คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อฝนโปรย
Rain Fall เมื่อยามฝนโปรยปราย
-0-
เมื่อฝนโปรย
ท่ามกลางสายฝนซึ่งตกกระทบหลังคาจนเกิดเป็นเสียงดังจนน่าหนวกหู ร่างสูงโปร่งตวัดผ้านวมหนาคลุมตนเองเพื่อกันเสียงรบกวนจากภายนอกก่อนจะต้องมุดออกมาจากกองผ้านวมนั้นเมื่อเจ้าโทรศัพท์ที่วางไว้หมิ่นเหม่จะตกที่ปลายโต๊ะข้างเตียงดังขึ้น
ดวงตาสีเทาซีดไม่ได้สนใจจะไล่อ่านรายชื่อที่แสดงอยู่บนหน้าจอมากนัก ทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้นิ้วเรียวสีขาวซีดก็กดลงบนหน้าจอเพื่อรับโทรศัพท์ทันทีเพราะแม้ไม่ต้องมองหน้าจอก็สามารถรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าบุคคลที่จะโทรหาตนในเวลาเย็นย่ำแถมฝนตกหนักแบบนี้คือใคร
“มีอะไร”กรอกเสียงเรียบๆลงไปตามสายพลางมุดกลับไปนอนขดใต้ผ้านวมซึ่งม้วนจนดูคล้ายถ้ำขนาดเล็กๆเช่นเดิม แว่วเสียงฝนเบาๆที่เล็ดรอดเข้ามาในสายบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ถึงบ้าน... หรือไม่อย่างนั้นก็คงนึกคึกออกมานั่งเล่นที่ระเบียงบ้านซึ่งโอกาสที่อีกฝ่ายซึ่งเกลียดฝนยิ่งกว่าอะไรดีจะออกไปนั่งรับไอฝนนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
[“พอดีพี่มาเที่ยวกับบัวบูชาแล้วฝนตกเลยยังกลับบ้านไม่ได้... ยังไงถ้าไม่ลำบากช่วยมารับพี่หน่อยได้มั้ย?”]อีกฝ่ายที่อยู่ปลายสายเอ่ยเสียงนุ่มซึ่งทำให้เธอต้องมุดออกมาจากกองผ้านวมแทนทั้งที่ไม่ได้อยากจะออกมาเลยแม้แต่น้อย...
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้... เพราะยังไงเธอก็ไม่ได้ใจดำขนาดจะปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งรออีกชั่วโมงสองชั่วโมงเพื่อรอให้ฝนหยุดตกหรอก
คิดในใจกับตัวเองพลางกวาดข้าวของบนโต๊ะลงใส่กระเป๋าเป้แล้วสะพายบนหลังจากนั้นจึงลงไปตะโกนเรียกพี่ชายซึ่งกลิ้งเล่นคอมอยู่ด้านล่างให้ขับรถไปรับเพื่อนรักของอีกฝ่ายเป็นเพื่อนหน่อยซึ่งทางนั้นก็อิดออดอยู่ไม่น้อยว่าเกมของตัวเองใกล้จะชนะอยู่รอมร่อจนเธอต้องไปดึงปลั๊กคอมออกนั่นแหละทางนั้นถึงยอมลุกขึ้นได้แม้จะบ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดทางก็ตาม
“ขัดจังหวะเป็นบ้า...”
