ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อิเลซเซ่ ภาค นักรบเกศาศักดิ์สิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #1 : เกศาเส้นที่หนึ่ง: นามนั้นคืออิเลซเซ่

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 58


    I 

    นามนั้นคืออิเลซเซ่

                    ทันทีที่ร่างเล็กในชุดคลุมสีแดงเพลิงของอิเลซเซ่ก้าวออกจากรถม้าซึ่งเทียมด้วยวิหคเพลิงขนาดยักษ์สายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องที่เธอทันที และนั่นทำให้เธอรู้สึกอยากกลับไปนอนกลิ้งที่บ้านขึ้นมาตงิดๆติดที่ถ้าเธอทำแบบนั้นคงไม่แคล้วถูก ท่านอาจารย์จับเสียบไม้ย่างเอาแน่ๆดังนั้นเธอจึงทำได้แค่หันกลับเข้าไปลากเอาสัมภาระทั้งหมดของเธอออกมาก่อนจะโค้งตัวเคารพอาจารย์ของเธอที่นั่งอยู่ภายในรถม้าแล้วยืนรอจนกระทั่งวิหคเพลิงตัวยักษ์และรถม้าลับสายตาไปจากนั้นจึงเดินหอบสัมภาระเข้าไปในรั้วสีทองด้านหลังโดยมีสายตานับร้อยนับพันมองตามไปจนกระทั่งเธอก้าวข้ามเขตเข้ามา

                    อันที่จริงอิเลซเซ่ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรที่ทุกคนหันมามองที่เธอ หรือจะพูดให้ถูกก็คือหันไปมองที่รถม้าที่เธอก้าวลงมาเพราะที่นี่คือแดนเหมันต์นคร ดินแดนแห่งความหนาวเหน็บที่ไม่ว่าสัตว์อัคคีตัวใดก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาดังนั้นการที่วิหคเพลิงซึ่งโดยปกติอาศัยอยู่ที่แถบวงแหวนแห่งไฟในอาณาเขตของวิหารเพลิงกาลอันเป็นบ้านเกิดของเธอมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่จึงค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยทีเดียว

                    ทันทีที่เธอก้าวข้ามเขตแดนซึ่งกางอยู่ระหว่างรั้วสีทองที่ประตูถูกเปิดออกร่างกายของเธอรวมทั้งสัมภาระก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยัง วิทยาลัยเวทย์ซึ่งสาขาหลักตั้งอยู่ที่ใจกลางของเน็กซัสซึ่งอยู่ที่ใจกลางของแพนเจียทันทีทั้งที่เมื่อครู่เธอยังอยู่ที่สาขาย่อยของวิทยาลัยเวทย์ซึ่งตั้งอยู่ที่เหมันต์นครอันอยู่ ณ ทางตะวันตกแทบจะตกขอบแพนเจียซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเคลื่อนย้ายมาที่นี่ในเวลาอันสั้น

                    แต่ก็นั่นแหละ อะไรก็เกิดขึ้นได้เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วของวิทยาลัยเวทย์

                    “หนูมาซื้อใบสมัครให้พี่เหรอจ๊ะ?” แว่วเสียงใสก่อนที่ร่างในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดตาจะปรากฏที่ตรงหน้าเธอ ขนนกสีขาวปลิวฟุ้งไปมาก่อนจะแตกสลายหายเป็นละอองสีขาวอ่อน นั่นคือสัญลักษณ์ของชนเผ่าปีกขาวซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของเคหาสน์ศักดิ์สิทธิ์ที่พบได้ยากในปัจจุบัน ไม่คิดว่าเธอจะได้เจอแบบตัวเป็นๆ ที่นี่

                    อา... แต่เมื่อกี้เธอถูกถามว่าจะมาซื้อใบสมัครให้พี่รึเปล่าสินะ เธอไม่มีพี่เสียหน่อย

