ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องราว 纸嫁衣 | Paper Bride [วิวาห์ใบสั่งตาย]

    ลำดับตอนที่ #1 : วิวาห์ใบสั่งตาย 1

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 67


    หนิงจื่อฝู [寜子服]
    เนียโมฉี [聶莫琪]
    เนียโมลี่ [聶莫黎]

    «บทนำ»

    ชายหนุ่มนามหนิงจื่อฝูได้ยืนอยู่ด้านหน้าประตูไม้บานใหญ่ ซึ่งถูกปิดสนิทพร้อมทั้งตกแต่งด้วยประโยคอวยพรงานแต่งบนกระดาษสีแดงสดไม่ต่างจากสีของผ้าที่พาดยาวอยู่เหนือบานประตู

    หนิงจื่อฝูยืนมองบานประตูตรงหน้าอยู่สักพักใหญ่ ยิ่งทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่พ่อแม่ของเขาบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวที่พวกท่านหมั้นหมายเอาไว้

    ลูกชายคนเดียวอย่างเขาปฏิเสธเสียงแข็งทันที แต่แล้วในวันที่พวกท่านเสียชีวิต เขาก็ไปเยี่ยมครอบครัวของคู่ชีวิตในอนาคตตามคำขอสุดท้าย

    แต่เมื่อได้พบกับเนียโมฉีแล้วนั้น มันยิ่งกว่าพรหมลิขิตที่พ่อแม่ของเขาได้ขีดเอาไว้ เพราะหนิงจื่อฝูตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น

    ไม่นานนักเขาและเธอก็คบหาได้ห้าปีเต็มแล้ว และในวันนี้ วันที่เนียโมฉีจะเปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาของเขาอย่างเต็มตัว

    “ปวดหัวชะมัด แถมช่วงนี้ชอบมึนหัวอยู่บ่อย ๆ ด้วย อาจจะเพราะสังสรรค์กับเพื่อนมากเกินไปแน่เลย เอาล่ะ หายใจเข้าลึก ๆ ห้ามทำขายหน้าในวันรับตัวเจ้าสาวเด็ดขาด” หนิงจื่อฝูพึมพำกับตนเองก่อนที่จะเปิดประตูบานใหญ่ตรงหน้า

    เสียงไม้ลั่นของบานประตูใหญ่ดังไปทั่วทั้งพื้นที่ลานกว้างด้านหน้าของบ้านหินชั้นเดี่ยวที่ปิดอยู่และมีผ้าผืนยาวพาดเอาไว้เหมือนประตูบานใหญ่ ซึ่งนั้นเป็นห้องของเจ้าสาวของเขา

    “แปลกแฮะเมื่อกี้ยังได้ยินเสียงคนอยู่เลย หายไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? หรือพวกเขาจะแอบเพื่อแกล้งเรา?”

    ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ซึ่งไร้เงาของใครก็ตามที่เขาได้ยินเสียงก่อนหน้านี้พร้อมทั้งพูดกับตนเองอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังหน้าประตูห้องของเนียโมฉี

    “ไอเดียของโมฉีแน่ ๆ ที่ผูกเงื่อนซะแน่นแบบนี้ หาอะไรมาตัดได้บ้างเนี่ย?”

    ว่าที่เจ้าบ่าวบ่นออกมาเล็กน้อยเมื่อได้เห็นเชือกเกลียวขนาดใหญ่เก่า ๆ ตรงมือจับบานประตูทั้งสองข้าง ซึ่งมันถูกผูกรัดไว้แน่นจนไม่สามารถแกะด้วยมือเปล่าได้

    หนิงจื่อฝูสำรวจตะกร้าที่อยู่ข้าง ๆ บ่อน้ำ ซึ่งอยู่กลางลานกว้างเพื่อหาอุปกรณ์ที่สามารถเปิดประตูได้ ภายในตะกร้าสานนั้นมีกรรไกรตัดหญ้าหนึ่งเล่มอยู่

    และทันทีที่ได้สิ่งที่ตัดเชือกตรงผูกมือจับบานประตูได้แล้วนั้น ชายหนุ่มก็ใช้อย่างไม่รีรอก่อนที่เสียงไม้ลั่นของประตูตรงหน้าจะดังขึ้นมา เมื่อเขาได้ทำการผลักประตูทั้งสองบานออก

    “วันนี้ก็มาถึงนะ โมฉี ผมเหมือนฝันไปเลย”

    เมื่อหนิงจื่อฝูได้เห็นแฟนสาวของตนภายใต้ชุดเจ้าสาวสีแดงหลังบานประตูก็เอ่ยออกมาก่อนที่เขาจะเข้าไปพาเนียโมฉีไปเข้าสู่พิธีงานแต่งที่จัดเตรียมไว้แล้วที่โรงแรมนอกหมู่บ้านของเธอ

     


    «บทที่หนึ่ง คำนับฟ้าดิน»

    ภายในห้องโถงกว้างที่ถูกตกแต่งไปด้วยสิ่งมงคลสีแดงมากมายสำหรับงานสมรสของหนิงจื่อฝูและเนียโมฉี ซึ่งทั้งสองก็ต่างยืนมองอีกฝ่ายอยู่กลางห้องในชุดบ่าวสาวเตรียมพร้อมกับการเริ่มพิธีการ

    “บ่าวสาวเตรียมคำนับ”

    เสียงลากยาวของพิธีกรดังขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองคนที่เขาเอ่ยถึงนั้นจะหันไปทางโต๊ะพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวที่นั่งมองพวกเขาอยู่

    “คำนับฟ้าดิน”

    พิธีกรชายที่ยืนข้างคนผู้เป็นพ่อเนียโมฉีนั้นก็บอกบ่าวสาว การก้มโค้งคำนับในครั้งแรกของชายหนุ่มและหญิงสาวผ่านไปอย่างเรียบง่าย

    “คำนับบุพการี” ขั้นตอนต่อไปดังขึ้นมาจากพิธีกรคนเดิม

    แต่การก้มโค้งคำนับในครั้งนี้ต่างออกไป เมื่อเจ้าบ่าวได้เงยหน้าขึ้นมานั้นก็กลับเกิดสิ่งน่าประหลาดใจเกิดขึ้นต่อหน้าเขา

    ไฟที่เคยสว่างไสวทั่วห้องโถงก่อนหน้านี้ก็สลัวลงพร้อมทั้งพ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยกรอบรูปหน้าตาของพวกท่านท่ามกลางบรรยากาศที่มืดครึ้ม

    “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมภาพตรงหน้า…เปลี่ยนไป?”

    “คำนับซึ่งกันและกัน”

    เสียงของพิธีกรยังคงทำตามประเพณีต่อ ทำให้เจ้าบ่าวที่เพิ่งหลุดบ่นพึมพำไปก่อนหน้านี้ต้องรีบสลัดคำถามภายในหัวออกมาก่อนที่จะหันไปหาเจ้าสาวของเขาที่อยู่ข้าง ๆ

    หนิงจื่อฝูหันไปหาเนียโมฉีไม่ทันไร ภาพตรงหน้านั้นก็กลายเป็นเจ้าสาวชุดขาวมาทับซ้อนก่อนที่แฟนสาวของเขาจะหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างรวดเร็ว

    “เกิดเรื่องบ้าอะไรเนี่ย? ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้? โมฉี! คุณหายไปไหนน่ะ? โมฉี”

    ชายหนุ่มหันไปรอบ ๆ ตัวพร้อมทั้งตะโกนเรียกหาเจ้าสาวของเขาเองก็พบว่ารอบตัวนั้นไม่มีวี่แววของเธอหรือคนอื่น ๆ ในห้องโถงแห่งนี้เลย

    “แขกก็ไม่มี ใช่ มือถือ” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมา “ไม่มีสัญญาณงั้นเหรอ?”

    หนิงจื่อฝูเลิกสนใจของในมือก่อนที่จะบีบแขนข้างหนึ่งของตนเองอย่างแรง เพื่อเรียกสติและพิสูจน์สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

    “เจ็บแฮะ ไม่ได้ตาฝาด อำเล่นงั้นเหรอ? หรือว่า” ชายหนุ่มเงียบลงพร้อมส่ายหน้า “ช่างมันก่อน ตอนนี้ต้องหาโมฉีให้เจอ”

    ตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวภายในห้องโถงก่อนที่จะเดินตรงไปยังด้านหน้า ซึ่งเป็นที่นั่งของพ่อแม่ฝั่งเจ้าสาวในตอนแรก เจ้าบ่าวมองยังเก้าอี้ที่มีกรอบรูปเปื้อนฝุ่นตั้งไว้อยู่ทั้งสองตัวอย่างพิจารณาก่อนที่จะนึกบางอย่างออก

    “พ่อแม่ของโมฉีได้ป่วยตายไปเมื่อปีที่แล้ว ทำไมตอนทำพิธีถึงได้เห็นพวกท่านกัน? หรือเพราะยังเมาค้างอยู่ เราเลยเห็นภาพหลอน?”

    หนิงจื่อฝูขยี้ตาตัวเองเพื่อให้สร่างและเห็นภาพบรรยากาศรอบข้างให้ชัดขึ้นก่อนที่จะเดินสำรวจไปทั่วทุกที่

    สิ่งที่สะดุดตาในตอนนี้ก็คือโต๊ะอาหาร ซึ่งเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนักมีแขกน้อยใหญ่นั่งล้อมอยู่ แต่กลับเหลือเพียงแค่อาหารที่ถูกวางเด่นอยู่กลางโต๊ะ

    “อาหารบนโต๊ะก็เป็นกระดาษหมดเลย เกิดอะไรกันแน่เนี่ย?”

    เขาบ่นออกมาหลังจากที่ยื่นมือไปสัมผัสสิ่งที่อยู่บนโต๊ะก็รู้ว่าอาหารแต่ละอย่างนั้นคือทำมาจากกระดาษสีต่าง ๆ ก่อนที่จะสำรวจโดยรอบจนแน่ใจแล้วว่ามีแค่เขาคนเดียวที่อยู่ห้องนี้

    ชายที่เป็นเจ้าภาพในงานแต่งงานนี้ก็เดินไปยังประตูใหญ่ของห้องโถงก่อนที่จะเจอกับคนกระดาษเด็กคนหนึ่งกำลังแบมือออกมาเหมือนต้องการบางอย่าง

    “คนกระดาษอีกแล้ว” หนิงจื่อฝูบ่นพลางพยายามยกคนกระดาษเด็กออก “แปลกชะมัด ทำไมหนักกว่าก้อนหินได้ล่ะ? ขนาดออกแรงแล้วยังยกไม่ขึ้นเลย”

    คนกระดาษเด็กยังคงยืนอยู่กับที่ จนกระทั่งชายหนุ่มล้มเลิกความพยายามและหาทางให้ของบางอย่างกับคนกระดาษเด็กแทน

    หนิงจื่อฝูเริ่มเดินหาของที่พอจะใช้การได้ก่อนที่จะเจอกับซองอั่งเปาเปล่า ความคิดเกี่ยวกับประตูเงินประตูทองก็แล่นเข้าขึ้นมา

    หรือคนกระดาษเด็กเพียงแค่เป็นที่ต้องการเงินเท่านั้น เจ้าบ่าวจึงหยิบแบงก์กงเต๊กที่เก็บมาได้นั้นใส่ลงในซองอั่งเปาและวางไว้บนมือที่แบรออยู่ของคนกระดาษเด็ก

    คนกระดาษเด็กที่ได้รับอั่งเปาก็ส่งยิ้มก่อนที่จะเพียงพริบตาเดียวก็หายไปต่อหน้าต่อของหนิงจื่อฝูทันที

    “ห-หายไปแล้ว? ทำได้ไง? หรือว่าจะเป็น” ชายหนุ่มพูดตะกุกตะกัก แต่ก็ยังพยายามกลั้นใจสู้ “จะเป็นผีหรือคน ฉันไม่กลัวหรอก! คืนโมฉีมาซะ!”

    หนิงจื่อฝูตะโกนเสียงดังลั่นภายในห้องโถงก่อนที่จะทำการเปิดประตูที่คนกระดาษเด็กขวางทางก่อนหน้านี้ เสียงประตูไม้ของห้องโถงลั่นดังขึ้นพร้อมทั้งเจ้าสาวสวมชุดสีขาวตรงหน้าที่กำลังวิ่งหนีเขาไป

    “โมฉี? คุณจะไปไหนน่ะ?” ชายหนุ่มถามพลางวิ่งตามเธอทันที “รอผมก่อน!”

    “กำ…ไล” เสียงของหญิงสาวดังก้องไปทั่วตรงโถงทางเดินที่หนิงจื่อฝูเพิ่งวิ่งมาถึง

    “กำไล? หมายถึงกำไลหยก ตัวแทนความรักของเราสินะ มันอยู่ในกล่องบนโต๊ะห้องโถง คุณอยากให้ผมไปเอามาด้วยใช่ไหม?”

    “กำ…ไล”

    เสียงที่คุ้นเคยตอบกลับเจ้าบ่าวของเธอด้วยประโยคเดิมก่อนที่หนิงจื่อฝูจะเดินไปที่เกี้ยวเจ้าสาว ซึ่งขวางทางออกจากโรงแรมอยู่

    “โมฉี? นั้นคุณหรือเปล่า?”

    หนิงจื่อฝูถามสิ่งที่เหมือนกับใครบางคนกำลังอยู่ใต้ผ้าคลุมสีแดง แต่กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ เลย

    ชายหนุ่มตัดสินใจยื่นมือเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาว เพื่อที่จะดูใบหน้าของคนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้น แต่ยิ่งยื่นมือไกลออกไปแค่ไหนก็กลับทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่า

    “แปลกชะมัด อยู่ใกล้พอเอื้อมได้ แต่ทำไมถึงจับผ้าคลุมไม่ได้ซะที? เหมือนมันอยู่ห่างออกไปไกลกว่าคิดไว้แฮะ”

    หนิงจื่อฝูบ่นพึมพำกับสิ่งที่เขาเจอก่อนที่จะสำรวจโดยรอบอีกครั้ง เพื่อหาสิ่งที่สามารถจะเปิดผ้าคลุมได้ ในระหว่างที่เจ้าบ่าวกำลังหาขอไปทั่วห้องโถงนั้นก็เจอผ้าผืนหนึ่งจึงเอาไปเช็ดคราบฝุ่นออกให้กับกรอบรูปพ่อแม่ของเนียโมฉี

    “ก-ก่อนหน้านี้ภาพเป็นแบบนี้อยู่แล้วเหรอ?” ชายหนุ่มมองหนึ่งในกรอบรูปที่เพิ่งทำความสะอาดไปไม่นานมานี้โดยละเอียด

    และเมื่อเขาขยี้ตาตัวเองเพื่อสังเกตรายละเอียดของรูปตรงหน้าทั้งสองให้ชัดขึ้นอีกครั้งนั้นก็กลับกลายเป็นว่าเหลือเพียงแค่กรอบรูปเปล่า ๆ เท่านั้น

    “ห-หายไปได้ไง?”

    หนิงจื่อฝูมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ก็ทำทีไม่ใส่ใจอะไรมาก เพราะยังคิดว่าเป็นผลของแอลกอฮอล์ในร่างกายเท่านั้น

    ชายหนุ่มหยิบคันชั่งที่หาเจอหลังจากสำรวจของทุกอย่างภายในห้องโถงมาได้สักพักก่อนที่จะได้พบกับบางอย่างกำลังขวางทางประตูใหญ่อยู่

    “คนกระดาษคนสองคน…คือคุณลุงคุณป้างั้นเหรอ? ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกคุณพ่อคุณแม่แล้ว พวกท่านเป็นห่วงโมฉีเหรอครับ? ไม่ต้องห่วง ผมจะหาเธอให้เจอ จะไม่ให้เธอเป็นอันตรายเด็ดขาด”

    สิ้นคำพูดของหนิงจื่อฝู คนกระดาษชายชราและหญิงชราทั้งสองคนนั้นก็ได้หายไปทันทีเหมือนคนกระดาษเด็กก่อนหน้านี้

    เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือการเดินผ่านประตูใหญ่ไปยังเกี้ยวเจ้าสาว เมื่อคันชั่งได้ยกผ้าคลุมสีแดงนั้นขึ้นกลับไม่มีใครเลย ภายในมีแค่ธนูและลูกธนูเท่านั้น

    ดังนั้นเป็นไปได้อย่างเดียวแล้วว่าแฟนสาวของเขาอยู่หลังประตูที่ปิดสนิทใกล้ ๆ เกี้ยวเจ้าสาว หนิงจื่อฝูจึงกลับไปยังห้องโถงเดิมเพื่อที่จะเอาสิ่งที่เธอต้องการ

    กล่องไม้ขนาดเล็กที่แกะสลักอย่างสวยงามตั้งเด่นตรงโต๊ะระหว่างเก้าอี้พ่อแม่ฝั่งเจ้าสาว และวิธีการเปิดกล่องจำเป็นต้องใช้เครื่องประดับรูปทรงผีเสื้อสองตัว

    โดยภายในกล่องไม้ที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดนั้นคือกำไลหยก มันเคยเป็นของของแม่หนิงจื่อฝู คราวที่เธอยังมีชีวิตอยู่

    เขามักจะได้ฟังเรื่องราวจากแม่ว่ากำไลนี้เป็นของขวัญกับเจ้าสาวของเขาในวันแต่งงาน เพราะมันจะช่วยปัดเป่าวิญญาณร้าย อีกทั้งคอยปกป้องจากความโชคร้ายได้

    และทุกครั้งที่เนียโมฉีได้เห็นกำไลหยกจากหนิงจื่อฝู แฟนสาวมักจะพูดติดตลกว่าแม่สามีในอนาคตของเธอนั้นได้เตรียมกุญแจมือตั้งแต่เธอยังเกิดด้วยซ้ำ เพื่อให้เธออยู่ในตระกูลหนิงตลอดกาล

    “ทำไมถึงอยากได้กำไลตอนนี้ด้วยล่ะ? ไปถามเธอดีกว่า” หนิงจื่อฝูเก็บกำไลหยกไว้อย่างดีพร้อมทั้งเดินออกจากห้องโถง “ประตูเปิดแล้วงั้นเหรอ? โมฉีน่าจะรออยู่ข้างในแล้ว”

    ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินเข้าผ่านประตูที่เปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเห็นเจ้าสาวชุดขาวที่พบก่อนหน้านี้ยืนรออยู่ภายในห้อง

    “โมฉี คุณอยู่ที่นี่เอง ผมเป็นห่วงแทบแย่เลย” เจ้าบ่าวบอกพลางเดินเข้าไปใกล้เธอเรื่อย ๆ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับเดินถอยห่างจากเขา

    “อย่าเข้าไปใกล้นะ!!”

    เสียงตะโกนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของหนิงจื่อฝู จนทำให้เขาต้องหันไปมองและเจ้าของเสียงก็ทำให้ชายหนุ่มต้องประหลาดใจ

    “โมฉี! ทำไมถึงมีสองคนได้?”

    “นั่นไม่ใช่ฉัน อย่าเข้าไปใกล้เธอ!” เจ้าสาวในชุดสีแดงบอกกับแฟนหนุ่มก่อนที่หนิงจื่อฝูหันกลับไปยังเจ้าสาวในชุดสีขาว

    “ไปไหนแล้ว?” ชายหนุ่มไม่เจอใครเลยจึงหันไปหาเจ้าสาวชุดแดงอีกครั้ง “เธออยู่ข้างหลัง โมฉีระวัง!”

    แต่คำเตือนของหนิงจื่อฝูกลับไม่ทันการณ์ เจ้าสาวชุดขาวที่อยู่ด้านหลังแฟนสาวของเขาได้ทำการพาตัวออกไปจากห้องต่อหน้าต่อตาเขา

    “จื่อฝูช่วยด้วย! ไปที่หมู่บ้านจางหลิง”

    “โมฉี โมฉี!”