และแม้แต่เวลานี้ก็ยังคงไม่เลิกบ่น
เธอไม่ได้ตอบอะไรพี่ชายตนเองที่นั่งอยู่เบาะคนขับข้างๆแต่เบนสายตาไปมองนอกกระจกรถซึ่งเต็มไปด้วยฝ้าสีขาวและหยดน้ำฝนแทนซึ่งพี่ชายของเธอก็ไม่ได้สนมากนักว่าคนฟังเพียงคนเดียวเริ่มไม่สนใจตนเองแล้ว
วันนี้รถติดอย่างหนัก... ซึ่งอันที่จริงมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับบริเวณใจกลางเมืองเวลาเย็นซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแถมฝนยังตกหนักเสียอีกดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจมากนักที่วันนี้รถจะติดจนกว่าจะขยับได้ก็นานเสียยิ่งกว่าเต่าคลาน
“...ไม่แปลกใจเลยจริงถ้าไอ้ธันมันจะเกลียดฝนเข้าไส้แบบนั้น”ประโยคสุดท้ายของพี่ชายเรียกให้เธอเบนความสนใจจากภาพนอกกระจกเล็กน้อยเมื่อพี่ชายเอ่ยถึงประโยคที่เธอสงสัยมานาน...
แต่เหมือนพี่ชายเธอจะรู้เพราะอีกฝ่ายนั้นรีบเบี่ยงประเด็นออกทันทีดังนั้นเธอจึงหันความสนใจออกไปที่นอกหน้าต่างรถอีกครั้งเมื่อพบว่าพี่ชายของเธอไม่สามารถตอบความสงสัยของเธอได้เลยแม้แต่น้อย
เธอรู้จักกับพี่ธันวา... หรือที่พี่ชายของเธอเรียกว่าธันมาตั้งแต่ประถมเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของคุณน้าข้างบ้านและนั่นทำให้เธอนับถืออีกฝ่ายมากกว่าพี่ชายของเธอเสียอีกจนบางครั้งแม่ของเธอก็แอบแซวว่าอีกหน่อยเธอคงเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของทางนั้นเสียแทนแล้วล่ะมั้งเพราะดูเธอจะติดพี่ชายข้างบ้านมากกว่าพี่ชายแท้ๆของตัวเองเสียอีก...
และนั่นทำให้พี่ชายของเธองอนเธออยู่เกือบอาทิตย์
เธอรู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายพอๆกับที่รู้เกี่ยวกับพี่ชายแท้ๆของตัวเองแต่เธออาจจะให้ความสนใจต่างกันเล็กน้อยเท่านั้นเพราะถ้าเทียบระหว่างพี่ชายของเธอที่หยาบกระด้างแถมปากเสียวอนเท้าอยู่เป็นนิจแล้วธันวาที่นิสัยออกแนวสุภาพบุรุษเรียบร้อยให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มย่อมน่าสนใจกว่าพี่ชายแท้ๆของเธออยู่มากโข...
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่รู้ก็คือเหตุผลที่อีกฝ่ายเกลียด ‘ฝน’ แบบเข้ากระดูกดำเช่นปัจจุบัน
ธันวาเกลียดฝน... เกลียดมากขนาดไม่อยากเห็นหรือได้ยินเสียงมันจนเคยขังตัวเองอยู่ในห้องอัดเสียงในบ้านของอีกฝ่ายเกือบสามวันในวันที่พายุเข้าเพราะไม่อยากได้ยินเสียงฝนกระทั่งเคยเกือบพลาดการสอบไปครั้งหนึ่งตอนมัธยมปลายเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมวิ่งฝ่าฝนมาจากโรงอาหารจนครูประจำชั้นของอีกฝ่ายต้องตามเธอไปลากอีกฝ่ายมาสอบก็เคยมาแล้ว
แต่อาการเกลียดฝนของธันวาก็เริ่มดีขึ้นมาเมื่อเข้าปีสอง... อาจจะเพราะอีกฝ่ายรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็ได้แต่สุดท้ายถ้าธันวากลับมาอยู่กับพวกเธอก็จะกลายเป็นคนกลัวฝนคนเดิมที่กอดเธอเสียแน่นหนึบเพราะกลัวว่าเธอจะทิ้งอีกฝ่ายไป และแม้จะไม่ถึงขนาดตากฝนได้อย่างหน้าชื่นตาบานแต่การที่อีกฝ่ายยอมทนยืนตากฝนตอนรับน้องได้เป็นชั่วโมงๆตอนปีสองก็นับว่าดีขึ้นมากแล้วจากที่ตอนที่อีกฝ่ายอยู่ปีหนึ่งเธอเคยถูกโทรตามเพราะอีกฝ่ายช็อคตอนโดนรุ่นพี่ลากไปตากฝนตอนรับน้องจนลำบากถึงเธอที่พึ่งสอบเลื่อนขึ้นเป็นพี่ม.หกเสร็จสิ้นต้องลากสังขารไปเก็บกู้ซากอีกฝ่ายกลับไปบ้าน...
