บริทนี่ย์สเปียร์ส นักร้องสาวชื่อก้องโลก - บริทนี่ย์สเปียร์ส นักร้องสาวชื่อก้องโลก นิยาย บริทนี่ย์สเปียร์ส นักร้องสาวชื่อก้องโลก : Dek-D.com - Writer

    บริทนี่ย์สเปียร์ส นักร้องสาวชื่อก้องโลก

    ผู้ติดอันดับนักร้องสาวผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการเพลง 10 อันดับของโลก และเรื่องราวของเธอในชีวิตวัยเยาว์และเรื่องอันน่าปวดหัว

    ผู้เข้าชมรวม

    2,880

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    2.88K

    ความคิดเห็น


    38

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ธ.ค. 50 / 12:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Britney Spears

      จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

       
      Britney Spears
      แสดงที่ Staples Center ลอสแอนเจลิส 2004
      แสดงที่ Staples Center ลอสแอนเจลิส 2004
      ข้อมูลพื้นฐาน
      ชื่อจริงBritney Jean Spears
      วันเกิด2 ธันวาคม ค.ศ. 1981 (อายุ 25 ปี)
      แนวเพลงป็อป
      อาชีพนักร้อง,นักแสดง,นักเต้น,นักเขียน,นักแต่งเพลง
      ปีพ.ศ. 2538 - 2540 (งานก่อนออกเดี่ยว)
      พ.ศ. 2541 - ปัจจุบัน (ผลงานเดี่ยว)
      ค่ายJive
      เว็บไซต์britney.com

      บริทนี่ย์ สเปียร์ส (Britney Spears หรือชื่อเต็มว่า Britney Jean Spears) เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2524 เป็นนักร้องแนวป็อปชาวอเมริกัน เธอมีเพลงฮิตอย่างเพลง "...Baby One More Time,Oops!... I did it agains,I'm a slave 4 you และ toxic เป็นต้น

      เนื้อหา

      ประวัติ

       ชีวิตช่วงแรก

      บริทนี่ย์ สเปียร์สเกิดในแม็คคอมบ์ มิสซิสซิปปี้ โตที่เซาเทอร์น แบพติสท์ ในเคนท์วูด รัฐหลุยเซียน่า

      เมื่ออายุ 8 ขวบ ได้เดินทางไปแอตแลนต้า เพื่อคัดตัวเข้าร่วม มิคกี้ เม้าส์ คลับ ซึ่งก็เข้าถึงรอบสุดท้าย แต่กลับถูกคัดออก เนื่องจากอายุน้อยเกินไป อย่างไรก็ดี โปรดิวเซอร์ แนะนำให้มารดา พาเธอไปนิวยอร์ก ให้กับเอเจ่นต์ 3 ปีต่อมา บริทนี่ย์ สเปียร์สอยู่ที่ศูนย์เต้นรำนอกบรอดเวย์ กับที่โรงเรียนการแสดงระดับอาชีพในนิวยอร์ก เธอเริ่มมีงานโฆษณาหลายเรื่อง และยังได้แสดงละครบรอดเวย์เรื่อง Ruthless บริทนี่ย์ สเปียร์สกลับเข้าหา มิคกี้ เม้าส์ คลับ อีกครั้ง คราวนี้มิคกี้ เม้าส์ คลับ รับเธอ หลังจากรายการยุบตัวไป เธอได้เริ่มทำเดโม่เทป ตอนปี พ.ศ. 2540 เธอได้ส่งให้ Jive Records เธอได้เซ็นสัญญา ต่อมาก็ได้เปิดคอนเสิร์ตให้ 'N Sync

      บริทนี่ย์ สเปียร์ส ได้ร่วมงานกับ แม็กซ์ มาร์ติน โปรดิวเซอร์จากสวีเดนที่สร้างชื่อให้กับแบ็คสตรีท บอยส์‎และ เอริค ฟอสเตอร์ ไวต์ ที่เคยร่วมงานกับ วิทนีย์ ฮูสตัน มาแล้ว เพลงแรกที่เริ่มบันทึกเสียงกันคือ Baby One More Time

      2541 – 2543: การประสบความสำเร็จในช่วงแรก

      ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง Baby One More Time
      ภาพจากมิวสิกวิดีโอเพลง Baby One More Time