    เสียงตะโกนเรียกคนรักของชายหนุ่มที่เพิ่งได้เป็นเจ้าบ่าวนั้นได้ดังไปทั่วทั้งห้อง และตอนนี้เขาก็กลับอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง


    «บทที่สอง ถามไถ่»

    หนิงจื่อฝูตะโกนไล่ตามหาเจ้าสาวของเขา แต่ก็คลาดสายตาไปแล้วก่อนที่จะพยายามตามหาทั่วโรงแรมแล้วก็ไม่พบเธอ แม้กระทั่งแขกหรือพนักงานก็ไม่มีใครสักคน

    “ผู้หญิงชุดขาวเป็นผีหรือเปล่า? แล้วทำไมหน้าตาถึงเหมือนโมฉีเลย? จับตัวเธอไปทำไมกัน? ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด”

    ชายหนุ่มตั้งข้อสันนิษฐานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งออกเดินทางไปยังหมู่บ้านจางหลิงทันที ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก

    ในระหว่างการขับรถนั้นเจ้าบ่าวก็คิดไม่ตกกับคำพูดสุดท้ายของคู่รักของตนเอง ทำไมต้องให้เขาไปที่หมู่บ้านจางหลิง หรือไม่อาจจะเจอต้นตอของเรื่องราวก็ได้

    เพราะตั้งแต่ที่เนียโมฉีเรียนต่อในเมืองก็ไม่ได้ชวนแฟนหนุ่มอย่างเขาไปเยี่ยมที่บ้านเกิดของเธออีกเลย จนกระทั่งวันนี้ที่เขาไปรับตัวเจ้าสาวเมื่อตอนเช้า

    เหตุผลที่ทั้งสองไม่ได้เยี่ยมเยียนหมู่บ้านจางหลิงนั้น ไม่ใช่เพราะความเป็นชนบทที่ห่างไกลความเจริญ แต่เป็นเหล่าชาวบ้านต่างหากที่ทำให้แฟนสาวของเขารู้สึกไม่สบายใจเลย

    ในหลาย ๆ ครั้งที่เนียโมฉีเล่าเรื่องวัฒนธรรมแปลกประหลาดของหมู่บ้านให้หนิงจื่อฝูฟัง ไม่ว่าจะเรื่องไม่ต้อนรับคนภายนอกหรือแม้กระทั่งภายในหมู่บ้านกันเองก็มักจะไม่ไปมาหาสู่กันสักเท่าไหร่

    นั้นทำให้เธอที่เป็นคนช่างคุยหรือชอบเล่าเรื่องราวให้เป็นเรื่องขบขันก็ไม่สามารถหัวเราะกับเรื่องราวนี้ได้เลย บางครั้งก็ไม่อยากจะพูดถึงด้วยซ้ำไป

    เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้านจางหลิงก็ไม่เห็นใครเลยตลอดทางก่อนที่หนิงจื่อฝูจะพบกับหญิงชราที่นั่งอยู่ตรงโขดหินระหว่างทางแยกไปยังหมู่บ้านและสุสาน

    หญิงชราหัวเราะเยาะเมื่อเห็นชายหนุ่ม “น่าสนใจจริง ๆ สวมชุดเจ้าบ่าววิ่งเต้นในวันปล่อยผีแบบนี้ ถูกผีเข้าสิงหรือเป็นบ้ากันแน่?”

    หนิงจื่อฝูก้มสำรวจตัวเองอย่างมึนงงก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นเปิดดูวันเวลาของวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดของจันทรคติหรือวันสารทจีน

    “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้!? วันนี้ต้องเป็นที่สิบหกสิ งานแต่งของผมกับโมฉี ผมจะลืมวันสำคัญแบบนั้นได้ยังไง?”

    “งานแต่ง? เป็นเจ้าบ่าวจริง ๆ สินะ แต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้านโชคร้ายนี้ด้วยงั้นเหรอ? ถ้าเกิดตายไปคงไม่ได้ถูกฝังร่วมบรรพบุรุษหรอก ลูกเขยต่างถิ่นอย่างเธอได้ฝังอยู่หลังภูเขาโน้น”

    “ยายเป็นคนในหมู่บ้านใช่ไหมครับ? ผมมาหาคู่หมั้นของผมชื่อเนียโมฉี ยายพอจะรู้จักไหม?”

    “ฉันอยู่อีกหมู่บ้านต่างหาก แต่ฉันเป็นหมอตำแยให้หมู่บ้านนี้เป็นครั้งคราว ฉันทำคลอดเนียโมฉีเองกับมือ แต่หลังจากวันนั้นฉันก็ไม่รู้เรื่องอะไรของครอบครัวเธออีกเลย กลับไปซะเถอะ พ่อหนุ่ม วันนี้มันไม่เป็นมงคล เธอก็เห็นว่าชาวบ้านต่างพากันหลบอยู่ในบ้าน คิดจะตามหาใครอีก? ฉันเองก็กำลังจะกลับเหมือนกัน ถ้าไม่ติดที่ว่าไม้เท้าของฉันมันหายไปตอนที่ฉันมานั่งพักตรงนี้” หญิงชราหยุดพูดพลางหลับตาพร้อมทั้งสูดลมหายใจ

    เมื่อหญิงชราตรงหน้าหนิงจื่อฝูได้นั่งสงบนิ่งไม่พูดคุยอะไรต่อแล้ว เขาเลยเดินมุ่งตรงเข้าไปในหมู่บ้านจนกระทั่งมาถึงหน้าประตูบ้านของแฟนสาว

    “ทำไมประตูล็อกล่ะ? เราเปิดไปแล้วเมื่อเช้านี้ไม่ใช่เหรอ”

    ชายหนุ่มมองประตูไม้บานใหญ่ ซึ่งถูกล็อกแม่กุญแจเอาไว้ทั้งที่เขาเคยผ่านเข้าไปรับเนียโมฉีก่อนหน้านี้แล้ว

    หนิงจื่อฝูหันมองรอบ ๆ รั้วกำแพงหินของบ้านเพื่อหาทางเข้าไปให้ก่อนที่จะสะดุดตากับเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ไม่ไกลจากหน้าประตูสักเท่าไหร่

    แต่เด็กชายที่เขากำลังจะเข้าไปหานั้นทำให้หนิงจื่อฝูเกิดความสงสัยขึ้นมา เพราะหน้ากากแปะยิ้มที่เด็กชายสวมอยู่ไม่มีรูเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอันตรายมากหากไม่ชำนาญในการยืนบนไม้สูง

    “เด็กน้อย รู้จักพี่เนียโมฉีที่อยู่บ้านหลังนี้ไหม? แล้วคนอื่น ๆ หายไปไหนกันหมดล่ะ?” หนิงจื่อฝูถามไป แต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบจากเด็กแปลกประหลาดตรงหน้า

    ชายหนุ่มเงยมองต้นไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เห็นทั้งไม้เท้าและกุญแจที่อาจจะเป็นกุญแจไขประตูบ้าน เขาเลยตัดสินใจที่จะถามเด็กตรงหน้าอีกครั้ง

    “เธอพอจะหยิบของบนต้นไม้ให้พี่หน่อยได้ไหม?” ชายหนุ่มมองม้วนกระดาษที่เด็กชายถืออยู่นั้นถูกคลี่ออกมา “หมายถึงอะไร? อยากให้พี่เอาของมาแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ?”

    หนิงจื่อฝูถามอะไรไป เด็กชายยังคงเงียบไม่โต้ตอบเหมือนเคยก่อนที่จะเห็นว่ากุญแจต้องเอาเหล่าจิ้งหรีดไปแลก

    และบริเวณหน้าบ้านที่เขายืนอยู่นั้นมีโพรงหญ้าที่เต็มไปด้วยเสียงจิ้งหรีดมากมาย เขาต้องหาภาชนะสำหรับจับพวกมันเสียก่อน ซึ่งสิ่งที่ต้องการก็อยู่ข้าง ๆ หญิงชรานั่งอยู่นั้นเอง

    ชายหนุ่มเดินย่องเข้าใกล้หญิงชราที่นั่งหลับตาอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ถูกหญิงชราขวางไม่ให้หยิบข้องไผ่ตรงโขดหินไปได้

    “คิดจะทำอะไร? เห็นฉันแก่หูตาฝ้าฟางแล้วคิดจะขโมยของของฉันได้งั้นเหรอ? ไม่มีทางหรอก” หญิงชราบอกโดยที่ยังคงหลับตาอยู่

    หนิงจื่อฝูจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากข้องไผ่เป็นกลองป๋องแป๋งที่เด็กชายต้องการแทน เขาเดินสำรวจยังศาลเจ้าที่อยู่ไม่ไกลจากหญิงชรามากนัก

    ชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวก็ได้ทำการย้ายป้ายบรรพบุรุษตามหนังสือบนโต๊ะก่อนที่กลไกบางอย่างจะทำงานพร้อมทั้งสิ่งของแลกเปลี่ยนชิ้นแรกจะโผล่ออกมาจากโต๊ะแท่นพิธี

    “กลองป๋องแป๋งเหรอ? คงเป็นการเล่นพิเรนทร์ของเด็กซนแถวนี้แน่ ของที่อยู่ข้างในตอนแรกอาจจะโดนเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”

    หนิงจื่อฝูหยิบกลองป๋องแป๋งออกมาจากช่องลับอย่างพิจารณาสักพักแล้วรีบไปหาเด็กชายแปลกประหลาดคนนั้นทันที เมื่อการแลกเปลี่ยนครั้งแรกสำเร็จ

    ไม้เท้าก็ถูกเอาลงมาจากต้นไม้พร้อมส่งต่อให้เขาและจากคำบอกเล่าที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ สิ่งที่หนิงจื่อฝูได้มาในตอนนี้คงเป็นของหญิงชราคนนั้นก็ได้

    “ยายครับ อันนี้ไม้เท้าที่ยายทำหายหรือเปล่า?” ชายหนุ่มถามพร้อมยื่นของในมือ

    “พ่อหนุ่มช่างมีน้ำใจจริง ๆ ขอบใจมากนะ ฉันคงนั่งตรงนี้ทั้งคืนแน่ถ้าไม่มีมัน ที่นี่ต้องสาปในวันปล่อยผีแบบนี้ เธอควรไปได้แล้ว” หญิงชราบอกพลางปัดมือไล่

    “ผมยังกลับไม่ได้ถ้ายังไม่เจอคู่หมั้นของผมครับ ยาย แล้วที่บอกว่าที่นี่ต้องสาปคืออะไรงั้นเหรอ?”

    “หมู่บ้านนี้บูชาสิ่งสกปรกโสมม เธออย่าถามอะไรอีก ฉันจะนั่งพักอีกหน่อยแล้วจะไป ฉันไม่มีอะไรตอบแทนหรอกนะ ถ้าอยากได้ข้องไผ่นี้ ฉันยกให้”

    “ผมต้องการพอดีเลย ขอบคุณครับ ยาย”

    ชายหนุ่มรับข้องไผ่ที่ต้องการจากหญิงชราก่อนที่จะเดินกลับไปยังหน้าบ้านของเนียโมฉี เพื่อที่จะจับจิ้งหรีดทันที

    จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่สามารถบอกได้เลยว่าเหล่าจิ้งหรีดที่อยู่ตามโพรงหญ้านั้นต่างไม่ซ่อนตัวเลยแม้แต่น้อย ใช้เวลาไม่นานนักหนิงจื่อฝูก็จับพวกมันได้ครบสิบตัวตามที่ต้องการ

    ของแลกเปลี่ยนชิ้นที่สองถูกส่งให้เด็กชายอย่างรวดเร็วก่อนที่ชายหนุ่มจะเอากุญแจที่ได้มานั้นลองไขแม่กุญแจประตูบ้านของแฟนสาว

    และแล้วเสียงไม้ลั่นของประตูบานใหญ่ก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่เจ้าบ่าวจะกลับเข้าไปในบ้านเนียโมฉี ซึ่งในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกแตกต่างจากตอนมารับตัวเจ้าสาวอย่างมาก

    “รู้สึกว่าของบางอย่างดูแปลกไป มีคนเข้ามาที่นี่ก่อนเรางั้นเหรอ?” หนิงจื่อฝูค่อย ๆ เดินสำรวจบริเวณโดยรอบก่อนที่จะมองไปยังบ่อน้ำตั้งเด่นอยู่ตรงกลางลาน “โมฉีเคยเล่าว่าบ่อน้ำนี้แห้งตั้งแต่จำความได้แล้ว ตอนนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอพยายามปีนดูก้นบ่ออยู่บ่อย ๆ พ่อแม่ของเธอเลยเก็บรอกกับเชือกเอาไว้”

    ชายหนุ่มลองก้มลงดูที่ก้นบ่อ ในระหว่างที่รำลึกความหลังของสิ่งที่กำลังมองอยู่ก่อนที่จะหันไปเห็นกล่องไม้วางตั้งขวางอยู่ตรงทางเดิน

    หนิงจื่อฝูพยายามเปิดกล่องจนสำเร็จและได้เจอของที่อยู่ข้างในนั้นก็คือลูกข่างที่ดูเหมือนว่าเป็นของที่เด็กชายต้องการสิ่งสุดท้าย

    ชายหนุ่มจึงเอาของเล่นในมือไปหาเด็กแปลกประหลาดที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน หน้ากากแปะยิ้มที่เด็กชายสวมอยู่มาตลอดก็ถูกถอดออกเพื่อแลกเปลี่ยนกับลูกข่าง

    “ด-เด็กคนนี้ ทำไมหน้าเหมือนคนกระดาษที่เจอโรงแรมเลย?” หนิงจื่อฝูพูดตะกุกตะกักทันทีที่เมื่อเห็นใบหน้าใต้หน้ากากของคนตรงหน้า

    เด็กชายยื่นสิ่งแลกเปลี่ยนให้กับชายในชุดเจ้าบ่าวก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไถ่ออกด้านข้าง จนลับสายตาไปและชายหนุ่มก็ได้เห็นบานหน้าต่างของห้องใครบางคนที่เด็กชายขวางเอาไว้

    หนิงจื่อฝูเดินเข้าใกล้หน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้พร้อมทั้งมองเข้าไปในห้องห้องนั้นก็เจอกับรูปหน้าศพของเด็กชายก่อนหน้านี้ ซึ่งถูกตั้งไว้บนโต๊ะที่มีธูปจุดเอาไว้อยู่

    “รูปนั้น…คือเด็กคนเมื่อกี้งั้นเหรอ?!”

    ถึงจะเป็นเรื่องที่น่าขนลุก แต่ชายหนุ่มก็พยายามข่มใจไม่ให้กลัวก่อนที่จะได้เปิดอ่านไดอารี่ของเด็กชายที่เขียนทิ้งเอาไว้

    วันที่ 13 เดือน 1 ตามจันทรคติ - อาการป่วยของผมเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ คุณลุงบอกว่าเพราะผมโดนพลังหยินทำร้าย เลยเอาใบตองมาเพื่อต้านพลังหยิน เขาไม่ได้เรียนหนังสือด้วยซ้ำ แถมงมงายอีก ผมไม่เชื่อหรอกว่าผีน่ะมีอยู่จริง!

    วันที่ 28 เดือน 1 ตามจันทรคติ - ผมจะตายมั้ย? ผมยังไม่อยากตาย ผมยังอยากจะเล่นกับพี่สาวข้างบ้านคนโปรดของผมอยู่นะ

    วันที่ 3 เดือน 2 ตามจันทรคติ - พี่สาวข้างบ้านบอกว่าจะแต่งงานและจะให้อั่งเปาผมเยอะ ๆ ด้วย ถ้าผมหายดีแล้ว เธอก็จะพาพี่เจ้าบ่าวมาเล่นกับผม สัญญาเลย! อยากให้เขามาล่าสมบัติกับผมและก็จับจิ้งหรีดด้วยกัน!

    วันที่ 14 เดือน 2 ตามจันทรคติ - ผมไม่ไหวแล้ว ออกไปเล่นก็ไม่ได้ ไม่มีแรงเขียนด้วยซ้ำ…

    “วันที่สิบห้าเดือนเจ็ด มันเป็นวันนี้ไม่ใช่เหรอ?” ชายหนุ่มอ่านวันที่ของไดอารี่ล่าสุด ซึ่งถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงก็ทำเอาเกิดความสงสัยขึ้นมาก่อนที่จะอ่านต่อ

    วันที่ 15 เดือน 7 ตามจันทรคติ - คราว หน้า เล่น ด้วย กัน อีก นะ พี่ ชาย

    หนิงจื่อฝูอ่านจบก็คืนไดอารี่ของเด็กชายไว้ที่เดิมก่อนที่จะเดินเข้าไปสำรวจในห้องนอนของแฟนสาวที่สภาพภายในนั้นยิ่งทำให้เขาเกิดคำถามเพิ่มยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    “ทำไมถึงได้รกเหมือนมีคนรื้อหาของเลยล่ะ? ฝีมือโมฉีงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มได้แต่พึมพำตั้งข้อสงสัยเท่านั้น

    ในระหว่างที่ตอนนี้แฟนหนุ่มกำลังเก็บของที่วางระเกะระกะทั่วห้องนอนของเนียโมฉีก็เจอกับกลไกบางอย่างตรงหลังกำแพงของชั้นหนังสือที่ถูกรื้อจนเหลือของไม่กี่อย่าง

    เมื่อหนิงจื่อฝูได้ลองแก้กลไกจนสำเร็จและสิ่งที่ซ่อนอยู่ก็คือรูปถ่ายครอบครัวตระกูลเนียที่มีทั้งพ่อแม่และเด็กทารก

    แต่แทนที่เด็กทารกในอ้อมกอดของพ่อแม่จะมีแค่แฟนสาวของเขาคนเดียว ในรูปกลับกลายมีเด็กทารกสองคน พร้อมข้อความที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ขอบรรพบุรุษจงอวยพรแก่โมลี่และโมฉี

    “โมฉีมีพี่สาวฝาแฝด? ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน พื้นหลังรูปจะใช่สุสานหลังเขาหรือเปล่า?”

    ยิ่งเขาตามหาความจริงของแฟนสาวมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแต่คำถามมากมายแทน และคนที่จะไขความสงสัยของชายหนุ่มได้ในตอนนี้ก็คือหมอตำแยของเนียโมฉีหรือหญิงชราคนนั้น

    “ยายครับ ในรูปนี้โมฉีมีฝาแฝดจริงเหรอครับ?” หนิงจื่อฝูเปิดประเด็นทันทีเมื่อมาถึงพร้อมยื่นรูปถ่ายครอบครัวที่ได้มาให้กับหญิงชรา

    “โถ่…น่าเวทนา เธอมีฝาแฝดจริง แต่พี่สาวของเธอถูกทิ้งไปตั้งแต่เล็กแล้ว”

    “ห้ะ ถูกทิ้งไปแล้ว? เพราะอะไรล่ะครับ?”