และหลังจากนั้นแม้จะเป็นแค่ฝนปรอยๆแต่ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนยอมให้ธันวาออกไปโดนเลยแม้แต่น้อยยกเว้นตอนงานรับน้องตอนปีสองที่ธันวาเป็นคนบอกว่าต้องการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้เองด้วยเหตุผลที่รู้กันแค่ในกลุ่มเล็กๆ
เพราะหนึ่งในน้องปีหนึ่งคือคนที่อีกฝ่ายแอบชอบอยู่แต่เพราะเธอเรียนคณะบริหารในขณะที่ธันวาและพี่ของเธอเรียนอยู่คณะวิศวะดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเพื่อนต่างคณะคนไหนที่เป็นเหตุผลที่ทำให้ธันวาซึ่งถูกเรียกว่า ‘เจ้าสาวกลัวฝน’ ยอมออกมายืนตากฝนเป็นชั่วโมงๆทำเอาคุณน้าซึ่งเห็นรูปที่เธอถ่ายอีกฝ่ายตอนยืนตากฝนน้ำตาซึมไม่ได้
เธอเคยลองถามธันวาอยู่หลายครั้งถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายเกลียดฝนแบบพูดได้เลยว่าเข้าขั้นอาการหนักแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับมานอกจากรอยยิ้มที่ทำให้เธอต้องเลิกล้มความตั้งใจที่จะบีบเค้นหาคำตอบจากอีกฝ่ายออกมาและแม้เธอจะถามพี่ชายของเธอแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรเธอเลยแม้แต่น้อยจนกระทั้งปัจจุบันเธอเคยชินกับอาการเกลียดฝนของธันวาจนถ้าวันไหนธันวาชวนเธอออกไปเล่นน้ำฝนนั่นแหละเธอถึงจะแปลกใจ
และเพราะธันวาเกลียดฝนดังนั้นเหตุการณ์เช่นนี้จึงไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นครั้งแรก
ธันวาไปเที่ยวกับบัวบูชา... ดาวคณะนิเทศศาสตร์ปีสองที่แม้แต่คนที่ต่อมความงามมีปัญหาอย่างเธอยังยอมรับว่าอีกฝ่ายสวยเพราะอีกฝ่ายสวยมากจริงๆและยิ่งรวมกับบุคลิกที่คล้ายกับคุณหนูอ่อนแอทำให้อีกฝ่ายดูน่าทะนุถนอมมากกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ...
แต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสาวสวยแต่เธอก็บอกไม่ได้เต็มปากว่าอีกฝ่ายเหมาะสมกับธันวาเพราะแม้บุคลิกที่ดูน่าทะนุถนอมของอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายหลายๆคนชอบแต่เมื่อนำมารวมกับความเป็นสุภาพบุรุษของธันวาแล้วอีกฝ่ายกับดูจืดจางลงไปมากเลยทีเดียว...