                    คิดพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย อันที่จริงการที่อีกฝ่ายจะถามเธอว่ามาซื้อใบสมัครให้พี่รึเปล่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกในเมื่อมองภายนอกตัวเธอในตอนนี้เหมือนเด็กอายุเก้าขวบเท่านั้น แต่การจะสมัครเข้าวิทยาลัยเวทย์ได้เกณฑ์ขั้นต่ำต้องอายุสิบหกดังนั้นการที่จะถูกเข้าใจว่ามาซื้อใบสมัครให้พี่รึเปล่าจริงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

                    “เปล่าหรอกค่ะ เห็นแบบนี้หนูก็อายุสิบแปดแล้วนะคะ” เธอว่า ก่อนที่จะเห็นแววตาแห่งความประหลาดใจแล่นผ่านแก้วตาสีชมพูอ่อนอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าปีกขาวของอีกฝ่าย ก่อนที่อีกฝ่ายจะคลี่ยิ้มแล้วผายมือไปทางอาคารขนาดใหญ่ทางซ้ายมือ

                    “เหรอจ๊ะ งั้นขอโทษด้วยจริงๆนะที่หาว่าเธอเป็นเด็ก เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการขอโทษพี่จะพาเธอไปจุดรับสมัครแล้วกันนะจ๊ะ” อีกฝ่ายว่าก่อนจะก้าวเดินนำเธอออกไปแล้วชะงักจากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับเธออีกครั้งว่า ลืมบอกไปเลย พี่ชื่อวาเนสร่านะจ๊ะ อยู่ปีสาม สังกัดหอคอยบรรพกาล แล้วเธอชื่อ...”

                    “อิเลซเซ่ค่ะ” เธอเอ่ยตอบอีกฝ่ายโดยละนามสกุลของตัวเองไว้ ส่วนการที่อีกฝ่ายไม่ได้บอกนามสกุลของตัวเองนั้นเธอไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรนักเพราะชนเผ่าปีกขาวไม่มีนามสกุลดังนั้นการที่อีกฝ่ายไม่ได้บอกนั้นไม่ใช่เพราะไม่อยากบอกแต่เป็นเพราะว่าไม่มีให้บอกต่างหาก

                    ฝ่ายวาเนสร่านั้นแปลกใจเล็กน้อยที่พบว่าอีกฝ่ายจงใจละนามสกุลของตนเองเอาไว้ แต่ก็นั่นล่ะ บางชนเผ่านามสกุลก็ไม่ต่างจากพันธสัญญาที่ยามเอ่ยออกมาจะถูกผูกมัดกันไว้ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไร

                    “ว่าแต่จะให้พี่ช่วยถือหน่อยมั้ยคะ” เอ่ยถามเมื่อพบว่าอิเลซเซ่ไม่ได้มาตัวเปล่าแต่มาพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวยักษ์และกระเป๋าขนาดใหญ่ซึ่งพออีกฝ่ายยืนนิ่งๆแล้วกระเป๋าแทบจะลากพื้น แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธดังนั้นเธอจึงเดินนำอีกฝ่ายไปที่จุดรับสมัครทันที

     

     

     

                    จุดรับสมัครหรือก็คือโต๊ะยาวสำหรับขายใบสมัครเข้าวิทยาลัยเวทย์และรับใบสมัครซึ่งตั้งอยู่ในอาคารขนาดใหญ่และดูหรูหราซึ่งวาเนสร่าบอกว่าในปีหนึ่งจะเปิดแค่เพียงสามครั้งเท่านั้นเพื่อรับสมัครนักเรียน งานปฐมนิเทศของปีหนึ่งและงานปัจฉิมนิเทศของปีสี่ กล่าวโดยสรุปคือเป็นอาคารสำหรับครั้งแรกที่มาเรียนและครั้งสุดท้ายที่เรียนนั่นเอง