    “หมอผีของหมู่บ้านบอกว่าฝาแฝดที่เกิดในวันฟ้ามืดครึ้ม ทั้งสองจะทำให้พระโพธิสัตว์ทำลายฮวงจุ้ยของหมู่บ้าน ดังนั้นจะต้องรอดเพียงคนเดียว ในตอนแรกพ่อแม่ก็ไม่อยากทิ้งใครไปหรอก แต่เด็กทั้งสองมักจะป่วยอยู่ตลอด หมอผีบอกว่าพระโพธิสัตว์โกรธมาก และถ้ายังไม่ทิ้งใครสักคน ทั้งสองก็จะไม่มีใครรอดเลย ต่อมาพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งคนโตที่วัดเฉิงหวง แล้วเรื่องร้ายก็ผ่านพ้นไป”

    “เพราะแบบนี้เองสินะ ไม่แปลกใจเลยว่าผมหรือโมฉีเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย พวกท่านคงเสียใจไม่น้อยเลย ถ้าเป็นผมก็คงไม่อยากเล่าเรื่องนี้กับลูกเหมือนกัน”

    หนิงจื่อฝูนึกถึงผู้หญิงชุดขาวคนนั้นที่อาจจะเป็นวิญญาณพี่สาวของเนียโมฉีก็เป็นได้ แต่ถ้าหากเธออยากจะแก้แค้นจริง ๆ ทำไมเพิ่งมาหาพวกเขาในวันนี้กัน

    “ขอบคุณที่เล่าให้ฟังนะครับ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลก ๆ ที่ผมกำลังเจออยู่ก็ได้” ชายหนุ่มบอกกับหญิงชราหลังจากที่เริ่มเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องมาที่นี่แล้ว

    “โถ่ คงเป็นวันแย่สำหรับเธอสินะ อย่าคิดมากกับเรื่องหยินหยางพวกนี้เลย ไปซะเถอะ กลับไปซะ”

    หญิงชรายังคงไล่เจ้าบ่าวตรงหน้าเหมือนทุกที จนเจ้าตัวสงสัยว่าทำไมถึงได้พยายามไล่เขาไปนักหนาหรือกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่กันแน่

    หรือหนิงจื่อฝูจะต้องหาความจริงด้วยตัวเขาเองทำให้เดินกลับไปสำรวจบ้านของแฟนสาวอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเจอความลับอะไรเพิ่มเติมก็เป็นไปได้

    จนกระทั่งชายหนุ่มเจอกับรอกและเชือกในห้องเก็บของก็เอาไปประกอบกับคานเหนือบ่อน้ำเพื่อที่เขาจะค่อย ๆ ไต่เชือกลงไปจนถึงพื้นของบ่อน้ำ

    “ที่ก้นบ่อแบบนี้ซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่?” ชายหนุ่มพูดพลางแก้กลไกที่อยู่ตรงกำแพงของบ่อน้ำตามรูปถ่ายครอบครัวที่เขาเจอก่อนหน้านี้

    เมื่อเสียงกลไกปลดล็อกแผ่นหินดังขึ้นก็เผยให้เห็นป้ายหลุมศพพร้อมกระถางธูปที่ดูเหมือนว่าไม่มีใครลงมาที่นี่นานแล้ว

    “คงเป็นป้ายวิญญาณของเนียโมลี่ พี่สาวของโมฉีสินะ เครื่องรางพังแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน?”

    หนิงจื่อฝูมองไปยังตุ๊กตาล้มลุกที่มียันต์แปะเอาไว้ ซึ่งอยู่ข้าง ๆ กระถางธูปมีนั้น มันอยู่ในสภาพแตกหักจนรูปภาพโผล่ออกมาจากรอยแตกเกินครึ่งใบ

    “เด็กคนนี้น่าจะคือเนียโมลี่ โมฉีเคยเอารูปแบบนี้มาให้เราดู เหมือนกันไม่มีผิด” ชายหนุ่มหยิบรูปถ่ายในตัวตุ๊กตาล้มลุกมองอย่างพิจารณา

    เมื่อไม่มีอะไรที่ต้องสำรวจแล้วหนิงจื่อฝูก็ปีนเชือกออกจากก้นบ่อน้ำนี้ แต่ในระหว่างที่กำลังไต่ขึ้นไปด้านบนนั้นก็มีเสียงถอนหายใจของผู้หญิงดังมาจากไหนสักแห่ง

    “เสียงถอนหายใจนั้น ฟังดูแล้วเหมือนเสียงของโมฉีเลย” ชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงระหว่างทาง ด้วยความไม่ระวังทำให้รูปถ่ายครอบครัวของตระกูลเนียหล่นลงก้นบ่อน้ำไป “รูปครอบครัวหล่นไปแล้ว…ช่างมันละกัน มีเรื่องที่สำคัญกว่ารออยู่”

    หนิงจื่อฝูปีนกลับขึ้นมาเหนือบ่อน้ำได้อย่างปลอดภัยก่อนที่จะเดินไปศาลพระโพธิสัตว์หกกรที่อยู่ตรงทางเข้าสุสาน

    เพื่อที่จะหาวิธีขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ปราบดวงวิญญาณผู้หญิงชุดขาวคนนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินหาของทำพิธีไปทั่วทั้งหมู่บ้านจางหลิงจนครบถ้วน

    และสิ่งสุดท้ายที่จะวางบนมือของเทวรูปพระโพธิสัตว์หกกรสำหรับพิธีกรรมก็คือรูปเด็กทารกที่เอามาจากสุสานก้นบ่อน้ำ

    “เท่านี้คงพอได้แล้ว…ผมขอโทษนะ เนียโมลี่ แต่ผมจะปล่อยให้โมฉีเป็นอันตรายไม่ได้”

    เมื่อหนิงจื่อฝูพูดจบ ตามมือและหน้าอกของเทวรูปพระโพธิสัตว์หกกรก็ค่อย ๆ เรืองแสงออกมาก่อนที่วิญญาณเจ้าสาวชุดขาวจะปรากฏตัวยังด้านหลังเทวรูปพร้อมทำการตัดเศียรอย่างรวดเร็ว

    “แม้แต่พระโพธิสัตว์หกกรก็ปราบเธอไม่ได้งั้นเหรอ? ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?”

    ในระหว่างที่ชายหนุ่มยังไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตัวเองอยู่นั้น วิญญาณเจ้าสาวก็หายตัวขยับเข้าใกล้เขามากยิ่งขึ้น

    “ผมเข้าใจความแค้นของคุณนะ เนียโมลี่ แต่พ่อแม่คุณก็จากไปแล้ว แถมน้องสาวคุณก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ โมฉีเป็นน้องแท้ ๆ ของคุณนะ ทำไมถึงเอาความแค้นไปลงที่เธอล่ะ? ถ้าคุณจะแก้แค้น ผมขอรับแทนเธอเอง ปล่อยโมฉีไปเถอะ” หนิงจื่อฝูเจรจากับวิญญาณเจ้าสาวก่อนที่เพียงไม่นานนักก็ไม่มีใครอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว “ห-หายไปแล้ว…เพราะอิทธิฤทธิ์ของพระโพธิสัตว์หกกรสินะ”

    ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ศาลพระโพธิสัตว์เพื่อเช็กให้แน่ใจว่าวิญญาณเจ้าสาวคนนั้นจะไม่อยู่แล้วจริง ๆ ก่อนที่โทรศัพท์มือถือของเขาจะมีเสียงเรียกเข้า

    “มือถือมีสัญญาณแล้วงั้นเหรอ? โมฉีโทรมา โมฉี! คุณใช่ไหม? โมฉี”

    “ช่วยฉันด้วย จื่อฝู มีคนตามฉันมา เธอหน้าเหมือนฉันเลย ตอนนี้ฉันแอบอยู่ที่บ้านใหม่ของเรา ฉันไม่เห็นเธอแล้วด้วย”

    เสียงปลายสายอย่างแฟนสาวของเขาเริ่มมีเสียงซ่า ๆ แล้วสายก็ถูกตัดจบไปก่อนที่หนิงจื่อฝูจะดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองเพื่อหาสาเหตุ

    “ไม่มีสัญญาณอีกแล้ว โมฉี? โมฉี!”


    «บทที่สาม ส่งแขก»

    หลังจากที่สายถูกตัดไป โทรศัพท์มือถือของหนิงจื่อฝูก็ไม่มีสัญญาณอีก ถึงเขาจะพยายามติดต่อแฟนสาวของเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลเลย

    ทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากขับรถกลับเข้าตัวเมืองในทันที เพื่อมุ่งตรงไปยังเป้าหมายที่เนียโมฉีบอก บ้านของทั้งสองที่อยู่อาศัยร่วมกันมานานถึงสองปี

    หนิงจื่อฝูก็หวังได้เพียงว่าแฟนสาวจะอยู่รอดปลอดภัยพ้นจากการรบกวนของแขกภพภูมิอื่น ซึ่งไม่ได้รับเชิญมางานแต่งในระหว่างที่เขากำลังเดินทางตอนนี้

    “เมื่อเช้ารีบจนทิ้งชุดธรรมดาไว้ที่โรงแรม แถมของทุกอย่างก็อยู่ในชุดนั้นอีก แต่อย่างน้อยประตูรั้วเปิดให้เข้ามาได้อยู่” ชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวพึมพำระหว่างเดินออกจากรถเมื่อมาถึงอะพาร์ตเมนต์ตัวเองแล้ว “พวงหรีดกับเต็นท์? มีคนตายงั้นเหรอ?”

    หนิงจื่อฝูมองบริเวณลานกว้างตรงหน้าตัวอาคารที่มีเต็นท์สีน้ำเงินอันใหญ่ตั้งเด่นอยู่พร้อมทั้งลานหญ้าที่อยู่ใกล้ ๆ ก็มีพวงหรีดตั้งเอาไว้

    “เดี๋ยวก่อน! พ่อหนุ่ม”

    เสียงตะโกนเรียกของชายชราคนหนึ่งดังมา ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจะเดินสำรวจดูภายในเต็นท์จนเขาต้องหันไปมองหาต้นเสียง

    เจ้าของเสียงนั้นอยู่บริเวณประตูรั้วทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ซึ่งถูกปิดสนิทลงแล้วหลังจากที่หนิงจื่อฝูเพิ่งผ่านเข้ามาไม่นานนัก

    ชายชราที่แต่งกายเหมือนนักบวชลัทธิเต๋ากำลังโบกมือไปมาจากด้านนอกรั้วประตูเหล็กให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าเต็นท์

    ด้วยความขี้สงสัยของหนิงจื่อฝูแล้ว เขาจึงเดินตรงเข้าไปหาชายชราเผื่อว่าเขาจะอยากพูดอะไรบางอย่างกับตน

    “โอ้ มีบางอย่างตามพ่อหนุ่มมาด้วย คงไปเจอกับเรื่องไม่ดีมาล่ะสิ”

    “ใช่ครับ ท่านนักบวช ผมเจอเรื่องแปลก ๆ มาทั้งวันเลย ผมไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับผมได้ยังไง ท่านพอจะช่วยผมได้ไหมครับ?”

    “ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งทำพิธีให้กับชายแก่ล่วงลับคนหนึ่งไป แล้วลืมเครื่องไม้เครื่องมือไว้ข้างในตึกนั้น ถ้าหามาคืนให้ได้ ข้าจะช่วยพ่อหนุ่มเอง”

    “ท่านหมายถึงตึกที่ผมอยู่เหรอ? ถ้าผมเจอคู่หมั้นของผมแล้วจะหามาคืนให้นะครับ”

    “พ่อหนุ่มก็ระวังตัวด้วยล่ะ วันนี้มันวันอัปมงคลมาก”

    นักบวชเตือนชายหนุ่มที่อยู่หลังประตูรั้วเหล็กก่อนที่หนิงจื่อฝูจะมองเข้าไปในป้อมยามใกล้ ๆ ก็กลับไม่พบใครเลย

    “ทำไมรปภ.ถึงไม่อยู่ล่ะ? แปลกชะมัด ปกติเขาไม่เคยออกจากกะ โดยที่ไม่บอกอะไรก่อนเลยนะ”

    ชายในชุดเจ้าบ่าวตั้งข้อสงสัยพลางพยายามชะโงกหน้าเข้าไปสำรวจภายในป้อมยามมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะหยิบซองจดหมายวางไว้อยู่ตรงโต๊ะทำงานของรปภ.มาอ่าน

    “จดหมายถึงเรา? ทำไมถึงฉีดไม่ออก ทำมาจากอะไรเนี่ย” เจ้าของจดหมายบ่นระหว่างที่พยายามแกะซองออก

    แต่สุดท้ายหนิงจื่อฝูก็เลือกที่จะเก็บจดหมายของตัวเองเอาไว้ก่อนแล้วเดินไปยังทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ เพื่อกลับบ้านไปหาแฟนสาวของเขา

    “เวร ดันลืมคีย์การ์ดไว้ที่โรงแรม จำรหัสไม่เคยได้ซะทีนะเรา”

    ชายหนุ่มบ่นพร้อมทั้งยืนมองแป้นกดรหัสปลดล็อกประตูทางเข้าไปด้วยก่อนที่เขาจะตรงไปยังข้างในเต็นท์ที่จะเข้าไปสำรวจในตอนแรก

    ภายในมีเพียงโต๊ะและตู้ลิ้นชักอยู่ตรงสุดปลายทางพร้อมทั้งผ้าสีขาวตกแต่งเล็กน้อย ซึ่งมีรูปเจ้าภาพงานศพถูกตั้งเด่นตรงกลางโต๊ะพร้อมทั้งกระถางธูปและอ่างสำหรับเผากระดาษอยู่ที่พื้นไม่ไกลมากนัก

    “คุณตาชั้นสี่ตึกเรางั้นเหรอ? เป็นเขาเองสินะ” ชายหนุ่มพูดจบก็ก้มแสดงความเสียใจต่อรูปหน้าศพตรงหน้า

    ซึ่งคุณตานั้นอยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติหรือครอบครัว ทั้งหนิงจื่อฝูกับแฟนสาวจะช่วยเหลือเขาเป็นบางครั้ง ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนปากคอเราะรายกับคนรอบข้างเสมอ

    ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังคงเศร้าเสียใจกับภาพตรงหน้าอยู่ดี แต่คุณตาไม่มีใครเลย การจัดงานศพตรงนี้อาจจะเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาก็เป็นไปได้

    หนิงจื่อฝูเหลือบไปเห็นกระดาษสองสามแผ่นที่ถูกเย็บเล่มและวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ข้างผลไม้เซ่นไหว้

    ซึ่งอาจจะเป็นคำปรารถนาสุดท้ายของคุณตาที่คงทำขึ้นมาก่อนล่วงลับก็เป็นได้ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดอ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจ

    ข้อที่หนึ่งฉันไม่มีเมียหรือลูกสักคน คงดีถ้ามีคนมาทำพิธีศพให้ฉัน ข้อที่สองฉันโสดมาตลอดชีวิตแล้ว เผาหญิงสาวให้ฉันด้วย ข้อที่สามการเดินทางนั้นอีกแสนไกล เผาม้าให้ฉันด้วย

    ถ้าหากเติมเต็มคำปรารถนาของฉัน ฉันจะยกมรดกตกทอดของฉันที่อยู่ในลิ้นชักให้ แต่ถ้าไม่ทำตามที่ฉันขอ ฉันจะไม่ไปไหน แกก็อย่าหวังจะอยู่อย่างสงบสุขเลย!

    ฉันหมายถึงแกนั่นแหละ! หนิงจื่อฝู!

    “น-นั่นชื่อเรา? ทำไมต้องเป็นผมด้วยล่ะ? แถมหมึกยังไม่แห้งด้วยซ้ำเหมือนเพิ่งเขียนเมื่อกี้เลย” เจ้าของชื่อที่คุณตาเขียนถึงก็พูดพลางมองไปรอบ ๆ ราวกับถามสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่

    เมื่อหนิงจื่อฝูอ่านจบและกำลังจะไปยังทางออกก็สังเกตเห็นว่ารูปหน้าศพคุณตานั้นทำหน้าตาโกรธก่อนที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

    ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าออกจากเต็นท์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะนำรหัสจากกระดาษแผ่นสุดท้ายของคุณตานั้นปลดล็อกประตูทางเข้าสู่ตัวอาคารได้สำเร็จ

    ภายในตัวอาคารมืดสลัว มีเพียงแสงสีเขียวจากป้ายทางหนีไฟตรงบันไดของตัวอาคารเท่านั้นที่ยังพอจะทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ได้

    “ห้องเราอยู่ชั้นเก้างั้นขึ้นลิฟต์เอาดีกว่า” หนิงจื่อฝูเดินตรงไปที่ประตูลิฟต์ก่อนที่จะเห็นยันต์ติดที่ปุ่มกด เขาจึงดึงออกพร้อมทั้งเห็นชั้นล่าสุดที่ลิฟต์อยู่ “ลิฟต์เสียเหรอ? ชั้นใต้ดินมีแค่ชั้นเดียวไม่ใช่ แต่ทำไมมันถึงบอกลบสิบแปดล่ะ?”

    ชายหนุ่มลองกดปุ่มเรียกลิฟต์เท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใช้งานได้เลยก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินขึ้นบันไดที่อยู่ตรงข้ามลิฟต์

    “ชั้นหนึ่ง? ทำไมกลับมาชั้นเดิมล่ะ? ลองอีกรอบก็ได้” หนิงจื่อฝูอ่านเลขชั้นเหนือลิฟต์ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดอีกครั้ง “ช-ชั้นเดิม? รู้สึกแปลก ๆ แล้วแฮะ”

    ในระหว่างที่ชายหนุ่มยืนอยู่คนเดียวตรงบันไดของตัวอะพาร์ตเมนต์ กลับมีเสียงหัวเราะแหบแห้งจากที่ไหนสักแห่งดังแทรกขึ้นมา

    “เสียงหัวเราะนั้น เหมือนเสียงของตาชั้นสี่เลย แต่เขาตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

    บรรยากาศโดยรอบในตอนนี้ทำเอาหนิงจื่อฝูนั้นขนลุกขึ้นมาในทันทีก่อนที่เขาจะมองไปยังสิ่งที่เขาถือติดตัวมาด้วย

    “ถ้างั้นเอายันต์ที่เราได้มาไปให้นักบวชก่อน และก็จะได้ขอคำแนะนำจากเขาด้วย”

    ชายหนุ่มเดินออกไปยังนอกตัวอาคารพร้อมทั้งมองหานักบวชชราที่ขอให้เขาช่วยหาของทำพิธีก่อนหน้านี้ตรงประตูรั้ว

    โชคดีที่นักบวชคนนั้นยังอยู่ที่เดิมเหมือนว่ากำลังรอให้คนที่อยู่อีกฝั่งของรั้วประตูนำของมาคืนให้กับตน

    “เจอแค่ยันต์เท่านั้นหรือ? ของอย่างอื่นล่ะ?” นักบวชถามชายหนุ่มตรงหน้า

    “ไม่เจอครับ ผมเจอมันตรงลิฟต์และก็เจออะไรแปลก ๆ ด้วย ตอนที่ผมเดินขึ้นบันไดไปก็กลับมาที่ชั้นแรกเหมือนเดิม ท่านพอช่วยอะไรได้ไหมครับ?”

    “อืม คงเจอกำแพงผีสินะ ข้าเห็นว่ามีบางอย่างตามพ่อหนุ่มเพิ่มขึ้นด้วย อย่าถือสาที่ข้าต้องพูดตรง ๆ แบบนี้เลย เกรงว่าชีวิตของพ่อหนุ่มจะตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้านี้”

    เมื่อนักบวชพูดจบ หนิ่งจื่อฝูก็ตัดสินใจเล่าเรื่องแปลกประหลาดที่เจอมาในวันนี้อย่างคร่าว ๆ กับคนตรงหน้า

    “หากเป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว ครอบครัวทั้งสองฝ่ายจะหมั้นหมายให้ลูกคนโตของตระกูลแต่งงานกัน เพราะฉะนั้นคนที่พ่อหนุ่มต้องแต่งด้วยคือคนพี่ต่างหากล่ะ ดวงจิตของนางคือหยินบริสุทธิ์ เมื่อกลายเป็นวิญญาณจึงร้ายกาจมาก คงเพราะในวันที่พ่อหนุ่มแต่งงาน นางจึงใช้โอกาสที่ประตูปรโลกเปิดเพื่อกลับมาทวงคืน”

    “ถ้าอย่างงั้น ท่านหาวิธีช่วยพวกผมหน่อยนะครับ”

    “คงยาก เพราะถือว่าเป็นการขัดบัญชาระหว่างโลกและสวรรค์ จะใช้วิธีการธรรมดาคงไม่เป็นผล เท่าที่ข้าพอทำได้คือทำนายโชคชะตาของพ่อหนุ่มเท่านั้น” นักบวชพูดจบก็ทำการหยิบแผ่นกระดาษผืนใหญ่ที่ถูกพับเก็บไว้กับตัวนั้นส่งให้คนตรงหน้า “กางแผนภาพดาวห้าแฉกนี้ แล้วก่อนหน้านี้พ่อหนุ่มเห็นลางบอกเหตุใดก็ตาม จงวางเหรียญเหล่านี้ตามนั้น ข้าจะตีความสิ่งที่พ่อหนุ่มพบเจอเอง”

    หนิงจื่อฝูหยิบเหรียญที่เขียนชื่อธาตุทั้งห้าจากนักบวชชราก่อนที่จะวางแต่ละเหรียญลงตรงปลายแหลมรูปดาวของแผ่นกระดาษที่เขากางไว้แล้ว

    เมื่อเสร็จสิ้นนักบวชก็ถามวันเดือนปีเกิดของชายหนุ่มอีกครั้งพร้อมทั้งทำท่าทางจิ้มที่นิ้วมือราวกับกำลังคำนวณบางอย่างอยู่สักพักก่อนที่สีหน้าของชายชราจะเปลี่ยนไปในทันใด

    “มีอะไรงั้นเหรอครับ?”