      ในเดือนพฤศจิกายน 2541 บริทนีย์ นำซิงเกิ้ลแรก Baby One More Time ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอเมริกา สัปดาห์เดียวกับที่อัลบั้มแรกของเธอติดอันดับที่ 1 ซึ่งซิงเกิ้ลนี้เป้นซิงเกิ้ลที่ทำให้เธอ กลายเป้นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราด้วย หลายคนอาจจะคิดว่าเธอไม่เคยมาประเทศไทย แต่หารู้ไม่ เมื่อประมาณ 8 ปีก่อนในอัลบั้มแรกของเธอ เธอมาโปรโมตอัลบั้มที่ประเทศไทยของเราด้วย ส่วนซิงเกิ้ลถัด ๆ มาตามมาด้วยเพลง Sometime (อันดับ 5 ในอังกฤษ),(You Drive Me) Crazy เพลงนี้ขึ้นอันดับ 10 ในอเมริกา และ อันดับ 5 ในอังกฤษ และตามมาด้วยซิงเกิ้ลสุดท้าย Born to Make You Happy ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษได้

      ในอัลบั้มชุดนี้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึง 9 รางวัล ซึ่งมากเป็นประวัติศาสตร์นักร้องหน้าใหม่ นอกจากนั้นยังกวาดรางวัลนักร้องหญิงดีเด่น (Best Female Artist) รางวัลศิลปินหน้าใหม่ดีเด่น (Best Breakthrough Act) รางวัลการแสดงป็อปดีเด่น (Best Pop Act) และ รางวัลเพลงดีเด่น(Best Song) จากงานเอ็มทีวี ยุโรป มิวสิก อวอร์ดสที่ดับลิน เธอก็กลับเข้าสตูดิโอในช่วงฤดูร้อนปี 2542 เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มชุดใหม่

      ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 2 "Oops!... I Did It Again" ติดท็อบเท็นในอเมริกา ส่วนตัวอัลบั้มขายได้อันดับ 1 สัปดาห์แรกสัปดาห์เดียวขายได้ถึง 1.3 ล้านหน่วย ต่อมา "stronger" สามารถบอกความแตกต่างระหว่างเพลง baby one more time ได้อย่างลงตัว

       2544 – 2547: ความประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน

      เดือนพฤศจิกายน 2544 เธอออกอัลบั้มชุดที่ 3 "Britney" เปิดตัวที่อันดับ 1 ในอเมริกาโดยยอดขายในสัปดาห์แรกคือ 746,000 แผ่น มีซิงเกิ้ลแรกคือ "I'm a Slave 4 U" ที่ The Neptunes มาช่วยแต่งและโปรดิวซ์ให้ กุมภาพันธ์ 2545 เธอได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องครอสโรดส์ (Crossroads) เดือนถัดมาเธอได้เลิกกับแฟนหนุ่มจัสติน ทิมเบอร์เลค

      เธอได้ร่วมแสดงในงาน เอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ร่วมกับมาดอนน่า และ คริสติน่า อากีเลร่า ในเพลง "Like a Virgin" ซึ่งเธอได้จูบกับมาดอนน่า สร้างความตะลึงให้คนทั้งโลก

      บริทนีย์ สเปียร์ส ปี 2003
      บริทนี่ย์ สเปียร์สปี 2003

      พฤศจิกายน 2546 เธอได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 "In the Zone" แนวเพลงมีการเพิ่ม synthpop มากขึ้น ยังได้ศิลปินชื่อดังอย่าง Moby และ R. Kelly มาช่วยแต่งเพลงด้วย In the Zone ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาในสัปดาห์แรกด้วยยอดขายมากกว่า 609,000 แผ่น ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีการเปิดตัวเข้าชาร์ทที่อันดับ1 ถึง 4 อัลบั้ม อัลบั้มชุดนี้เธอได้ทำงานร่วมกับมาดอนน่าในเพลง "Me Against the Music" ซึ่งดังถล่มทลาย สามารถติดอยู่บนชาร์ต TRL เป็นเวลากว่า 9 สัปดาห์นับว่าเป็นการทุบสถิติต่างๆ อย่างสิ้นเชิง ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 "Toxic" เป็นเพลงที่ลบคำสบประมาทของหลายๆคนว่าอัลบั้มนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพลงนี้เองสามารถทำให้ทุกๆคนได้รับรู้อีกครั้งกับการกลับมา ซิงเกิ้ลที่ 3 "Everytime" ซิงเกิ้ลนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขอโทษแฟนหนุ่มคนเก่าหรือ จัสติน ทิมเบอร์เลคนั่นเอง แม้เพลงนี้จะไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในอเมริกา แต่ในเกาะอังกฤษกลับขึ้นอันดับ 1 อย่างสง่างาม โดยยอดขายรวมของอัลบั้มนี้ขายได้กว่า 10 ล้านก๊อปปี้ ซึ่งนับว่าเยอะมากในยุคแห่งการดาวน์โหลดอย่างนี้

