ฉันพร้อมทั้งบางตัวที่ถือคบเพลิงในมือก็มีเปลวไฟสว่างขึ้นมา

    จนฉันเห็นแววตาโกรธแค้นของหุ่นเชิดชาวบ้านทุกตัวที่มองมา ยกเว้นหุ่นกระบอกถือกระดิ่งที่หลับตาไม่มองฉันเท่านั้น

    จู่ ๆ หุ่นเชิดในชุดนักรบโบราณพร้อมทั้งหน้ากากงิ้วก็โผล่มาตรงหน้าฉัน และธงที่ตกแต่งอยู่ด้านหลังชุดนั้นก็บังเหล่าหุ่นเชิดชาวบ้านจนมิด

    ในมือหุ่นเชิดตรงหน้าฉันถือดาบเล่มเดียวกันกับที่ฉันเคยใช้ไปก่อนหน้านี้ก่อนที่หัวของหุ่นเชิดตัวนั้นจะหลุดออกเอง

    ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วมองไปรอบ ๆ ตัวพร้อมหายใจโล่งอกเหมือนทุกครั้งก่อนที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างขบวนรถไฟ

    เสียงของรถไฟเริ่มดังเข้าสู่ประสาทสัมผัสของฉันหลังจากที่ไม่ได้ยินมันเลยตอนที่ฉันหลับไปได้สักพักนึง

    ฝันร้ายอีกแล้ว มันยังตามหลอกหลอนตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ ในความฝัน ฉันเถาเมิ่งเยียนคือหญิงสาวสวมชุดแต่งงานกระดาษสีแดง ซึ่งฉันถูกแขวนอยู่ข้าง ๆ ต้นไม้ยักษ์เก่าแก่ตรงหน้าผานอกตัวหมู่บ้านจางหลิง

    ครอบครัวฉันย้ายออกจากหมู่บ้านมานานตั้งแต่ฉันยังเด็ก นอกจากต้นไม้ยักษ์ในความฝันแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับบ้านเกิดในเรื่องอื่น ๆ ก็ไม่มีเลย

    พอฉันจะถามหรือพูดเรื่องหมู่บ้านจางหลิงที่จำได้จากความฝัน พ่อแม่ก็ลังเลที่จะตอบเหมือนไม่อยากพูดถึงที่นั่นสักเท่าไหร่

    ยิ่งฉันโตขึ้น ความฝันก็ยิ่งชัดเจนและบ่อยมากขึ้นทุกที มันส่งผลกับสภาพจิตใจของฉัน ถ้าเกิดเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ฉันคงได้เป็นบ้าเข้าสักวันนึง

    ฉันไม่รู้ว่าฝันร้ายนี้จะสื่ออะไรกันแน่ แต่บางทีฉันอาจจะรู้เหตุผลก็ได้ถ้ากลับไปที่นั่น บ้านเกิดของฉันเอง

    เมื่อมาถึงสถานีปลายทางแล้วฉันก็สะพายเป้คู่ใจลงจากรถไฟและเดินเท้าไปตามเส้นทาง โดยที่ทั้งถนนรวมทั้งรอบข้างก็เริ่มเข้าสู่ธรรมชาติขึ้นเรื่อย ๆ

    หมู่บ้านจางหลิงเป็นหมู่บ้านชนบทหลังเขาที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก ฉันใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาทางเจอ


    «บทที่หนึ่ง ตามหา»

    ที่นี่คงจะเป็นหมู่บ้านจางหลิงสินะ ทำไมมีผ้าสีแดงพาดเต็มไปหมดเนี่ย มีงานแต่งงั้นเหรอ จัดเต็มสุด ๆ ไปเลย

    และเท่าที่ฉันมองด้านหน้าของเส้นทางที่ทั้งต้นไม้และศาลเจ้าหน้าหมู่บ้านเต็มไปด้วยผ้าสีแดงยาว หลังจากที่เดินหามานานจนฟ้าเริ่มมืดแล้ว

    “วันสารทจีนร่วมแต่งเจ้าสาว ญาติสนิทมิตรสหายต่างร่ำไห้ สวมชุดวิวาห์กระดาษ พลัดพรากจากคนรักชั่วนิจนิรันดร์” เสียงร้องเพลงของเด็กเหมือนได้ยินในฝันเลย

    ฉันไปตามทางเดินของหมู่บ้าน โดยใช้เสียงร้องเป็นตัวนำทางก่อนที่จะมาถึงบ้านหลังหนึ่งและเสียงร้องที่ฉันได้ยินตลอดก็เงียบลง

    ดูเหมือนเสียงนั้นจะพาฉันมาที่นี่ บ้านเก่าของฉันเอง แถมประตูหน้าบ้านก็เปิดทิ้งไว้ด้วยอาจจะมีคนอยู่ในบ้านก็ได้

    “มีใครอยู่ไหมคะ?” ฉันถามอยู่ตรงประตูพลางมองเข้าไปในบ้านที่มืดสลัว

    มีเงาใครบางคนนั่งอยู่ตรงพื้นข้าง ๆ โต๊ะไม้ขนาดเล็กกลางบ้าน ซึ่งโชคดีที่มีแสงเทียนบนโต๊ะและแสงจากภายนอกที่ลอดผ่านหน้าต่างทำให้ฉันเห็นใบหน้าของเขาได้

    “หนูคงจะเป็นเถาเมิ่งเยียนสินะ? ในที่สุดก็กลับหมู่บ้านซะที มาสิ เข้ามาก่อน”

    เสียงของชายหัวล้านที่อายุคงอยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้วนั้นก็ดังขึ้นมาก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเดินมาต้อนรับฉันที่อยู่ตรงหน้าประตูบ้าน

    อะไรกันเนี่ย? ฉันย้ายออกจากหมู่บ้านตั้งแต่เด็ก ๆ ลุงคนนี้ยังจำฉันได้ด้วยเหรอ? โคตรแปลกเลย

    “ลุงเป็นใครคะ?”

    ฉันถามคำถามที่ต้องการรู้มากที่สุดในหัวของฉันจากคนตรงหน้า ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคำถามมากมายก็ตาม

    “ลุงเป็นผู้ใหญ่บ้านไง หนูจำไม่ได้เหรอ? ลุงเคยอุ้มตอนหนูเด็ก ๆ ด้วยนะ โตเป็นสาวแล้วหน้าตาไม่เปลี่ยนไปเลย” ชายที่บอกว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านผายมือข้างหนึ่งออกมา “นั่งก่อนสิ หนู เดี๋ยวลุงหาอะไรให้ทานนะ”

    ฉันเดินเข้าไปในบ้านพร้อมมองท่าทางของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลก ๆ เหมือนลุงแกรู้ว่าฉันจะกลับมาวันนี้งั้นแหละ

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูแค่–”

    ฉันยังพูดไม่ทันจบ จู่ ๆ ผู้ใหญ่บ้านก็พุ่งกระโจนออกไปทางประตูบ้านพร้อมทั้งปิดประตูลงกลอนล็อกจากนอกบ้าน เหมือนว่ากำลังขังฉันไว้ในนี้

    “เจ้าสาวกระดาษกลับมาแล้ว! เตรียมงานแต่งเร็วเข้า เฝ้าประตูไว้ อย่าให้เธอหนีไปได้” เสียงของเขาตะโกนเหมือนบอกคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างนอกบ้าน

    “ทำอะไรเนี่ย? ล็อกประตูทำไม? เปิดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉันตะโกนถามพร้อมทั้งพยายามเปิดประตูบ้าน “นี่มันกักขังหน่วงเหนี่ยวกันชัด ๆ ฉันจะแจ้งตำรวจ!”

    ฉันตะโกนขู่จบก็เลิกสนใจประตูตรงหน้าก่อน เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมาและดูเหมือนว่าเสียงจากนอกบ้านเงียบลงแล้ว

    แต่โทรศัพท์มือถือดันไม่มีสัญญาณซะได้ ทำไงต่อดีเนี่ย ฉันคงต้องลองหาทางออกอื่นดูละกัน ที่นี่มืดมากเลย จำได้ว่าสวิตช์ไฟอยู่แถวนี้นะ

    มือของฉันไล่แตะที่กำแพงใกล้ ๆ ก่อนที่จะโดนสวิตช์บางอย่างและหลอดไฟด้านบนเพดานของห้องโถงนี้ก็สว่างขึ้นมา

    และเมื่อเห็นทุกอย่างในบ้านเก่าแล้ว ฉันก็ลองผลักและดึงหน้าต่างที่ปิดสนิทอยู่ใกล้ ๆ ประตูบ้าน

    ตอนนี้ทั้งประตูกับหน้าต่างก็ล็อกไว้แน่นหนาหมด ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ก็เลือนรางสุด ๆ ไม่รู้จะหาทางออกได้ไหม

    “ปล่อยฉันออกไปนะ!”

    ดูเหมือนเงาคนภายนอกหน้าต่างจะไม่สนใจเสียงตะโกนและการทุบหน้าต่างเรียกของฉันเลยแม้แต่น้อย

    ฉันคงต้องหาวิธีออกไปจากบ้านเก่าของฉันเองสินะ ไม่แน่ว่าโต๊ะเครื่องแต่งหน้าอาจจะมีของที่พอจะใช้ได้บ้าง

    พอฉันก้มลงไปตรงตู้ฝั่งหนึ่งของโต๊ะเครื่องแต่งหน้าก็เจอรูปวาดแปะติดเอาไว้อยู่ ซึ่งเป็นรูปผู้หญิงแขวนตรงคานเสาสองต้นข้างต้นไม้ยักษ์

    ทำไมรูปใบนี้เหมือนในความฝันเลยล่ะ? ฉันเคยวาดตอนเด็ก ๆ ด้วยเหรอ? จำไม่เห็นได้เลยสักนิด

    ยิ่งฉันนึกถึงสมัยเด็กแค่ไหนยิ่งนึกไม่ออกซะทีก่อนที่จะเลิกคิดและกลับมาสนใจด้านบนของสิ่งที่ผ้าคลุมเอาไว้อยู่

    ฉันสูดลมหายใจเข้าสุดปอดแล้วทำการดึงผ้าคลุมสีแดงออกก็เห็นตัวเองสะท้อนในกระจกเก่า ๆ ที่มีรอยแตกแค่นั้นก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมา

    “คิดว่าจะเห็นอะไรน่ากลัว ๆ ในกระจกซะแล้ว คิดมากไปเองสินะเรา”

    ฉันระบายความคิดตัวเองออกมาก่อนที่จะเห็นว่าตู้อีกฝั่งล็อกด้วยรหัสบางอย่างเอาไว้อยู่ คงต้องหารหัสเพื่อเปิดมัน

    และฉันก็คงต้องเริ่มโฟกัสทุกอย่างรอบ ๆ บ้านเก่าของตัวเองแล้ว โดยที่หางตาฉันเหลือบไปเห็นประตูบานหนึ่งถูกบันไดพับบังเอาไว้อยู่

    ซึ่งอาจจะเป็นทางออกอีกทางก็ได้ พอฉันขยับบันไดพับออกก็เห็นว่าประตูล็อกอยู่น่าจะมีกุญแจซ่อนอยู่สักที่ในบ้านแน่ ๆ

    และเท่าที่ฉันจำได้ ไม่เคยเห็นประตูบานนี้เปิดเลยและไม่รู้ด้วยว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

    ในเมื่อฉันมีบันไดพับแล้วก็ขอดูกระดิ่งที่ห้อยอยู่บนเพดานสักหน่อยละกัน เพราะว่ารูปทรงกระดิ่งสะดุดตามาก และยิ่งได้ดูมันใกล้ ๆ แล้วเหมือนกระดิ่งของคนแปลก ๆ ที่ฉันเห็นในฝันเลย

    ฉันคิดว่าอาจจะเป็นกระดิ่งประจำหมู่บ้านก็ได้เลยทำให้ฉันฝันถึงมันและหมู่บ้านจางหลิงก่อนที่จะเลิกสนใจมันแล้วสำรวจตู้ข้าง ๆ ประตูที่ปิดอยู่เผื่อว่าจะเจอกุญแจ

    สายตาฉันก้มมองตู้ชั้นล่างที่ดูน่าสงสัยจากการติดกระดาษหนังสือพิมพ์และยันต์ลวดลายประหลาดที่ปิดผนึกแน่นเหมือนกำลังขังบางอย่างไว้ในนั้น

    ในตอนนี้คงเหลือแค่ลิ้นชักเหนือตู้น่าสงสัยเท่านั้นที่เปิดได้ และเก็บของที่อยู่ในนั้นไว้ในกระเป๋าสะพายหลังที่ฉันพกติดตัวมาด้วยตลอดทางเผื่อว่าจะมีประโยชน์ในเร็ว ๆ นี้

    ยังไม่ทันที่จะเดินกลับไปสำรวจต่อ หางตาฉันก็เหลือบไปเห็นสมุดเล่มหนึ่งอยู่ในกะละมังและดูเหมือนว่ามันจะเปียกน้ำด้วย เกิดเปิดอ่านทั้งแบบนี้คงขาดแน่ ต้องทำให้แห้งก่อน

    โชคดีที่มีเตาทำอาหารอยู่ใกล้ ๆ และของที่ฉันมีก็พอจะทำการอบสมุดเล่มนี้ให้แห้งได้ ฉันใส่ถ่านวางสมุดบนฝาไม้อะไรเรียบร้อยแล้วก็ทำการจุดไฟที่ถ่าน

    “แปลก…ถ่านก็ไม่ได้ชื้น ทำไมจุดไม่ติดล่ะ?” ฉันบ่นหลังจากที่พยายามจุดไฟแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าถ่านจะติดไฟเลย

    ฉันถอนหายใจยาวก่อนที่จะเงยมองขึ้นข้างบนเผื่อว่าจะมีของที่พอใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อีกก่อนที่จะเห็นข้อความบนโปสเตอร์รูปชายหญิงคู่หนึ่งตรงกำแพง

    ปู่เทพเตาไฟชอบตังเมหวาน ย่าเทพเตาไฟชอบเค้กพุทรา หากลืมเซ่นไหว้ปู่ย่า เตาไฟจะมอดดับสนิท

    “เทพเตาไฟไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย?”