เรียกว่าถูกบุคลิกที่คล้ายคลึงกันของธันวากลบทับก็คงพูดไม่ผิด
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้าไปยุ่งเพราะอย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘คนรัก’ ของธันวาและเธอเองก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับธันวาเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่าไรนัก
“ถึงแล้ว...”พี่ชายของเธอว่าพลางจอดรถที่หน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมืองซึ่งธันวาใช้หลบฝนหลังจากเดินเที่ยวกับบัวบูชาที่สวนสัตว์ข้างๆแล้วพบว่าฟ้ามืดจนเหมือนฝนเริ่มตกและแน่นอนว่าคงวิ่งไปขึ้นรถไม่ทันแน่ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนเกลียดฝนอย่างธันวาจึงเป็นการนั่งจิบกาแฟกับบัวบูชารอพวกเธอมารับแทนเพราะวันนี้ไม่รู้อีกฝ่ายนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรจึงไม่ยอมขับรถออกไปแต่ให้เธอขับรถไปส่งแทน...
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องลากสังขารมาที่นี่ทั้งๆที่อยากจะนอนเต็มแก่หลังจากเพิ่งผ่านเดือนหฤโหดของการเตรียมงานรับน้องซึ่งจะถูกจัดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้าเพราะคณะพี่ปีสามดันมีนัดต้องไปทำธุระกันหลังจากเดือนนี้เสียแน่นเอี้ยดดังนั้นพวกเธอจึงต้องเลื่อนเวลามาเตรียมงานก่อนถึงสองเดือนทั้งๆที่เพิ่งผ่านการแก้ตัวแดงกันไปแม้เธอจะไม่เดือดร้อนอะไรกับคะแนนของเธอนักก็ตาม...
ก็ลองมีพี่รหัสเป็นนักศึกษาที่ขึ้นชื่อว่าเรียนเก่งที่สุดในมหาวิทยาลัยดูสิแล้วคุณจะรู้ว่าการเรียนแบบ ‘เข้มข้น’ และโคตร ‘กดดัน’ เป็นอย่างไรเพราะอีกฝ่ายดันบอกเอาไว้ว่าถ้าเกรดของเธอออกมาได้ไม่น่าภูมิใจเธอโดน ‘จัดหนัก’ อย่างแน่นอน...
และลองบวกว่าคนพูดคือ ‘ทายาทอสูร’ ของอดีตเฮดว๊ากคณะบริหารที่ฉีกกฎว่าการรับน้องของคณะบริหารต้องเป็นไปแบบชิวๆแบบลูกคุณหนูเสียยับเยินเพราะพี่ท่านดันรับน้องแบบคณะวิศวะยังอายคำว่า ‘จัดหนัก’ ของอีกฝ่ายคงไม่ใช่การสั่งวิ่งรอบคณะสิบรอบเหมือนที่เธอเคยโดนตอนที่ลืมเอาหนังสือมาอย่างแน่นอน
และผลคือเธอคือเธอได้คะแนนเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ของคณะบริหารถ้าไม่นับรวมพี่รหัสของเธอและอดีตเฮดว๊ากที่ขึ้นปีสี่ไปแล้วซึ่งทำให้เธอรอดพ้นเงื้อมือมารมาได้แบบหวุดหวิด
หลังจากเข้ามาในร้านเพียงครู่เดียวเธอก็พบกับคนที่เธอตามหาเมื่อธันวานั้นราวกับมีป้ายระบุตัวประมาณว่า ‘ฉันอยู่นี่’ เพราะอีกฝ่ายเล่นทำให้สาวน้อยสาวใหญ่และไม่สาวภายในร้านจ้องมองเกือบจะตลอดเวลาด้วยใบหน้าที่ราวกับเทพบุตรลงมาจุติจากบนสวรรค์...
แว่วเสียงจิ๊ปากด้วยความหมั่นไส้จากพี่ชายของเธอซึ่งเดินตามมาด้านหลังแต่เธอก็เลือกที่จะมองผ่านมันไปแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายซึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่โต๊ะเกือบในสุดของร้านซึ่งก็ไม่ได้แปลกไปจากที่เธอคิดเสียเท่าใดนักเพราะบริเวณนี้เป็นบริเวณเดียวในร้านที่จะได้ยินเสียงฝนน้อยที่สุดหรือเกือบจะไม่ได้ยินเลย...
