บริทนี่ย์สเปียร์ส นักร้องสาวชื่อก้องโลก
ผู้ติดอันดับนักร้องสาวผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการเพลง 10 อันดับของโลก และเรื่องราวของเธอในชีวิตวัยเยาว์และเรื่องอันน่าปวดหัว
ผู้เข้าชมรวม
2,880
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Britney Spears | ||
---|---|---|
แสดงที่ Staples Center ลอสแอนเจลิส 2004 | ||
ข้อมูลพื้นฐาน | ||
ชื่อจริง | Britney Jean Spears | |
วันเกิด | 2 ธันวาคม ค.ศ. 1981 (อายุ 25 ปี) | |
แนวเพลง | ป็อป | |
อาชีพ | นักร้อง,นักแสดง,นักเต้น,นักเขียน,นักแต่งเพลง | |
ปี | พ.ศ. 2538 - 2540 (งานก่อนออกเดี่ยว) พ.ศ. 2541 - ปัจจุบัน (ผลงานเดี่ยว) | |
ค่าย | Jive | |
เว็บไซต์ | britney.com |
บริทนี่ย์ สเปียร์ส (Britney Spears หรือชื่อเต็มว่า Britney Jean Spears) เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2524 เป็นนักร้องแนวป็อปชาวอเมริกัน เธอมีเพลงฮิตอย่างเพลง "...Baby One More Time,Oops!... I did it agains,I'm a slave 4 you และ toxic เป็นต้น
เนื้อหา |
บริทนี่ย์ สเปียร์สเกิดในแม็คคอมบ์ มิสซิสซิปปี้ โตที่เซาเทอร์น แบพติสท์ ในเคนท์วูด รัฐหลุยเซียน่า
เมื่ออายุ 8 ขวบ ได้เดินทางไปแอตแลนต้า เพื่อคัดตัวเข้าร่วม มิคกี้ เม้าส์ คลับ ซึ่งก็เข้าถึงรอบสุดท้าย แต่กลับถูกคัดออก เนื่องจากอายุน้อยเกินไป อย่างไรก็ดี โปรดิวเซอร์ แนะนำให้มารดา พาเธอไปนิวยอร์ก ให้กับเอเจ่นต์ 3 ปีต่อมา บริทนี่ย์ สเปียร์สอยู่ที่ศูนย์เต้นรำนอกบรอดเวย์ กับที่โรงเรียนการแสดงระดับอาชีพในนิวยอร์ก เธอเริ่มมีงานโฆษณาหลายเรื่อง และยังได้แสดงละครบรอดเวย์เรื่อง Ruthless บริทนี่ย์ สเปียร์สกลับเข้าหา มิคกี้ เม้าส์ คลับ อีกครั้ง คราวนี้มิคกี้ เม้าส์ คลับ รับเธอ หลังจากรายการยุบตัวไป เธอได้เริ่มทำเดโม่เทป ตอนปี พ.ศ. 2540 เธอได้ส่งให้ Jive Records เธอได้เซ็นสัญญา ต่อมาก็ได้เปิดคอนเสิร์ตให้ 'N Sync
บริทนี่ย์ สเปียร์ส ได้ร่วมงานกับ แม็กซ์ มาร์ติน โปรดิวเซอร์จากสวีเดนที่สร้างชื่อให้กับแบ็คสตรีท บอยส์และ เอริค ฟอสเตอร์ ไวต์ ที่เคยร่วมงานกับ วิทนีย์ ฮูสตัน มาแล้ว เพลงแรกที่เริ่มบันทึกเสียงกันคือ Baby One More Time
ในเดือนพฤศจิกายน 2541 บริทนีย์ นำซิงเกิ้ลแรก Baby One More Time ขึ้นถึงอันดับ 1 ในอเมริกา สัปดาห์เดียวกับที่อัลบั้มแรกของเธอติดอันดับที่ 1 ซึ่งซิงเกิ้ลนี้เป้นซิงเกิ้ลที่ทำให้เธอ กลายเป้นที่รู้จักไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราด้วย หลายคนอาจจะคิดว่าเธอไม่เคยมาประเทศไทย แต่หารู้ไม่ เมื่อประมาณ 8 ปีก่อนในอัลบั้มแรกของเธอ เธอมาโปรโมตอัลบั้มที่ประเทศไทยของเราด้วย ส่วนซิงเกิ้ลถัด ๆ มาตามมาด้วยเพลง Sometime (อันดับ 5 ในอังกฤษ),(You Drive Me) Crazy เพลงนี้ขึ้นอันดับ 10 ในอเมริกา และ อันดับ 5 ในอังกฤษ และตามมาด้วยซิงเกิ้ลสุดท้าย Born to Make You Happy ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษได้