    ฉันอ่านจบก็สงสัยขึ้นมาทันที และดูจากจานเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วก็คงต้องลองทำตามข้อความที่ว่าเอาไว้อาจจะช่วยได้จริงก็ได้

    ในตอนนี้ก็คงหาอาหารสำหรับเซ่นไหว้ปู่ย่า และตู้อาหารก็ไม่มีของสิ่งต้องการเลยสักอย่าง เรียกว่าไม่มีของกินอะไรเลยจะดีกว่า

    เหลือแค่ตู้วางทีวีและตู้โต๊ะเครื่องแป้งที่ล็อกไว้ยังตกสำรวจอยู่ และดูเหมือนว่าลิ้นชักตู้วางทีวีจะมีอาหารเซ่นไหว้ครบทุกอย่างแล้วก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงซ่าจากจอทีวีขึ้นมา

    ทันทีที่ฉันเงยหน้ามองทีวีก็พบกับหญิงสาวผมยาวก้มหน้าในชุดกี่เพ้ายืนอยู่ภายในจอและพอฉันหมุนเปลี่ยนช่องทีวี หญิงสาวคนนั้นเข้าใกล้หน้าจอขึ้นเรื่อย ๆ

    “เดี๋ยวนะ รู้สึกเหมือนผู้หญิงจะคลานออกมาจากทีวีเลย…อย่าคลานออกมาจริง ๆ หลังเราพูดจบเชียวนะ” ฉันพูดพลางมองหญิงสาวในชุดกี่เพ้าที่อยู่ใกล้ชิดจอมาก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ให้ตาย คงดูหนังผีมากเกินไปสินะเรา”

    เสียงถอนหายใจลากยาวกว่าตอนที่ส่องกระจกนั้นของฉันก็ดังออกมาก่อนที่จะนำของเซ่นไหว้ไปวางไว้ตรงจานเปล่าข้างหน้ารูปโปสเตอร์ให้เรียบร้อย

    พอเงยหน้าขึ้นมองรูปโปสเตอร์อีกครั้งเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป จำได้ว่าก่อนหน้านี้รูปปู่ย่าเตาไฟไม่ได้ยิ้ม ตาฝาดงั้นเหรอ? สงสัยจะฝันร้ายบ่อย จนนอนไม่พอเลยเบลอ ๆ มั้ง

    ในเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ฉันลองจุดไฟที่เตาอีกครั้งนึงและครั้งนี้ถ่านก็ติดไฟจนได้ ใช้เวลาไม่นานไอน้ำจากสมุดก็ค่อย ๆ ระเหยจนหมด

    “ไดอารี่แห้งสนิทแหละ อ่านหน่อยสิว่าเขียนอะไรบ้าง” ฉันหยิบสมุดขึ้นมาเปิดอ่านก็ต้องคิ้วขมวดทันที “ไอ๊หยา! อ่านไม่ออกสักตัวเลย เหมือนเขียนกลับด้านเลยนะเนี่ย”

    ฉันพูดจบก็เหมือนมีหลอดไฟคิดออกเด้งขึ้นเหนือหัวทันทีก่อนที่จะเดินตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้งและทำการเปิดหน้าสมุดส่องเข้าหากระจก

    จากที่ดูผ่านบานกระจกแล้วสมุดเล่มนี้คงเป็นไดอารี่ของแม่ไม่ผิดแน่ เพราะเหมือนลายมือแม่มาก เมื่อก่อนฉันเคยปลอมลายเซ็นแม่ในกระดาษข้อสอบอยู่

    เมื่อคืนฉันฝันร้าย

    ในความฝัน ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้, เสียงสั่นกระดิ่ง, หัวหุ่นกระบอกถูกฟันขาดและเชือกหุ่นกระบอกก็ขาดสะบั้น

    ฉันไม่รู้ว่าฝันพวกนี้จะเกี่ยวกับลูกสาวที่กำลังจะเกิดมาหรือเปล่านะ

    เขาว่ากันว่าการเขียนไดอารี่กลับด้านแบบนี้จะช่วยให้ฝันร้ายกลายเป็นดีได้

    แม่หวังว่าลูกจะเกิดมาแข็งแรงและปลอดภัยนะจ๊ะ

    นอกจากการเขียนเรื่องราวของแม่แล้วเหมือนว่าจะมีรหัสของตู้โต๊ะเครื่องแป้งที่ล็อกอยู่ด้วย ฉันใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายเก็บเอาไว้

    ทันทีที่ละสายตาจากโทรศัพท์มือถือขึ้นมองกระจกก็เห็นเงาสะท้อนตัวเองเป็นผู้หญิงใส่ชุดกี่เพ้าแวบหนึ่งเท่านั้นก่อนที่กระจกจะสะท้อนภาพของฉันและมีเกิดรอยแตกมากกว่าเดิม

    ฉันอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ก่อนที่จะก้มลงไปปลดล็อกรหัสตู้ที่ล็อก และในนั้นก็มีกุญแจวางเอาไว้อยู่

    ซึ่งไม่แน่ใจเลยว่ามันจะเป็นกุญแจที่ฉันต้องการหรือเปล่า แต่ก็ต้องลองเอาไปใช้ดู ทันทีที่ฉันลองใช้กุญแจปลดล็อกได้แล้วก็ผลักประตูบานนั้นออก

    แสงจากห้องโถงลอดผ่านประตูเข้ามาข้างในทำให้เห็นแค่ของบนตู้ข้าง ๆ ประตูเท่านั้น เหมือนว่าห้องหลังประตูจะไม่มีสวิตช์ไฟให้สว่างขึ้น

    ฉันหยิบตะเกียงที่อยู่ตรงชั้นวางตู้ออกมาแล้วเดินไปจุดไฟตรงเทียนที่อยู่บนโต๊ะห้องโถงก่อนที่จะถือเอาไว้กับตัวด้วย

    ตอนนี้ห้องที่ฉันไม่เคยสำรวจมาก่อนก็เริ่มสว่างขึ้น แต่ขนาดมีแสงจากตะเกียงพอให้เห็นข้างในแล้วก็ตาม มันก็ยังน่าขนลุกอยู่ดี

    สิ่งที่สะดุดตาของฉันคือร่มสองคันกางอยู่ตรงกลางห้องเก็บของ ฉันยื่นมือไปเพื่อที่จะหุบเก็บไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่ร่มคันหนึ่งจะหุบเองพร้อมกับเด็กผู้ชายวิ่งไปซ่อนตัวที่ร่มอีกคันที่กางอยู่

    ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยื่นมือไปหาร่มคันที่กางอยู่ก่อนที่มันจะหุบไปเองเหมือนร่มคันก่อน และสิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือเด็กผู้ชายและผู้หญิง

    ทันทีที่ฉันกะพริบตาลงเด็กทั้งสองคนก็หายไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งมองหารอบ ๆ ก็ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้องนี้กับฉันตั้งแต่แรกแล้ว

    “เด็กสองคนนั้นไปไหนแล้ว หรือว่า–” ฉันรีบปิดปากเงียบไม่เอ่ยสิ่งที่คิดเอาไว้ก่อนที่จะพยายามสนใจของในห้องแทน

    และสิ่งที่อยู่บนชั้นวางตรงที่ฉันหยิบตะเกียงออกมานั้นมีสมุดอีกเล่มหนึ่งวางอยู่ ขอถือวิสาสะเปิดอ่านหน่อยนะ

    วันที่ 15 เดือน 7 ปี 14 ฟ้าครึ้ม - วันเกิดปีนี้ของข้า เส้าผิงซื้อลิปสติกมามอบให้ ข้าชอบมันมาก และในปีหน้าวันเดียวกัน ข้าก็จักได้เป็นเจ้าสาวกระดาษแล้ว ข้าตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอวันนั้นให้มาถึงโดยเร็ว แม้ว่าข้าจักชอบแนวคิดของฝั่งตะวันตกที่เส้าผิงและท่านหนิงเล่าให้ฟังมากแค่ไหน หรือเรื่องราวจักน่าสนใจเท่าใด แต่ความศรัทธาของข้าที่มีต่อองค์โพธิสัตว์จักมิส่งผลกระทบให้สั่นคลอนแน่

    วันที่ 13 เดือน 11 ปี 14 ฟ้าครึ้ม - เส้าผิงชักชวนข้าหนีไปอีกครา ข้าปฏิเสธไป เพราะเป็นเรื่องมิควรอย่างยิ่ง ทุกคนในหมู่บ้านจางหลิงต่างรับใช้และภักดีต่อองค์โพธิสัตว์ตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามคนนอกก็มิมีวันเข้าใจกับความยิ่งใหญ่ขององค์โพธิสัตว์นั้นถูกแล้ว ข้ามิถือโทษโกรธเส้าผิงหรอก หรือบางทีเราสองก็มิควรพบกันอีกเลยจักดีเสียกว่า

    สมุดไดอารี่ของใครกัน? ดูจากปีที่เขียนก็นานมากเลย แถมมีรูปถ่ายขาวดำเก่า ๆ ที่ถูกฉีกหายไปครึ่งใบ ซึ่งคั่นหน้าสมุดเอาไว้อยู่อาจจะเป็นรูปเจ้าของสมุดเล่มนี้ก็ได้

    และสิ่งที่เหลืออยู่ในรูปก็คือผู้หญิงสวมชุดกี่เพ้าที่ใบหน้าของเธอ ซึ่งมีรอยฉีกขาดเกินกว่าที่จะมองออกว่าเป็นใครกันแน่ แต่ขอเก็บรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะคะ พี่สาว

    ส่วนสมุดไดอารี่เล่มนี้อยู่ที่นี่มานานแล้ว ถ้าเกิดเอาไปด้วยคงทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ฉันต้องหาทางออกก่อน

    ฉันเงยหน้าขึ้นไปสำรวจชั้นวางข้างบนก่อนที่จะเห็นช่องบางอย่างอยู่ตรงกำแพง พอแสงจากตะเกียงที่ฉันชูขึ้นเหนือหัวเรื่อย ๆ ก็เห็นเป็นแผ่นเพลงอยู่ในช่องนั้น

    ซึ่งดูเหมือนว่าแผ่นเพลงนี้คงจะสำคัญมากสินะ มันถึงได้ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิดขนาดนี้ก่อนที่ฉันจะหยิบออกมา

    และเมื่อถือเอาไปวางไว้ที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่อยู่สุดปลายห้องเก็บของ หางตาฉันเหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้าเครื่องเล่นพอดี

    “หมายถึงอะไรน่ะ? คงเป็นเนื้อเพลงมั้ง” ฉันพึมพำออกมาเมื่ออ่านคำที่เขียนค้างเอาไว้บนกระดาษก่อนที่จะลองใช้เครื่องเล่นแผ่นเพลง

    ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเด็กสาววัยรุ่น แต่ก็รู้วิธีการใช้งานของเครื่องเล่นแผ่นเสียงนี้อย่างดีเลย เพียงแค่วางแผ่นเพลงไว้ให้ตรงช่องและวางเข็ม

    สุดท้ายก็แค่หมุนคันโยกด้านข้างของเครื่องเล่นแผ่นเสียงและเพลงจะค่อย ๆ เริ่มบรรเลงออกมา

    เสียงดนตรีแบบนี้น่าจะเป็นเพลงเก่าสมัยหมินกั๋วหรือเปล่า? ทำไมรู้สึกคุ้นทำนองจัง จำไม่เห็นได้เลยว่าเคยได้ยินมาจากไหนมาก่อน

    แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอได้ฟังเพลงนี้ไม่ว่าจะเป็นทำนองหรือเสียงร้องเพลงของนักร้องสาวแล้ว ในใจรู้สึกเศร้าแปลก ๆ แต่ก็ต้องอินตามไม่ได้แล้ว

    เพราะแผ่นเพลงสะดุดจนเสียงเพี้ยนไปเยอะ แบบนี้คงฟังไม่จบเพลงซะที สงสัยถูกเก็บเอาไว้นานจนเสียหายหนักแน่ ๆ แต่ช่วงท่อนแรกฟังออกก็โอเคแล้ว

    ฉันฟังเพลงที่กำลังบรรเลงดังก้องไปทั่วทั้งห้องเก็บของพลางเขียนเนื้อร้องลงกระดาษที่ถูกเขียนทิ้งเอาไว้อยู่แล้ว

    ขุนเขาทอดยาว

    ไกลแสนไกล

    สาวน้อยขับขานเพลงยามเจ้าดวงใจ ไร้ข้างกาย

    เชยชมคู่ยวนยาง

    คล้ายสองเราเคียง

    ครองรักนิรันดร์ตราบชีวี

    ฉันมองตัวอักษรจีนที่ถูกปากกาแดงได้วงค้างเอาไว้ก่อนที่จะลองเอาไปใส่รหัสของประตูชั้นใต้ดินที่ฉันเห็นมาสักพักแล้วหลังจากเข้ามาในห้องเก็บของนี้

    ทันทีที่ประตูถูกปลดล็อกแล้วฉันก็ปีนบันไดไม้ลงไปยังชั้นใต้ดินที่เพิ่งรู้เหมือนกันว่าบ้านเกิดหลังนี้มีอยู่ด้วย ชั้นใต้ดินนั้นมีแต่ฟางหญ้าและเครื่องไม้เครื่องเก่า ๆ วางระเกะระกะอยู่

    บริเวณตรงพื้นห้องที่โล่งกว้างนี้ก็มีโถบางอย่างที่เหมือนโถเก็บอัฐิวางไว้ตรงกลางของยันต์แปดทิศ

    และบนโถมียันต์ติดไว้อยู่แถมมีเชือกพันรอบเอาไว้อีก มีอะไรน่ากลัวอยู่ข้างในหรือเปล่า? ยิ่งคิดยิ่งทำให้ความรู้สึกหวาดกลัววาบขึ้นสันหลังของฉันทันที

    พอฉันเงยหน้าขึ้นมองด้านบนเพดานชั้นใต้ดินก็เห็นกระดิ่งวางแขวนไว้อยู่เหมือนที่เห็นบนเพดานบ้านก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย

    ฉันรีบเดินเข้าไปหาประตูไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างรวดเร็วและพยายามปลอดล็อกประตูให้ได้ แต่ดูเหมือนว่ากลอนประตูจะผุเกินไป คงต้องหาอะไรมาพังล่ะมั้งเนี่ย

    และของในกระเป๋าสะพายหลังของฉันก็ดูไม่มีอะไรที่พอจะทำลายกลอนประตูได้เลยสักอย่าง ไม่แน่ว่าแท่นบูชาบางอย่างที่ฉันเพิ่งสังเกตเห็น

    ซึ่งมันตั้งอยู่ข้าง ๆ ประตูเลยก็ตามนั้นจะพอมีของใช้งานได้อยู่บ้าง ภายในแท่นบูชามีแต่หยากไย่เกาะเต็มไปหมด

    ไม่ว่าจะเป็นเทียนสีแดง, ยันต์บางอย่าง, มีดโกน, กรอบรูปว่างเปล่าตรงหน้าฉันหรือแม้แต่หนังสือที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้

    ปีหนึ่งในสมัยราชวงศ์ถัง หมู่บ้านแห่งนี้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่จากผีร้ายออกอาละวาด เมื่อคราวที่พระถังซัมจั๋งกลับจากชมพูทวีป ได้ผ่านมาที่แห่งนี้ แล้วสั่นกระดิ่งพร้อมร่ายคาถาขจัดผีร้ายทำให้โรคระบาดหายไป จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านจางหลิง

    พระถังซัมจั๋งมอบพระคัมภีร์ขององค์โพธิสัตว์ให้ ซึ่งคาถาพระคัมภีร์สามารถสะกดวิญญาณอาฆาตได้

    ใช้น้ำโสมหอมและน้ำหวานดอกกล้วยไม้สำหรับค่ายกลเชือกแดงเป็นเชือกขาว และแขวนกระดิ่งจั้งหลิงไว้ด้านบน

    โปรดระวัง หากเชือกขาวกลับกลายเป็นเชือกแดง ค่ายกลจะไม่เป็นผลอีกต่อไป

    “พระถังซัมจั๋งมาหมู่บ้านแปลก ๆ นี้ด้วยเหรอ? ไม่น่าจะใช่เรื่องจริงหรอกมั้ง” ฉันลองเปิดอ่านหนังสือตรงหน้าพร้อมทั้งแปลกใจกับข้อมูลในนั้น

    แต่ไหน ๆ ฉันก็ได้ของมีคมมาแล้ว คงอาจจะเปิดตู้น่าสงสัยที่เหลืออยู่และมันก็เป็นไปอย่างที่คิดเลย

    ฉันมองเข้าไปยังภายในชั้นล่างสุดของตู้ข้างประตูห้องเก็บของนั้นที่เคยถูกยันต์และกระดาษหนังสือพิมพ์ปิดผนึกเอาไว้

    มีลิปสติกสีแดงแท่งหนึ่งที่ดูจากลวดลายแล้วคงเป็นของเก่าแก่พอควร ซึ่งเปิดทิ้งไว้ถูกวางตั้งเด่นท่ามกลางกล่องเครื่องประดับขนาดเล็กและโหลที่ถูกปิดสนิท

    เท่าที่ฉันอ่านจากหนังสือเล่มบนแท่นบูชานั้นแล้ว ก็คงต้องใช้ลิปสติกแท่งนี้ในการทำลายค่ายกลของโถใบนั้น ถึงแม้ว่าจะกลัวก็ตาม

    ฉันค่อย ๆ ทาเชือกสีขาวบนยันต์แปดทิศด้วยลิปสติกที่ได้มา และเมื่อค่ายกลถูกย้อมเป็นสีแดงหมดแล้ว ไม่นานนักก็มีลมกระโชกแรงจนทำให้กระดิ่งบนเพดานเริ่มส่งเสียง

    ทันทีที่ฉันก้มลงไปดูยันต์แปดทิศตรงพื้นอีกครั้งก็ต้องรู้สึกขนลุกขึ้นมา มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย โถแตกเองได้ไงน่ะ?