และนั่นแสดงว่าตอนโทรหาเธออีกฝ่ายคงลุกออกไปบริเวณนอกร้านเพื่อให้เสียงฝนลอดเข้ามาในโทรศัพท์สินะ
“สวัสดีค่ะพี่บัว... ที่จริงพี่ธันวาให้พี่บัวกลับไปก่อนก็ได้นะจะได้ไม่ลำบากพี่เขา”เธอสวัสดีบัวบูชาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของธันวาก่อนจะหันมาพูดกับธันวาที่เพียงแค่ยิ้มตอบรับน้อยๆที่เธอไม่เข้าใจว่าจะยิ้มทำไม...
ธันวาเป็นอย่างนี้เสมอ... ยิ้มเกือบตลอดเวลาทำให้ในบางครั้งรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ยากที่จะอ่านความหมาย
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ พี่ไม่ได้รีบกลับบ้านอยู่แล้ว... จริงสิ พี่ทำนี่มาฝากเราน่ะ เห็นว่าชอบของหวานๆไม่ใช่เหรอจ๊ะ”บัวบูชาว่าก่อนจะล้วงหยิบถุงใส่คุกกี้จากกระเป๋าสะพายมาส่งให้เธอพลางส่งรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากมาให้...
แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากของธันวาอย่างสินเชิง
“ที่จริงบัวไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ... แต่ยังไงก็ขอบคุณแทนเด็กคนนี้นะครับ”ธันวาว่าพลางส่งยิ้มเล็กๆที่มุมปากซึ่งเธอเห็นทุกวันให้อีกฝ่ายก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถุงขนมจากอีกฝ่าย...
บัวบูชายิ้มตอบกลับธันวาก่อนจะหดมือกลับ แล้ววงสนทนาก็เงียบลงอีกครั้ง
ก่อนวงสนทนาที่เงียบมานานจะหยุดลงเมื่อพี่ชายของเธอเปิดปากขึ้น
“อยู่กับพวกนายนี่น่าเบื่อชะมัด... ยิ้มกันไปยิ้มกันมาอยู่ได้” พี่ชายเธอว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านซ้ายมือของธันวาทำให้เธอต้องเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวขวามือของธันวาแทน...
นายแมนมากพี่ชาย ให้น้องเดินไปนั่งที่ไกลๆส่วนตัวเองนั่งนิ่งสบายๆนี่นะ
“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะอาทิตย์?” ธันวาว่าพลางส่งยิ้มเล็กๆให้พี่ชายของเธอซึ่งทำเพียงกลอกตากลับไปมาก่อนจะหันไปสั่งขนมกับพนักงานที่เดินผ่านทางมา...
และนั่นทำให้ธนวาหรี่ตาลงเล็กๆ
“ขอช็อคโกแล็ตร้อนแก้วหนึ่งกับเค้กส้มชิ้นหนึ่งด้วยครับ” ธันวาว่าพลางยิ้มเล็กๆให้กับพนักงานก่อนจะหันกลับมาเอ่ยถามพี่ชายของเธอต่อพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเหมือนโลโก้ประจำตัวของอีกฝ่าย
“นี่ไม่คิดจะกลับบ้านเหรอครับ?” ว่าพลางขยับเปลี่ยนท่านั่งเป็นเท้าคางสบายๆเหมืองที่อีกฝ่ายชอบทำเป็นประจำซึ่งพี่ชายของเธอก็หรี่ตาลงนิดๆก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนิ่งๆซึ่งติดจะกวนนิดๆเสียด้วยซ้ำ
“จะกลับเลยหรือยังไม่กลับนายก็สั่งของมาให้น้องสาวฉันกินแล้วไม่ใช่หรือไง... อีกอย่างฉันยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกับข้าวเย็นเลยนะ”
“นั่นเพราะว่าพี่ขี้เกียจลุกจากคอมไปหาอะไรกินไม่ใช่เหรอไง แล้วถ้าจำไม่ผิดหนูรู้สึกกว่าพี่เขมือบพายที่น้าจูนทำมาให้ไปแล้วเกือบครึ่งถาดแล้วนะ”เธอว่าพลางล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูอะไรเล่นแม้จะรู้ว่ามันค่อนข้างเสียมารยาทก็ตาม
“แม่ทำพายมาให้? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย?”ธันวาว่าซึ่งนั่นทำให้พี่ชายของเธอส่งเสียงเฮอะเล็กๆในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม
“ก็นายมาเที่ยวกับบัวนี่แล้วจะรู้ได้ไง... อีกอย่างถ้านายรู้แล้วจะทำไม? วิ่งมาแย่งฉันกินรึไง?”