      และในปีเดียวกันนั้นเธอก็มีคอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้ม In the zone ชื่อว่า the onyx hotel tour เป็นทัวร์ประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้เพราะ คอนเสิร์ตนี้ เปิดจองบัตรเพียง 26 นาทีบัตรก็ขาย หมดซึ่งหลายคนก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ที่น่าเสียดายมากที่สุดคือเธอจะมาเล่นคอนเสิร์ตนี้ที่ประเทศไทยแต่เพราะขาหักจึงทำให้เธอต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด และทัวร์นี้ของเธอ ก็ได้ทำลายสถิติคอนเสิร์ต britney spears live in las vegas "Dream within a dream tour" ของตัวเอง ทำรายได้มากกว่าเดิม 113 ล้านเหรียญสหรัฐ

      บริทนี่ย์ สเปียร์สออกผลงานรวมฮิต Greatest Hits: My Prerogative อัลบั้มขึ้นอันดับ 4 ในอเมริกาในสัปดาห์แรกด้วยยอดขาย 255,000 แผ่น มีเพลงอย่าง "My Prerogative" และ "Do Somethin'" และนี่เป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ตอกย้ำความเป็นเจ้าหญิงเพลงป็อปอย่างแท้จริงด้วยยอดขายกว่า 8 ล้านแผ่นทั่วโลก

       2550: การกลับมาอีกครั้ง

      บริทนี่ย์ สเปียร์ส ออกซิงเกิ้ลใหม่ คือ Gimme More ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลนำในอัลบั้มที่ห้า ซึ่งจะวางแผงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ โดยเธอได้แสดงเพลงนี้ครั้งแรกในงานเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2007 โดยทางนิตยสาร Us รายงานอีกว่า "มันเลวร้ายเสียจนตัวเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเสียต่อการแสดงของเธอเมื่อเข้าไปหลังเวที แต่เธอจะทำอะไรได้เมื่อการแสดงที่เธอหวังจะใช้มันเรียกคืนวันเก่าๆ ของเธอกลับมาได้ส่งไปสู่สายตาชาวโลกนับล้าน" [1] แต่ขณะที่กรรมการรายการอเมริกันไอดอลอย่าง ไซมอน โคเวล ออกมาให้ความเห็นว่า "เธอขโมยความสนใจของงานนั้นไปทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะปลื้มมันหรือไม่ เพราะสิ่งที่คุณได้ยินหลังจากวันนั้นจะมีแต่เรื่องของเธอเท่านั้น มันไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุด เธอยังไม่พร้อมสำหรับมัน แต่มันก็กลายเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจให้กับตัวเธอมากกว่าศิลปินคนใดบนโลกใบนี้ใน 48 ชม.ที่ผ่านมาก็แล้วกัน" [2]

      อัลบั้ม Black out จะวางแผงในวันที่ 30 ตุลาคม 2550 หลังจากที่เพลงของเธอถูกมือดีปล่อยงานเพลงของเธอทางอินเตอร์เน็ตหลายเพลง จนต้นสังกัด Jive Record ต้องเลื่อนการวางแผงอัลบั้มของเธอจากเดิม วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