    ยังไม่ทันที่ฉันจะหาต้นเหตุของเรื่องแปลก ๆ ที่เพิ่งเจอมาก็ก้มลงไปหยิบรูปถ่ายรูปหนึ่งที่มีร่องรอยถูกฉีกขาดหายไปครึ่งหนึ่งไม่ต่างจากหญิงสาวชุดกี่เพ้า

    ฉันเลยหยิบรูปเจ้าของไดอารี่ที่แอบอ่านไปก่อนหน้านี้ออกมาจากกระเป๋าสะพาย และเอามาประกบกับรูปชายหนุ่มสวมชุดงิ้วที่ตรงใบหน้าของเขานั้นเกิดรูทะลุไป

    และเมื่อฉันลองยกขึ้นเทียบกันดูดี ๆ แล้วเหมือนว่ารูปถ่ายหนุ่มสาวคู่นี้จะมีขนาดพอดีกับกรอบรูปบนแท่นบูชาเลย

    รูปถ่ายที่ถูกฉีกขาดได้กลับมาวางประกอบกันอย่างสมบูรณ์อีกครั้งบนกรอบรูปตรงหน้าฉันก่อนที่เงาของชายหนุ่มในรูปถ่ายนั้นจะขยับและเข้าใกล้ฉันเรื่อย ๆ โดยไร้หัว

    ภาพหุ่นเชิดไร้หัวถือดาบเพชฌฆาตปรากฏตรงหน้าฉันก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะฟันใส่ฉัน จนฉันต้องหลับตาสนิทด้วยความกลัว

    แล้วเมื่อฉันลืมตาขึ้นก็กลับพบว่าชายหนุ่มในรูปถ่ายได้หายไปแล้ว หรือว่าคนสวมชุดงิ้วถือดาบคนนั้นจะเป็นคนที่ฉันเคยในฝันถึงงั้นเหรอ?

    ข้อสงสัยเรื่องความฝันของฉันเกี่ยวกับที่นี่นั้น ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาก่อนที่ฉันจะเหลือบไปเห็นว่ามีบางอย่างโผล่ออกมาจากกำแพงแท่นบูชา นั่นมันดาบเพชฌฆาตเหรอ?

    ช่างมันก่อน ตอนนี้ฉันต้องดึงดาบตรงหน้าออกมาและค่อย ๆ ลากไปยังประตู เผื่อว่าจะทำลายกลอนประตูได้ แต่ดาบด้ามนี้หนักชะมัดเลย คงต้องออกแรงเยอะแล้วเรา

    ฉันพยายามยกดาบขึ้นเหนือหัวและออกแรงฟันประตูตรงหน้า ซึ่งโชคดีที่กลอนประตูไม้ไม่ได้แข็งแรงมากนักทำให้พังได้ภายในครั้งเดียว

    เสียงถอนหายใจลากยาวของฉันดังขึ้นมาพลางทิ้งดาบอันหนักอึ้งลงพื้นห้องแล้วทำการเดินออกมาจากบ้านได้สำเร็จ

    ซึ่งเหนื่อยมากเลยสำหรับเด็กสาวอย่างฉันที่กว่าจะออกมาได้ แต่ทำไมด้านหลังบ้านเก่าถึงมีทางลัดเข้าป่าได้ล่ะเนี่ย

    “เจ้าสาวกระดาษหนีมาทางนี้! จับเธอเร็ว!”

    “ไอ๊หยา! พวกนั้นเฝ้าแถวนี้ด้วย รู้ว่าตรงนี้เป็นทางออกด้วยเหรอ?”

    ฉันตกใจเสียงของชายจากไหนไม่รู้ที่ดังขึ้นมาก่อนที่ฉันจะรีบวิ่งสุดแรงเท่าที่ทำได้ แต่ยิ่งวิ่งไปทางไหนก็ยิ่งเห็นคนถือคบเพลิงกำลังขวางทางหนีอยู่

    วงล้อมของเหล่าชาวบ้านก็เริ่มบีบเข้าเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดเส้นทางหนีทั้งหมดก็ถูกปิดอย่างสมบูรณ์จนได้

    “ช่วยด้วย! มีคนจะลักพาตัวฉัน!” ฉันพยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ

    แต่ดูเหมือนไม่มีใครสนใจคำพูดของฉันเลยสักนิดก่อนที่ความมืดมิดจะเข้าปกคลุมฉันอย่างรวดเร็ว โดยถุงดำที่คลุมหัวหลังจากที่ฉันถูกมัดมือไปแล้ว

    “ปล่อยฉันนะ! จะพาฉันไปไหน? ฉันแจ้งตำรวจแล้ว ปล่อยตอนนี้ยังทันนะ!”

    ฉันทั้งดิ้นสู้หรือแม้กระทั่งขู่ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับเหมือนก่อนหน้านั้น ฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นกำลังถูกแขวนไว้ที่ใดสักแห่ง

    หลังจากนั้นถุงดำที่คลุมหัวฉันอยู่นั้นก็ถูกดึงออก ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนที่จะมองสิ่งรอบข้างตัวเอง

    ทุกอย่างตรงหน้าฉันเหมือนความฝันมาก ไม่ว่าจะเป็นหญิงชายต่างวัยพากันที่ยืนล้อมรอบฉันหรือแม้แต่คนแต่งตัวแปลกประหลาดถือกระดิ่งยืนเด่นท่ามกลางชาวบ้าน

    “ไอ๊หยา! อะไรเนี่ย? ฉันฝันร้ายอยู่เหรอ?”

    “ท่านหมอผี เจ้าสาวกระดาษมาถึงแล้ว” เสียงหนึ่งในชาวบ้านดังขึ้นมา

    “ดี ดีมาก ใกล้เวลาฤกษ์งามยามดีแล้ว มาทันเวลาพอดี”

    “ฉันจำเสียงได้ ลุงผู้ใหญ่บ้าน! ลุงจับฉันมาทำไม?”

    “ข้าคือหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ส่งสารทวยเทพ และเจ้าคือเจ้าสาวกระดาษ วันนี้เป็นวันมงคลที่จะส่งเจ้าไปรับใช้องค์โพธิสัตว์”

    “หมอผี? เจ้าสาวกระดาษ? บ้าป้ะเนี่ย?” ฉันพูดทวนคำแปลกประหลาดจากคนตรงหน้า “ปล่อยนะ! ตำรวจกำลังจะมา ฉันได้ยินไซเรนตำรวจแล้ว”

    “ถึงเวลาแล้ว ส่งตัวเจ้าสาวกระดาษได้!”

    คนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอผีผู้ยิ่งใหญ่พูดขึ้นมา โดยที่ไม่สนใจสิ่งที่ฉันอุตส่าห์ข่มขู่เลยแม้แต่น้อยก่อนที่เสียงของเหล่าชาวบ้านรอบ ๆ จะพูดประโยคเดียวกันกับเขาอีกครั้ง

    จู่ ๆ ก็มีหุ่นเชิดสวมชุดงิ้วมายืนอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมกับดาบเพชฌฆาตในมือก่อนที่หัวของหุ่นเชิดตัวนั้นจะหลุดออกมาต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    “นักรบอาฆาต! นักรบอาฆาตจะมาตัดหัวพวกเรา!”

    ทันทีที่ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนบอกสิ่งที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ผู้คนที่ยืนล้อมมากมายก่อนหน้านี้ก็ต่างเริ่มวิ่งไปคนละทิศคนละทางด้วยท่าทางแตกตื่น

    “ฟ้าไม่สงบ โลกามืดหม่น โพธิสัตว์หกกรสยบวิญญาณร้าย” เสียงของหมอผีดังขึ้นพร้อมเสียงกระดิ่งก่อนที่หุ่นเชิดตรงหน้าฉันจะหายไป “ข้าขับไล่นักรบอาฆาตไปแล้ว กลับมา! พวกเจ้าขลาดเขลาเช่นนี้ จะรับใช้องค์โพธิสัตว์ได้อย่างไรกัน?”

    “พิธีกรรมเริ่มแล้ว แต่ทำไมนักรบอาฆาตออกอาละวาดได้ล่ะ? พวกเราทำขั้นตอนผิดทำให้ท่านโกรธหรือเปล่า?” หนึ่งในชาวบ้านถามขึ้นมาในระหว่างที่แต่ละคนจะกลับมารวมกลุ่มอีกครั้ง

    “ใจเย็น พวกเราไปสักการะท่านดูเสียก่อน”

    เมื่อหมอผีที่ยืนอยู่ที่เดิมนั้นบอก ชาวบ้านผู้ชายสองคนก็แก้มัดเชือกให้ฉัน แต่ไม่ได้ถือว่าปล่อยฉันเป็นอิสระเต็มที่

    เพราะพวกเขาทั้งล็อกแขนทั้งคลุมหัวฉันเหมือนเดิม เพื่อไม่ให้ดิ้นสู้ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงของทุกคนที่เริ่มเดินขบวนไปยังที่ที่หนึ่ง

    เมื่อมาถึง ถุงคลุมสีดำก็ถูกดึงออกทำให้ฉันเห็นว่ารอบ ๆ ตัวรายล้อมไปด้วยเหล่าชาวบ้านที่ยืนมองรูปปั้นหกแขนไร้หัวตรงหน้า

    “เศียรเทวรูปหายไปไหน? นักรบอาฆาตไม่ได้ต้องการแค่ตัดหัวพวกเรา แต่ยังกล้าตัดเศียรเทวรูปองค์โพธิสัตว์ด้วยงั้นเหรอ?” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา

    “เมื่อวันสารทจีนปีที่แล้ว เศียรเทวรูปก็ตกอยู่ที่พื้นไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่า? หมู่บ้านเรากำลังมีเคราะห์ใช่ไหม?”

    คำถามตื่นตระหนกของชาวบ้านอีกคนก็พูดออกมา ทำเอาเสียงซุบซิบด้วยท่าทีหวาดกลัวจากหลากหลายคนก็ดังไปทั่วศาลาไม้เก่า ๆ แห่งนี้

    “นี่-ก็คือ-ส-สัญญาณขององค์โพธิสัตว์ต่างหาก” คำพูดตะกุกตะกักของหมอผีที่อยู่ด้านหน้าฉัน มันฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่เลย “ท่านบอกว่าพวกเรารีบเร่งเกินไป ควรจัดงานเลี้ยงหนึ่งวันก่อนส่งตัวเจ้าสาวกระดาษ”

    “อ๋อ! หมายถึงแบบนี้นี่เอง พวกเราจะรีบเตรียมงานเลี้ยงให้ทันทีเลย”

    แต่กลับกลายเป็นว่าพวกชาวบ้านดันเชื่อไปซะได้ ฉันได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดตรงหน้าก่อนที่พวกเขาจะพาฉันลงจากศาลาตามหลังหมอผีไป

    พอหมอผีจอมหลอกลวงคนนั้นเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าแท่นหินกระดานหมากรุก เขาก็ทำการสั่นกระดิ่งและพึมพำคาถาบางอย่างก่อนที่กระดานนั้นจะเลื่อนลงเป็นบันไดลงไปใต้ดิน

    “พาตัวเจ้าสาวกระดาษลงไปไว้ที่วังจั้งกงก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าจะเริ่มจัดงานแต่ง”

    “ในวังจั้งกงมีเด็กหยินเฝ้าอยู่ เธอหนีไปไหนไม่รอดหรอก”

    ทันทีที่ชาวบ้านที่ฉันจับอยู่พูดจบ เขาก็แก้มัดและผลักฉันให้เดินลงบันไดห้องลับใต้ดินอย่างแรง และเมื่อฉันหันกลับไปมองทางที่เพิ่งเดินผ่านประตูหินจะเลื่อนปิดสนิทไปแล้ว


    «บทที่สอง วาสนาหยิน»

    ​“โอ๊ย! มันอันตรายนะรู้ไหม ผลักลงมาแบบนั้นน่ะ!”

    ฉันตะโกนต่อว่าไล่หลังก่อนที่จะมองรอบตัวเพื่อสำรวจว่าฉันอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย? ส่วนมือถือ…เฮ้อ ก็ยังไม่มีสัญญาณเหมือนเดิม

    และพอมองไปตรงประตูหินดี ๆ แล้วก็เจอกับรูปปั้นเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงยืนเฝ้าคนละฝั่งอยู่ แต่ทำไมรูปปั้นเด็กสองคนนี้ถึงเหมือนที่เราเจอในห้องเก็บของเลยล่ะเนี่ย?