    “ดวงจิตของพ่อหนุ่มก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน สามารถกระตุ้นสิ่งชั่วร้ายได้ง่าย นี้คงเป็นชะตากรรมของเจ้าเอง ข้าไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ อย่างไรก็ตามยันต์ที่ได้มานั้นไม่มีประโยชน์กับพ่อหนุ่มหรอก ข้ามีอันที่สามารถไล่ผีได้อยู่” นักบวชบอกพลางให้ยันต์อันใหม่กับหนิงจื่อฝู “เมื่อพ่อหนุ่มขึ้นไปชั้นบนได้แล้ว มองหายันต์เปล่าของข้าแล้ววาดลวดลายเดียวกันนี้ จากนั้นนำไปติดไว้ฝั่งซ้ายและขวาของประตู เพื่อป้องกันผีสาวคนนั้นเข้าไปในบ้านได้ หลังจากนั้นค่อยหารือกันใหม่”

    “ผมวาดยันต์ขึ้นมาใหม่จะได้ผลเหรอครับ?”

    “ได้ผลสิ สิ่งสำคัญของการวาดยันต์นั้นคือรูปทรงและเจตนา ไม่มีสิ่งอื่นสำคัญอีกแล้ว พ่อหนุ่มตั้งใจใช้ยันต์นั้นเพื่อปกป้องบ้าน มันก็จะมีประโยชน์”

    “แต่ผมยังขึ้นชั้นสองไม่ได้ด้วยซ้ำนะครับ เหมือนมีบางอย่างขวางทางผม ท่านพอทำอะไรได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มยังคงขอคำแนะนำต่อ

    “เป็นเรื่องง่ายดาย บางสิ่งที่น่ากลัวก็เบาะบางเกินไป พวกเขาอยู่ระหว่างสมดุลหยินหยางจึงมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะเห็นเมื่อมองผ่านสิ่งอื่นแทน อย่างมือถือที่สามารถทำให้เห็นในสิ่งที่เรามองไม่เห็นได้”

    “ขอบคุณครับ ท่านนักบวช ผมจะลองใช้ดู”

    หนิงจื่อฝูก้มขอบคุณก่อนที่จะเดินจากไป โดยที่ไม่รู้เลยว่านักบวชกำลังมองเขาพร้อมทั้งถอนหายใจยาวออกมาเบา ๆ อยู่

    “น่าเหลือเชื่อจริง ๆ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้วล่ะ”

    เมื่อได้หนทางไปต่อแล้ว หนิงจื่อฝูก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดกล้องถ่ายรูปส่องไปยังบันไดตัวอาคาร เพื่อดูสิ่งที่เขามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

    “ห-เห็นจริง ๆ ด้วย!” ชายหนุ่มตกตะลึงกับสิ่งที่กล้องถ่ายติดพร้อมทั้งมองลักษณะของคนที่ขวางทางอยู่ “คุณตากำลังขวางทางเราอยู่งั้นเหรอ?”

    คำถามถูกตั้งขึ้นมาในหัวของชายหนุ่มอีกข้อก่อนที่เขาจะลองเดินไปยังขั้นบันไดที่วิญญาณคุณตาคนนั้นไม่ได้ขวางเอาไว้เพื่อไขข้อสงสัย

    “ขึ้นมาชั้นสองได้แล้ว เขาพยายามขวางเราอยู่จริง ๆ สินะ”

    หนิงจื่อฝูดีใจทันทีที่เห็นเลขเหนือลิฟต์ไม่ใช่เลขเดิมเหมือนก่อนหน้านี้แล้วก่อนที่เขาจะใช้โทรศัพท์มือถือส่องอีกครั้งในการขึ้นไปยังชั้นบนต่อ

    เขาเดินขึ้นบันไดจนมาถึงชั้นที่สี่ของอะพาร์ตเมนต์ก่อนที่จะแวะพักเหนื่อยพร้อมทั้งสำรวจโดยรอบ

    “ถึงคุณตาจะเคยอยู่ชั้นนี้ แต่การวางตรงทางเดินแบบนี้ก็ทำเกินไปแล้วนะ” ชายหนุ่มมองยังรูปหน้าศพของคุณตาที่ถูกวางไว้ตรงพื้นข้างประตูห้อง “หน้าห้องของคุณตานี้แปลกชะมัด ตอนนี้คงเป็นห้องว่างแล้วสินะ แต่ทำไมต้องมีกริ่งสองฝั่งด้วยหรือว่าต้องกดกริ่งแล้วประตูจะเปิดงั้นเหรอ?”

    หนิงจื่อฝูเก็บข้อสงสัยในตอนนี้เอาไว้ก่อน เพราะอีกไกลกว่าจะถึงห้องของเขา เมื่อหายเหนื่อยแล้วก็ทำการใช้โทรศัพท์มือถือหลบคุณตาไปเรื่อย ๆ

    ถึงแม้ว่าจะต้องเจอรูปหน้าศพคุณตาที่ติดทั่วกำแพงของชั้นห้าก็ไม่อาจจะหยุดชายหนุ่มได้เลย จนกระทั่งเขามาถึงชั้นที่เจ็ดก็เจอกับกองไฟเล็กขวางทางบันไดแทนที่จะเป็นคุณตา

    “สีเปลวไฟดูแปลกมาก ของที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงอยู่คือ…ยันต์งั้นเหรอ?”

    หนิงจื่อฝูทำการลองเหยียบให้กองไฟตรงหน้าดับลง แต่ก็ไม่เป็นผลพร้อมทั้งของที่เขาพกมาก็มีแต่ทำให้เกิดกองไฟเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

    ชายหนุ่มจึงมองไปทั่วทั้งชั้นเพื่อหาวิธีก่อนที่จะเห็นเครื่องตรวจจับควันและสปริงเกอร์อยู่ด้านบนเพดาน

    คงเป็นสิ่งเดียวที่จะดับไฟได้แล้วในตอนนี้ ซึ่งการจะทำให้เครื่องทำงานสำหรับดับไฟนั้นก็คือต้องทำให้เกิดควัน

    หนิงจื่อฝูใช้ภาพวาดเก่าที่ได้มาระหว่างทางนั้นจุดไฟก่อนที่จะยื่นให้เครื่องส่งสัญญาณเตือน และแล้วน้ำจากสปริงเกอร์ก็เริ่มโปรยปราย

    จนทั้งเศษภาพวาดที่ชายหนุ่มถือพร้อมทั้งกองไฟแปลกประหลาดนั้นจะดับลง และในตอนนี้เขาก็สามารถเดินขึ้นไปชั้นต่อไปได้แล้ว

    เมื่อมาถึงชั้นที่แปดก็ได้เจอกับคนกระดาษที่มีรูปร่างขนาดเท่าหญิงสาวสวมชุดกี่เพ้ายืนอยู่ตรงสุดโถงทางเดินของชั้นนี้

    แต่ไม่ทันที่เขาจะได้เดินหรือทำอะไรต่อหลังจากที่เห็นสิ่งตรงหน้า คนกระดาษสาวก็วิ่งสวนเขาลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

    “คนกระดาษเหรอ? ขยับได้ยังไงกัน เหมือนวิ่งลงไปแล้ว”

    หนิงจื่อฝูตัดสินใจที่จะวิ่งตามหลังคนกระดาษสาวคนนั้นไป กระทั่งมันจนมุมตรงตู้จดหมายตรงชั้นแรกก่อนที่คนกระดาษสาวจะวิ่งสวนกลับขึ้นบันไดไปอีกครั้ง

    “หนีไปอีกแล้ว”

    ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนที่จะเริ่มวิ่งตามหลังสิ่งนั้นขึ้นไปชั้นบนใหม่ โดยที่ยังคงต้องส่องหลบคุณตาไม่ให้ขวางทางเดิน

    และแล้วการไล่ล่าก็สิ้นสุดลง เมื่อคนกระดาษสาวได้วิ่งตรงไปยังหน้าห้องตรงชั้นที่สี่ ซึ่งเคยเป็นห้องของคุณตาคนนั้น

    หนิงจื่อฝูไม่เห็นคนกระดาษสาวคนนั้นแล้วจึงใช้โทรศัพท์ดูก็เห็นว่าสิ่งที่เขาวิ่งไล่ตามก่อนหน้านี้กำลังได้ทำการปลดล็อกประตูห้องตรงหน้าเขาแล้ว

    ชายหนุ่มมองยังประตูห้องที่ค่อย ๆ เปิดออกพร้อมกับความมืดที่ปกคลุมไปทั่วจนไม่เห็นภายในห้องนั้น มีเพียงคนกระดาษสาวเท่านั้นที่มายืนนิ่งอยู่ตรงประตู

    ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้คนกระดาษสาวตรงหน้าจะขยับไปมาได้ แต่เมื่อหนิงจื่อฝูได้ลองจับดู มันก็เป็นแค่กระดาษที่ทำให้มีขนาดเท่าคนก็แค่นั้น

    หรือนี่อาจจะเป็นหนึ่งในคำปรารถนาของคุณตาที่เขาจะต้องทำให้ เพียงแค่นำคนกระดาษสาวคนนี้ไปเผายังหน้ารูปหน้าศพคุณตา

    และเมื่อการเผาคนกระดาษสาวเสร็จสิ้น รูปหน้าศพคุณตาก็มีหญิงสาวยืนอยู่ข้าง ๆ ที่หน้าตาคล้ายกับคนกระดาษเพิ่งถูกเผาไปให้พร้อมทั้งเสียงลิ้นชักที่ถูกเปิดออก

    “นี้มันหูยกโทรศัพท์ตั้งโต๊ะของรปภ.ไม่ใช่เหรอ ดีที่สายยังพอใช้ได้น่าจะต่อกับตัวเครื่องได้อยู่ สุขภาพคุณตาก็ไม่ค่อยดี ทางนิติบุคคลเลยติดตั้งโทรศัพท์ฉุกเฉินไว้เผื่อตอนที่คุณตาขอความช่วยเหลือ แต่ได้ยินมาว่าเขามักจะโทรไปคุกคามซะมากกว่า”

    หนิงจื่อฝูหยิบโทรศัพท์จากลิ้นชักชั้นบนของตู้ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะพลางนึกถึงวีรกรรมของคุณตาก่อนที่จะเอาสิ่งที่ได้มาไปเชื่อมต่อสายกับตัวเครื่องที่อยู่ตรงป้อมยาม

    “โทรศัพท์ดังแฮะ ใครโทรมากัน?” ชายหนุ่มยกหูโทรศัพท์ตั้งโต๊ะขึ้นรับสาย

    “ลิฟต์-เป็น-ของ-แก-แล้ว”

    “เสียง…คุณตาชั้นสี่เหรอครับ?”

    หนิงจื่อฝูถามออกไป แต่ปลายสายของโทรศัพท์ตั้งโต๊ะนั้นก็ไม่มีการส่งเสียงใด ๆ ต่ออีกเลย เหลือแค่ประโยคที่คุณตาบอกกับเท่านั้นที่ชายหนุ่มได้รับมาและพอจะจับใจความได้ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังลิฟต์

    ในตอนนี้ลิฟต์กลับมาใช้งานได้อย่างปกติ ยกเว้นเพียงว่าปุ่มชั้นที่เป็นห้องของหนิงจื่อฝูนั้นจะหายไปราวกับตั้งใจไม่ให้เขากลับบ้านได้เร็ว ๆ นี้

    คงทำได้แค่ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่แปดและเดินบันไดไปต่อ แต่เมื่อจะทำอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ถูกพาตัวกลับมายังชั้นที่หนึ่งเหมือนเดิม ซึ่งอาจจะเพราะว่าถูกคุณตาขวางทางเอาไว้แน่

    หนิงจื่อฝูกลับขึ้นไปชั้นที่แปดอีกครั้งและใช้โทรศัพท์ส่องทางเดินบันไดก่อนที่เขาจะเห็นคุณตาสองคนยืนขวางทางบันไดทั้งขึ้นและลง แสดงว่าเขาต้องหาม้ามาเผาให้คุณตาตามคำปรารถนาก่อน

    คงอีกไม่นานเท่าไหร่กับการตามหาของสิ่งสุดท้ายที่คุณตาต้องการ เพราะเหลือแค่ชั้นใต้ดินเท่านั้นที่ชายในชุดเจ้าบ่าวนั้นยังไม่ได้ไปสำรวจ ซึ่งอาจจะมีสิ่งที่เขาต้องการก็ได้

    และเป็นไปดังที่คาดการณ์ไว้ ภายในหลังรถยนต์คันหนึ่งมีม้ากระดาษขนาดใหญ่อยู่ หนิงจื่อฝูจึงอุ้มม้ากระดาษที่ได้มาไปยังเต็นท์และทำการเผาทันที

    รูปหน้าศพของคุณตาก็มีม้าเริ่มปรากฎเป็นพื้นหลังของภาพแล้วพร้อมทั้งเสียงลิ้นชักเปิดออกอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้กลับเป็นลิ้นชักชั้นล่างแทน

    “บางครั้งคุณตาก็จะชอบใช้กล้องส่องทางไกลมองไปยังตึกตรงข้าม ลูกบ้านฝั่นนั้นที่โดนแอบส่องก็รายงานเรื่องกับนิติบุคคลแล้ว แต่ก็ยังทำอะไรแกไม่ได้ซะที”

    หนิงจื่อฝูหยิบมรดกที่คุณตามอบให้ชิ้นสุดท้ายพร้อมทั้งส่ายหน้าทันทีที่นึกถึงวีรกรรมอีกอย่างของชายชราล่วงลับไปแล้ว

    และดูเหมือนว่าจะยังไม่จบลงง่าย ๆ เพราะเมื่อเขากลับมาชั้นที่แปดเพื่อเดินขึ้นบันไดก็ยังคงเห็นคุณตาสองร่างกำลังขวางทางเหมือนเดิมผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือ

    ชายหนุ่มจึงลองใช้กล้องส่องทางไกลที่ได้มานั้นส่องไปยังฝั่งตรงข้ามจากหน้าต่างของตัวตึกเพราะมองหาคนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้

    แต่ทันทีที่เขาลดกล้องส่องทางไกลลงเมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติมากก็เจอกับคุณตาที่โผล่หน้าเข้ามาทางหน้าต่าง จนหนิงจื่อฝูตกใจหงายหลังไป

    ชายหนุ่มคิดไม่ตกเลยว่าการที่เขาให้ทั้งคนกระดาษและม้ากระดาษตามที่คุณตาขอแล้ว ทำไมยังถึงแกล้งเขาและไม่ยอมให้กลับบ้านซะที

    หนิงจื่อฝูกลับไปชั้นใต้ดินอีกครั้งก่อนที่จะลองหาของที่อาจจะให้กับคุณตาเพิ่มเติมอีก คงจะเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อาจจะพอให้คุณตาได้

    การให้ของกับคุณตาในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเผาไป เพียงแค่วางนาฬิกาลงบนตู้ลิ้นชักที่โล่งอยู่ก่อนที่เสียงลูกตุ้มนาฬิกาจะดังขึ้นทั้งที่มันยังไม่ได้ใส่ถ่านเลย

    “นี้คงไป ‘สู่สุคติ’ จริง ๆ แล้วนะ คุณตา…กำลังยิ้ม?” ชายหนุ่มมองรูปหน้าศพคุณตาที่ส่งยิ้มให้ “สงบลงแล้วใช่ไหมครับ? ผมหวังว่าคุณตาจะไม่ขวางทางผมแล้วนะครับ”

    หนิงจื่อฝูถามรูปหน้าศพคุณตาก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปข้างในอะพาร์ตเมนต์และใช้ลิฟต์ขึ้นชั้นที่แปด และดูเหมือนว่าที่เขาทำไปนั้นจะได้ผล

    เมื่อไม่มีวิญญาณคุณตาขวางทางเดินบันไดทั้งสองฝั่งแล้ว ชายหนุ่มก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นเป้าหมาย ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุดของอะพาร์ตเมนต์นี้

    “โมฉี คุณอยู่ในบ้านหรือเปล่า?”

    หนิงจื่อฝูตะโกนถามผ่านประตูห้องของเขาและแฟนสาว หลังจากที่ผ่านพ้นอุปสรรคระหว่างทางมาสำเร็จจนได้

    “จื่อฝูเหรอ? จื่อฝูจริง ๆ ใช่ไหม? ถอยไปหน่อยนะ ฉันจะใช้ตาแมวส่องดู” เสียงแฟนสาวของเขาดังจากหลังประตูก่อนที่หนิงจื่อฝูจะทำตามที่เธอบอก “ว้าย! ผู้หญิงชุดขาวคนนั้นอยู่ข้างหลังคุณ ฉันไม่กล้าเปิดประตู”

    “ผู้หญิงชุดขาว? ผมไม่เห็นเธอเลย คุณเห็นตรงไหน?” ชายหนุ่มถามพลางมองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อหาคนที่ว่า

    “เธอ…หายไปแล้ว ฉันไม่อยากเปิดประตู จื่อฝู ทำอะไรสักอย่างสิ”

    “ไม่ต้องกลัวนะ โมฉี นักบวชบอกผมมา ถ้าผมเอายันต์ติดไว้หน้าประตู ผู้หญิงคนนั้นก็เข้าไปไม่ได้แล้ว”

    “งั้นรีบติดเถอะ ฉันกลัวไปหมดแล้ว”

    สิ้นเสียงของหญิงสาว หนิงจื่อฝูก็ทำการเอายันต์ที่ได้มาและยันต์ที่เขาลอกลวดลายแล้วนั้นติดยังประตูห้องตามคำแนะนำที่ได้มา

    “ผมติดยันต์เรียบร้อยแล้วนะ โมฉี เปิดประตูเถอะ”

    “เสร็จแล้วเหรอ? งั้นฉัน…เปิดประตูแล้วนะ”

    เนียโมฉีทำการเปิดประตูห้องอย่างช้า ๆ อย่างระมัดระวังก่อนที่แฟนหนุ่มจะรีบเข้าไปเหมือนกลัวว่าจะมีใครตามหลังเขาเข้าไปด้วย

    “โชคดีที่คุณปลอดภัย ไม่บาดเจ็บอะไรใช่ไหม? โมฉี ผมเป็นห่วงคุณมากเลยรู้ไหมตอนที่ติดต่อหาคุณไม่ได้น่ะ” ชายหนุ่มถามพลางเข้าไปสำรวจแฟนสาวโดยละเอียด

    “ฉันปลอดภัยดี คุณก็ปลอดภัยใช่ไหม? จื่อฝู เมื่อเช้าฉันตื่นมาก็ไม่เห็นคุณเลย นึกว่าไปโรงแรมก่อนแล้วเพื่อซ้อมทำพิธีแต่งงาน ฉันเลยรีบตามไปน่ะ แต่พอไปถึงก็ไม่เจอใครเลย มีแค่ผู้หญิงหน้าตาเหมือนฉันอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวและเธอก็ไล่ตามฉันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ พอฉันเจอคุณที่โรงแรม ผู้หญิงคนนั้นก็พาตัวฉันออกไป แต่ฉันก็รอดมาได้และคุณก็ไม่อยู่ห้องนั้นแล้ว ฉันพยายามโทรหาคุณแต่ก็ไม่มีสัญญาณ ฉันเลยมาหาคุณที่บ้าน”

    “แล้วทำไมคุณถึงให้ผมไปที่หมู่บ้านจางหลิงล่ะ? โมฉี คุณรู้อะไรมางั้นเหรอ?”