      เรื่องส่วนตัว

      ต้นปี พ.ศ. 2545 ความสัมพันธ์ของบริทนี่ย์ สเปียร์สจัสติน ทิมเบอร์เลค ที่คบกันได้ 4 ปี ก็จบลงไป ต่อมา 3 มกราคม 2547 เธอได้แต่งงานกับเพื่อนวัยเด็ก เจสัน อัลเลน อเล็กซานเดอร์ ในลาสเวกัส แต่ชีวิตการแต่งงานของเธอมีแค่ 55 ชั่วโมง กรกฎาคม 2547 เธอหมั้นกับ แดนเซอร์เควิน เฟเดอร์ไลน์ หลังจากรู้จักกัน 3 เดือน และได้แต่งงานกันในวันที่ 6 ตุลาคม 2004

      เมษายน 2548 เธอประกาศว่าเธอท้องลูกคนแรก และคลอดลูกชายคนแรก ฌอน เพรสตัน เฟเดอร์ไลน์ เมื่อ 14 กันยายน 548 ที่ ซานตาโมนิกา 12 กันยายน 2549 เธอได้คลอดลูกชายคนที่ 2 เจย์เดน เจมส์ เฟเดอร์ไลน์ ที่ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในที่สุดเธอได้หย่าร้างกับเควิน เฟเดอร์ไลน์ ในเดือนพฤศจิกายน 2549 พร้อมกับเธอรับเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรทั้ง 2 คน

      เดือนกุมภาพันธ์ 2550 บริทนี่ย์ สเปียร์สสร้างข่าวช็อกแฟนเพลงมากมายโดยเริ่มจากการมีรายงานว่าเธอเข้าบำบัดที่ Crossroads Centre ในหมู่เกาะแคริบเบียน และต่อมาเธอเข้าร้านตัดผมในทาร์ซานา แคลิฟอร์เนียเพื่อโกนหัว ก่อนจะไปสักลายใหม่ [3]

      บริทนี่ย์ สเปียร์สต้องเสียการระงับการเลี้ยงดูลูกชายชั่วคราว ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ให้บริทนี่ย์ สเปียร์สสามารถนำบุตรชายทั้ง 2 มาอยู่ด้วยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และท้ายที่สุดบริทนี่ย์ สเปียร์สถูกระงับสิทธิ์นี้ดังกล่าว

       อาชีพและรายได้

      อาชีพหลักของบริทนี่ย์ สเปียร์สที่เป็นที่รู้จักคืออาชีพนักร้อง ทำเงินได้ถึง 26.5 ล้านเหรียญ สัญญาของเธอที่ได้จากค่าย Zomba Records จากผลงานอัลบั้มชิ้นล่าสุดอย่าง Into the Zone นั้นมากถึง 6.72 ล้านเหรียญ ซึ่งรายได้สุทธิจากการทัวร์อัลบั้มดังกล่าวมียอดถึง 20 ล้านเหรียญทีเดียว ค่าลิขสิทธิ์ทางดนตรีที่เธอได้รับจากมิวสิกวีดีโอและการโฆษณาทำให้เธอได้รับเงิน 6 หมื่นเหรียญต่อปี เธอยังมีทรัพย์สินฝากไว้ธนาคารดอกเบี้ยสูง 6 แห่งถึง 33.25 ล้านเหรียญ

      สัญญาที่ได้ได้รับจากสินค้าต่างๆ ก็มีไม่น้อย ทั้งที่เคยทำลายสถิติสูงสุดมาแล้วจากเป๊ปซี่ ที่ทำเอาไว้เมื่อปี 2001 ด้วยรายได้ 9.27 ล้านเหรียญ รวมทั้งจากสินค้าอย่าง ซัมซุง โตโยต้า คีริง Proactiv, Skechers และ Nabisco ที่รวมได้มูลค่ากว่า 21.6 ล้านเหรียญ การร่วมงานกับเครื่องสำอางดังยี่ห้อเอลิซาเบธ อาร์เดน( Elizabeth Arden) เมื่อปี 2547 ที่เธอได้ส่ง Curious น้ำหอมขายดี รวมทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางต่างๆ วางขาย ทำให้เธอได้ค่าลิขสิทธิ์ครั้งนั้นไป 16.7 ล้านเหรียญ ซึ่งรับประกันได้ว่าเธอจะได้รายได้ต่อปีตั้งแต่ 1.96 ถึง 2.94 ล้านเหรียญ จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงในปี 2552