    ยิ่งได้มองยิ่งน่ากลัว เหมือนว่ารูปปั้นเด็กกำลังจ้องฉันอยู่ตลอดเลย ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกนะ ลองเดินดูรอบ ๆ ดีกว่าเผื่อจะมีทางออก

    แล้วของที่พอจะหาเป็นอาวุธป้องกันได้ก็ไม่มีเลย เจอแค่แผ่นหินบางอย่างกับเทียนไขในลิ้นชักโต๊ะที่เห็นเท่านั้นเอง

    แต่แล้วหางตาฉันก็เหลือบไปสะดุดตากับผีเสื้อตัวหนึ่งที่สีสันและลวดลายโดดเด่นมาภายในห้องใต้ดินแห่งนี้ พอฉันเข้าไปใกล้ มันก็ไม่มีท่าทีกลัวเลย

    แถมยังเกาะอยู่ตรงเศษผ้าสีแดงเหมือนเดิมด้วยก่อนที่ฉันจะเหลือบไปเห็นก้อนบล็อกหินใกล้ ๆ แง้มอยู่ แต่ร่องมันเล็กเกินไป ถ้าเล็บฉันยาวกว่านี้อีกหน่อยน่าจะพอเอาออกมาได้นะ

    ส่วนผีเสื้อตัวนั้นเป็นผีเสื้ออะไรกันนะ? ทำไมลวดลายถึงไม่คุ้นตาเลย แล้วยิ่งพยายามจับเท่าไหร่ มันก็หลบได้ทุกครั้งอีก คงต้องปล่อยมันไปก่อนแล้วตั้งใจหาทางออกดีกว่า

    ดูเหมือนว่าวังจั้งกงที่หมอผีและพวกชาวบ้านจะเป็นถ้ำใต้ดินที่ถูกก่อกำแพงหินรอบ ๆ นะ ทั้งระหว่างกับสุดปลายทางอีกฝั่งจะมีแสงไฟจากคบเพลิงด้วย

    ในระหว่างที่ฉันเดินไปยังอีกฝั่งของประตูหินก็ต้องสะดุ้งกับเสียงสั่นกระดิ่ง ซึ่งดังมาจากหนึ่งในรูปปั้นคนนั่งทำสมาธิที่ประดับอยู่ระหว่างทาง จนฉันต้องหยุดเดินและหันไปเพ่งมองต้นเสียงดี ๆ

    “ไอ๊หยา! คนจริง ๆ เหรอ? นึกว่ารูปปั้น”

    เจ้าของเสียงกระดิ่งลืมตาพลางหัวเราะออกมา “เจ้าคงเป็นเถาเมิ่งเยียนสินะ? ในที่สุดเจ้าก็กลับมาซะที”

    “อะไรน่ะ? รู้จักฉันด้วยเหรอ?”

    “แน่นอน เมื่อก่อนข้าเคยอุ้มเจ้าด้วย โตเป็นสาวแล้วหน้าตาไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

    “ทำไมพูดเหมือนคนนั้นเลยล่ะ? ฉันกลัวแล้วนะ คุณเป็นใครกันแน่เนี่ย?”

    “ข้าคือหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ส่งสารทวยเทพ ส่วนเจ้าก็คือเจ้าสาวกระดาษ”

    “ห้ะ? หมอผีอีกคนเหรอ? มาจากโรงงานเดียวกันป้ะเนี่ย?” ฉันเริ่มสงสัย เพราะคำพูดของเขาเหมือนกันทุกอย่างเลย

    “องค์โพธิสัตว์มีพันพักตร์พันโอษฐ์ เจ้าดูที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนต่างเป็นหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น ตัวข้าก็ฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่”

    ชายชราใต้ชุดนักบวชบอกก่อนที่ฉันจะหันไปมองข้าง ๆ เขา ดีที่พวกนั้นเป็นรูปปั้นจริง ๆ ตอนมองครั้งแรกก็มีตกใจบ้าง นึกว่าเป็นมัมมี่ซะอีก

    ถึงเขาที่อ้างว่าตัวเองเป็นหมอผีคนนี้จะแปลก ๆ ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขวางทางฉัน ถ้างั้นไม่ต้องไปสนใจดีกว่า ที่สำคัญในตอนนี้คือหาทางออกไปจากที่นี่

    แต่ทันทีที่ฉันจะเดินก้าวเท้าหนีก็เกือบต้องล้มลงกับพื้น เพราะตรงหน้าเป็นพื้นต่างระดับที่ฉันไม่ทันได้สังเกต และพอได้มองดี ๆ แล้ว

    มันเป็นหลุมสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พร้อมทั้งมีกำแพงบ้านตีล้อม ด้านหน้าประตูก็มีเกี้ยวยกและรูปปั้นดินเผารูปร่างคนขนาดเล็ก ซึ่งมีรูปปั้นตัวหนึ่งนอนหงายโดยมีเข็มบางอย่างปักเอาไว้อยู่

    “รูปปั้นดินเผาจิ๋วกับโมเดลบ้านพวกนี้คืออะไรน่ะ? ดูน่าขนลุกจัง”

    “บ้านปรภพและรูปปั้นข้ารับใช้ หากผู้กระทำผิดบาปล่วงลับไปแล้ว ชื่อและดวงชะตาจะถูกสลักลงรูปปั้นดินเผาพวกนี้ ทำให้กักขังดวงวิญญาณไว้ได้เพื่อคอยรับใช้หมอผีผู้ยิ่งใหญ่ชั่วกาล”

    หมอผีชราคนเดิมก็ตอบคำถามของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้มีแต่ประเพณีแปลก ๆ ทั้งนั้นเลย

    เอาเป็นว่าอย่าสนใจเขาดีกว่า ขอดูหน่อยว่าจะเอาอะไรไปใช้ได้บ้างนะ อย่างของในเกี้ยวยกนี้ก็มีแผ่นหินเหมือนเคยเจอก่อนหน้านี้อีกชิ้นหนึ่ง, กล่องตลับเปล่า และเข็มที่จิ้มรูปปั้นนั้นก็น่าจะได้ใช้

    ทันทีที่ฉันดึงเข็มออกมา รูปปั้นดินเผาจิ๋วตัวนั้นก็พุ่งเข้าหาฉันอย่างเร็วก่อนที่มันจะหายไป ถึงจะทำให้ฉันตกใจก็ตาม

    แต่ฉันคงเครียดมากไปเอง จนเห็นภาพหลอน มันอาจจะเป็นแบบนั้นแหละ ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ เลย

    ถึงมันจะเป็นการหลอกตัวเองก็เถอะ แต่ยังไงฉันก็เชื่อว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็แค่หลอนไปเอง เราต้องไม่กลัว!

    พอรวบรวมความกล้ากลับมาอีกครั้งเสร็จก็เก็บของใส่กระเป๋าเป้คู่ใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรก

    พื้นที่อีกฝั่งของวังจั้งกงแห่งนี้ก็เหมือนว่าจะมีห้องอยู่สามห้อง ซึ่งประตูหินสองบานแรกอยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนบานสุดท้ายอยู่สุดทางเดิน

    ซึ่งห้องแรกที่อยู่ใกล้ฉันก็ดูเหมือนว่าถูกถล่มมานาน จนต้นหญ้าขึ้นตามก้อนดินที่ล้นออกมาจากปากประตูห้อง

    และก่อนที่ฉันจะไปสำรวจอีกห้องก็ลองดูแผ่นหินทรงกลมสองอันที่ตั้งอยู่กลางทางเดินก่อน โดยที่แผ่นหินอันแรกอยู่ด้านหน้าห้องที่ถูกถล่ม

    แผ่นหินอีกอันตั้งอยู่ระหว่างประตูฝั่งซ้ายทั้งสองบานพร้อมทั้งมีแผ่นจารึกที่สลักบางอย่างเอาไว้ด้วย

    ฮวงจุ้ยภายนอกหมู่บ้านที่ยุ่งเหยิง พลังหยินหยางตัดผ่าน เหมาะสมกับการสร้างหอคอยมอบแก่องค์โพธิสัตว์ ข้าแกะสลักหินขึ้นมาเพื่อเป็นแบบจำลองการสร้าง พร้อมทั้งเซ่นไหว้ข้ารับใช้หกคนสำหรับดูแลที่นี่ เพื่อเป็นการขอให้องค์โพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านของพวกเราตลอดไป

    “หอคอยที่ว่าอยู่ไหนเนี่ย? ไม่เห็นจะมีตึกอะไรสูง ๆ แถวหมู่บ้านเลยสักอัน”

    ฉันบ่นออกมาหลังอ่านจบก่อนที่จะเหลือบไปเห็นเบาะแสมุมบนแผ่นจารึกที่กำลังอ่านอยู่ ซึ่งเป็นการสลักที่แตกต่างออกไป

    มันอาจจะเป็นเบาะแสบางอย่าง และยิ่งได้หันไปดูแผ่นหินทรงกลมที่อยู่ข้าง ๆ แล้วก็พอเดาได้ว่าเกี่ยวข้องกัน

    โดยแผ่นหินทรงกลมนี้คือเข็มทิศฮวงจุ้ยที่ขาดเข็มไปนั้นเอง และถ้าเดาไม่ผิดเข็มที่ฉันเพิ่งได้ว่าก็น่าจะใช่

    ทันทีที่ฉันยื่นเข็มไปใกล้ มันก็ดูดติดกับหมุดตรงกลางวงเข็มทิศพร้อมทั้งหมุนชี้คำรอบ ๆ ซ้ำไปมา เมื่อฉันจำคำใบ้ได้ก็มองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่ที่ใส่รหัส

    และแผ่นหินทรงกลมที่เหลืออยู่ด้านหน้าห้องถูกถล่มก็มีตัวอักษรเดียวกันกับเข็มทิศ ปุ่มของกลไกก็ขยับตามรหัสที่ฉันได้มาก่อนที่ช่องลับตรงกลางแผ่นหินทรงกลมจะเปิดออก

    ตกลงว่ามันปลดล็อกแบบนี้จริง ๆ ดิ? ทำไมถึงสลักเบาะแสบนแผ่นหินชัดขนาดนั้นกันนะ? ไม่รอบคอบเอาซะเลย

    โมเดลหอคอยหกชั้นขนาดเล็กที่แผ่นจารึกนั้นว่าเอาไว้ก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ฉันหยิบค้อนที่อยู่ด้านบนสุดมาเป็นอาวุธป้องกันตัวก่อนที่จะมองโมเดลหอคอยตรงหน้าด้วยความสงสัย

    “หอคอยนี้สร้างแปลกจัง เหมือนกลับด้านเลย ด้านบนใหญ่ แล้วด้านล่างเล็ก”

    แต่นั้นก็คงไม่ได้คำตอบอะไรก่อนที่จะได้เวลาไปที่อื่นต่อ อยู่ ๆ ฉันก็ต้องสะดุดตาตรงกำแพงระหว่างทางไปห้องที่ฉันตั้งใจจะไป

    “คำบางคำ ก็ไม่รู้จักแฮะเรา” ฉันพูดขึ้นมาเมื่อไล่สายตามองตัวอักษรจีนมากมายบนกำแพงก่อนที่จะเลิกสนใจพวกมัน

    ประตูหินบานที่สองเป็นรูปหยินหยางพร้อมกับสัญลักษณ์แปดทิศ แต่ดูเหมือนว่ามีสัญลักษณ์บางส่วนนั้นเป็นช่องว่างพอดีกับแผ่นหินที่ฉันหยิบติดตัวมาด้วยเลย

    และเมื่อใส่แผ่นหินที่ได้มาทั้งสองชิ้นจนครบประตูหินตรงหน้าฉันก็เปิดออก ภายในห้องเหมือนเป็นห้องสำหรับเก็บสมุดตำรามากมาย

    ซึ่งเข้าทางฉันเลย หนอนหนังสืออย่างฉันอ่านทั้งห้องนี้ให้เข้าใจได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยมั้งเนี่ย แต่เหมือนว่าจะมีแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้นที่พอจะสามารถสัมผัสแล้วไม่สลายกลายเป็นฝุ่นไปซะก่อน

    ถ้าอย่างนั้นอ่านจากฝั่งขวาไปซ้ายละกัน โดยเริ่มจากหนังสือปกสีแดงดู ซึ่งหน้าปกเขียนถึงวังจั้งกง

    พระคัมภีร์ฉบับจริงถูกเก็บซ่อนไว้ในหอคอยหกกร ส่วนหอเก็บคัมภีร์ในวังจั้งกงถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บฉบับคัดลอกและตำราอื่น ๆ ตามหลักฮวงจุ้ย หอเก็บคัมภีร์สร้างตรงทิศใต้ของวังจั้งกง และแขวนกระจกแปดทิศไว้กำแพงทิศใต้

    สามหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการโปรดสัตว์ขององค์โพธิสัตว์และได้ละสังขาร ณ วังจั้งกงแห่งนี้ พวกท่านได้คอยรับใช้องค์โพธิสัตว์ต่อบนสรวงสวรรค์ ทั้งสามถูกจดจำไว้ ณ ที่นี้

    หมอผีผู้ยิ่งใหญ่คนที่หนึ่ง เกิดปีมะโรง เดือนขาล วันชวด ยามโหย่ว ดวงจิตโควิเศษ

    หมอผีผู้ยิ่งใหญ่คนที่สอง เกิดปีขาล เดือนมะเมีย วันกุน ยามอิ๋น ดวงจิตนกศักดิ์สิทธิ์

    หมอผีผู้ยิ่งใหญ่คนที่สาม เกิดปีฉลู เดือนมะแม วันมะโรง ยามซวี ดวงจิตเต่าทมิฬ

    พอฉันอ่านจบก็วางคืนที่เดิมแล้วอ่านเล่มอื่น ๆ อีกก่อนที่จะเจอหนังสือฝั่งซ้ายที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มแรกที่ฉันอ่าน

    จำเป็นต้องคำนวณหยินหยางของช่วงเวลาตกฟาก ซึ่งอ้างอิงถึงเลขคู่เลขคี่เป็นหลักดังนี้

    ชวด (ยามจื่อ), ขาล (ยามอิ๋น), มะโรง (ยามเฉิน), มะเมีย (ยามอู่), วอก (ยามเซิน) และจอ (ยามซวี) คือ หยาง [ขาว]

    ฉลู (ยามโฉ่ว), เถาะ (ยามเหมา), มะเส็ง (ยามซื่อ), มะแม (ยามเว่ย), ระกา (ยามโหย่ว) และกุน (ยามไฮ่) คือ หยิน [ดำ]

    พอได้เบาะแสมาครบทุกอย่างแล้วก็ได้เวลาหาจุดที่ต้องแก้ปริศนา ซึ่งที่แค่โต๊ะที่อยู่มุมตรงข้ามกับประตูเท่านั้นที่ฉันยังไม่ได้สำรวจ และกลายเป็นว่าเจอกลไกที่ต้องการจนได้

    ลิ้นชักชั้นแรกของโต๊ะถูกเปิดออกอย่างง่ายดายก่อนที่ฉันจะได้ภาพวาดโพธิสัตว์หกแขนที่พวกชาวบ้านต่างนับถือกัน ถือฉันจะไม่ได้เหมือนพวกเขา แต่บางทีมันอาจจะพอมีประโยชน์ก็ได้