ในอัลบั้มชุดนี้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ถึง 9 รางวัล ซึ่งมากเป็นประวัติศาสตร์นักร้องหน้าใหม่ นอกจากนั้นยังกวาดรางวัลนักร้องหญิงดีเด่น (Best Female Artist) รางวัลศิลปินหน้าใหม่ดีเด่น (Best Breakthrough Act) รางวัลการแสดงป็อปดีเด่น (Best Pop Act) และ รางวัลเพลงดีเด่น(Best Song) จากงานเอ็มทีวี ยุโรป มิวสิก อวอร์ดสที่ดับลิน เธอก็กลับเข้าสตูดิโอในช่วงฤดูร้อนปี 2542 เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มชุดใหม่
ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 2 "Oops!... I Did It Again" ติดท็อบเท็นในอเมริกา ส่วนตัวอัลบั้มขายได้อันดับ 1 สัปดาห์แรกสัปดาห์เดียวขายได้ถึง 1.3 ล้านหน่วย ต่อมา "stronger" สามารถบอกความแตกต่างระหว่างเพลง baby one more time ได้อย่างลงตัว
เดือนพฤศจิกายน 2544 เธอออกอัลบั้มชุดที่ 3 "Britney" เปิดตัวที่อันดับ 1 ในอเมริกาโดยยอดขายในสัปดาห์แรกคือ 746,000 แผ่น มีซิงเกิ้ลแรกคือ "I'm a Slave 4 U" ที่ The Neptunes มาช่วยแต่งและโปรดิวซ์ให้ กุมภาพันธ์ 2545 เธอได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องครอสโรดส์ (Crossroads) เดือนถัดมาเธอได้เลิกกับแฟนหนุ่มจัสติน ทิมเบอร์เลค
เธอได้ร่วมแสดงในงาน เอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ร่วมกับมาดอนน่า และ คริสติน่า อากีเลร่า ในเพลง "Like a Virgin" ซึ่งเธอได้จูบกับมาดอนน่า สร้างความตะลึงให้คนทั้งโลก
พฤศจิกายน 2546 เธอได้ออกอัลบั้มชุดที่ 4 "In the Zone" แนวเพลงมีการเพิ่ม synthpop มากขึ้น ยังได้ศิลปินชื่อดังอย่าง Moby และ R. Kelly มาช่วยแต่งเพลงด้วย In the Zone ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาในสัปดาห์แรกด้วยยอดขายมากกว่า 609,000 แผ่น ทำให้เธอเป็นศิลปินหญิงคนแรกที่มีการเปิดตัวเข้าชาร์ทที่อันดับ1 ถึง 4 อัลบั้ม อัลบั้มชุดนี้เธอได้ทำงานร่วมกับมาดอนน่าในเพลง "Me Against the Music" ซึ่งดังถล่มทลาย สามารถติดอยู่บนชาร์ต TRL เป็นเวลากว่า 9 สัปดาห์นับว่าเป็นการทุบสถิติต่างๆ อย่างสิ้นเชิง ส่วนซิงเกิ้ลที่ 2 "Toxic" เป็นเพลงที่ลบคำสบประมาทของหลายๆคนว่าอัลบั้มนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพลงนี้เองสามารถทำให้ทุกๆคนได้รับรู้อีกครั้งกับการกลับมา ซิงเกิ้ลที่ 3 "Everytime" ซิงเกิ้ลนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขอโทษแฟนหนุ่มคนเก่าหรือ จัสติน ทิมเบอร์เลคนั่นเอง แม้เพลงนี้จะไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในอเมริกา แต่ในเกาะอังกฤษกลับขึ้นอันดับ 1 อย่างสง่างาม โดยยอดขายรวมของอัลบั้มนี้ขายได้กว่า 10 ล้านก๊อปปี้ ซึ่งนับว่าเยอะมากในยุคแห่งการดาวน์โหลดอย่างนี้