      บริทนี่ย์ สเปียร์ส มีบ้านของตัวเอง 4 หลัง ทั้งในมาลิบูและออร์แลนโด รวมทั้งที่ดินเป็นป่ากว้างใหญ่ในหลุยส์เซียนา ซึ่งรวมมูลค่าทั้งหมด 22.6 ล้านเหรียญ

      เธอยังมีรายได้อีก 6.5 ล้านเหรียญ จากการปรากฏตัวทางรายการโทรทัศน์ รวมกับสัญญาที่ได้จากนิตยสารและภาพยนตร์ รวมทั้งที่ได้ 3 ล้านเหรียญจากการแสดงใน Crossroads หนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวของเธอ


      อัลบั้ม

      • 2542: ...Baby One More Time
      • 2543: Oops!... I Did It Again
      • 2544: Britney
      • 2546: In the Zone
      • 2547: Greatest Hits: My Prerogative
      • 2548: B in the Mix: The Remixes
      • 2550: Blackout
      ดีวีดี
      • 2542: Time Out with Britney Spears
      • 2543: Live and More!
      • 2544: Britney: The Videos
      • 2545: Live from Las Vegas
      • 2547: In the Zone
      • 2547: Greatest Hits: My Prerogative
      • 2548: Britney & Kevin: Chaotic
      ทัวร์คอนเสิร์ต
      • 2541: Hair Zone Mall Tour
      • 2542: ...Baby One More Time Tour
      • 2543: Crazy 2K Tour
      • 2543: Oops!... I Did It Again World Tour
      • 2544: Dream Within a Dream Tour
      • 2547: The Onyx Hotel Tour
      • 2550: The M+M's Tour
      ซิงเกิ้ล
      ปี ค.ศ.เพลง(ซิงเกิ้ล)อันดับสูงสุดอัลบั้ม
      U.S.UKCANAUSGERFRAWW
      1998"...Baby One More Time"1111111...Baby One More Time
      1999"Sometimes (Britney Spears song)|Sometimes"21326135
      "(You Drive Me) Crazy"1051312421
      "Born to Make You Happy" 1121391
      2000"From the Bottom of My Broken Heart" 21437
      "Oops!...I Did It Again"9141241Oops!... I Did It Again
      "Lucky"2355031162
      "Stronger"1179134203
      2001"Don't Let Me Be the Last to Know"1121234122710
      "I'm a Slave 4 U"27487385Britney
      2002"Overprotected"8542216156
      "I'm Not a Girl, Not Yet a Woman"102247710256
      "I Love Rock 'n' Roll" 1133313737
      "Boys (The Co-Ed Remix)" (feat. Pharrell)10972114195519
      "Anticipating" 338
      2003"Me Against the Music" (feat. Madonna)35224521114In the Zone
      2004"Toxic"9111431
      "Everytime"15121421
      "Outrageous" 479
      "My Prerogative"1013221896Greatest Hits: My Prerogative
      2005"Do Somethin'"10061232187013
      "Someday (I Will Understand)" 442Britney & Kevin: Chaotic
      2007"Gimme More"331325Blackout

      Notes

      • 1 วางขายเฉพาะประเทศในยุโรปและแคนาดา
      • 2 วางขายเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และ ละตินอเมริกา
      • 3 วางขายเฉพาะประเทศฝรั่งเศส และ บราซิล
      • 4 โปรโมซิงเกิ้ล.
      • 5 ไม่วางขายเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา
      ผลงานการแสดง
      • Crossroads (2545)
      • Austin Powers in Goldmember (2545)
      • Longshot (2543)
      ข่าวใหม่ๆ

      1. ไม่เหลือเค้า "บริทนี่ย์ สเปียร์ส" โชว์ดับอนาคตบนเวที MTV/VMA 2007 โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 กันยายน 2550 04:20 น.
      2. แฉ "บริทนี่ย์ สเปียร์ส" ทะเลาะกับช่างผม-สไตลิสต์ก่อนงาน MTV โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 กันยายน 2550 01:56 น.
      3. ข่าวจาก MTVthailand.com
      รักบริท เชียร์บริท สู้ต่อไปบริทนี่ Blackout ทวงบัลลังก์ราชินีเพลงป็อป สามารถติดตามความคืบหน้าได้ที่
      www.britneythailand.net นะครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×