    “อ๋อ เมื่อหลายวันก่อนฉันเจอนักบวชคนหนึ่ง เขาบอกว่าฉันจะมีเคราะห์ สาเหตุมาจากพี่น้องในครอบครัว ฉันคิดว่าเขาทำนายมั่วซั่วเพราะฉันเป็นลูกคนเดียว แต่ว่า...” เนียโมฉีเงียบไปครู่หนึ่ง “พอฉันได้เจอผู้หญิงคนนั้นในวันนี้ ฉันจำได้ว่าสมัยเด็กเคยเห็นเธอตรงสุสานหมู่บ้าน เธอเหมือนฉันมากเลย แต่พอจะไปหาเธอก็หายไปแล้ว หลังจากนั้นฉันก็เจอเธออยู่บ่อย ๆ จากที่ไกล ๆ ยิ่งมองยิ่งเหมือนส่องกระจกอยู่เลย อย่างกับเธอเติบโตไปพร้อมกับฉัน ฉันเคยเล่าให้พ่อแม่ฟังแล้ว แต่พวกท่านไม่เชื่อและคิดว่าฉันตาฝาดไปเอง เพราะงั้นถ้าฉันเจออะไรแปลก ๆ มันอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงชุดขาวที่เจอในหมู่บ้านก็ได้ แล้วเธอเป็นคนหรือผีล่ะ หรือว่าเป็นร่างจำแลงตามตำนานหรือเปล่า?”

    เมื่อเห็นว่าแฟนสาวเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงชุดขาวมาแล้ว หนิงจื่อฝูจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวความจริงที่เขาพบเจอมาตลอดทั้งวันให้เธอฟัง

    “อะไรนะ? เธอคือ…พี่สาวฝาแฝดของฉัน? มิน่าล่ะ พวกชาวบ้านเล่าว่าพ่อแม่ทิ้งเด็กไปคนหนึ่ง พวกท่านก็บอกฉันว่าเป็นแค่ข่าวลือ ที่แท้มันเป็นเรื่องจริงสินะ…สงสารพี่สาวจัง เธอถูกทิ้งเพราะธรรมเนียมงี่เง่าพวกนั้น แล้วเราควรทำยังไงดีล่ะ? นักบวชที่คุณเจอจะช่วยเราได้ใช่ไหม”

    หนิงจื่อฝูรับฟังเนียโมฉีก่อนที่เขาจะลงไปชั้นล่าง เพื่อเชิญนักบวชและเมื่อหญิงสาวได้เห็นคนที่แฟนหนุ่มพาเข้ามาในห้องนั้นก็ทำหน้าตกตะลึง

    “เอ๋? ท่านคือนักบวชที่เคยทำนายฉันเมื่อวันก่อน ฉันขอโทษจริง ๆ นะคะที่ตอนนั้นไม่เชื่อท่าน โปรดช่วยพวกเราด้วย เรายินดีถวายเครื่องหอมให้ท่านทุกเดือนเลย”

    “ช่างน่าอนิจจา ดูเหมือนว่าข้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องของพวกเจ้าจนได้สินะ เมื่ออาทิตย์อัสดง พลังหยินจะยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อนั้นเราต้องจัดการให้ทันก่อนประตูปรโลกจะเปิดตอนเที่ยงคืน ไม่อย่างนั้นแม้แต่เหล่าทวยเทพจะไม่สามารถช่วยพวกเจ้าได้”

    นักบวชหยิบกระดาษยันต์ที่ถูกตัดรูปร่างให้เหมือนผู้หญิงก่อนที่จะเขียนบางอย่างบนกระดาษยันต์นั้นด้วยนิ้วมือของเขาเอง

    “หากเป็นไปตามที่เจ้าบอก นางถูกทิ้งไว้ที่วัดเฉิงหวง วิญญาณของนางจึงยังคงวนเวียนอยู่ที่นั่นเป็นแน่ คงเกิดเรื่องบางอย่างแปลก ๆ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของนางด้วยเช่นกัน ข้าได้เขียนชื่อนางลงยันต์นี้แล้ว นำมันไปที่วัดแห่งนั้น เพื่อร้องทุกข์กับเหล่าทวยเทพ และท่านจะนำตัวนางกลับปรโลก” นักบวชบอกกับหนิงจื่อฝูพร้อมทั้งยื่นกระดาษยันต์ในมือให้เขา “การร้องทุกข์นี้จะต้องเป็นผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่นางอาฆาตน้องสาวของตน ดังนั้นพ่อหนุ่มต้องไปจัดการนางด้วยตัวเจ้าเอง ส่วนภรรยาของเจ้าควรหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปก่อน พ่อหนุ่มยังพอมีเวลาเพราะนางต้องรอให้ประตูปรโลกเปิดเท่านั้นจึงจะเอาวิญญาณของเจ้าไปได้”

    “ขอบคุณครับ ท่าน ผมจะจัดการให้เร็วที่สุด รอผมอยู่ที่นี่นะ โมฉี”

    “ระวังตัวด้วยนะ จื่อฝู” เนียโมฉีอวยพรกับชายคนรักก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป


    «บทที่สี่ กลับบ้าน»

    วัดเฉิงหวงอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านจางหลิงเท่าไหร่ แต่เส้นทางไปยากเย็นพอสมควร ว่ากันว่าที่แห่งนั้นเคยเป็นสนามรบมาก่อน และตัววัดก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อฝังความเคียดแค้นเอาไว้

    “นักบวชบอกว่าพลังหยินจะแข็งแกร่งมากในวันสารทจีนแบบนี้ เลยอาจจะเห็นวิญญาณได้โดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์ เพราะงั้นรีบทำให้เสร็จก่อนจะมืดดีกว่าจะได้ไม่ยุ่งยากไปกว่านี้”

    หนิงจื่อฝูพูดกับตัวเองในระหว่างที่อยู่ตรงทางเดินเข้าสู่ตัววัด หลังจากที่ขับรถมาถึงจุดหมายได้สักพักนึงแล้ว

    บรรยากาศโดยรอบไม่มีแสงไฟใด ๆ เลย มีเพียงแสงจากหลังประตูวัดที่ถูกเปิดออกเล็กน้อยเท่านั้นที่พอจะทำให้มองเห็นเส้นทางได้

    ชายหนุ่มเดินถือกระดาษยันต์ที่เป็นรูปผู้หญิงเอาไว้แน่นแล้วมุ่งตรงเข้าไปยังภายในตัววัดที่เปิดต้อนรับอยู่

    “นี่คือเทวรูปของทวยเทพเฉิงหวงที่นักบวชบอกสินะ ต้องวางกระดาษยันต์ไว้ที่แท่นพิธี ใช้พู่กันวาดภาพแล้วค่อยเขียนบนกระดาษคำร้อง แค่นี้ก็เสร็จแล้วสินะ”

    หนิงจื่อฝูเดินตรงไปยังแท่นพิธีที่ตั้งอยู่ใกล้เทวรูปก่อนที่จะเปิดอ่านหนังสือที่วางไว้อยู่แล้ว ซึ่งหน้าปกเขียนว่าบันทึกภพภูมิยมโลกอาจจะบอกขั้นตอนการร้องทุกข์ที่ถูกต้องกับเขาก็ได้

    ทวยเทพแห่งวัดเฉิงหวง ผู้พิพากษาหยินหยาง มอบรางวัลผู้ทำดี ลงโทษผู้ทำผิด

    หากเป็นดวงวิญญาณหยิน ให้เขียนนามของผู้นั้นบนกระดาษยันต์รวมไปถึงวาดดาวมรณะบนกระดาษตามลำดับ

    ขั้นตอนต่อไปเขียนกระดาษคำร้อง หากคนเป็นกล่าวหาคนตาย จงเขียนว่า กล่าวหา แต่หากคนตายกล่าวหาคนเป็น จงเขียนว่า อยุติธรรม

    หลังจากนั้นเผากระดาษยันต์เพื่อให้ทวยเทพตัดสินให้รู้แจ้ง

    ยมทูตขาวและยมทูตดำเป็นผู้ควบคุมดินแดนวิญญาณ แต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    ยมทูตขาวมีลิ้นยาว◇ฟุต และหมวกสูง□ ที่สลักประโยคว่า พบข้าจักนำโชคสู่ชีวิต ผู้ปกครองในยามอรุณขึ้นสู่ฟ้า

    ยมทูตดำสูงห้าฟุตและหมวกอยู่บนมือที่สลักประโยคว่า โลกจักพบความสันติสุขร่มเย็น ผู้ปกครองในยามราตรีมาถึง

    ตำนานกล่าวว่ายมทูตดำเห็นแก่เงินตรา จึงต้องนำเงินปิดบังใบหน้า เพื่อปกป้องดวงวิญญาณหรือผู้ใกล้หมดอายุขัยได้อยู่จนยามรุ่งสาง

    เมื่อครั้งหยินหยางอ่อนแอจนถูกแยกออกจากกัน หากในบางครั้งได้พบเห็นขบวนวิญญาณที่โลกคนเป็น นั่นคือเส้นทางที่เหล่าทหารผีใช้เดินทาง คนเป็นควรหลีกเลี่ยง

    ผู้ถือป้ายสีเหลือง คือ ผู้มีอำนาจในคราวมีชีวิต เป็นผู้นำขบวน

    ผู้ถือป้ายสีแดง คือ ผู้ไม่ปล่อยวางหนี้กรรมคราวมีชีวิต อยู่ในตำแหน่ง△เสมอ

    ผู้ถือป้ายสีเขียว คือ ผู้ประจบและกดขี่ผู้อื่นคราวมีชีวิต อยู่ในตำแหน่ง▽เสมอ

    ดวงวิญญาณจะข้ามผ่านประตูปรโลกไปได้ก็ต่อเมื่อปล่อยวางจากสิ่งต่าง ๆ ของโลกคนเป็นได้แล้ว เพื่อที่จะข้ามสะพานและวนเวียนเริ่มต้นชีวิตใหม่

    สิ่งของในโลกคนเป็นไม่สามารถใช้ในยมโลกได้โดยตรง จึงต้องใช้วัตถุจากกระดาษและเผาส่งยังดวงวิญญาณที่ต้องการเท่านั้น

    น้ำภายในยมโลกนั้นมีมลทินและเยือกเย็น เหล่าญาติสนิทจึงต้องเผาสัตว์กระดาษให้กับผู้ล่วงลับ เพื่อให้สัตว์กระดาษตัวนั้นได้ดื่มน้ำที่ขวางทาง ผู้ล่วงลับชายให้เผาม้า ผู้ล่วงลับหญิงให้เผาวัว

    ยามเช้าคือหยาง ค่ำคืนคือหยิน

    ผู้พิทักษ์ปกป้องอยู่ภายใต้ธาตุทั้งห้า

    ยมทูตขาวและยมทูตดำ ต่างคอยรับผิดชอบช่วงกลางวันและกลางคืน

    ทั้งปีศาจหัววัวและปีศาจหัวม้านั้น ไม่ใช่เป็นธาตุไม้

    ธาตุไฟเป็นหยาง ส่วนธาตุน้ำคือหยิน

    ปีศาจหัวม้า ไม่ใช่ธาตุดิน

    ยมทูตขาวไม่ปรากฏหลังตะวันตกดิน

    หนังสือหน้าสุดท้ายจบลง หนิงจื่อฝูก็ทำตามขั้นตอนที่หนังสือบอกทีละอย่าง โดยวางกระดาษยันต์ที่เขาพกมาด้วยนั้นวางตรงถาดข้าง ๆ หนังสือ

    ชายหนุ่มถอยไปหาโต๊ะแท่นสำหรับเขียนที่อยู่ตรงกลางวัดก่อนที่จะสังเกตว่าบนโต๊ะมีแค่กระดาษเท่านั้น อุปกรณ์ใช้เขียนกลับไม่มีเลย

    และการสำรวจที่นี่ก็เริ่มต้นขึ้น ซึ่งชายหนุ่มในชุดเจ้าบ่าวตัวเดิมนั้นเดินตรงยังโต๊ะฝั่งซ้ายที่มีกระดาษกองอยู่จำนวนมากก่อนที่จะลองเปิดดูในลิ้นชักโต๊ะทีละชั้น

    ลิ้นชักชั้นบนถูกเปิดออกก็เจอกับใบหน้าของคนกระดาษเด็กที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ จนชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยก่อนที่คนกระดาษเด็กคนนั้นจะหายไปต่อหน้าเขา

    “ท-ทำไมเด็กคนนั้นมาที่นี่ล่ะ?” ข้อสงสัยถูกตั้งขึ้นเหมือนอย่างเคย

    แต่เมื่อได้พู่กันสำหรับขีดเขียนจากลิ้นชักมาแล้ว หนิงจื่อฝูก็กลับเข้าไปในตัววัดเพื่อวาดดาวมรณะบนกระดาษตามขั้นตอนอย่างรวดเร็ว

    “เราต้องเขียนว่า ‘กล่าวหา’ แค่นั้นสินะ”

    ชายหนุ่มทวนขั้นตอนต่อไป แต่ยังไม่ทันที่พู่กันจะแตะกระดาษร้องทุกข์ผืนใหญ่ คนกระดาษเด็กคนนั้นก็วิ่งผ่านหน้าเขาพร้อมหยิบยันต์จากถาดไปด้วย

    “ยันต์โดนขโมยไปแล้ว ต้องรีบตามไปเอาคืน” หนิงจื่อฝูบ่นพร้อมทั้งวิ่งตามคนกระดาษเด็กที่เปิดประตูฝั่งซ้ายเอาไว้

    ด้านหลังประตูที่เขาวิ่งเข้าไปมีรูปปั้นหน้าตาประหลาดอยู่ฝั่งซ้ายและขวาอย่างละตัวของทางเดินไปสู่ประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท ส่วนคนกระดาษเด็กอยู่ตรงเสาฝั่งหนึ่งของประตูใหญ่นั้น

    หนิงจื่อฝูเดินเข้าไปจับตัวคนกระดาษเด็ก แต่กลับกลายเป็นว่าจับได้แค่อากาศและร่างของคนกระดาษเด็กคนนั้นก็หายไปพร้อมกับยันต์ที่ถูกขโมยก็ปลิวหล่นลงพื้น

    “ส-เสียงอะไรน่ะ?” ชายหนุ่มมองรอบข้างเพื่อหาต้นทางของเสียง ในระหว่างที่กำลังจะก้มเก็บยันต์ “เชี้ย!…อะไรเนี่ย? มาจากไหนกัน?”

    เหล่าคนสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าพร้อมถือป้ายคละสีที่มาจากทางไหนก็ไม่รู้ก็ต่างเดินขบวนผ่านตรงหน้าหนิงจื่อฝู จนเจ้าตัวเกือบดีดตัวถอยหลังหลบได้ทัน

    ตอนนี้ขบวนแปลกประหลาดก็ขวางทางเขากับประตูบานใหญ่ ซึ่งชายหนุ่มไม่ได้สนใจมากนักเพราะกำลังจะหยิบเสี้ยวหยกใต้รูปปั้นที่เห็นอยู่ในตอนนี้

    เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากของรูปปั้น จนคนที่อยู่ใกล้อย่างเขาต้องรีบปิดหูทั้งสองข้างและถอยห่างทันที

    “แก้วหูเกือบแตก…รูปปั้นร้องได้ด้วยเหรอ? เหมือนมันพยายามไม่ให้เราหยิบของตรงฐานไปสินะ”

    หนิงจื่อฝูตั้งข้อสันนิษฐานพร้อมลูบหูหลังจากเสียงกรีดร้องเงียบลงก่อนที่จะเดินกลับไปยังโต๊ะแท่นพิธีเพื่อวางยันต์ที่ถูกขโมยไปกลับมาไว้ตรงถาดเหมือนเดิม

    “เหลือแค่เขียนคำร้อง” ยังไม่ทันที่เขาจะได้หันไปเขียนร้องทุกข์ ชายชราคนหนึ่งก็วิ่งมาขโมยยันต์ไปอีกตน “ค-คุณตามาขวางกันอีกแล้ว ทำไปทำไมกัน?”

    ชายหนุ่มเริ่มถอนหายใจพร้อมทั้งตามวิญญาณคุณตาที่วิ่งผ่านประตูอีกฝั่งของเทวรูปไป ภายในห้องนั้นมีเทวรูปยมทูตขาวและยมทูตดำยืนอยู่คนละฝั่งของฐานป้ายวิญญาณ

    ตอนนี้ยันต์ถูกเก็บซ่อนไว้ในนาฬิกาที่เขาเคยให้กับคุณตา ซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าเทวรูปยมทูตดำ และดูเหมือนว่าประตูกระจกของนาฬิกาจะล็อกอยู่

    หนิงจื่อฝูพยายามแก้จนปลดล็อกได้สำเร็จและยันต์รูปทรงผู้หญิงก็กลับคืนมาที่เขาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเอามันไปไว้ที่ถาดเหมือนเดิม

    “ครั้งนี้คงไม่มีใครมาขวางอีกแล้วนะ”

    เสียงบ่นของมนุษย์เพียงคนเดียวในวัดแห่งนี้ดังขึ้นมาก่อนที่เขาจะเดินไปโต๊ะพิธีและเตรียมเขียนร้องทุกข์ครั้งที่สอง

    แต่ยังไม่ทันที่พู่กันจะแตะกระดาษร้องทุกข์ ตัวอักษรจีนสีแดงก็ถูกเขียนตัดหน้าเขา ซึ่งคำคำนั้นถูกเขียนซ้ำจนกระดาษเปลี่ยนสีไปทั่วทั้งผืน

    “คำที่ปรากฏ ‘อยุติธรรม’ งั้นเหรอ? คุณหรือเปล่า? เนียโมลี่ หมายถึงคุณไม่ได้ความยุติธรรมงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ยันต์ก่อนที่ชื่อคนคนหนึ่งจะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา “ชื่อบนยันต์…ทำไมเป็นโมฉีล่ะ? ไม่จริงน่า”

    หนิงจื่อฝูยืนนิ่งช็อกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าพร้อมทั้งคำถามมากมายขึ้นมาเต็มไปหมดก่อนที่คนกระดาษหญิงชราจะหยิบยันต์ไปต่อหน้าเขา

    ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรก็ถูกคนกระดาษชายชราหน้าตาคุ้นเคยวิ่งผ่านชายหนุ่มไป ซึ่งคนกระดาษทั้งสองนั้นมีหน้าตาคล้ายคนกระดาษที่เขาเจอที่โรงแรมก่อนหน้านี้

    “พู่กันโดนขโมยไปด้วย แล้วอะไรที่พื้นล่ะ? คุณพ่อ…คุณแม่ต้องการจะบอกอะไรผมงั้นเหรอครับ?”