    และดูเหมือนว่าฉันยังเหลือหนังสือเล่มสุดท้ายที่ยังไม่ได้อ่าน แค่อ่านชื่อหนังสือผ่าน ๆ ที่เขียนว่าพิธีเซ่นไหว้ ก็รู้ได้เลยว่าเป็นหนึ่งในประเพณีแปลก ๆ ของหมู่บ้านแน่นอน

    นานมาแล้ว เมื่อพระถังซัมจั๋งเดินทางกลับมาจากชมพูทวีปก็ได้เผชิญภยันตรายมากมาย แต่โชคยังเข้าข้างอยู่ที่ได้พบองค์โพธิสัตว์หกกรปกป้องคุ้มครองตลอดเส้นทางอย่างปลอดภัย หมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่พลังหยินหยางทั้งหกบรรจบกัน องค์โพธิสัตว์จึงได้สถิต ณ ที่นี้ เพื่อโปรดสัตว์ทั้งปวง

    คราวโรคระบาดครั้งใหญ่ หมอผีผู้ยิ่งใหญ่ได้สังเวยเด็กน้อยสองคน เพื่อคอยรับใช้องค์โพธิสัตว์และลงโทษผู้ลบหลู่องค์โพธิสัตว์ จงมอบของเล่นให้เหล่าเด็กหยิน เด็กชายชอบดาบ เด็กหญิงชอบของที่ส่งเสียงได้

    ถ้าเกิดว่าวิธีการเปิดประตูหินที่ส่งฉันมาที่นี่ได้จากการเซ่นไหว้รูปปั้นเด็กหยินทั้งสองคนนั้นล่ะ? มันอาจจะดูงมงายไปหน่อย แต่ไม่ลองไม่รู้

    ก่อนหน้านี้ฉันเหมือนเห็นดาบไม้ในมือรูปปั้นนักบวชที่อยู่ข้าง ๆ หมอผีชราคนนั้น หวังว่าเขาจะไม่หวงอะไรกับแค่ดาบไม้ของเล่นหรอกนะ

    “เจ้าช่างเป็นเจ้าสาวกระดาษที่เฉลียวฉลาดนัก ไม่นานก็เข้าสู่หอเก็บพระคัมภีร์ได้สำเร็จแล้ว” หมอผีชราพูดขึ้นมาเมื่อเห็นฉันเดินตรงไปหาเขา

    “คุณนับถืออะไรยุ่งยากชะมัดเลย ที่นี่มีลัทธิและก็ประเพณีเยอะแยะเต็มไปหมด ไหนจะโพธิสัตว์หกแขนนั้นอีก”

    “อย่าเรียกท่านแบบนั้น เจ้าต้องเรียกว่าองค์โพธิสัตว์หกกรต่างหาก ท่านมีพลังอำนาจครอบจักรวาล และยังชำนาญมนต์คาถาทุกสิ่งทุกอย่าง”

    “มีพลังอำนาจครอบจักรวาลอะไรที่ไหนกัน บ้ากันไปหมดแล้ว ตอนแรกผู้ใหญ่บ้านบอกว่าวันนี้ฤกษ์ดี แล้วบอกให้จัดงานเลี้ยงก่อน โกหกทั้งเพ ตั้งใจต้มตุ๋นชาวบ้านชัด ๆ”

    “เจ้านั้นมีพลังไม่พอ ยังไม่คู่ควรกับการเป็นหมอผีผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ เลย ตอนที่ข้ายังเป็นหมอผีผู้ยิ่งใหญ่อยู่–”

    ไม่อยากฟังการรื้อฟื้นความหลังของชายชราที่ทำตัวเป็นนักบวชแบบนี้แล้วอ่ะ รีบทำอะไรให้เสร็จจะได้หาทางออกไปได้สักที

    พอฉันโฟกัสไปที่ดาบไม้ของรูปปั้นนักบวชใกล้ ๆ พร้อมทั้งพยายามดึงมันออกมาจากมือรูปปั้น แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออกมาเลย

    “ท่านคืออดีตหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ หากต้องการสิ่งของต้องเซ่นไหว้ท่านก่อน พิธีเซ่นไหว้เขียนอยู่ในคัมภีร์นั้นแล้ว เจ้าลองอ่านดู”

    “น่าสงสัยชะมัด หลอกฉันป้ะเนี่ย?” ฉันหยุดคว้าดาบไม้พลางถามคนที่อยู่ข้าง ๆ รูปปั้น

    ชายชราหัวเราะออกมา “เจ้าสาวกระดาษ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร”

    บอกก็บอกไม่หมด จะให้ฉันทำให้ล่ะสิ แต่ถึงจะสงสัยแค่ไหนก็ตาม ยังไงฉันก็ลองทำดูก่อน ซึ่งของที่เขาบอกก็น่าจะเป็นพิธีเซ่นไหว้บางอย่างตั้งอยู่ตรงหน้ารูปปั้นถือดาบไม้

    มีม้วนไผ่เปิดค้างเอาไว้ น่าจะเป็นขั้นตอนการทำพิธีที่ว่าก่อนที่ฉันจะนั่งลงไปอ่านเพื่อทำความเข้าใจ

    ใช้ทองแดงหยินหยางในการสร้างเตาหลอม โดยใส่ดอกไม้หยินหยาง, ดินจากทิศใต้และน้ำไร้ราก จากนั้นใช้ไฟหมอผีผู้ยิ่งใหญ่เพื่อจุดธูปขององค์โพธิสัตว์

    ต้องต้มน้ำ, ดินและดอกไม้หยินหยางด้วยกันหรือเปล่านะ? แล้วที่ต้องใช้ไฟหมอผีในการจุดคืออะไรล่ะ? หรือแค่ใช้ไฟที่หมอผีจุด? ถ้างั้นคงใช้ไฟจากคบเพลิงข้าง ๆ หมอผีชราคนนั้นได้สินะ

    “เจ้าสาวกระดาษ เจ้าได้จุดไฟหมอผีผู้ยิ่งใหญ่แล้ว”

    “ตอนทำเองพูดแบบนี้ด้วยไหมเนี่ย? ก็แค่จะจุดเทียนธรรมดา” ฉันถามหลังจากที่จุดเทียนเสร็จแล้ว

    “แต่เทียนนั้นเป็นร่างจำแลงของหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ที่ละสังขารไปแล้ว การจุดไฟเปรียบเหมือนไฟอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์โพธิสัตว์”

    เขาหมายถึงอะไรน่ะ? หรือว่าเทียนเล่มนี้เป็น… เอาล่ะ ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง เถาเมิ่งเยียน แต่เพื่อความสบายใจ รีบ ๆ วางมันไว้ใต้หม้อต้มดีกว่า

    “เรียกเจ้าสาวกระดาษอยู่นั่นแหละ มันเกี่ยวอะไรกับฉันงั้นเหรอ?”

    “เพราะเจ้าคือเจ้าสาวกระดาษ ชาติก่อนไม่ได้ทำหน้าที่ของตน ทำให้เจ้ากลับมาเกิดใหม่ชาตินี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะออกไปแล้ว สุดท้ายก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง ข้าเคยทำนายไว้เมื่อนานมาแล้ว”

    หมอผีชราพูดจบก็หัวเราะทันทีก่อนที่ฉันจะจับใจความประโยคจากเขาที่ทำให้โมโหขึ้นมา เพราะเข้าใจเหตุผลกับสิ่งที่ฉันต้องเจอมาก่อนหน้านี้แล้ว

    “คุณ? ทำนายไว้? พูดไร้สาระให้พวกชาวบ้านเชื่อว่าฉันคือเจ้าสาวกระดาษเนี่ยนะ?”

    “มันคือโชคชะตา ข้าบอกว่าเจ้าจะกลับมาในวันนั้น เจ้าก็มา มันเป็นความจริง” เขาพูดพลางหัวเราะไปด้วย

    ยิ่งได้ฟังเขาพูดก็รู้สึกได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีแต่พวกเพี้ยน ๆ ฉันควรเลิกสนใจเขาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ดีกว่า

    ภายในห้องสมุดนั้นน่าจะเหลือของไม่กี่อย่างที่ตกสำรวจไป โดยเฉพาะโต๊ะที่ฉันเพิ่งเปิดลิ้นชักไปแค่ชั้นเดียวเอง

    มีเศษกระดาษลวดลายดาวอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีการลากเส้นเป็นกลุ่มดาวซื่อซะด้วยก่อนที่ฉันจะเก็บเอาไว้ เผื่อว่าจะได้ใช้ประโยชน์อะไรสักอย่าง

    กลุ่มดาวซื่อ

    室 [Shì] หนึ่งในกลุ่มดาวนักษัตรของจีน อยู่ในทิศเหนือที่เทพเต่าทมิฬประจำอยู่

    ตอนนี้ก็น่าจะเหลือประตูบานสุดท้ายแล้ว พอฉันเดินตรงไปที่จุดหมายก็เห็นดวงดาวมากมายและตำแหน่งเหมือนในเศษกระดาษที่ฉันเจอก่อนหน้านี้เลย

    ฉันกดปุ่มกลไกของตำแหน่งดาวตามกลุ่มดาวคำใบ้ก่อนที่ประตูหินตรงหน้าฉันจะเลื่อนออกเมื่อดาวดวงสุดท้ายเรืองแสงแล้ว

    กลิ่นหอมโชยออกมาจากบานประตู ทำเอาฉันสงสัยว่ามันคืออะไรจนต้องเข้าไปดูทันที ทำไมดอกไม้พวกนี้กลิ่นหอมจัง แต่เหมือนเคยได้กลิ่นมาก่อนนะ แต่ที่ไหนล่ะ?

    มีแผ่นจารึกอยู่ท่ามกลางดอกไม้พวกนี้ด้วย อาจจะอธิบายได้ว่ามันชื่ออะไร เพราะฉันไม่เคยเห็นเลย

    กล้วยไม้อเวจี มีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้นที่เป็นดอกไม้หยินแท้ ซึ่งสามารถเชื่อมประสานคนเข้ากับหยินหยางได้ ไม่สามารถแยกได้โดยตาเปล่า แต่ดึงดูดเหล่าผึ้งและผีเสื้อได้

    หมายความว่าจะมีกล้วยไม้อเวจีวิเศษแค่หนึ่งดอกเองงั้นเหรอ? แล้วดันลักษณะเหมือนกันหมดเลย ถ้าอยากได้ก็ต้องให้ผีเสื้อตัวนั้นมาให้ฉันสินะ

    ฉันลองค้นของที่พอจะใช้ได้ในกระเป๋าเป้ตัวเองก่อนที่จะเจอตลับเปล่าที่เก็บได้มาสักพัก ถึงจะของในไม่มีแล้ว แต่กลิ่นก็หอมพอที่ผีเสื้อจะตอมนะ

    และรูปวาดพระโพธิสัตว์หกแขนนี้ก็ยังไม่ได้ใช้เลย หวังว่าจะได้ใช้เร็ว ๆ นี้ ไม่งั้นรกกระเป๋าเป้ฉันซะเปล่า ๆ

    เมื่อมาถึงหน้าประตูหินที่รูปปั้นเด็กหยินอยู่ และมันก็เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ด้วย ผีเสื้อสีน้ำเงินค่อย ๆ บินลงมาอยู่ในตลับเปล่าแล้ว

    คงต้องรีบเอามันไปปล่อยในห้องดอกไม้นั้นแล้ว เกิดอยู่ข้างในนั้นนานอาจจะหายใจไม่ออกก็ได้

    “เจ้าสาวกระดาษต้องสำรวมสง่างาม เลิกวิ่งเล่นไปมาได้แล้ว วังจั้งกงไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ระวังวิญญาณร้ายไว้ให้ดี”

    “วิญญาณร้ายเหรอ? หมายถึงผีหัวขาดที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘นักรบอาฆาต’ หรือเปล่า แล้วมันคืออะไร?” ฉันหยุดวิ่งแล้วหันไปถามหมอผีชราที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม

    “นักรบอาฆาต เป็นวิญญาณร้ายที่ไล่ฆ่าเหล่าทวยเทพเมื่อพันปีก่อน ภายหลังถูกองค์โพธิสัตว์สะกดเอาไว้ ในทุก ๆ วันปล่อยผี ดวงวิญญาณนักรบอาฆาตก็จะออกอาละวาดไล่ตัดหัวคนเป็น” หมอผีชราจ้องหน้าฉันพร้อมทำตาโตขึ้นมา “เจ้าเห็นนักรบอาฆาตงั้นรึ? ระวังตัวให้ดี หากถูกหมายหัวแล้วไม่มีจุดจบที่ดีนัก นักรบอาฆาตไม่สนใจอะไร แม้ว่าเจ้าจะเป็นถึงเจ้าสาวกระดาษก็ตาม”

    ฉันหัวเราะในลำคอทันที “การอยู่ที่นี่มีแต่ตายกับตาย เท่าที่กังวลอยู่ตอนนี้นะ วิญญาณร้ายอาจจะคุยรู้เรื่องกว่าคุณก็ได้”

    เมื่อฉันตอบกลับ จนเขาไม่ได้พูดอะไรต่อแล้ว ฉันก็รีบวิ่งไปที่ห้องสุดปลายทาง เพื่อปล่อยผีเสื้อในตลับให้เป็นอิสระ

    ยังโชคดีที่ผีเสื้อตัวนั้นยังอยู่ดี และมันก็บินไปที่ดงกล้วยไม้อเวจีภายในห้อง เดาว่าดอกนั้นคงเป็นดอกไม้วิเศษที่ว่าสินะ

    แต่พอฉันพยายามทั้งเด็ดทั้งดึงแค่ไหนก็ไม่สำเร็จสักอย่าง ดูเหมือนว่ารากจะแน่นมาก จนดึงไม่ออกเลย

    น่าจะต้องหาอะไรคม ๆ มาตัด แล้วที่ไหนในนี้จะมีบ้างล่ะเนี่ย? ช่องหินลับที่ฉันยังไม่ได้เปิดดูหรือเปล่านะ? คงต้องลองดูก่อน

    จะว่าไปแล้วร่องเล็ก ๆ นั้นก็ขนาดพอดีกับรูปวาดโพธิสัตว์หกแขนเลย มันอาจจะใช้ได้ก็ได้

    และเป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย รูปวาดสอดเข้าร่องของช่องหินลับได้พอดี แถมยังดันก้อนหินพอให้ฉันดึงออกมาได้ด้วย

    ซึ่งภายในช่องลับนี้มีจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่พร้อมกับไม้บรรทัดที่ลับคมให้เป็นอาวุธที่ฉันต้องการใช้เลย

    ถึง ท่านเหลียง

    ข้าขอโทษที่มิสามารถรับความรู้สึกของท่านที่ให้มาได้

    ข้าเป็นเจ้าสาวกระดาษต้องคอยรับใช้องค์โพธิสัตว์ มิอาจรักกับผู้ใดได้ อย่าคิดว่าการให้ลิปสติกแล้วข้าจักรู้สึกดีตอบกลับท่าน

    โปรดออกไปจากหมู่บ้านนี้ซะ ที่นี่มิต้อนรับคนนอกอย่างท่าน

    วันที่ 14 เดือน 7 ปี 15

    นี่อาจจะเป็นจดหมายจากพี่สาวเจ้าของบันทึกที่ฉันเคยอ่านแน่ ๆ เลย เธอหักอกเขางั้นเหรอ? แล้วทำไมจดหมายถึงมาอยู่ในนี้ล่ะ?