                    ชื่อของมันคือ วิหารความทรงจำ

                    จุดขายใบสมัครเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ที่สูงพ้นหัวเธอไปซึ่งวางของเอาไว้เยอะแยะแต่จัดได้อย่างสวยงาม มีชาวปีกขาวอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ปีสามเช่นเดียวกับวาเนสร่าสังเกตจากเข็มกลัดตัวรูปนาฬิกาที่ถูกทับด้วยตัวอักษรไอสามตัวสีเงินที่ติดอยู่ที่ปกเสื้อด้านขวาเช่นเดียวกับวาเนสร่า

                    “วาเรสซ่า นี่เด็กที่จะมาสมัคร เธอตัวเล็กนิดหน่อยน่ะ ชื่อว่าอิเลซเซ่ ส่วนอิเลซเซ่นี่วาเรสซ่าน้องสาวฝาแฝดของพี่จ่ะ” วาเนสร่าเอ่ยก่อนที่ใบหน้าที่เหมือนกับวาเนสร่าราวกับแกะจะโผล่ออกมาจากด้านบนโต๊ะ อิเลซเซ่คาดว่าอีกฝ่ายจะโน้มตัวข้ามโต๊ะมา ก่อนที่ใบสมัครจะถูกยื่นให้เธอจากวาเรสซ่า สองพี่น้องฝาแฝดนี่ต่างกันแค่ทรงผมเท่านั้นซึ่งผมของวาเนสร่าจะยาวกว่า

                    “ห้าร้อยเหรียญจ้า แต่พี่ถูกใจน้องดังนั้นพี่จะออกให้แทนแล้วกัน” วาเรสซ่าว่าก่อนที่เธอจะถูกอุ้มขึ้นแล้ววางไว้ที่เก้าอี้ข้างๆวาเรสซ่าโดยฝีมือของแฝดคนพี่ “ฝากด้วยแล้วกันนะจ๊ะ” อีกฝ่ายว่าการจะสลายกลายเป็นละอองขนนกไป

                    “กรอกเสร็จแล้วเอาไปส่งให้พี่ผู้ชายชุดดำตรงนั้นนะอิเลซเซ่ อ้อใช่ พี่คนนั้นเขาชื่อโซเม อยู่ปีสาม วิหารบรรพชน อาจดูไม่น่าคบไปหน่อยแต่เอาจริงๆแล้วพี่เขาใจดีนะ ส่วนเราน่ะมีปากกาแล้วรึยัง” วาเรสซ่าว่าพลางชี้ไปที่เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีดำสนิทที่อยู่ที่โต๊ะฝ่ายตรงข้ามที่นั่งอ่านหนังสือนิ่งเหมือนไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาพบโลกแห่งความเป็นจริงก่อนจะหันมาถามเธอซึ่งเพียงพยักหน้าตอบไป

                    วาเรสซ่าพยักหน้าก่อนจะหันไปทำหน้าที่ของตนต่อทิ้งเธอไว้บนโต๊ะสำหรับกรอกใบสมัครกับใบสมัครที่เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยมากมายที่ทำให้เธอรู้สึกตาลาย ก่อนจะชะงักเมื่อมีกระดาษอีกแผ่นถูกวางลงที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ

                    อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มผู้มาพร้อมชุดสีขาวสะอาด เส้นผมสีทองและดวงตาสีฟ้าครามสมกับตำแหน่งเจ้าชายประจำเหมันต์นคร อาณานิคมที่เธอเพิ่งก้าวเท้าข้ามมา แต่เธอไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเท่าไรนักดังนั้นพอกรอกใบสมัครเสร็จแล้วเธอจึงเตรียมที่จะลงจากเก้าอี้เพื่อเอาใบสมัครไปยื่นแต่ก่อนที่เธอจะได้ลงจากเก้าอี้เธอก็ถูกอุ้มขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่โดยวาเนสร่า หรือวาเรสซ่า