    ทันทีที่ชายหนุ่มตั้งสติได้ก็สำรวจและถามอากาศรอบข้างก่อนที่จะก้มลงเก็บของที่คนกระดาษทิ้งเอาไว้ตอนที่พวกท่านวิ่งผ่านเขาไป

    หนิงจื่อฝูใส่ชิ้นส่วนที่ได้มาตรงกระดานข้าง ๆ ก่อนที่ป้ายจะหลุดออกมา จนเหลือแค่ม่านสีขาวสว่างเหมือนเป็นฉากการแสดงบางอย่างพร้อมทั้งหนังสือการแสดงหุ่นเงาที่แขวนอยู่ใกล้ ๆ

    การแสดงหุ่นเงาแต่เดิมเป็นการแสดงผี เมื่อคราจักรพรรดิหวู่ราชวงค์ฮั่นได้สูญเสียนางหลี่ นางสนมอันเป็นที่รักไป ด้วยความคิดถึงหญิงคนรักจึงสั่งให้นักบวชลัทธิเต๋าผูกดวงวิญญาณของนางเข้ากับหุ่นเงา หุ่นเงานั้นขยับได้ราวกับนางสนมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งทำให้จักรพรรดิชอบพอใจเป็นอย่างยิ่ง

    และแล้ววิธีการนี้ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่มีข่าวลือว่าเมื่อใดที่ประตูปรโลกเปิดออก การแสดงหุ่นเงาจะถูกจัดขึ้นในยมโลก ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับพยายามสิงสู่หุ่นเงาคล้ายตนเพื่อเล่าเรื่องราวสาเหตุการตาย แต่ยังไม่มีใครรู้วิธีการที่แท้จริงและทำสำเร็จได้เลย

    เมื่ออ่านเรื่องราวจบ ชายหนุ่มก็มองที่ฉากว่างเปล่าตรงหน้าอีกครั้งก่อนที่จะหาหุ่นเงาใกล้ ๆ แต่ก็ไม่มี

    หนิงจื่อฝูเลยจะเดินสำรวจโดยรอบวัดเฉิงหวงทั้งภายในและนอกอย่างละเอียดก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเหลือเสี้ยวหยกที่เขายังไม่ได้เก็บ

    ถ้าหากรูปปั้นสามารถกรีดร้องได้ อาจจะหมายถึงมันใช้ปากเหมือนคนปกติทั่วไป ชายหนุ่มจึงเดินไปที่โต๊ะฝั่งขวาที่เป็นเหมือนโต๊ะสำหรับทำอาหาร

    “ทำไมเครื่องเยอะขนาดนี้เนี่ย? พวกชาวบ้านเอาไว้ถวายสินะ”

    ชายหนุ่มพึมพำพลางมองแป้งดิบที่มีอยู่เต็มถ้วยขนาดใหญ่และถั่วบดที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะอ่านกระดาษที่วางอยู่ ซึ่งเป็นวิธีการทำอาหาร

    วิธีการทำเค้กถั่ว: วางแป้งบนโต๊ะและใช้ไม้นวดแป้งรีดให้แบนใส่ไส้ถั่วบดก่อนที่จะห่อเป็นก้อน หลังจากนั้นนำไปลงหม้อปิดฝาให้มิดชิดเพื่อนึ่งเอาไว้สักระยะ

    วิธีการทำแป้งกาว: นำแป้งลงหม้อผสมกับน้ำและคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน

    หนิงจื่อฝูอ่านจบก็วางอุปกรณ์ที่เก็บมาได้มาช่วยเบาแรงในการนวดแป้งก่อนที่จะไปยังกระทะยักษ์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล

    ชายหนุ่มก้มลงนั่งพื้นเพื่อก่อไฟสำหรับทำอาหารก็เห็นรูปถ่ายครอบครัวตระกูลเนียที่ถูกเผาไปแล้ว จนเหลือแค่หน้าของพ่อแม่เท่านั้นอยู่ในกองขี้เถ้า

    “ทำไมรูปอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” ข้อสงสัยใหม่เพิ่มเข้ามาเพราะเขาทำรูปถ่ายนี้ตกบ่อน้ำไปแล้ว แต่ทำไมถึงเจอตรงนี้

    หนิงจื่อฝูเก็บรูปถ่ายเอาไว้ก่อนเพราะยังมีอะไรให้เขาให้ทันเวลาอยู่ และเมื่อทำเสร็จก็ลองนำไปให้รูปปั้นแปลกประหลาดนั้นกินดู

    “รูปปั้นกินได้จริง ๆ ด้วย” ชายหนุ่มมองสิ่งอัศจรรย์ตรงหน้าก่อนที่จะก้มลงไปหยิบเสี้ยวหยกที่ฐานรูปปั้น “ทำไมยังร้องอยู่อีกล่ะ ให้ของกินไปไม่ได้ผลงั้นเหรอ? แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย?”

    เสียงกรีดร้องยังคงส่งเสียงเหมือนเดิมจนเขาต้องถอยออกห่างอีกครั้งก่อนที่จะนึกวิธีการทำให้รูปปั้นไม่ส่งเสียงจนได้

    เค้กถั่วถูกทำขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้จะผสมแป้งกาวเข้าไปด้วยก่อนที่เขาจะเอาให้รูปปั้นกิน

    เมื่อหนิงจื่อฝูเห็นว่ารูปปั้นประหลาดตรงหน้าอ้าปากที่เต็มไปด้วยแป้งกาวแล้วก็ก้มลงไปหยิบเสี้ยวหยกได้สำเร็จ

    ชายหนุ่มนำเสี้ยวที่ได้ไปปลดล็อกกล่องที่อยู่ใต้โต๊ะพับกระดาษ และเมื่อได้ของแล้วก็ถูกคนกระดาษเด็กโผล่มาแกล้งให้เขาตกใจ

    แต่การกลั่นแกล้งของคนกระดาษเด็กก็ทำอะไรชายผู้ตั้งมั่นไม่ได้เลยแม้แต่น้อยก่อนที่เขาจะเอาป้ายห้ามเข้าตรงทางเดินเข้าวัดไปปิดขบวนที่กำลังขวางประตูบานใหญ่อยู่

    ขบวนคนสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเห็นป้ายที่ชายหนุ่มมาวางไว้ตรงรูปปั้นก็มองเขาเป็นตาเดียวกันก่อนที่จะหายไปในพริบตา

    เมื่อเส้นทางสะดวกแล้ว หนิงจื่อฝูใช้แรงที่มีค่อย ๆ เปิดประตูตรงหน้าจนสำเร็จ ถึงแม้ว่าจะประตูทั้งสองบานจะเปิดออกเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็พอที่เขาจะเดินเข้าไปได้

    “ในนั้นมืดชะมัด เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึงเลย” ชายหนุ่มพยายามชะโงกมองเข้าไป แต่ก็ไม่เห็นอะไร

    หนิงจื่อฝูตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในความมืดมิดอยู่สักพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก่อนที่สายตาของเขาจะเริ่มปรับแสงจนเกือบคลำทางได้เล็กน้อย

    “รู้สึกแปลก ๆ เหมือนอยู่คนละโลกเลย” ชายหนุ่มพึมพำกับอาการขนลุกของเขา “ข้างหน้าเหมือนมีแสงไฟอยู่ด้วย”

    แสงจากโคมไฟสีน้ำเงินแกมเขียวจำนวนมากค่อย ๆ สว่างขึ้นจนเขาเห็นบรรยากาศโดยรอบที่มีแม่น้ำสายใหญ่และสะพานอยู่พร้อมทั้งกลุ่มคนตรงหน้าเป็นคนที่เขารู้จักทั้งสิ้น

    “นั้น…คุณพ่อ? คุณแม่? คุณตาชั้นสี่และก็เด็กน้อยคนนั้นงั้นเหรอ?”

    หนิงจื่อฝูลองทำท่าทางตรงหน้าพวกเขาเหล่านั้นทีละคน ซึ่งแต่ละคนก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ตอบโต้เขาเลยสักคน

    “ไม่ขยับสักนิด ไม่กะพริบตาหรือพูดอะไรเลย หุ่นขี้ผึ้งเหรอ? แต่พวกเขาดูเหมือนคนจริง ๆ ชะมัด ถ้าเป็นคนจริงล่ะนะ เว้นแต่ว่าจะเป็น…” ชายหนุ่มเงียบพลางกลืนน้ำลายไปด้วยก่อนที่จะสังเกตคนที่เขาไม่ได้รู้จัก “ผู้หญิงที่ยืนข้าง ๆ คุณตา ทำไมเหมือนคนกระดาษที่เราเผาไปให้เขาเลยล่ะ?”

    เขาพยายามโบกมือผ่านหน้าหญิงตรงหน้าก่อนที่จะสนใจหุ่นเงาในอ้อมกอดของหญิงชราที่ตอนนี้เป็นแม่ยายของเขาแล้ว

    ชายหนุ่มกำลังจะไปตรงประตูเดิมที่น่าจะเป็นประตูปรโลก เมื่อเขาได้หุ่นเงาชุดขาวแล้ว แต่ก็เหลือบไปเห็นหุ่นเงาลักษณะเหมือนกันแต่เป็นชุดแดงอยู่ริมแม่น้ำ

    “แค่แตะผิวน้ำก็เย็นกว่าน้ำแข็งแล้ว ถ้าจุ่มลงไปคงไม่ดีแน่ ๆ” เขาชักมือกลับอย่างรวดเร็วก่อนที่จะลองใช้ของที่เก็บมาได้ตักน้ำตรงหน้า “กระถางธูปสัมผัสน้ำไม่ได้เลย เหมือนว่าชนกำแพงล่องหนอย่างงั้น คงเป็นเรื่องจริงสินะที่ของโลกคนเป็นใช้ในโลกคนตายไม่ได้น่ะ”

    หนิงจื่อฝูถอยออกห่างจากริมแม่น้ำก่อนที่จะหันไปมองกลุ่มคนรู้จักอีกครั้งก็ต้องประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงตรงหน้า

    “ท่าทาง…ก่อนหน้านี้เป็นแบบนี้งั้นเหรอ?”

    เขามองแต่ละคนอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนที่จะเลิกสนใจและเดินกลับไปตรงประตูปรโลก เพื่อที่จะหาวิธีการส่งของไปยังปรโลก

    โดยหนิงจื่อฝูพยายามวางรูปถ่ายครอบครัวตระกูลเนียที่เหลืออยู่วางไว้ตรงป้ายวิญญาณกี่ครั้ง แต่ก็ถูกเทวรูปยมทูตดำขวางเอาไว้ทุกครั้ง

    ชายหนุ่มเลยใช้แป้งกาวและนำเงินกระดาษปิดบังเทวรูปยมทูตดำเอาไว้ ซึ่งแป้งกาวก็ทำเอาไว้ตอนที่ทำอ่างกระดาษไปก่อนหน้านี้แล้ว

    และการทำแบบนั้นได้ผลจริง เพราะเขาสามารถวางรูปถ่ายได้แล้ว และพิธีการเผาอ่างกระดาษส่งไปให้คนในรูปถ่ายก็เริ่มขึ้น

    “ถ้าเดาไม่ผิดละก็…อ่างอันนั้นจะอยู่ที่นั่นแล้ว” ชายหนุ่มพูดหลังจากที่อ่างกระดาษมอดหมดแล้ว

    เขาเดินกลับผ่านประตูปรโลกอีกครั้งและเห็นอ่างน้ำทองคำที่เพิ่มเข้ามาอยู่ข้าง ๆ เจ้าของภาพ

    หลังจากที่ได้อ่างน้ำทองคำแล้ว หนิงจื่อฝูก็เอาไปตักน้ำที่มีหุ่นเงาชุดแดงอยู่ แต่เมื่อจะเทน้ำออกกลับทำไม่ได้เหมือนน้ำยึดเกาะอ่างไม่ให้ไหลออกไปไหน

    “แปลกชะมัด ทำไมเทไม่ออกล่ะ? ดูยังไงก็น้ำชัด ๆ ไม่สมเหตุสมผลเลย”

    ชายหนุ่มพยายามคว่ำอ่างน้ำเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าข้างในอ่างน้ำทองคำจะออกมาเลยแม้แต่น้อย คงเหลือเพียงให้ม้าดื่มให้น้ำหายไปเอง

    และเป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้ น้ำในอ่างน้ำทองคำเหือดแห้งสนิทเพราะม้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มคนมากนัก

    หนิงจื่อฝูวางหุ่นเงาหญิงสาวทั้งสองที่ได้มาวางบนฉากว่างเปล่าก่อนที่เสียงเอื้อนงิ้วจะดังขึ้นมาพร้อมกับหุ่นเงาที่เริ่มขยับ

    “มีคู่รักหญิงสาวชายหนุ่มคู่หนึ่ง พวกเขารักกันมากและกำลังจะแต่งงานกัน แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพี่สาวที่ไม่ได้พบมาเนิ่นนานจะปลอมตัวเป็นหญิงสาว เพื่อที่จะเข้าพิธีแต่งงานกับชายหนุ่ม หญิงสาวจึงใช้โอกาสเจ็ดวันก่อนถึงวันปล่อยผี เพื่อจัดการพี่สาวตนและปกป้องชายอันเป็นที่รักจนตนเองเกือบสูญสลายไป แต่แล้วชายหนุ่มกลับใช้ยันต์หย่าร้างไม่ให้หญิงสาวเข้าถึงตัวคนทรยศได้ ยิ่งนานวันหญิงสาวยิ่งอ่อนแอลง กลัวว่าเมื่อสิ้นสุดค่ำคืนนี้ เราสอ..จะ-พราก-จาก-กัน-ชั่ว-นิ-รันดร์”

    เสียงร้องเพลงงิ้วค่อย ๆ เงียบลงพร้อมทั้งหุ่นเงาก็ไม่ขยับอะไรอีก ในที่สุดความจริงก็กระจ่างแจ้งต่อชายหนุ่มตรงหน้า

    “ไม่จริง…ป-เป็นแบบนี้ไปได้ไง? โมฉี นั่นคุณจริง ๆ ใช่ไหม? โมฉี?!” หนิงจื่อฝูถามหุ่นเงาที่ยังคงนิ่งเฉยไม่ตอบอะไร “โมฉีที่อยู่กับเรามาตลอดคือเนียโมลี่งั้นเหรอ? เธอยังไม่ตาย ส่วนผู้หญิงชุดขาวที่แท้คือโมฉี เรื่องบ้าอะไรเนี่ย? ไม่มีทาง โมฉีจะตายไปได้ยังไงกัน?”

    ในระหว่างที่ชายหนุ่มยังคงสับสนมึนงงอยู่นั้นก็นึกถึงหนึ่งในคำพูดที่ได้ยินจากหุ่นเงาชุดขาวเล่าก่อนหน้านี้

    “ผ่านมาเจ็ดวันแล้วงั้นเหรอ? ผมไม่รู้สึกเลยว่าคนที่อยู่กับผมไม่ใช่คุณ มีแค่บางครั้งที่คุณผิดแปลกไปจากเดิม แต่ก็จะตอบเลี่ยง ๆ จนผมคิดว่าเครียดเรื่องงานแต่งแค่นั้น ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับคุณด้วยนะ โมฉี”

    หนิงจื่อฝูพูดกับแฟนสาวที่ตอนนี้เหลือแค่ดวงวิญญาณเข้าสิงหุ่นเงาตรงหน้าเท่านั้น อยู่ ๆ หุ่นเงาชุดขาวก็ลอยออกจากฉากไปตามสายลมจนออกจากประตูวัด

    “โมฉี? คุณจะไปไหนน่ะ? รอผมก่อน”

    ชายหนุ่มวิ่งตามหุ่นเงาเข้าไปในป่าลึกที่อยู่ฝั่งขวาของตัววัดเฉิงหวงเรื่อย ๆ จนมาถึงกระท่อมหลังหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางป่าไม้

    หุ่นเงาชุดขาวโดดเด่นล่องลอยผ่านประตูกระท่อมและตกลงตรงโต๊ะทานอาหารตัวหนึ่งที่มีกรอบรูปตั้งอยู่พร้อมกับเทียนเล่มหนึ่งที่มีแสงสว่างให้มองเห็นคนในกรอบรูป

    “มีคนอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ รูปนั้น…โมฉี ไม่ใช่ เธอคือเนียโมลี่ แล้วคนข้าง ๆ ก็คือหญิงชราที่เราเจอหน้าหมู่บ้านจางหลิงไม่ใช่หรือไงนั้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?”

    “โถ่ เวรกรรมของฉันจริง ๆ ความขี้สงสัยของพ่อหนุ่มก็พามายังบ้านของฉันจนได้สินะ” เสียงของหญิงชราที่คุ้นเคยดังขึ้นจากตรงประตู จนหนิงจื่อฝูหันไปมอง

    “ยาย…เป็นใครกันแน่ครับ? เกี่ยวข้องอะไรกับเนียโมลี่?”

    “เธอมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงเวลาที่ฉันต้องเล่าให้เธอฟังแล้วสินะ”

    หญิงชราเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ใกล้ตัวก่อนที่จะเล่าย้อนกลับไปสมัยเธอยังสาว ๆ ที่เพิ่งรู้เรื่องคาถาอาคมพอตัว

    จึงรับจ้างทำทุกอย่างไม่ใช่เป็นแค่หมอตำแยเท่านั้น ไม่ว่าจะสวดศพ, ขับไล่ผีหรือเรียกดวงจิตอะไรอีกมากมาย

    แต่ไม่ช้าก็เร็ว เวรกรรมคงตามเอาชีวิตของเธอในที่สุด จึงเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวเพื่อไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น

    หญิงชราใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและป่วยออด ๆ แอด ๆ หาสาเหตุไม่ได้เหมือนเวลาของฉันจะมาถึง

    ในตอนนั้นข่าวเกี่ยวกับหนึ่งในเด็กแฝดที่เธอทำคลอดนั้นถูกทิ้ง เลยไปที่นั่นและเก็บเด็กสาวผู้น่าสงสารมาเลี้ยง

    ยิ่งผ่านไปนาน หญิงชรายิ่งเป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่งขึ้นไปทุกที เธอจึงเลิกเชื่อถือพระโพธิสัตว์หกกร โดยคิดว่าถ้าหากเธอรอดไปได้ เด็กสาวก็ต้องรอดได้แค่วันเดียวก็ยังดี

    เด็กสาวที่ถูกทอดทิ้งเคยข้ามประตูปรโลกไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเด็กสาวไม่กลับบ้านก็จะไม่เป็นภัยต่อครอบครัวของตัวเธอเอง

    และอาจจะเป็นเพราะพลังหยินของเด็กสาวช่วยชีวิตหญิงชราเอาไว้หรือไม่ก็ตาม แต่ชะตากรรมของเธอก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว นั้นก็คือทั้งสองอยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้

    หลังจากวันนั้นหญิงชราก็เลี้ยงดูเด็กสาวมาตามลำพังในกระท่อม โดยที่ตลอดมาเนียโมลี่เป็นคนร้ายกาจตั้งแต่เด็ก คิดแค้นจองเวรกรรมพ่อแม่ของเธอเพียงอย่างเดียว

    หญิงชราตัดปัญหาโดยการส่งเด็กสาวไปเรียนต่อในเมืองอื่นเพื่อให้เธอได้ใช้ชีวิตและวันหนึ่งหญิงชราจะไปอยู่ที่นั่นด้วยอย่างมีความสุขตามประสาสองคนยายหลาน

    แต่แล้วความลับที่ถูกปกปิดมาตลอดก็ถูกเปิดเผย เมื่อสองปีก่อน ซึ่งเนียโมลี่ก็ได้รู้เรื่องราวของเธอจากศิษย์พี่ของหญิงชรา

    เขาเปิดร้านชำร่วยงานศพบังหน้า แต่ในความจริงแล้วเขาใช้คาถาอาคมในทางที่ไม่ดี เช่นการสาปแช่งหรือแม้แต่เรื่องผิดศีลธรรม

    เขาต้องการเนียโมลี่เป็นลูกศิษย์เพราะว่าโชคชะตากำหนดไว้ให้ หญิงชราปฏิเสธทันทีเพื่อไม่ให้หญิงสาวไปยุ่งเรื่องพวกนั้น เพราะมันจะเป็นบาปกรรมโดยแท้

    แต่เนียโมลี่อยากจะแก้แค้นครอบครัวของเธอเอง ยิ่งหญิงชราห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง จนทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วหญิงสาวก็หนีไปอยู่กับศิษย์พี่คนนั้นและไม่กลับมาที่กระท่อมนี้อีกเลย

    เมื่อปีที่แล้วมีข่าวการตายพ่อแม่ของเนียโมลี่ หญิงชราคิดว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องเลยไปถาม แต่หญิงสาวกลับไม่ตอบอะไร หญิงชราหวังว่าจะไม่ใช่ฝีมือเธอ เพราะถือเป็นบาปหนักสำหรับตัวเธอเอง

    และเมื่อไม่นานมานี้ เนียโมลี่กลับไปหาหญิงชราเพื่อเอาของของเธอคืน ซึ่งเธอขอโอกาสให้หญิงไปทำลายหลักฐานบางอย่างที่บ้านเกิดของเธอเอง

    พอหญิงชราถามออกไป หญิงสาวก็ไม่ตอบเหมือนเคย และการที่หญิงชราเลี้ยงเนียโมลี่ตั้งแต่เล็กก็จะไม่มีทางปล่อยให้ต้องติดคุกแน่นอน หญิงชราเลยไปยังหมู่บ้านจางหลิงในคืนวันปล่อยผี ซึ่งเธอใช้ชีวิตคุ้มค่ามามากพอแล้ว

    แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร หญิงชราก็โดนผีเด็กหลอกและขโมยไม้เท้าไป แล้วเมื่อออกมาจากหมู่บ้านเจอหนิงจื่อฝูพอดี

    และหลังจากที่ชายหนุ่มออกไปแล้วหญิงชราก็กลับเข้าไปในหมู่บ้านอีกครั้ง ผีเด็กคนที่ว่าก็ไม่อยู่แล้ว

    หญิงชราจึงเอารูปครอบครัวตระกูลเนียไปเผาที่วัดแล้วเจอเขาอีก อาจจะเป็นเพราะพรหมลิขิตของเขาและหญิงชราก็เป็นได้

    เมื่อเรื่องราวความจริงจบลง ร่างหญิงสาวในชุดแต่งงานสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าทั้งสองคน

    “โมฉี?”