    คิดมากกับเรื่องพวกนี้ไปก็คงไม่ได้คำตอบที่ถูกต้องหรอก สิ่งสำคัญสำหรับฉันในตอนนี้คือการออกไปจากที่นี่

    โดยต้องจุดธูปทำเครื่องหอมตามพิธีกรรมสักอย่างของหมอผีชราที่เชื่อถือไม่ได้คนนั้น เพื่อให้ได้ดาบไม้เล่มนั้น แถมมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วด้วยสิ

    ฉันกลับไปยังห้องสุดปลายทางอีกครั้ง และเพิ่งสังเกตว่าตัวเองลืมสำรวจส่วนอื่น ๆ ดงกล้วยไม้อเวจี ถ้าอย่างนั้นตัดดอกไม้ออกมาก่อนแล้วค่อยสำรวจ

    ซึ่งบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ ประตูห้องก็มีกล่องใส่หมากล้อม แต่มีแผ่นทรงกลมบางอย่างที่ขนาดใหญ่กว่าตัวหมากข้างในนั้น ฉันเลยหยิบติดตัวมาด้วย

    เพราะตอนที่ฉันกำลังเปิดลิ้นชักชั้นบนของโต๊ะในห้องสมุด ก็เห็นว่าตรงลิ้นชักชั้นล่างมีร่องทรงกลมอยู่ น่าจะขนาดพอดีกันมั้งนะ

    ส่วนตรงระฆังแขวนก็มีของเล่นเครื่องที่เป็นนกหวีดวางอยู่ตรงคานไม้ที่แขวนระฆังเอาไว้อยู่ นี้อาจจะเป็นหนึ่งในของเซ่นไหว้ก็ได้

    แต่ก่อนจะลองเอานกหวีดไปวางตรงถาดด้านหน้ารูปปั้นเด็กผู้หญิง เพื่อเปิดกลไกประตูหิน ก็เปิดลิ้นชักชั้นล่างในห้องสมุดก่อน

    เป็นไปอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ แผ่นทรงกลมที่พกติดตัวมาด้วยใส่พอดีกับร่องที่ว่างอยู่ของลิ้นชัก แล้วของด้านในก็มีกระบอกไผ่อยู่

    และถ้าฉันจำไม่ผิดละก็การทำเครื่องหอมต้องใช้น้ำด้วยนี่น่า ใช้กระบอกไผ่อันนี้ตักน้ำจากไหนสักที่ก็พอแล้วสินะ

    คำที่บอกว่าน้ำไร้รากอาจจะหมายถึงน้ำฝนในห้องดอกกล้วยไม้อเวจีก็ได้ เพราะเป็นที่ที่เดียวของวังจั้งกงที่มีน้ำ

    ในระหว่างที่ฉันนั่งรอหยดน้ำฝนค่อย ๆ สะสมให้เต็มกระบอกไผ่นั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าในสูตรต้องใช้ดินจากทิศใต้ด้วย

    แล้วในสมุดบอกว่าห้องสมุดเมื่อกี้ก็ตั้งอยู่ในทิศใต้ แต่จะเอาดินมาจากตรงไหนล่ะ? สงสัยต้องให้ไม้บรรทัดขูดเศษกำแพง มันจะใช้แทนกันได้นะ?

    ฉันรวบรวมของทั้งหมดตามสูตรม้วนไผ่สำหรับทำธูปเครื่องหอม ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน, เศษกำแพงห้องและก็ดอกกล้วยไม้อเวจีก่อนที่จะผสมกันในหม้อต้มร้อน ๆ ที่เปลวเทียนอุ่นเครื่องรอสักพักแล้ว

    ทันทีที่ฉันปิดฝาหม้อต้มก็เริ่มเกิดหมอกละอองที่ค่อย ๆ ลอยออกมาก่อนที่เสียงบางอย่างจะดังขึ้น จนฉันต้องหันไปมอง

    มันเป็นเสียงดาบไม้ที่กระทบลงพื้นไม่ไกลจากฉันมากนัก ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอื้อมมือไปเก็บก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงสั่นกระดิ่งในมือหมอผีชราที่นั่งอยู่บนแท่นหินข้าง ๆ รูปปั้น

    เจ้าของเสียงกระดิ่งก็หัวเราะดังลั่นออกมา “เจ้าทำเครื่องบูชาได้ดีจริง ๆ ข้ารู้สึกมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ข้าบอกแล้วว่าข้ามีสติปัญญากว่าหมอผีมือใหม่นั้นอีก การที่ปล่อยเจ้าไว้ที่วังจั้งกงแบบนี้ ไม่กลัวเจ้าหนีไปหรือไงกัน? อยู่ที่นี่เฉย ๆ รอพิธีงานแต่งไปซะเถอะ”

    “นี่หลอกใช้ฉันงั้นเหรอ? โอ๊ย! ปวดหัว”

    ในระหว่างที่ฉันพยายามปิดหูทั้งสองข้างให้สนิท อยู่ ๆ เสียงสั่นกระดิ่งก็เปลี่ยนไปพร้อมทั้งมีเสียงแตกหักแทรกขึ้นมาด้วย

    “เป็นไปได้ไงกัน? กระดิ่งนี้ถึงจะไม่ใช่ของแท้ แต่ตกทอดกันมาหลายร้อยปี มีพลังองค์โพธิสัตว์สถิตอยู่ ทำไมถึงแตกได้?”

    “กระดิ่งนั้นก็เหมือนประเพณีหมู่บ้านนี้แหละ มันเน่าเฟะตั้งนานแล้ว!”

    “อย่าไป เจ้าอย่าไปเชียว! ถ้าเจ้าเข้าไปโรงละครผี สิ่งเลวร้ายจะถูกปลดปล่อยออกมา!”

    “เรื่องของฉัน!”

    ฉันตอบกลับไปก่อนที่จะรีบคว้าดาบไม้ตรงพื้น และวิ่งไปยังหน้าประตูหินที่ฉันลงมาในตอนแรกก่อนที่ฉันจะวางของเล่นทั้งสองอย่างที่ได้มาบนถาดด้านหน้ารูปปั้นเด็กหยินทั้งสองคน

    “ของเล่นอะไรให้ไปแล้วนะ แต่ยังไม่เห็นมาอะไรเปลี่ยนไปเลย พวกเธอไม่คิดจะให้อะไรตอบแทนกันบ้างเลยหรือไง?”

    ฉันถามรูปปั้นเด็กหยินทั้งสองฝั่งของประตูหินหลังจากที่ฉันยืนจ้องตาไม่กะพริบ เพื่อรอผลลัพธ์จากการเซ่นไหว้มาสักระยะหนึ่งแล้ว

    อยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอยู่นะ แต่ถ้ามองปกติอาจจะมองไม่เห็นผลลัพธ์ก็ได้ ยังดีที่มือถือของฉันยังพอเหลือแบตอยู่

    พอยกมือถือโหมดถ่ายรูปขึ้นมา ท่าทางของรูปปั้นผ่านมือถือก็เปลี่ยนไปแล้ว เคยได้ยินว่ามือถือถ่ายติดสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าได้…นี้คงไม่ใช่เรื่องแต่งงั้นเหรอเนี่ย?

    ถึงฉันจะฝันร้ายและก็ดูหนังผีออกจะบ่อย ๆ คิดว่าคงไม่กลัวหรอก แต่พอมาเจอเข้าจริง ๆ ก็กลัวสุด ๆ ไปเลย ทำไงดีเนี่ยเรา?

    ในตอนที่ฉันหันมองออกจากหน้าจอมือถือ เสียงของเด็กก็ดังก้องทั่วทั้งห้องพร้อมทั้งใบหน้าของเด็กผู้ชายพุ่งใส่ฉัน จนฉันต้องลดมือลงด้วยความตกใจ

    “ไอ๊หยา! ฉันให้ของไปแล้วนะ ทำไมมาหลอกกันอีกล่ะ?”

    ฉันดุด่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้ เพื่อกดความกลัวของตัวเองก่อนที่ฉันจะทำใจ และยกมือถือขึ้นส่องดูรูปปั้นเด็กหยินอีกรอบ

    สิ่งที่แตกต่างออกไปจากที่ฉันมองปกติ ก็คือรูปปั้นเด็กหยินทั้งสองคนเหมือนจะชี้ไปคนละทาง พวกเธอพยายามจะบอกอะไรงั้นเหรอ?

    ถึงจะใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่สักพัก แต่ฉันก็รู้แล้วว่ารูปปั้นเด็กหยินทั้งสองกำลังบอกตำแหน่งการกดกลไกประตูหินตรงหน้าฉัน

    ฉันส่องท่าทางการบอกตำแหน่งผ่านมือถือไปอย่างช้า ๆ และแม่นยำ ทันทีที่ฉันกดปุ่มสุดท้าย ประตูหินก็เปิดออกจนได้ แต่ทิศทางของบันไดมันแปลกไป

    “อะไรเนี่ย? จำได้ว่าลงมาที่นี่จากประตูนี้ไม่ใช่เหรอ? มันต้องเป็นทางขึ้นไปพื้นดินสิ ทำไมเป็นทางลงล่ะ?” ฉันถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ช่างมัน! ลงไปสำรวจข้างล่างก่อน ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่”

    ท่ามกลางหมอกควันสีขาวตลอดเส้นทางบันไดที่ฉันเดินลงไปเรื่อย ๆ ฉันก็เห็นหุ่นเชิดชะโงกหน้ามาจากขอบประตูหินสุดปลายทางเดิน

    ทันทีที่ฉันเดินไปถึงตรงที่มันเคยยืนอยู่ก็ไม่เจอหุ่นเชิดหรือเห็นใครเลยก่อนที่หมอกควันก่อนหน้านี้จะจางหายไป จนฉันเห็นพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเป็นชั้นที่ลึกลงมาจากวังจั้งกง


    «บทที่สาม ละครผี»

    ฉันสำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็ว ที่นี่คงจะเป็นที่สำหรับทำหุ่นเชิดและก็หุ่นเงาสินะ แต่เมื่อกี้เหมือนเห็นหุ่นเชิดตรงบันไดด้วย หายไปไหนแล้ว?

    ยังไม่ทันที่ฉันจะหายสงสัย สิ่งที่สะดุดตานอกจากโต๊ะทำหุ่นเงาตรงกลางห้อง และหัวหุ่นเชิดห้าอันบนชั้นวางแล้วก็มีประตูบานหนึ่งที่ถูกยันต์มากมายติดเอาไว้

    ซึ่งพอฉันลองเดินเข้าไปใกล้ เพื่อเปิดดูภายในนั้น บานประตูกลับไม่ขยับเลยสักนิด น่าจะถูกล็อกจากข้างใน

    และพอเงยหน้าขึ้นมองบนเพดาน ก็เหมือนว่ามีกล่องบางอย่างอยู่ แต่พยายามยื่นตัวและกระโดดขึ้นไปเอื้อมแค่ไหนก็ไม่ถึงสักที

    ถ้าอย่างนั้นก็คงสำรวจชั้นวางหัวหุ่นเชิดใกล้ ๆ ประตูนี้ดูก่อน ซึ่งก็คงมีแค่ก้านไม้เสียบลูกชิ้นที่หัวหุ่นเชิดแต่ละอันคาบไว้ในปากเท่านั้นแหละ ที่พอจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

    ในระหว่างที่ฉันเก็บก้านไม้ลงใส่กระเป๋าเป้ก็เหลือบมองบนตู้แท่นบูชาที่อยู่ข้างชั้นวางหัวหุ่นเชิดคร่าว ๆ

    แท่นบูชามีรูปปั้นขนาดเล็กเทพองค์หนึ่งที่น่าจะเป็นท้าวเวสวัณ (หรือ ท้าวเวสสุวัณ เป็นเจ้าแห่งยักษ์ เป็นหนึ่งในจาตุมหาราช ปกปักโลกบาลประจำทิศเหนือ) และมีร่มคันหนึ่งวางอยู่ตรงหน้ารูปปั้น

    ฉันลองหยิบร่ม และพยายามกางร่มแค่ไหนก็ไม่มีท่าทางจะดึงไม่ออกเลย แต่มันก็พอจะเป็นอาวุธฟาดอะไรก็ตามที่จะทำร้ายฉันได้อยู่ดีนั่นแหละ

    แถมยังมีสมุดปกสีแดงที่ชื่อว่าละครผีวางอยู่ไม่ไกลด้วย มันน่าจะบอกหรืออธิบายอะไรเกี่ยวกับที่ที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ได้บ้างนะ

    สรรพชีวิตล้วนเป็นหุ่นเชิด ที่ดวงวิญญาณถูกควบคุมด้วยเส้นด้าย ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงงิ้ว, หุ่นเชิด หรือหุ่นเงาก็ต่างเป็นสื่อกลางการแสดงให้แก่องค์โพธิสัตว์หกกร เพื่อถามไถ่อดีต หยั่งรู้อนาคต จดจำเอาไว้ว่าไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจขององค์โพธิสัตว์ได้

    หากหุ่นเชิดมีหัวเป็นองค์ประกอบ สัมภเวสีสามารถเข้าสิงสู่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรนำหัวทิ้งไว้บนหุ่นเชิดเมื่อไม่ได้ใช้งาน หากมีดวงวิญญาณร้ายเข้าสิงหุ่นเชิด ให้เขียนว่า «封» [fēng] สีแดงบนหน้าผากของหุ่นเชิด เพื่อขับไล่ดวงวิญญาณร้าย

    ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่อยากรู้สักเท่าไหร่ แต่พออ่าน ๆ ดูแล้วหมู่บ้านนี้จะจัดการแสดงละครให้โพธิสัตว์หกแขนดูซะด้วย

    ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว ขอดูหน่อยสิว่าโรงละครที่นี่เป็นยังไง พอหันไปมองเวทีการแสดงก็มีทั้งเวทีขนาดใหญ่ที่ถูกผ้าม่านกั้นเอาไว้ น่าจะสำหรับการแสดงงิ้วและหุ่นเชิดที่ขนาดตัวเท่าคน

    ฝั่งหนึ่งของเวทีใหญ่ก็มีเกวียนขนกล่องและหีบมากมาย และอีกฝั่งหนึ่งเป็นเวทีขนาดเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ก็จะเฉพาะหุ่นเงาแน่เลย

    แถมฉากหุ่นเงาก็เตรียมพร้อม น่าจะขาดแค่ตัวละครหลักที่จะเล่นล่ะมั้ง ฉันเลยเดินกลับมายังห้องก่อนหน้านี้ เพื่อหาตัวหุ่นเงาเอาไปวางไว้บนเวทีเล็ก

    แต่ของบนโต๊ะทำหุ่นเงาตรงกลางห้อง เหลือแค่โครงร่างที่ยังลงสีไม่เสร็จพร้อมกับสมุดวิธีการทำหุ่นเงาใกล้ ๆ