และในปีเดียวกันนั้นเธอก็มีคอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้ม In the zone ชื่อว่า the onyx hotel tour เป็นทัวร์ประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้เพราะ คอนเสิร์ตนี้ เปิดจองบัตรเพียง 26 นาทีบัตรก็ขาย หมดซึ่งหลายคนก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ที่น่าเสียดายมากที่สุดคือเธอจะมาเล่นคอนเสิร์ตนี้ที่ประเทศไทยแต่เพราะขาหักจึงทำให้เธอต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด และทัวร์นี้ของเธอ ก็ได้ทำลายสถิติคอนเสิร์ต britney spears live in las vegas "Dream within a dream tour" ของตัวเอง ทำรายได้มากกว่าเดิม 113 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริทนี่ย์ สเปียร์สออกผลงานรวมฮิต Greatest Hits: My Prerogative อัลบั้มขึ้นอันดับ 4 ในอเมริกาในสัปดาห์แรกด้วยยอดขาย 255,000 แผ่น มีเพลงอย่าง "My Prerogative" และ "Do Somethin'" และนี่เป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ตอกย้ำความเป็นเจ้าหญิงเพลงป็อปอย่างแท้จริงด้วยยอดขายกว่า 8 ล้านแผ่นทั่วโลก
บริทนี่ย์ สเปียร์ส ออกซิงเกิ้ลใหม่ คือ Gimme More ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลนำในอัลบั้มที่ห้า ซึ่งจะวางแผงในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ โดยเธอได้แสดงเพลงนี้ครั้งแรกในงานเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส 2007 โดยทางนิตยสาร Us รายงานอีกว่า "มันเลวร้ายเสียจนตัวเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเสียต่อการแสดงของเธอเมื่อเข้าไปหลังเวที แต่เธอจะทำอะไรได้เมื่อการแสดงที่เธอหวังจะใช้มันเรียกคืนวันเก่าๆ ของเธอกลับมาได้ส่งไปสู่สายตาชาวโลกนับล้าน" [1] แต่ขณะที่กรรมการรายการอเมริกันไอดอลอย่าง ไซมอน โคเวล ออกมาให้ความเห็นว่า "เธอขโมยความสนใจของงานนั้นไปทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะปลื้มมันหรือไม่ เพราะสิ่งที่คุณได้ยินหลังจากวันนั้นจะมีแต่เรื่องของเธอเท่านั้น มันไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุด เธอยังไม่พร้อมสำหรับมัน แต่มันก็กลายเป็นสิ่งที่สร้างความสนใจให้กับตัวเธอมากกว่าศิลปินคนใดบนโลกใบนี้ใน 48 ชม.ที่ผ่านมาก็แล้วกัน" [2]
อัลบั้ม Black out จะวางแผงในวันที่ 30 ตุลาคม 2550 หลังจากที่เพลงของเธอถูกมือดีปล่อยงานเพลงของเธอทางอินเตอร์เน็ตหลายเพลง จนต้นสังกัด Jive Record ต้องเลื่อนการวางแผงอัลบั้มของเธอจากเดิม วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