    “แม่หนูคือน้องสาวของโมลี่สินะ เหมือนพี่สาวไม่มีผิดเลย ยิ่งได้เห็นแม่หนูยิ่งคิดถึงโมลี่ขึ้นมา ฉันทำให้แม่หนูกลายเป็นแบบนี้ ฆ่าฉันเถอะ แม่หนู ฉันสมควรตาย”

    หญิงชราอ้อนวอนดวงวิญญาณตรงหน้า แต่เนียโมฉีเพิกเฉยกับคำพูดของเธอก่อนที่จะมุ่งเข้าไปหาแฟนหนุ่มอย่างหนิงจื่อฝู

    “โมฉี…” หนิงจื่อฝูกำลังเอื้อมมือไปสัมผัสแฟนสาว แต่เธอก็หายไปแล้ว “คุณไปไหนน่ะ? โมฉี”

    “เป็นไปไม่ได้ แม่หนูปรากฏตัวได้แค่นี้งั้นเหรอ หรือว่า…แม่หนูจะยังไม่ใช่ผี?”

    “ยังไม่ใช่ผี? หมายถึงอะไรครับ?” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงชราทันที

    “หากฟ้ามืดพลังหยินจะมากขึ้น ภูตผีจะมีฤทธิ์เดชมากขึ้น แต่พลังของแม่หนูคนนี้กลับอ่อนแอลงในตอนกลางคืน ดังนั้นดวงจิตของแม่หนูคือพลังหยาง ดวงจิตที่ถูกบังคับออกจากร่างกาย ซึ่งยังมีชีวิตอยู่นั้นเอง”

    ในระหว่างที่หญิงชรากำลังอธิบายสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจอยู่นั้น เธอก็ทำตาโตเหมือนกับว่านึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมา

    “ใช่แล้ว! ศิษย์พี่ของฉันรู้คาถาขับอายุขัย ทำให้ดวงจิตออกจากร่างทั้งที่ยังไม่ตาย เมื่อผ่านพ้นไปเจ็ดวันแล้วยังไม่กลับเข้าร่าง ดวงจิตจะถูกผีร้ายพาตัวไป แต่เขายังไม่ชำนาญคาถานี้มากนักหรอกนะ”

    “ถ้าอย่างนั้นโมฉีก็ยังไม่ตายสินะครับ แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะครับ? พอจะมีวิธีพาเธอกลับเข้าร่างไหม?” ชายหนุ่มถามอย่างรวดเร็วทันทีเมื่อเห็นว่ายังมีโอกาสช่วยแฟนสาวอยู่

    “ร้านของเขาอยู่ที่ตัวเมืองพ่อหนุ่มอยู่นั่นแหละ มีห้องลับใต้ดินด้านหลังร้าน เขาทำพิธีที่นั่น ร่างแม่หนูคงอยู่ที่นั่นแน่ เรื่องคาถาฉันไม่รู้วิธีทำลายหรอกนะ”

    “โมฉีบอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมไม่มีเวลาแล้ว ผมจะช่วยคุณให้ได้ โมฉี”

    หนิงจื่อฝูออกจากกระท่อมไปอย่างเร่งรีบ โดยที่หญิงชรามองเขาพร้อมถอนหายใจยาวด้วยความเวทนา

    “โถ่ เวรกรรมจริง ๆ เลย”


    «บทที่ห้า ปลดปล่อย»

    หนิงจื่อฝูขับรถเข้าตัวเมืองและได้เจอกับสถานที่เป้าหมายตามที่หญิงชราบอกแล้ว ซึ่งเวลาก็ใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกที

    เหลือเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ชายหนุ่มหวังแค่ว่าเขาจะยังไปช่วยได้ทันกาลก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

    เขาเดินเข้าไปในร้านขายของชำร่วยงานศพที่ประตูเปิดกว้างต้อนรับอยู่อย่างรวดเร็ว โดยไม่สนว่าจะมีอะไรรออยู่ข้างในหรือเปล่า เพราะตอนนี้ต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น

    หากภายในร้านนั้นเป็นถ้ำมังกรหรือถ้ำเสือก็ตาม เขาก็จะบุกเข้าไปช่วยคนรักโดยไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าประตูถูกล็อกไม่ให้เขาออกไปได้แล้ว

    เมื่อหนิงจื่อฝูเข้ามาในร้านได้สักพักก็มีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในร้านแห่งนี้ แต่พอได้สำรวจรอบ ๆ แล้วก็กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน

    เขาคงต้องหาทางเข้าไปยังห้องใต้ดินที่หญิงชราบอกมา โดยเริ่มสำรวจจากชั้นหนังสือที่เหลือหนังสือไม่กี่เล่มวางอยู่และมีเล่มหนึ่งที่เปิดหน้าบางอย่างค้างเอาไว้

    บ้านและหยินหยาง เชื่อมถึงกันตามหลักฮวงจุ้ย

    วัตถุฮวงจุ้ยมีสี่ชิ้นต่อหนึ่งห้อง ไม่สามารถวางทั้งสี่ทิศทางได้ เพราะจะทำให้พลังหยางเข้าสู่ห้องไม่ได้

    กระจกควรหันไปทางทิศเหนือ เพื่อขับไล่วิญญาณร้ายได้ และจะได้ผลดีหากเป็นกระจกแปดทิศ ห้ามหันกระจกเข้าหากันจะทำให้เปิดประตูหยินหยาง

    ห้ามวางรองเท้าไว้ปลายเตียง เพราะดึงดูดวิญญาณได้ง่าย

    ควรวางกระบี่ไว้ทิศตะวันออกหรือตะวันตก เพื่อกำจัดวิญญาณร้าย ห้ามวางไว้ในทิศทางอื่น

    ไม้เกาหลังดึงดูดความมั่งมี ไม่ควรวางไว้ตรงหัวเตียง เพราะจะดึงดูดพลังหยิน

    การวางเงินไว้บนปากผู้ล่วงลับเรียกว่า เงินปากผี หากดวงวิญญาณพลัดหลงหรือข้ามแม้น้ำไปไม่ได้จะกลายเป็นผีเร่ร่อน จึงต้องให้เงินกับคนพายเรือเพื่อข้ามแม่น้ำ คนพายเรือรู้จักแต่เหรียญเงินโบราณเท่านั้น ดังนั้นนำเหรียญเงินโบราณให้กับผู้ล่วงลับไปด้วย

    หนิงจื่อฝูอ่านหนังสือจบก็อ่านอีกเล่มที่วางอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้ากากงิ้วและการแสดง

    หน้ากากสีเหลือง - โทเฮงสุน: ภูเขาซานกวน

    หน้ากากสีเขียว - เฉินเหยาจิน: ตระกูลเจีย

    หน้ากากสีแดง - กวนอู: ขุนแผนแหกค่าย

    หน้ากากสีขาว - เกาฉิว: ดงหมูป่า

    หน้ากากสีฟ้า - เหลยเจิ้นจื่อ: บุตรคนที่ร้อย

    ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ได้อะไรเท่าไหร่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดแผงไฟและหาปลายทางของกลไกไฟฟ้าที่เขาเพิ่งเปิดไป

    “เหมือนมีคนยืนอยู่ไกล ๆ เลย”

    หนิงจื่อฝูมองผ่านกระจกประตูร้านก็เห็นคนตรงสุดทางถนนตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรและลองปรับปุ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

    “เข้ามาใกล้กว่าเดิมแฮะ” คนผมยาวคนเดิมที่ชายหนุ่มเห็นตอนนี้เริ่มเข้าใกล้เรื่อย ๆ เมื่อเขาปรับแผงไฟและส่องผ่านประตู “ใกล้มากเลย แต่ทำไมเธอหันหลังให้ล่ะ?”

    และเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขาเดินไปปรับปุ่มขึ้นจนสุดก่อนที่จะเดินกลับไปสังเกตภายนอกร้านขายของชำร่วยงานศพอีกครั้ง

    “แปลกชะมัด หายไปแล้ว” เมื่อไม่เห็นใครอยู่แล้ว ชายหนุ่มก็หันกลับเข้าไปในร้านก็เห็นบางอย่างแปลกตาไป “คนกระดาษ คือคนที่เราเห็นนอกประตูงั้นเหรอ? ข-ขยับได้ด้วย?!”

    คนกระดาษที่ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนที่เขาเห็นผ่านประตูก็เริ่มเข้าใกล้ชายหนุ่มทีละนิดจากมุมหนึ่งของร้านที่วางคนกระดาษและพวงหรีด

    “แย่ล่ะ มันเข้ามาหาเราเรื่อย ๆ เลย” ยังไม่ทันที่คนกระดาษตนนั้นถึงตัวชายหนุ่ม ร่างเนียโมฉีก็ผลักมันออกห่างจากคนรักทันที “โมฉีงั้นเหรอ? โมฉี!”

    ระหว่างที่หนิงจื่อฝูเรียกหาแฟนสาวไปทั่วทั้งร้าน หลังจากที่เธอช่วยเขาและหายไปพร้อมกับคนกระดาษอยู่นั้นก็มีเสียงบางอย่างมาจากนอกประตู

    “ภรรยาของเจ้าช่างอุทิศตนต่อความรักจริง ๆ แต่เวลาก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว หากจิตใจเจ้ายังไม่แข็งพอ คงได้ไปอยู่กับนางแน่”

    “เป็นแกนี้เอง! ต้องการอะไรจากพวกเรา? นักบวชปลอม!”

    ความโมโหของชายหนุ่มพุ่งพล่านทันทีพร้อมทั้งเดินไปยังหน้าประตูร้าน เมื่อได้ยินเสียงของนักบวชชรา

    “พระโพธิสัตว์หกกรมีพระคุณกับข้า ท่านต้องการหนึ่งในเด็กแฝด ข้าก็ต้องให้ไป และแน่นอนว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้า แต่เพราะวิญญาณภรรยาเจ้ากับวิญญาณไอ้แก่จากที่ไหนไม่รู้แท้ ๆ เกือบทำให้ข้าไม่รอดจากอะพาร์ตเมนต์นั้นแล้ว แต่ยังโชคดีที่เจ้าหลงเชื่อง่าย ทั้งช่วยข้าหาเครื่องราง ทั้งติดยันต์กันภรรยาเข้าบ้านด้วยตัวเจ้าเองอีก ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ได้ผลแบบนี้แน่!”

    “ไอ้สารเลว แกทำให้ฉันเกือบฆ่าโมฉี ฉันไม่ปล่อยแกให้รอดไปหรอก!”

    นักบวชชราหัวเราะออกมา “เป็นห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถอะ ที่นี่เต็มไปด้วยภูติผีวิญญาณมากมาย ขนาดวันนี้ข้าดื่มน้ำมนต์แล้วยังไม่กล้าเข้าไปเลย รนหาที่ตายหรือไง? พ่อหนุ่ม ข้ายืมมือเจ้าฆ่าภรรยาตนเองก็ไม่สำเร็จ นับว่านางดวงแข็งดี แต่เมื่อประตูปรโลกเปิดออก เจ้าทั้งสองไปอยู่ด้วยกันที่นั่นซะเถอะ!”

    “เวร เสียเวลาคุยไปเยอะเลย ต้องทำเวลาแล้ว”

    หนิงจื่อฝูเลิกสนใจนักบวชภายนอกร้านก่อนที่จะได้ยินเสียงจากบางอย่าง ซึ่งถูกผ้าคลุมปิดเอาไว้อยู่ที่ตั้งใกล้ ๆ ประตูร้าน

    “เสียงอะไรน่ะ? คุณหรือเปล่า? โมฉี” ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมออกพร้อมทั้งตะโกนถามผ่านฝาโลงศพที่เหมือนว่ามีใครบางอย่างคนอยู่ในนั้น

    แต่แล้วเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ก็เงียบลงและเหมือนไม่มีเสียงจากในโลงศพตอบกลับเขาเลยแม้แต่น้อย

    ด้วยนิสัยความขี้สงสัยของเขาแล้ว จึงพยายามหาวิธีการเปิดฝาโลงศพออกให้ได้เพื่อดูว่าภายในนั้นใช่แฟนสาวของเขาหรือเปล่า

    ในที่สุดหนิงจื่อฝูก็เจอทางเข้าห้องใต้ดินจนได้ ซึ่งซ่อนอยู่ใต้พรมตรงแผงไฟที่เขาเดินผ่านไปมาอยู่นานพอสมควร

    ห้องใต้ดินเต็มไปด้วยป้ายวิญญาณถูกตั้งเป็นชั้น ๆ อย่างเป็นระเบียบเหมือนว่าใต้ร้านขายของชำร่วยงานศพแห่งนี้จะกักเก็บดวงวิญญาณไว้มากมาย

    ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็เจอกับชั้นหนังสืออยู่พร้อมทั้งหนังสือเล่มหนึ่งที่ทั้งชื่อปกถูกถมดำจนมองไม่ออก

    วิธีกักขังดวงวิญญาณ: วางแม่เหล็กไว้ในโลงศพจะกักขังและไม่สามารถหลบหนีได้

    วิธีทำให้ดวงวิญญาณเชื่อฟัง: อย่างแรก [เนื้อหาถูกถมดำไปด้วยหมึก]

    วิธีพรากดวงจิต: วิธีการนี้สามารถนำดวงจิตหยางของคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยออกมาได้ อย่าลืมตั้งป้ายวิญญาณ, วาดรูปเมฆบนยันต์แล้วผนึกสำหรับกักขังดวงจิตเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยง [เนื้อหาถูกถมดำไปด้วยหมึก]

    วิธีอัญเชิญวิญญาณ: วิธีการอัญเชิญดวงวิญญาณนี้จะช่วยให้เหล่าดวงวิญญาณหลุดพ้นพันธนาการของกฎโลกและสวรรค์ แม้กระทั่งเข้าสิงสู่ร่างเพื่อฟื้นคืนชีพ วิธีการนี้อันตรายมากและดวงวิญญาณที่อัญเชิญควบคุมได้ยาก เป็นเรื่องยากที่จะชุบชีวิตของผู้เพิ่งล่วงลับด้วยวิธีการนี้ และมีความไม่แน่นอนว่าดวงวิญญาณที่อัญเชิญมาจะเป็นเจ้าของร่างที่แท้จริง

    อย่างแรก ต้องใช้สถานที่ที่มีฮวงจุ้ยพลังหยินจำนวนมาก และสั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณตามลำดับ [เนื้อหาถูกถมดำไปด้วยหมึก]

    วิธีปกป้องดวงวิญญาณ: หยก - เครื่องรางปัดเป่าและปกป้องการรบกวนจากวิญญาณร้าย หาก [เนื้อหาถูกถมดำไปด้วยหมึก]

    “รายละเอียดโดนถมหมดเลย มันต้องมีวิธีอื่นสิ”

    หนิงจื่อฝูเปิดไปจนครบทุกหน้าก็เจอแต่หมึกดำทั่วก่อนที่จะวางหนังสือคืนที่เดิมและเดินสำรวจโดยรอบห้องใต้ดินนี้อย่างละเอียด

    และเมื่อได้ของที่พอจะเปิดโลงศพได้แล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รอช้านำไปใช้ทันทีก่อนที่จะเปิดฝาโลงศพได้สำเร็จ

    “ที่แท้ก็แค่คนกระดาษ” เขามองคนกระดาษที่นอนอยู่ในโลงศพแล้วเลิกสนใจเพราะเวลายังคงเดินไม่หยุดรอเขา

    หนิงจื่อฝูกลับลงไปในห้องใต้ดินอีกครั้งก่อนที่จะเห็นกองหนังสือที่อยู่บนชั้นหนังสือจัดวางเป็นระเบียบแปลกกว่าที่อื่น ๆ ที่เขาเจอ

    ทันทีที่เขาลองขยับหนังสือทีละเล่มก็กลายเป็นว่าตู้หนังสือขยับออกด้านข้าง ซึ่งเขาเพิ่งแก้กลไกห้องลับที่ซ่อนอยู่ให้เปิดออก

    ตู้หนังสือค่อย ๆ เลื่อนออกจนเห็นประตูด้านหลังครึ่งหนึ่งแล้ว อยู่ ๆ ตู้หนังสือก็หยุดขยับพร้อมทั้งชายหนุ่มเห็นว่ามีใครบางคนยืนขวางก่อนที่จะหายไป

    “เมื่อกี้ เหมือนคนกระดาษที่เราเห็นในโลงศพเลย”

    เมื่อเห็นแบบนั้น หนิงจื่อฝูจึงย้อนกลับขึ้นไปที่โลงศพอีกครั้งก่อนที่จะมีเสียงใครบางคนมาจากภายนอกประตู

    “จื่อฝู นายนี้เป็นคนซื่อสัตย์กับความรักจริง ๆ เลยนะ” เสียงหญิงสาวที่คุ้นเคย จนเขาต้องละสายตาจากโลงศพตรงหน้า

    “เนี่ยโมลี่! ทำไมคุณต้องทำร้ายน้องสาวตัวเองด้วย?”

    “ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันจะทำอะไรเธอได้? ฉันไม่หาเรื่องให้ตัวเองเข้าคุกหรอกนะ ฉันก็แค่ทำให้วิญญาณเธอออกจากร่างแค่นั้นเอง”

    “ข้าก็บอกไม่ให้เจ้าใจร้อนแล้วไง เด็กน้อย รอผ่านพ้นคืนวันปล่อยผีไปก่อนค่อยลงมือ และวันที่เจ็ดก็ตรงกับวันปล่อยผีพอดี เกือบทำข้าตายแล้วรู้ไหม?” นักบวชชราอยู่ข้าง ๆ เธอพูดขึ้นมา

    “แต่มันใกล้งานแต่งของพวกมันแล้วน่ะสิ ท่านอาจารย์ ฉันไม่รอให้พวกมันแต่งงานกันหรอก อีกอย่าง ทำพิธีขับอายุขัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็พอที่จะทำให้ท่านอาจารย์ต่ออายุได้อีกตั้งหลายปีเลยนะ”

    “โหดร้ายเกินไปแล้วนะ เนียโมลี่ โมฉีทำผิดอะไรงั้นเหรอ?”

    “โหดร้าย? รู้ไหมว่าทั้งชีวิตของฉันต้องผ่านอะไรมาบ้าง? ฉันโตมาในป่าตามลำพัง เข้าใกล้บ้านเกิดตัวเองก็ไม่ได้ ให้คนอื่นเห็นตัวก็ไม่ได้ ถึงฉันจะรอดตายมาได้ แต่ก็ต้องอยู่เหมือนผีเร่ร่อน ฉันทำผิดอะไร? ทำไมต้องโดนทอดทิ้ง ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมไม่เป็นนังนั้น! มันต่างหากที่เป็นส่วนเกิน”

    หญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงที่เขาเคยเชื่อว่าเป็นแฟนสาวก็ทำการตะคอกพลางทุบด้วยความคับแค้นใจกับกระจกประตูร้านที่กั้นเธอและหนิงจื่อฝูเอาไว้อยู่

    “ฉันหาเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ด้วยนะ ทั้งสวดมนต์อ้อนวอน, บูชาเทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์” เนียโมลี่หัวเราะออกมา “ฉันเคยเรียนจิตวิทยามาด้วยซ้ำ รู้อะไรไหม ไม่มีคำตอบให้ฉันได้เลยสักนิด มีวันหนึ่ง ฉันอยากจะทำลายเทวรูปพระโพธิสัตว์หกกรที่อยู่ตรงหน้า แล้วฉันก็นึกอะไรได้ มันก็แค่รูปปั้น พวกคนโง่ที่กลัวบาปบุญคุณโทษและโลกอันโหดร้ายใบนี้ต่างหากล่ะที่คอยจะกัดกินคนที่อ่อนแอกว่า”

    “อย่าพูดจาเหลวไหล พระโพธิสัตว์หกกรคอยเตือนสติเจ้า เจ้าจะลบหลู่ท่านไม่ได้” นักบวชชราที่ได้ยินคำพูดของศิษย์รักก็ขัดขึ้นมา

    “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณนะ เนียโมลี่ แต่ทำไมคุณต้องมาทำลายชีวิตผมกับโมฉีด้วย?”