    ขั้นตอนทำหุ่นเงา

    เลือกและเตรียมแผ่นหนัง

    ร่างหุ่นเงาและตรวจทานลวดลายอย่างละเอียด เพื่อแกะสลัก

    เมื่อลงสี ต้องให้ตรงตามต้นฉบับ

    ประกอบหุ่นเงาให้เหมือนต้นฉบับ จากนั้นผูกติดกับก้านบังคับ

    ถ้าฉันจะทำหุ่นเงาตัวนี้ให้เหมือนกับต้นแบบในสมุดละก็ อย่างแรกคือหาแปรงทาสีหรืออุปกรณ์อะไรสักอย่าง เพื่อที่จะระบายสีให้เสร็จ และหาส่วนหัวของหุ่นเงาที่หายไปด้วย

    ถึงแม้ว่าหุ่นเงาต้นแบบในกระดาษจะรู้สึกคุ้นตาไปหน่อยเถอะ ค่อยว่ากันอีกทีละกันถ้าเกิดนึกออกว่าฉันเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    ตอนนี้ลองหาอุปกรณ์ดูแถว ๆ บนเกวียนที่อยู่อีกฝั่งของเวทีใหญ่ดีกว่า เห็นว่ามีหีบใบหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้อยู่ หวังว่าจะมีของที่ฉันต้องใช้นะ

    และโชคก็เข้าข้างฉัน พอหยิบเอาหมวกงิ้วและเครื่องดนตรีออกจากหีบ ก็เจอพู่กันด้ามหนึ่งกับสมุดเล่มสีน้ำเงินอยู่ใกล้ ๆ

    ข้อควรระวังของการแสดงละครผี ห้ามฝ่าฝืน

    ห้ามผู้หญิงเข้าด้านหลังเวที

    ห้ามนั่งบนหีบ ยกเว้นตัวตลก

    ห้ามใช้เท้าเตะหีบ

    ไม่อนุญาตเล่นหมากรุกหรือกางร่มบนเวที เมื่อหมากรุกเดินหรือกางร่ม จะพ้องเสียงกับการแยกย้าย ถือเป็นคำสาปให้สิ้นวาสนาต่อกัน

    ทำไมถึงห้ามผู้หญิงเข้าด้านหลังเวทีล่ะ? แล้วถ้าอย่างงั้นนักแสดงงิ้วตัวนางเอกจะทำยังไงล่ะ? หรือว่าไม่มีตัวละครหญิงเลยงั้นเหรอ?

    และแน่นอนว่าเมื่อมีกฎโบราณ ๆ แบบนี้มันต้องแหก โดยเฉพาะข้อแรก ว่าแต่ทางเข้าด้านหลังเวทีอยู่ไหนล่ะ? หรือต้องเปิดผ้าม่านออกถึงจะเห็นกันนะ

    ฉันลากผ้าม่านผืนใหญ่ที่กั้นปิดเวทีการแสดงนั้นไปไว้ด้านข้างก็มีร่างบางอย่างจากด้านบนหล่นลงมาตรงหน้า

    “ไอ๊หยา! หุ่นเชิดขยับได้” ฉันอุทานออกมาเมื่อมีบางอย่างหล่นลงมาตรงหน้า แต่พอมองสังเกตดี ๆ แล้วละก็ “เหมือนหุ่นเชิดที่เห็นตรงบันไดเมื่อกี้เลย มันมาอยู่ตรงนี้ได้ไง?”

    ยังไม่ทันที่ฉันจะหายสงสัยก็ต้องสะดุดตากับแส้ ที่หุ่นเชิดตรงหน้าถืออยู่ ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนเป็นร่มและให้กางบนเวทีก็ถือว่าเป็นการแหกกฎอย่างหนึ่งสินะ

    “ไอ๊หยา! เมื่อกี้มันดึงแส้คืนงั้นเหรอ?”

    ฉันสะดุ้งตกใจทันที เมื่อพยายามหยิบแส้ออกแล้ว มือหุ่นเชิดกลับขยับคว้าเอาไว้เหมือนเดิม ถ้างั้นเอาไว้ก่อนละกัน ทางเข้าหลังเวทีน่าจะอยู่สักทีแหละ

    ดูเหมือนว่าข้างซ้ายมือฉันที่หันมองเวทีจะมีเหมือนซุ้มทางเดินอยู่ น่าจะเป็นประตูหลังเวทีแน่ ๆ แต่พอพยายามเดินเข้าใกล้แค่ไหน ก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผลักตัวฉันออกมา

    ใครผลักน่ะ? ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่น่า หรือว่าต้องมองผ่านมือถืองั้นเหรอ และทันทีที่ฉันเปิดหน้าจอถ่ายรูปก็มีคนสวมหน้ากากงิ้วห้าคนยืนขวางประตูอยู่

    ทีนี้ฉันจะไล่ผียังไงล่ะเนี่ย? ต้องทำให้พวกนั้นเห็นหรือเปล่าว่าถ้าขวางทางฉันต้องเจอกับอะไร ถ้างั้นหุ่นเชิดบนเวทีเป็นตัวอย่างชั้นเยี่ยมเลย

    ได้เวลาเอาพู่กันแต้มสีแดง เพื่อไปเขียนผนึกหุ่นเชิดบนเวทีแล้ว และก็เปลี่ยนแส้ในมือได้สำเร็จก่อนที่จู่ ๆ ร่มจะกางเอง โดยที่ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไร

    พอฉันใช้มือถือส่องไปที่ประตูข้างเวทีอีกครั้ง พวกนั้นก็ถอยหายไปแล้ว ส่วนอุปกรณ์ประกอบการแสดงงิ้วอย่างแส้อันนี้คงเป็นของใครสักคนแน่ ๆ งั้นเอาไปวางคืนไว้หลังเวทีน่าจะดี

    ภายใต้แสงเทียนบนโต๊ะแต่งหน้าที่ถูกจุดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันทำให้เห็นด้านหลังเวทีชัดเจนมีข้าวของมากมายที่เกี่ยวกับการแสดงงิ้ว

    และมีเงาใครบางคนยืนอยู่หลังผ้าม่านที่ปิดอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผี แต่ฉันก็เปิดผ้าม่านออกก็ถอนหายใจโล่งทันที

    นึกไว้อยู่แล้ว มันก็แค่ราวไม้แขวนชุดงิ้วที่โดนเทียนบนโต๊ะด้านหลังสะท้อนเป็นเงาบนผ้าม่านแค่นั้นเอง จู่ ๆ มันก็ล้มลงตรงหน้าฉันอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

    ฉันยืนนิ่งมองชุดงิ้วที่นอนราบไปพื้นสักพักนึงเลย พร้อมกับคิดว่านี่ฉันกลัวมาก จนไม่รู้สึกอะไรแล้วงั้นเหรอเนี่ย?

    ช่างเถอะ วางชุดงิ้วไว้เหมือนเดิมดีกว่า และก็วางแส้ไว้บนโต๊ะแต่งหน้าละกันก่อนที่ฉันจะเหลือบไปเห็นกล่องเครื่องประดับที่วางทับสมุดบางอย่างอยู่

    ดูเหมือนว่าตัวกล่องจะต้องใช้กุญแจถึงสองดอกเลย ถึงจะปลดล็อกได้ ส่วนสมุดบันทึกเล่มที่ถูกทับอยู่น่าจะเป็นเจ้าของกล่อง และอาจจะมีเบาะแสกุญแจนะ

    ตามที่ชาวบ้านบอกกล่าวมาพระถังซัมจั้งได้มอบพระคัมภีร์หกกรให้กับหมู่บ้าน ต่อมาเทพเจ้าองค์หนึ่งเข้าฝันเหล่าชาวบ้านว่า ท่านมีพลังอำนาจมากกว่าพระคัมภีร์หกกรถึงสองเท่า สรรพสิ่งที่ถูกฝังล้วนอยู่ใต้อำนาจของท่าน นามของเทพเจ้าองค์นั้นคือ ‘โพธิสัตว์หกกร’ แต่เหล่าชาวบ้านเรียกว่า ‘องค์โพธิสัตว์’ ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านจางหลิงถูกเล่ากันมารุ่นสู่รุ่น แต่มิเคยได้ยินตำนานอะไรพวกนี้จากที่อื่นเลย

    เล่าขานกันว่าโพธิสัตว์หกกรได้ถ่ายทอดวิชาความรู้แก่หมอผีผู้ยิ่งใหญ่บางอย่าง เพื่อให้หมู่บ้านเจริญรุ่งเรืองรุ่นสู่รุ่น ซึ่งผู้ใหญ่บ้านจักถูกแต่งตั้งเป็นหมอผีผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน สำหรับทำหน้าที่ส่งสารทวยเทพ หมอผีแต่ละรุ่นจักถูกคัดเลือกผ่านพิธีกรรมบางอย่าง และมักเป็นผู้มีอิทธิพลต่อหมู่บ้าน หลังจากที่คนคนนั้นเป็นหมอผีแล้ว จักมิสามารถใช้ชื่อเดิมได้อีกต่อไป แต่จักถูกเรียกว่า ‘หมอผีผู้ยิ่งใหญ่’ แทน

    ในเวลาต่อมา เหล่าชาวบ้านก็สร้างหอคอยหกกรให้แก่โพธิสัตว์หกกร ว่ากันว่าเป็นสถานที่มีฮวงจุ้ยพลังหยินสูงที่สุด เมื่อมีพิธีเซ่นไหว้ครั้งใหญ่จักทำด้านหน้าของหอคอย แต่ก็มิเคยเห็นหอคอยที่ว่าแถวนี้เลย หอคอยหกกรมันมีจริงหรือ? ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้มินานมากนัก และยังมิเคยเห็นพิธีเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ ๆ เลย บางทีเมื่อถึงเวลานั้นอาจจักรู้ได้เองก็เป็นได้

    บทเพลงยอดนิยม: ช่วงเวลานี้ เพลงใหม่อย่าง «ครองคู่ทุกชาติภพ» กำลังเป็นที่นิยมทั่วทุกสารทิศ และเป็นบทเพลงโปรดปรานของเหล่านักร้องไปแล้ว [ข้อความถูกถมดำ]

    เอาเป็นว่าขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ได้เวลาสำรวจรอบ ๆ ล่ะ ซึ่งดีที่มีกล่องหัวหุ่นเงาอยู่ที่นี่ และมีหัวหุ่นเงาที่ต้องการด้วย

    ทีนี้ก็ทำหุ่นเงาได้แล้ว แค่เดินกลับไปที่โต๊ะทำหุ่นเงา ลงมือระบายสีอะไรให้เสร็จ และต้องไปก็แค่ประกอบกับก้านขยับสินะ

    เสร็จเรียบร้อย หุ่นเงานักแสดงงิ้วที่ชุดและอาวุธดูคุ้นตามากเลย แล้วฉันต้องเล่นหุ่นเงา เพื่อหาทางออกงั้นเหรอ

    แต่มันก็ไม่มีทางอื่นแล้วนี่น่า พักเล่นหุ่นเงาสักหน่อยคงไม่เป็นไร ฉันวางหุ่นเงาบนเวทีหุ่นเงาที่อยู่ข้าง ๆ เวทีใหญ่

    “แม้ดวงตายังเปิดกว้าง แต่ดวงใจกลับสับสนกระวนกระวาย ข้าอยู่ที่ใด แล้วข้าเป็นใครกัน? มีเพียงกระจกเบื้องหน้าที่จักให้คำตอบได้ ข้าเพิ่งก้าวเท้าเข้าใกล้เพื่อส่องดูเท่านั้น”

    เสียงผู้ชายร้องเพลงงิ้วดังขึ้นจากไหนน่ะ? แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอยู่แล้วนี่น่า ฉันแค่ต้องดึงเชือก เพื่อขยับหุ่นเงาให้เดินไปส่องกระจกตามที่เสียงนั้นบอกสินะ

    “การร่ายรำอาวุธทวนดุจมังกรเงิน แต่งยศอวยเครื่องดั่งวีรบุรุษ ยอมพลีชีพให้แก่ความรัก นามเส้าผิง ชายจากตระกูลเหลียง ใช่แล้ว ข้านามเหลียงเส้าผิง ข้ามาที่แห่งนี้เพื่อคนรักของข้า พวกโจรโฉดอยู่หลังประตูบานนั้น ข้าต้องไปจัดการมัน”

    ทันทีที่ฉันขยับให้หุ่นเงาเตะเปิดประตู ก็มีเสียงกระแทกบางอย่างดังขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะมาจากห้องทำหุ่นเงานะ ก่อนที่หุ่นเงาตรงหน้าฉันจะเดินไปฉากต่อไป โดยที่ฉันไม่ได้แตะต้องอะไรเลย

    ฉากละครหุ่นเงาอันนี้ มีมือมากมายบนเพดานและมีกล่องบางอย่างอยู่เหมือนห้องทำหุ่นเงาเลย

    ในระหว่างที่ฉันกำลังมองฉากหุ่นเงาอันใหม่นี้ หุ่นเงาที่ชื่อเหลียงเส้าผิงก็หยุดยืนอยู่ใต้กล่องพร้อมทั้งมีบางอย่างล็อกขาหุ่นเงาเอาไว้

    “ตัวข้าถูกโซ่ตรวนเอาไว้ ข้าต้องเรียกดวงจิตของข้าทั้งสามกลับมา มิเช่นนั้นข้าคงไปต่อมิได้”

    ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว คงถึงเวลาที่ฉันต้องไปสำรวจต้นเสียงกระแทกก่อนหน้านี้แล้วสินะ ภายในห้องทำหุ่นเงาไม่เจอใครเลย มีแค่ประตูที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนแรกนั้นจะเปิดออกมาเท่านั้น

    หลังบานประตูนั้นเป็นห้องปิดตายที่มีกระจกบานขนาดเท่าคนตั้งอยู่ตรงข้ามประตูเลย พร้อมกับตู้เก็บของและแท่นบูชาที่มีหมวกงิ้วแปะยันต์บางอย่างอยู่

    ฉันเดินเข้าไปใกล้กระจก ดูเหมือนว่าเห็นใครบางคนในชุดกี่เพ้าสะท้อนออกมาแทนตัวฉันก่อนที่ภาพในกระจกจะกลายเป็นฉัน คงตาฝาดไปเองล่ะมั้ง

    พอได้มองรอบ ๆ กระจกแล้วก็ต้องสะดุดตากับบางอย่างที่สะท้อนกระจกอยู่ ตรงมุมนั้นมีเลขเขียนอยู่ด้วยเหรอ? ไม่ทันสังเกตเลย

    จู่ ๆ ก็มีเงามือสีดำมากมายในกระจก มันมาจากไหนน่ะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมรู้สึกหนาวและก็ไม่มีแรงเลย

    ในระหว่างที่ฉันจะเดินเข้าไปดูกระจกใกล้ ๆ เท้าฉันก็เหมือนเตะเข้ากับบางอย่าง จนต้องก้มลงไปมองก็เหมือนเป็นกระเป๋าเดินทางของใครบางคน

    ขอถือวิสาสะเปิดดูหน่อยนะคะ เผื่อว่าจะพอมีของที่ใช้การได้ ทันทีที่ฉันปลดล็อกกระเป๋าก็เจอกับเสื้อผ้าผู้ชายในสมัยหมินกั๋ว และมีรูปถ่ายพร้อมจดหมายวางอยู่บนสุด

    ผู้ชายสวมชุดงิ้วในรูปนี้เป็นคนเดียวกันกับที่เราเจอในบ้านเก่าไหมนะ? หล่อจัง แถมมีกุญแจผีเสื้อที่น่าจะใช้เปิดกล่องเครื่องประดับด้วย

    ซึ่งไหน ๆ ก็เปิดมาขนาดนี้แล้ว ขออ่านจดหมายด้วยละกันนะคะ จดหมายถึงท่านเหลียงเส้าผิงงั้นเหรอ?