“พี่น่ะเงียบไปเลย... ก็พี่เป็นคนบอกน้าจูนเองไม่ใช่รึไงว่าอยากกินพายน้าเขาก็เลยทำมาให้”
“เหรอ? ไม่ใช่ว่าแกเปรยๆให้น้าเขาฟังก่อนเหรอว่าอยากกินขนมนะฮะ?”
“แต่นั่นมันก็ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว... อีกอย่างพี่ก็แย่งหนูกินไปเกือบหมดทั้งถาดเลยไม่ใช่รึไง”
“อย่ามาตลก... น้าจูนเขาทำมาให้สองถาด แกเองไม่ใช่เหรอไงที่เอาอีกถาดไปนั่งกินกับพวกไอ้เต”
“พี่คิดว่าหนูจะได้กินจริง? พวกนั้นกินกันยิ่งกว่าพายุเข้าซะอีก พายถาดเดียวไม่พอให้พวกนั้นกินเสียด้วยซ้ำ”
“งั้นถ้าแกอยากกินก็ไปอ้อนน้าจูนเขาให้ทำให้สิ แกเป็นลูกรักเขานี่”
“พูดแบบนี้คือพี่กะจะเขมือบพายที่เหลือนั่นหมดถาด?”
“ฉันไม่ได้คิดจะกินพายนั่นหมดถาดหรอกน่า อีกอย่างแกเห็นฉันเป็นตัวอะไรเนี่ยจะได้กินพายนั่นหมดถาด?”
“พี่ก็เป็นหมีที่วันๆเอาแต่กินกับนอนไม่ยอมทำงานไงล่ะ เห็นว่าวันก่อนพี่โดดนัดติวกับไอ้พีนี่ มันบ่นกับหนูซะหูชาเลยนะว่าพี่ไม่ยอมสอนมัน”
“แกเห็นพี่ชายตัวเองเป็นหมีเนี่ยนะ!? ไอ้น้องเวร...”
“เอาน่าๆ พี่น้องคู่นี้อย่าทะเลาะกันสิ” ธันวาว่พลางส่งยิ้มเล็กๆที่เธอเห็นเป็นรอบที่สิบของวันให้ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวเธอเบาๆแบบที่อีกฝ่ายชอบทำพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนตอนที่อีกฝ่ายชอบใช้เกลี้ยกล่อมเธอเมื่อตอนยังเด็ก
“อย่าดื้อกับอาทิตย์มากสิ... ทำตัวเป็นเด็กดีหน่อยนะรู้มั้ย”
และนั่นทำให้เธอยอมเงียบลงแล้วหันไปให้ความสนใจกับโทรศัพท์ในมือเช่นเดิม
“ดีมากเลย... เดี๋ยวกลับไปพี่จะทำขนมให้กินแล้วกันนะรู้มั้ย”ธันวาว่าพลางยิ้มกว้างให้เธอซึ่งนั่นทำให้เธอบ่นเบาๆอย่างไม่พอใจเล็กน้อยกับนิสัยของอีกฝ่าย
“พี่น่ะชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กอยู่เรื่องเลย...”
และนั่นทำให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายกว้างมากขึ้นไปอีก
.
.
.
“พี่น่ะชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย”
.
.
.
ความคิดเห็น