ต้นปี พ.ศ. 2545 ความสัมพันธ์ของบริทนี่ย์ สเปียร์สจัสติน ทิมเบอร์เลค ที่คบกันได้ 4 ปี ก็จบลงไป ต่อมา 3 มกราคม 2547 เธอได้แต่งงานกับเพื่อนวัยเด็ก เจสัน อัลเลน อเล็กซานเดอร์ ในลาสเวกัส แต่ชีวิตการแต่งงานของเธอมีแค่ 55 ชั่วโมง กรกฎาคม 2547 เธอหมั้นกับ แดนเซอร์เควิน เฟเดอร์ไลน์ หลังจากรู้จักกัน 3 เดือน และได้แต่งงานกันในวันที่ 6 ตุลาคม 2004
เมษายน 2548 เธอประกาศว่าเธอท้องลูกคนแรก และคลอดลูกชายคนแรก ฌอน เพรสตัน เฟเดอร์ไลน์ เมื่อ 14 กันยายน 548 ที่ ซานตาโมนิกา 12 กันยายน 2549 เธอได้คลอดลูกชายคนที่ 2 เจย์เดน เจมส์ เฟเดอร์ไลน์ ที่ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในที่สุดเธอได้หย่าร้างกับเควิน เฟเดอร์ไลน์ ในเดือนพฤศจิกายน 2549 พร้อมกับเธอรับเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรทั้ง 2 คน
เดือนกุมภาพันธ์ 2550 บริทนี่ย์ สเปียร์สสร้างข่าวช็อกแฟนเพลงมากมายโดยเริ่มจากการมีรายงานว่าเธอเข้าบำบัดที่ Crossroads Centre ในหมู่เกาะแคริบเบียน และต่อมาเธอเข้าร้านตัดผมในทาร์ซานา แคลิฟอร์เนียเพื่อโกนหัว ก่อนจะไปสักลายใหม่ [3]
บริทนี่ย์ สเปียร์สต้องเสียการระงับการเลี้ยงดูลูกชายชั่วคราว ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลได้ให้บริทนี่ย์ สเปียร์สสามารถนำบุตรชายทั้ง 2 มาอยู่ด้วยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และท้ายที่สุดบริทนี่ย์ สเปียร์สถูกระงับสิทธิ์นี้ดังกล่าว
อาชีพหลักของบริทนี่ย์ สเปียร์สที่เป็นที่รู้จักคืออาชีพนักร้อง ทำเงินได้ถึง 26.5 ล้านเหรียญ สัญญาของเธอที่ได้จากค่าย Zomba Records จากผลงานอัลบั้มชิ้นล่าสุดอย่าง Into the Zone นั้นมากถึง 6.72 ล้านเหรียญ ซึ่งรายได้สุทธิจากการทัวร์อัลบั้มดังกล่าวมียอดถึง 20 ล้านเหรียญทีเดียว ค่าลิขสิทธิ์ทางดนตรีที่เธอได้รับจากมิวสิกวีดีโอและการโฆษณาทำให้เธอได้รับเงิน 6 หมื่นเหรียญต่อปี เธอยังมีทรัพย์สินฝากไว้ธนาคารดอกเบี้ยสูง 6 แห่งถึง 33.25 ล้านเหรียญ
สัญญาที่ได้ได้รับจากสินค้าต่างๆ ก็มีไม่น้อย ทั้งที่เคยทำลายสถิติสูงสุดมาแล้วจากเป๊ปซี่ ที่ทำเอาไว้เมื่อปี 2001 ด้วยรายได้ 9.27 ล้านเหรียญ รวมทั้งจากสินค้าอย่าง ซัมซุง โตโยต้า คีริง Proactiv, Skechers และ Nabisco ที่รวมได้มูลค่ากว่า 21.6 ล้านเหรียญ การร่วมงานกับเครื่องสำอางดังยี่ห้อเอลิซาเบธ อาร์เดน( Elizabeth Arden) เมื่อปี 2547 ที่เธอได้ส่ง Curious น้ำหอมขายดี รวมทั้งผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางต่างๆ วางขาย ทำให้เธอได้ค่าลิขสิทธิ์ครั้งนั้นไป 16.7 ล้านเหรียญ ซึ่งรับประกันได้ว่าเธอจะได้รายได้ต่อปีตั้งแต่ 1.96 ถึง 2.94 ล้านเหรียญ จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงในปี 2552