                    เป็นเจ้าชายแห่งเหมันต์นครที่อุ้มเธอขึ้น

    แถมยังกอดเธอด้วยท่าทางราวกับเด็กกำลังกอดตุ๊กตาเหมือนที่เธอกอดตุ๊กตาหมีของเธออยู่อีกต่างหาก พอเธอจะเอ่ยปากถามอีกฝ่ายก็เอ่ยสวนออกมาล่วงหน้าแล้วกลับรู้ว่าเธอจะถามว่าอะไร

                    “ผม เอมิเลส เพลสเกอร์แลนซ์ แต่ผมอยากให้อิซเรียกผมว่า เพลส มากกว่าครับ” อีกฝ่ายว่า พลางฉีกยิ้มสว่างไสวแต่ประโยคที่อีกผ่ายเอ่ยออกมากลับทำให้เธออดหรี่ตาอย่างแปลกใจไม่ได้เมื่อชื่อที่อีกฝ่ายเรียกเป็นชื่อที่มีแค่ท่านอาจารย์และนายหญิงเท่านั้นที่เรียกเธอ

                    “ผมเห็นจากใบสมัครของอิซน่ะครับ อิซที่มาจากอิเลซเซ่เพราะในช่องชื่อเรียกเธอเขียนว่าเลซใช่มั้ยล่ะ ผมไม่อยากเรียกซ้ำกับคนอื่น” อีกฝ่ายว่าก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆขึ้นคล้องแขนแล้วอุ้มเธอตรงไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามซึ่งเธอก็ขี้เกียจจะขัดขืนเพราะโดยปกติเธอก็ถูกนายหญิงอุ้มแบบนี้อยู่แล้ว แถมยังสบายไม่ต้องเดินเองอีกต่างหากบวกกับรูปลักษณ์เธอที่ยังเป็นเด็กเก้าขวบทำให้เธอไม่คิดอะไรมากเพราะคงไม่มีใครนึกพิศวาสอะไรกับสภาพแบบเธออยู่แล้ว

                    “ยื่นใบสมัครครับ” อีกฝ่ายว่าพลางยิ้มสว่างไสวเช่นทุกครั้งแล้วยื่นใบสมัครสองใบให้กับโซเมซึ่งยื่นมือมารับโดยที่ใบหน้ายังไม่เงยขึ้นจากหนังสือ ก่อนที่สายคล้องแขนสองสายจะถูกยื่นกลับมาซึ่งเพลสก็คล้องให้กับเธอและเขาเสียเรียบร้อย

                    ของเธอเป็นสายคล้องแขนสีแดงซึ่งมีหมายเลข 0666 และตัวอักษรเขียนว่า อิเลซเซ่ อยู่ในขณะที่ของเพลสเป็นสายคล้องแขนสีน้ำเงินซึ่งมีหมายเลข 0667 และตัวอักษรเขียนว่า เอมิเลส อยู่เช่นกัน

                    “เห็นโถงฝั่งขวาไหม เดินไปที่ประตูที่สุดโถงนั้นแล้วนั่นรอซะ พอถึงเวลาที่กำหนดจะมีคนบอกอะไรเพิ่มเอง” อีกฝ่ายเอ่ยโดยที่ไม่ละสายตาขึ้นมาจากหนังสือเช่นเคยซึ่งเพลสก็เอ่ยรับก่อนจะอุ้มเธอไปยังโถงทางเดินที่ว่า

                    “เวลาที่กำหนดนี่คือกี่โมงเหรอเพลส” เธอเอ่ยถามอีกฝ่าย สืบเนื่องจากการที่อยู่ๆเธอก็ถูกนายหญิงยัดใส่รถม้ามากับท่านอาจารย์ทำให้เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสอบเข้าวิทยาลัยเวทย์เลยแม้แต่น้อย ที่เธอรู้ก็มีเพียงแค่ข้อมูลพื้นฐานสามัญเท่านั้น

    และเพลสก็ไม่ผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายอธิบายให้เธอฟังเสียละเอียดยิบ