    ถึง เส้าผิง

    ข้าตรวจสอบตำราโบราณมาแล้ว ไร้ซึ่งบันทึกของหมู่บ้านจางหลิง ในสมัยราชวงศ์ถัง ตี๋เหรินเจี๋ยได้กวาดล้างเหล่าศาลเจ้าผิดกฎหมาย และหมู่บ้านที่เชื่อถือผีสางเทวดาชั่วร้าย ข้าสงสัยว่ามันอาจจักเกี่ยวข้องกันเป็นแน่

    เพราะเมื่อสมัยโบราณ ความเชื่อที่ทางการมิถูกยอมรับนั้นจักเรียกว่า ลัทธิมืด กล่าวคือ การบูชายัญที่ผิดศีลธรรม

    โดยลัทธิมืดจักผูกตนเองเข้ากับประเพณีความเชื่อ หรือแม้กระทั่งศาสนาอื่น ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คน ข้าอยากแนะให้เจ้าออกห่างจากสถานที่แบบนั้นโดยเร็วที่สุด

    เห็นอักษรราวได้พบหน้า

    จาก สหายหนิง

    พอฉันอ่านจดหมายเสร็จก็เหลือบไปมองตู้เก็บของที่อยู่ใกล้ ๆ และเห็นม้วนไผ่วางอยู่ตรงชั้นวาง น่าจะบอกอะไรได้บ้างนะ

    นักรบอาฆาตเป็นดวงวิญญาณร้าย โดยถูกผนึกไว้สามแห่ง

    ซึ่งที่แห่งนี้กักขังดวงจิตทั้งสามและดวงชีวิต ดวงจิตทั้งสามถูกผนึกไว้ตามสิ่งต่าง ๆ ที่เคยใช้ในการแสดงละครผีก่อนตาย ห้ามวางไว้ ณ ตำแหน่งเดียวกัน เพื่อป้องกันดวงวิญญาณหลุดพ้นจากพันธนาการ

    หรือนี่จะเป็นวิธีการแก้โซ่ตรวนหุ่นเงา และพอมองดูหมวกงิ้วบนแท่นบูชาดี ๆ แล้วละก็ มันเหมือนในหุ่นเงาจริง ๆ ด้วย ฉันคงต้องเอาชุดงิ้วทั้งหมดของเขามาไว้ที่นี่สินะ

    แต่ก่อนที่จะไป ยังเหลือสมุดเล่มหนึ่งที่ฉันยังไม่ทันได้อ่าน น่าจะอธิบายหรือบอกเบาะแสเพิ่มเติมได้

    การวางสิ่งของของผู้ตาย และใช้ยันต์ดึงดูดดวงจิตเอาไว้จะสามารถกักขังไว้ในหุ่นเชิดและใช้แสดงละครผีได้

    แต่ดวงวิญญาณร้ายจะแสดงละครผีไม่ได้ ต้องแยกดวงจิตไว้สามแห่ง วิญญาณชีวิตไว้สถานที่ที่เลี้ยงชีพ, วิญญาณดินไว้สถานที่ที่รัก, วิญญาณฟ้าต้องถูกสะกดด้วยเวทย์อันยิ่งใหญ่

    หรือจะวางสิ่งของผู้ตายไว้ในตู้ภายในบ้านเรือน และดวงวิญญาณของผู้ตายจะกลับชาติมาเกิด ณ ที่นั้น

    กระจกเป็นประตูระหว่างภพ และเมื่อร่ายคาถาก็สามารถกักขังวิญญาณได้

    จงจำเอาไว้อย่ามองเข้าไปในกระจก ไม่อย่างนั้นดวงวิญญาณจะถูกกักขัง

    ผู้ที่มีดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ พลังหยางหรือแม้แต่ร่างกายจะอ่อนแอลง อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นวิญญาณหยินและถูกทำร้ายโดยคาถาอาคมได้

    หยกเป็นแหล่งรวบรวมพลังจิตวิญญาณ หากต้องการทำลายเวทย์ ต้องใช้หยกทุบกระจกให้แตก

    ทันทีที่ฉันอ่านจบ เสียงถอนหายใจยาวก็ดังออกอัตโนมัติ เดาว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาใหม่แน่ ๆ เพราะสมัยโบราณเขาใช้กระจกสัมฤทธิ์กัน ไม่น่าจะแตกกันง่าย ๆ

    กระจกสัมฤทธิ์

    เป็นทั้งงานศิลปะ และเครื่องใช้ประจำวันในสมัยโบราณ ด้านหนึ่งถูกขัดเงาอย่างดีเพื่อใช้สะท้อนภาพ ขณะที่อีกด้านตกแต่งด้วยลวดลายต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงความสวยงามตามแบบฉบับประวัติศาสตร์แต่ละยุค โดยความประณีตของกระจกชนิดนี้ยังแสดงให้เห็นถึงทักษะการรังสรรค์ที่ยอดเยี่ยมและคุณค่าทางศิลปะด้วย

    แต่ถ้าอย่างนั้นแล้ว เกิดฉันเอาหยกทุบกระจกบานนี้ พวกมือเงามากมายนั้นก็จะหายไปหรือเปล่านะ? แล้วต้องหาจากไหนล่ะ?

    ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เดินหาทั่วโรงละครผีแห่งนี้ รูปถ่ายนักแสดงงิ้วที่ฉันเผลอถือติดมือมาด้วยก็สั่น ยิ่งฉันเดินเข้าใกล้เวทีใหญ่ รูปภาพก็ยิ่งสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันต้องหยิบขึ้นมาดู

    คนในรูปเปลี่ยนท่าทาง โดยการที่เขาใช้แส้ในมือชี้ไปยังใต้เวทีที่เป็นฉากหลังรูปถ่าย และพอฉันลองดูตรงจุดที่ว่า ก็เจอเหมือนกับเป็นช่องลับใต้เวทีซะงั้น

    ทวนงั้นเหรอ? มีอาวุธอยู่ช่องลับด้วย มันดูแล้วไม่เหมือนอุปกรณ์ประกอบฉากเลย แต่พอฉันลองแตะเท่านั้นแหละ อาวุธของจริงนี่น่า!

    แต่การแอบเก็บอาวุธไว้ครอบครองแบบนี้ โทษร้ายแรงอยู่นะเนี่ย พวกชาวบ้านประสาทไปแล้วแน่ ๆ เลย

    รูปในมือฉันสั่นอีกครั้ง เลยต้องยกขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ อาวุธในรูปก็เปลี่ยนไปแล้ว และทวนที่ตอนแรกอยู่ในช่องลับก็หายไปด้วย เหมือนว่ามันหายเข้าไปในรูปเลย

    แต่แปลกจัง ปกติพอเจออะไรพวกนี้ ต้องกลัวสิ สงสัยฉันคงจะเริ่มชินแล้วสินะเนี่ย ถ้าเกิดว่าผู้ชายในรูปมีอาวุธแล้ว หุ่นเงาจะมีด้วยไหมนะ?

    หุ่นเงายังคงขยับไปไหนไม่ได้อยู่ แต่มันถือทวนไว้ในมือแล้ว แบบนี้ก็น่าจะพอเอากล่องบนเพดานได้แล้วน่ะสิ

    พอฉันดึงเชือกให้หุ่นเงาเขี่ยกล่องให้หล่นลงมา ก็เกิดเสียงกระแทกบางอย่างจากห้องทำหุ่นเงาที่อยู่ข้าง ๆ

    ฉันเดินไปหาต้นเสียงทันทีก็เจอกับกล่องขนาดเท่ากล่องเครื่องประดับบนโต๊ะแต่งหน้า ซึ่งกล่องนั้นถูกเปิดออกจากแรงที่หล่นลงมา พร้อมทั้งกุญแจผีเสื้ออีกดอกนึงที่ตกอยู่ใกล้ ๆ

    ตอนนี้ก็ได้กุญแจไขกล่องเครื่องประดับครบแล้ว วันนี้ทั้งวันฉันคงต้องขอถือวิสาสะแอบเปิดของส่วนตัวคนตายบ่อยแน่เลย แต่หวังว่าเขาจะเข้าใจเจตนาของฉันนะ

    ภายในกล่องเครื่องประดับมีหยกรูปผีเสื้อคู่สลักเอาไว้ โดยที่ทับกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่

    ถึง เสี่ยวหง

    ข้ามิรู้ว่าจักเอ่ยคำรักกับเจ้าอย่างไรดี แต่หวังเพียงเราสองจักเหมือนดั่งผีเสื้อคู่นี้ ได้โบยบินเคียงคู่กันสู่วันพรุ่งที่ดียิ่งกว่า

    สุขสันต์วันเกิด

    จาก เส้าผิง

    เขาดูรักผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวหงมากเลย เห็นแล้วก็แอบอิจฉานิดหน่อยเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ในเมื่อได้หยกมาแล้ว ขอยืมเอาไปใช้หน่อยนะคะ

    ไหน ๆ ก็เข้ามาหลังเวทีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เอาชุดงิ้วและแส้ไปวางรวมกันกับหมวกงิ้วดีกว่า

    ฉันวางของมากมายในมือลงตรงบนตู้เก็บของ เพราะแค่หมวกงิ้วใบเดียวตรงแท่นบูชาก็ไม่มีที่วางแล้ว

    เท่าที่ฉันดูรายละเอียดทั้งในรูปถ่ายและหุ่นเงาแล้ว ของน่าจะครบนะ ไม่ว่าจะเป็นหมวกงิ้ว, ชุดงิ้ว, รองเท้าและแส้ก่อนที่ฉันจะรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างลอยผ่านไปเลย คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

    และทันทีที่ฉันปาหยกใส่กระจกที่มีมือเงามากมาย จนกระจกแตก พวกนั้นก็หายไปพร้อมทั้งรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ไม่หนาวหรือหมดแรงแล้ว

    แย่ล่ะสิ หยกแตกซะแล้ว รู้สึกผิดกับสองคนนั้นเลย ดวงวิญญาณทั้งสองบนสวรรค์คะ ยกโทษให้หนูด้วยนะ

    ตอนนี้หุ่นเงาน่าจะเดินได้แล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลย ฉันก็ดึงเชือกบังคับหุ่นเงาให้เดินไปฉากต่อไปได้แล้ว

    “เสี่ยวหงกำลังรอข้าไปช่วยนางอยู่ จักรอช้าไม่ได้แล้ว” เสียงของผู้บรรยายพูดขึ้นมาก่อนที่จะมีฉากประตูมาขวางทางหุ่นเงา “ผู้ใดวางค่ายกลไว้ตรงนี้กัน ประตูปิดเยี่ยงนี้ ข้าผ่านไปมิได้เช่นกัน”

    ประตูมาจากไหนล่ะเนี่ย? ถ้าฉากนี้เหมือนห้องทำหุ่นเงาแล้วละก็ น่าจะมีประตูขวางอยู่ตอนนี้สินะ

    นี่มันฉากประกอบการแสดงงิ้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่ตรงนี้ตอนไหนเนี่ย? ดีที่เป็นแค่ฉากกั้นที่เขียนว่าประตูปิดเท่านั้น ไม่ใช่ประตูจริง ๆ

    พอฉันแตะฉากก็รู้สึกได้เลยว่าสีตรงคำว่าปิดนั้นดูเข้มกว่าตรงอื่นนะ เหมือนว่าเพิ่งเขียนเลย และเกิดอยากจะเปิดประตูก็ต้องลบเขียนใหม่สินะ

    ดีที่มีสีและน้ำล้างอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ฉันเปลี่ยนฉากกั้นเป็นคำว่าประตูเปิดเรียบร้อย พอกลับมาที่หุ่นเงาอีกที ประตูก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป

    ฉันบังคับหุ่นเงาเดินไปต่อเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงฉากหนึ่งที่มีหุ่นเงาอีกตัวยืนขวางทางอยู่

    “เพชฌฆาตขวางทางอีกครา! คราวนี้ข้าจักไม่ตายด้วยน้ำมือเจ้าเป็นหนที่สองหรอก”

    เสียงของผู้บรรยายพูดขึ้นมาพร้อมทั้งหุ่นเงานักแสดงงิ้วจะเดินตรงไปเอง เพื่อที่จะต่อสู้กับหุ่นเงาถือดาบที่ดูเหมือนหุ่นเชิดบนเวทีนั้น

    แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็มีหุ่นเงาเด็กชายหญิงคู่หนึ่งเกาะขาหุ่นเงานักแสดงงิ้วเอาไว้ จนเขาถูกศัตรูตรงหน้าตัดคอหลุด

    “จิตวิญญาณข้ายังไม่สมบูรณ์ กายาและศีรษะถูกแยกจากกัน แต่ชีวีคนรักยังมีภัย ข้าจักไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่” เสียงผู้บรรยายเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงที่บิดเบี้ยวและก้องไปทั่วทั้งโรงละคร “ข้ายอมเป็นวิญญาณร้าย ฟ้าดินไม่อาจอภัย ข้ายอมสูญสิ้นจิตวิญญาณ ไม่ไปผุดไม่ไปเกิด ข้าขอสาบานจักล้างแค้นและจัดการเหล่า-โจร-โฉด”

    ทันทีที่สิ้นสุดเสียงแสนน่ากลัวของผู้บรรยาย หุ่นเงาไร้หัวก็จัดการหุ่นเงาตรงหน้าลงพร้อมทั้งเดินไปฉากต่อไปด้วยตัวมันเอง

    ครั้งนี้ฉากเหมือนโรงละครเลย หุ่นเงาตรงนั้น…ฉันเหรอ? ทำไมรู้สึกหนาวหลังแปลก ๆ เหมือนมีลมกำลังพัดอยู่เลย

    และสิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นคือเงาร่างของหุ่นเงาไร้หัวจากด้านหลัง ที่เริ่มขยายใหญ่มากยิ่งขึ้น จนภาพตรงหน้ามีแต่ความมืด


    To Be Continued

    ปล. เนื่องจากว่าเนื้อหาเกิน 100,000 ตัวอักษรตามมาตราฐาน ดังนั้นเลยต้องแบ่งเป็นสองตอนนะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×