บริทนี่ย์ สเปียร์ส มีบ้านของตัวเอง 4 หลัง ทั้งในมาลิบูและออร์แลนโด รวมทั้งที่ดินเป็นป่ากว้างใหญ่ในหลุยส์เซียนา ซึ่งรวมมูลค่าทั้งหมด 22.6 ล้านเหรียญ
เธอยังมีรายได้อีก 6.5 ล้านเหรียญ จากการปรากฏตัวทางรายการโทรทัศน์ รวมกับสัญญาที่ได้จากนิตยสารและภาพยนตร์ รวมทั้งที่ได้ 3 ล้านเหรียญจากการแสดงใน Crossroads หนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวของเธอ
อัลบั้ม
ปี ค.ศ. | เพลง(ซิงเกิ้ล) | อันดับสูงสุด | อัลบั้ม | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
U.S. | UK | CAN | AUS | GER | FRA | WW | |||
1998 | "...Baby One More Time" | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | ...Baby One More Time |
1999 | "Sometimes (Britney Spears song)|Sometimes" | 21 | 3 | 2 | 6 | 13 | 5 | ||
"(You Drive Me) Crazy" | 10 | 5 | 13 | 12 | 4 | 2 | 1 | ||
"Born to Make You Happy" 1 | 1 | 21 | 3 | 9 | 1 | ||||
2000 | "From the Bottom of My Broken Heart" 2 | 14 | 37 | ||||||
"Oops!...I Did It Again" | 9 | 1 | 4 | 1 | 2 | 4 | 1 | Oops!... I Did It Again | |
"Lucky" | 23 | 5 | 50 | 3 | 1 | 16 | 2 | ||
"Stronger" | 11 | 7 | 9 | 13 | 4 | 20 | 3 | ||
2001 | "Don't Let Me Be the Last to Know" | 112 | 12 | 34 | 12 | 27 | 10 | ||
"I'm a Slave 4 U" | 27 | 4 | 8 | 7 | 3 | 8 | 5 | Britney | |
2002 | "Overprotected" | 85 | 4 | 22 | 16 | 15 | 6 | ||
"I'm Not a Girl, Not Yet a Woman" | 102 | 2 | 47 | 7 | 10 | 25 | 6 | ||
"I Love Rock 'n' Roll" 1 | 13 | 33 | 13 | 7 | 37 | ||||
"Boys (The Co-Ed Remix)" (feat. Pharrell) | 109 | 7 | 21 | 14 | 19 | 55 | 19 | ||
"Anticipating" 3 | 38 | ||||||||
2003 | "Me Against the Music" (feat. Madonna) | 35 | 2 | 2 | 45 | 21 | 11 | 4 | In the Zone |
2004 | "Toxic" | 9 | 1 | 1 | 1 | 4 | 3 | 1 | |
"Everytime" | 15 | 1 | 2 | 1 | 4 | 2 | 1 | ||
"Outrageous" 4 | 79 | ||||||||
"My Prerogative" | 101 | 3 | 22 | 18 | 96 | Greatest Hits: My Prerogative | |||
2005 | "Do Somethin'" | 100 | 6 | 12 | 32 | 18 | 70 | 13 | |
"Someday (I Will Understand)" 4 | 42 | Britney & Kevin: Chaotic | |||||||
2007 | "Gimme More" | 3 | 3 | 1 | 3 | 2 | 5 | Blackout |
Notes
ผลงานอื่นๆ ของ Haruka Ghrost ผีฮารูกะ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Haruka Ghrost ผีฮารูกะ
ความคิดเห็น