    “วิทยาลัยเวทย์จะเปิดรับสมัครเป็นเวลาสามวันครับโดยในวันที่สามจะมีการสอบภาคทฤษฎีในเวลาเที่ยงตรงซึ่งหากมีผู้สมัครสอบคนไหนไม่มารายงานตัวจะถูกตัดสิทธิ์โดยทันที อิซเห็นโถงฝั่งนั้นไหมครับ นั่นเป็นโถงไปยังโซนรับรองที่วิทยาลัยเตรียมให้กับผู้สมัครสอบ ประกอบด้วยห้องพักรับรองสำหรับผู้สมัครสอบห้าร้อยห้อง ในห้องหนึ่งสามารถเข้าพักได้สองถึงสี่คนตามแต่ความสมัครใจครับ” เพลสว่าพลางชี้ไปที่โถงฝั่งตรงข้ามซึ่งตีขนานกับโถงทางเดินที่เพลสกำลังเดินอยู่โดนมีเสาแกะสลักจำนวนมากกั้นเอาไว้ซึ่งเห็นคนเดินอยู่ประปราย

    “ที่บ้านผมก็มีตุ๊กตาอยู่ตัวหนึ่งครับ คล้ายๆอิซเลยแต่มันเป็นตุ๊กตาผู้ชาย” เพลสว่าก่อนจะหยุดลงที่หน้าประตูคู่บานใหญ่ซึ่งเปิดออกโดยอัตโนมัติทันที ด้านหลังคือห้องรับรองขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าเด็กหนุ่มสาวหลายร้อยคน “คราวก่อนมีผู้สมัครสอบเกือบสองพันคนแน่ะครับ แต่พอคัดเอาจริงๆแล้วกลับได้นักเรียนแค่ไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น” เพลสว่าอีกรอบก่อนจะพาเธอไปนั่งที่มุมเก้าอี้มุมห้องโดยวางสัมภาระทั้งหลายยกเว้นตุ๊กตาหมีของเธอไว้บนพื้นข้างเก้าอี้ก่อนที่จะเปิดกระเป๋าสะพายของตนเองออกแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่านโดยทำให้เธอที่นั่งอยู่บนตักอีกฝ่ายได้อานิสงค์ได้อ่านหนังสือไปด้วย

    หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า รวมข้อมูลเผ่าพันธุ์ในแพนเจียเป็นหนังสือที่เธอจำได้ว่าเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว

    ส่วนอ่านเมื่อไรกับใครนั้นเธอจำไม่ได้

     

     

     

     

    WRITER TALK

                    สวัสดีจ้า~ คนเขียนมีนามปากกาอันแสนไพเราะเพราะพริ้งจิงกะเบลคอนแวนว่า เจ้าชายสีน้ำเงินหรือว่า บลูนะจ๊ะทุกคน~~~~~

                    เอาล่ะๆ มาพูดเรื่องนิยายกันบ้าง คือคนอ่านอาจจะสงสัยนะว่าทำไมอิซไม่คิดจะชัดขืนที่ถูกเพลสอุ้มเลย คือเพลสมันเป็นพระเอกไงคะอิซเลยไม่ขัดขืนไม่งั้นสตอรี่มันไม่ดำเนิน เกิดการขัดข้องทางเทคนิคเล็กน้อยดังนั้นเบลอๆ ประโยคข้างหน้าไปซะนะคะ

                    คืออย่างที่อิซว่าว่าโดน นายหญิงอุ้มแบบนั้นจนชินแล้วบวกกับโดยพื้นฐานแล้วอิซเป็นคนฟุ้งซ่านคิดมากแต่กับเรื่องบางเรื่องก็ชิลซะจนน่าตกใจและเรื่องที่ถูกเพลสอุ้มก็เป็นเรื่องที่น่าเองจัดอยู่ในหมวดเรื่องชิลๆ ค่ะ และที่สำคัญคืออิซอยู่ในสภาพที่เหมือนเด็กอายุเก้าขวบดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่จะคิดว่าเพลสคงไม่คิดอะไรกับตัวเอง ส่วนอิเพลสจะคิดรึเปล่านี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×