    หญิงสาวหัวเราะในลำคอ “ชีวิตของโมฉีงั้นเหรอ โลกใบนี้ต้องดิ้นรนหาเอาด้วยตัวเอง ไม่ว่าวิธีแบบไหนก็ตาม สิ่งที่ควรเป็นของฉัน ไม่ควรเป็นของใครหน้าไหนทั้งนั้น จะว่าไปแล้ว งานแต่งควรเป็นเราสองคนนะ จื่อฝู ชีวิตของนังนั้นควรเป็นของฉันตั้งแต่แรก รวมถึงนายด้วย”

    เนียโมลี่มองชายหนุ่มตรงหน้าก่อนที่จะยิ้มมุมปากออกมาพร้อมทั้งส่งสายตาใสซื่อกับเขา

    “ฉันแอบดูมานานและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาย บางครั้งก็ปลอมตัวเป็นนังนั้นไปหาเพื่อน ไม่มีใครแยกออกเลยสักคน หลายวันที่ผ่านมา ฉันอยู่ข้าง ๆ นายตลอด นายไม่สังเกตบ้างเลยเหรอ? ฉันไม่ต่างอะไรกับมันเลยใช่ไหมล่ะ?” เจ้าสาวชุดแดงลูบใบหน้าของตนเองพร้อมถามคนที่อยู่ภายในร้าน “ฉันว่านายก็ใช้ได้เลยนะ หล่อ, ฉลาด, รวย, ไม่เป็นภาระที่บ้าน ลืมนังนั้นไปซะ มีแค่เราสองคนดีกว่านะ”

    “ไม่มีทาง! คุณบ้าไปแล้ว เนียโมลี่!”

    หนิงจื่อฝูตอบกลับเธอไปอย่างรวดเร็ว จนเนียโมลี่ถึงกับถอนหายใจยาวออกมาและเลิกทำท่าทางเหมือนเด็กสาวใสซื่อทันที

    “หลงมันมากเลยสินะ งั้นไปอยู่กับมันเลยละกัน แล้วพอนายหายไป ฉันก็จะเป็นเนียโมฉี หม้ายสาวผู้น่าสงสารที่ต้องดูแลมรดกของสามีอยู่คนเดียว”

    เมื่อหญิงสาวพูดจบทั้งสองคนที่อยู่นอกประตูร้านขายของชำร่วยงานศพก็เดินออกห่าง จนลับสายตาเขาไป

    เหลือเพียงหนิงจื่อฝูคนเดียวอีกครั้งและสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือไม่ให้คนกระดาษในโลงศพที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ขวางทางได้อีก

    ชายหนุ่มนึกถึงข้อความจากหนังสือที่เพิ่งอ่านมาได้ก็รีบนำเหรียญที่เก็บได้มานั้นใส่ที่ปากคนกระดาษทันที

    “คงไม่มาขวางกลไกเปิดประตูแล้วใช่ไหม?”

    หนิงจื่อฝูถามคนกระดาษในโลงศพก่อนที่จะเดินลงไปชั้นใต้ดินและตู้หนังสือเลื่อนออกจนเห็นประตูที่ถูกซ่อนแล้ว

    ชายหนุ่มเปิดประตูออกก็พบกับร่างแฟนสาวในชุดสีขาวนอนหลับอยู่ที่แท่นหินตรงกลางห้องก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหาเธอ

    “ในที่สุดผมก็เจอคุณจนได้นะ โมฉี คุณได้ยินผมไหม?”

    แฟนหนุ่มปลุกเนียโมฉีพร้อมทั้งเช็กตามร่างกายคนที่นอนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเธอยังคงหายใจอยู่ แต่ชีพจรหรือแม้แต่ร่างกายก็ดูอ่อนแอมาก

    หนิงจื่อฝูหันมองทั่วทั้งห้องก็เจอกับของต่าง ๆ ที่แขวนอยู่กำแพงของห้องและราวแขวนกระดิ่งห้าอันที่อยู่ข้างแท่นหินตามหลักฮวงจุ้ย

    “กระดิ่งเรียกวิญญาณสินะ เวลาเหลือน้อยแล้ว ถึงความหวังจะริบหรี่ก็เถอะ แต่ก็ต้องลองดูสักตั้ง” ชายหนุ่มให้กำลังใจตนเองก่อนที่หยิบกำไลหยกที่พกติดตัวตั้งแต่โรงแรมขึ้นมา “ถ้าตามหนังสือบอก กำไลนี้จะช่วยปกป้องคุณไม่ให้ผีร้ายเข้าใกล้ได้นะ”

    ชายในชุดเจ้าบ่าวค่อย ๆ ประคองมือคนที่หลับอยู่ เพื่อที่จะสวมกำไลหยกที่ข้อมือของเนียโมฉีอย่างเบามือราวกับเขากำลังสวมแหวนแต่งงานให้กับหญิงคนรัก

    หลังจากนี้ก็คงต้องทำให้ห้องนี้มีพลังงานหยินหยางตามหลักฮวงจุ้ยบอก ชายหนุ่มเร่งเท้าเดินหาสิ่งของและนำมาทำพิธีในห้องลับนั้น

    เมื่อของทุกอย่างครบและถูกต้องตามหนังสือแล้ว กลุ่มหมอกควันจากที่ไหนไม่รู้ก็เข้าปกคลุมพร้อมทั้งหุ่นเงาชุดขาวล่องลอยเข้ามาในห้องลับที่เนียโมฉีนอนอยู่

    “คุณสินะ โมฉี บอกลำดับกระดิ่งให้ผมหน่อย”

    หนิงจื่อฝูคุยกับหุ่นเงาชุดขาวที่อยู่เหนือร่างแฟนสาวก่อนที่เขาจะนั่งเพื่อสั่นกระดิ่งตามตัวอักษรที่หุ่นเงาชี้บอก

    ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังสั่นกระดิ่ง กระจกแปดทิศที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มเปล่งแสงออกมาพร้อมทั้งดวงจิตของเนียโมฉีที่ถูกแบ่งเป็นเปลวไฟออกมาเป็นห้าดวง

    เปลวไฟดวงจิตค่อย ๆ ถูกกระจกแปดทิศจับเข้าไปข้างในทีละดวง แต่เปลวไฟดวงสุดท้ายสามารถหลุดจากพลังกระจกแปดทิศได้และล่องลอยออกไปนอกห้องลับ

    “กระจกแปดทิศขังดวงจิตของโมฉีไปแล้ว ต้องหาทางช่วยเธอออกมา”

    หนิงจื่อฝูมองเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะรีบวิ่งตามเปลวไฟดวงจิตของแฟนสาวไปก่อนที่จะหยุดเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างเมื่อมาถึงหน้าประตูห้องลับ

    “เสียงเคาะมาจากข้างในตู้”

    ชายหนุ่มลองเปิดประตูล็อกเกอร์ก็ไม่เปิดและมองดูดี ๆ แล้วประตูตู้ล็อกเกอร์ถูกล็อกเอาไว้ ซึ่งเขายังไม่รู้รหัสปลดล็อก เลยเลิกสนใจของในตู้ไปก่อน

    เขาเดินมาถึงบันไดของขั้นใต้ดินพร้อมหันมองหาไปทั่วและก็เห็นเปลวไฟสีน้ำเงินแกมเขียวอยู่ตรงป้ายวิญญาณ

    “ดวงจิตของโมฉีที่หนีรอดมาได้ใช่ไหม?” เขาถามเปลวไฟบนอากาศ ซึ่งมันไม่ตอบกลับอะไร

    เปลวไฟดวงจิตเนียโมฉีล่องลอยไปยังป้ายชื่อวิญญาณทีละป้าย เหมือนว่าเธอกำลังบอกรหัสปลดล็อกตู้ล็อกเกอร์ให้กับเขาอยู่

    ชายหนุ่มเดินกลับไปยังตู้ล็อกเกอร์และใช้รหัสที่ดวงจิตเนียโมฉีบอกมา ซึ่งได้ผล ประตูตู้ล็อกเกอร์ถูกเปิดออก โดยที่ข้างในมีคนกระดาษเด็กที่เขาเจอมาตลอดทั้งคืนยืนอยู่และยื่นหนังสติ๊กให้กับเขา

    “ขอบใจนะ เด็กน้อย”

    หนิงจื่อฝูขอบคุณพลางรับของจากคนกระดาษเด็กตรงหน้าแล้วเดินกลับไปหาเปลวไฟดวงจิตอีกครั้ง เพื่อว่าจะมีคำแนะนำให้กับเขาอีก

    “มีเสียงเคาะประตูข้างบนด้วย” เขาพูดขึ้นมาหลังจากที่มาถึงบันไดห้องใต้ดินก่อนที่จะเดินกลับขึ้นไปบนร้าน

    ยังไม่ที่จะได้เดินตรงไปยังต้นเสียงที่เขาได้ยินก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นคนกระดาษสาวยืนอยู่ข้าง ๆ ชั้นหนังสือ

    “คนกระดาษที่เราเผาไปไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” ชายหนุ่มถามคนกระดาษไปก่อนที่มันจะเอนตัวชนกับชั้นหนังสือ “กล่องหล่นลงมาจากตู้ คุณก็มาช่วยผมด้วยสินะ ขอบคุณครับ”

    หนิงจื่อฝูเริ่มสัมผัสได้ว่าเหล่าวิญญาณที่เขาเคยช่วยไว้ก่อนหน้านี้นั้นมาช่วยเหลือเขากลับคืนแล้ว

    สิ่งที่อยู่ในกล่องเป็นลูกปัดหยก ซึ่งอาจจะคู่กับหนังสติ๊กก็ได้ แต่ก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องลับ เขาก็เดินไปหายังต้นเสียงก่อน

    “คุณพ่อ คุณแม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะช่วยโมฉีให้ได้” ชายหนุ่มบอกกับรูปถ่ายครอบครัวที่วางตรงกระจกประตูร้าน

    เมื่อบอกอะไรเสร็จสรรพ หนิงจื่อฝูก็เดินกลับเข้าไปในห้องลับอย่างแน่วแน่นพร้อมถือหนังสติ๊กในมือเพื่อช่วยดวงจิตแฟนสาวจากกระจกแปดทิศ

    “ดวงจิตโมฉีถูกปลดปล่อยแล้ว ผมจะอัญเชิญวิญญาณต่อ คุณช่วยบอกผมทีนะ โมฉี”

    เขามองเปลวไฟดวงจิตทั้งห้าดวงมารวมกันที่กระดิ่งแต่ละอัน หลังจากที่เขายิงลูกปัดหยกใส่กระจกแปดทิศจนแตกไปแล้ว

    ในระหว่างที่หนิงจื่อฝูสั่นกระดิ่งตามดวงจิตแฟนสาวทำให้ตัวกระดิ่งเรืองแสงก็มีเสียงโวยวายด้านนอกประตูห้องลับจากด้านหลังเขา

    “ทำบ้าอะไรของนาย? ที่นี่มีวิญญาณชั่วถูกผนึกไว้เยอะแยะ ถ้าสั่นกระดิ่งปล่อยวิญญาณในวันสารทจีนแบบนี้ พวกมันจะกลายเป็นผีอาฆาต แล้วพวกเราจะตายกันหมด”

    “ทำชั่วมาตั้งเยอะเพิ่งจะกลัวผีงั้นเหรอ? เนียโมลี่ ผมเห็นคนชั่วช้าเลวทรามอย่างคุณ เห็นผีจิตใจดีหลายตน ผมไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว” ชายหนุ่มตอบทั้งที่ไม่ได้มองเจ้าของเสียง

    “วิญญาณชั่วพวกนั้นไม่สนใจและไม่ปล่อยเจ้ารอดไปแน่ แค่เพราะเจ้าเป็นคนดีมีศีลธรรมหรอก”

    นักบวชชราเตือนกับคนภายในห้องลับ แต่หนิงจื่อฝูก็ไม่สนใจและยังคงสั่นกระดิ่งเพื่อเรียกวิญญาณต่อไป

    “ฉันยอมตาย ถ้าช่วยโมฉีได้”

    “ได้! ข้าไม่คิดว่าคาถาอัญเชิญยมทูตที่ไร้ประโยชน์มาตลอดชีวิตจะได้ใช้ในวันนี้”

    เมื่อนักบวชชราพูดจบก็เริ่มร่ายคาถาบางอย่างขึ้นมาแทนพร้อมทั้งประตูห้องลับค่อย ๆ ปิดลง

    “ท่านยมทูตโปรดนำดวงวิญญาณนางไป ส่วนเจ้าก็นอนรอความตายในนั้นไปซะเถอะ!”

    สิ้นเสียงของนักบวช กลุ่มหมอกควันมีดำมาอยู่ตรงปลายเตียงหินที่เนียโมฉีนอนอยู่ แฟนหนุ่มเงยหน้าละสายตาจากกระดิ่งเพื่อมองสิ่งที่มากับกลุ่มหมอก

    ยมทูตดำยืนประชันหน้ากับชายหนุ่ม โดยที่ตรงใบหน้าของผู้มาเยือนนั้นมีเงินขนาดใหญ่ปิดบังอยู่เหมือนที่ชายหนุ่มทำในวัดเฉิงหวง

    หนิงจื่อฝูเลิกสนใจยมทูตดำที่ยืนนิ่งไม่ทำอะไรเขาก่อนที่จะกลับไปสั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณต่อไปเรื่อย ๆ

    “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้ายังสั่นกระดิ่งได้อยู่?”

    เสียงของนักบวชดังผ่านประตูที่ปิดไปแล้วก่อนที่การเรียกวิญญาณจะเสร็จสิ้นลง

    “อะไรน่ะ? อย่าเข้ามานะ!” เสียงตะโกนและกรีดร้องของเนียโมลี่ดังขึ้นเหมือนเธอกำลังเจอกับบางอย่างอยู่

    “ยันต์ของข้า!”

    เสียงของนักบวชก็กรีดร้องไปตาม ๆ กัน เสียงของทั้งสองกรีดร้องครวญครางอยู่นาน

    “หนิงจื่อฝู ถึงฉันจะเป็นผีไปแล้ว ก็ไม่ปล่อยแกไปหรอก!”

    คำสาปแช่งของหญิงสาวดังขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวอย่างหนิงจื่อฝูนั้นไม่รู้เลยว่าหลังบานประตูห้องที่เขาอยู่นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากนั้นเสียงกรีดร้องก็เงียบสงบลง

    ชายหนุ่มนั่งกุมมือแฟนสาวที่ยังคงนอนอยู่ เพื่อหวังว่าสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมดนั้นจะได้ผล

    “จื่อ…ฝู” เนียโมฉีลืมตาขึ้นมามองชายคนรักตรงหน้า

    “โมฉี คุณฟื้นแล้ว โล่งอกไปทีนะ”

    แฟนหนุ่มยิ้มดีใจก่อนที่จะโอบกอดคนตรงหน้าเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเธอจะหายจากเขาไปอีก

    เมื่อเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว สัญญาณโทรศัพท์ก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ หนิงจื่อฝูโทรหาตำรวจ เพื่อช่วยเขาและแฟนสาวที่ถูกขังในห้องลับแห่งนี้

    เมื่อพวกเขามาถึงก็พบกับเนียโมลี่และนักบวชปลอมที่หมดสติอยู่ตรงห้องใต้ดิน ในระหว่างที่ค้นหาเจ้าของเรื่องที่โทรแจ้งนั้น

    ทางตำรวจได้เจอกับหลักฐานมากมายว่าร้านนี้หลอกเอาเงินคนอื่น โดยบอกว่าจะช่วยขับไล่ภูติผีปีศาจ, รักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่บางครั้งทำให้คนเสียชีวิตมาแล้ว

    สองคนนั้นจะถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง, ลักพาตัว, แอบอ้างบุคคลอื่น และอีกหลายคดีนับไม่ถ้วน

    แต่พอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นว่าเสียสติไปซะแล้ว ทั้งเนียโมลี่และนักบวชปลอมไม่ทำอะไรเลยนอกจากแค่กินกับนอนเท่านั้น

    จิตแพทย์จะเข้าตรวจวินิฉัยทั้งสองคนก่อนว่า ถ้าแกล้งเสียสติก็คงต้องติดคุก แต่หากพวกเขาเป็นจริง ๆ ก็คงต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช

    และเมื่อผลตรวจออกมาก็พบว่าทั้งสองมีสารทำให้ประสาทหลอนอยู่ในร่างกาย ซึ่งทั้งหนิงจื่อฝูและเนียโมฉีก็มีสารนั้นเช่นกัน

    หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่าน้ำมนต์หรือไม่ เพราะเป็นไปได้ว่าเนียโมลี่จะนำสารนั้นใส่ลงอาหารให้ชายหนุ่มกินทุกวัน จนกระทั่งเขาประสาทหลอนคิดว่าตัวเองเห็นวิญญาณได้

    แต่ในทางกลับกัน หญิงสาวอย่างเนียโมฉีนั้นมีสารในร่างกายเกินขนาดจนทำให้เกิดอาการโคม่า และเธอก็จำอะไรก่อนหน้านั้นไม่ได้เลยหลังจากที่ฟื้นตัวมา

    เนียโมฉีเล่าความฝันว่าเธอกำลังตามหาแฟนหนุ่มของเธอในความมืดไร้ที่สิ้นสุดก่อนที่จะเจอกับเด็กสาวคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเธอกำลังร้องไห้อยู่

    “ถ้าถามผมว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่า? ผมก็ตอบไม่ได้ แต่มันไม่สำคัญหรอก และก็งานแต่งงานก็ถูกเลื่อน จนพลาดฤกษ์ดีไปหลายครั้ง แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว”

    หนิงจื่อฝูให้สัมภาษณ์ก่อนที่เรื่องราวมากมายจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เหลือเพียงเรื่องราวชีวิตคู่ของทั้งสองที่ยังคงจะมีต่อไป

    “สิ่งสำคัญของผมในตอนนี้ ก็คือได้พบกับคุณ” เจ้าบ่าวกล่าวขึ้นในงานแต่งตนเองพร้อมหันไปมองเจ้าสาวของเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “ที่เป็นตัวคุณจริง ๆ โมฉี”


    «บทส่งท้าย»

    ณ โรงพยาบาลจิตเวชสิบสาม

    “เปลี่ยนกะจ้า เปลี่ยนกะ อันนี้ข้อมูลคนไข้สองคนที่มาใหม่วันนี้ ฝากด้วยนะจ๊ะ”

    เสียงของพยาบาลคนหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมทั้งยื่นแฟ้มเอกสารให้กับเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ตรงเคาเตอร์

    “ไหนดูหน่อยซิ” คนที่รับช่วงต่อก็หยิบแฟ้มมาอ่านข้อมูลอย่างละเอียด “คนไข้มาจากหมู่บ้านเดียวกันเหรอ? เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนสักที่นะ”

    พยาบาลคนที่อ่านข้อมูลแล้วนั้นก็พยายามย้อนความจำของเธออยู่สักพักก็สังเกตเห็นคุณหมอสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาทางเคาเตอร์พอดี

    “รู้แล้ว! คุณหมอซีคะ คนไข้สองคนนี้มาจากหมู่บ้านเดียวกันกับคุณหมอและก็คุณหมอเซียวเลยนะคะ”

    เมื่อนางพยาบาลทักหญิงสาวผมบ๊อบสั้นประมาณบ่าพร้อมทั้งที่คาดผมโบสีแดงอย่างคุณหมอซีก็ทำให้เธอหยุดก้าวเท้าเดินต่อทันทีก่อนที่จะหันไปมองพยาบาลทั้งสองคน

    “งั้นเหรอ? หมู่บ้านจางหลิงอีกแล้วสินะ”

     

    FIN

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×