ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC B.A.P] Sweet love my husband

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : [ 100% ]

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 56










     

     

    2



     

                    ผมมีความรู้สึกว่าเริ่มจะหายใจไม่ทั่วท้องหลังจากที่ได้มาเผชิญหน้าตรงๆ กับไอ้เหงือกที่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นมาแบบดื้อๆ พร้อมกับเริ่มประกาศสงครามกับคำพูดที่แสนจะน่ากลัวออกมา

                   

                    เออ...พ่อว่าเราพูดกันดีๆ ก็ได้นะ ไม่เห็นต้องขึ้นมึงกูกันเลยนี่ชายแก่ร่างอ้วนเตี้ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยงกุกที่ถ้าให้เดาจากคำพูดก็น่าจะเป็นพ่อของหมอนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง พร้อมกับท่าทีที่พยายามกำลังห้ามสายตาของยงกุกที่มองมาทางผมด้วยความกรุ่นโกรธเหมือนกับผมไปฆ่าเมียมันมาเมื่อสี่วินาทีก่อนอะไรทำนองนั้น

     

                    หึ!!! ผมไม่จำเป็นที่จะต้องพูดดีกับ เมีย ในอนาคตหรอกครับพ่อ

     

                    “ใครเมียมึงกันวะ พูดจาให้มันเข้าหูหน่อยนะโว้ยยย!!!” ผมรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดพูดออกไปอย่างสุดเสียงอย่างมีน้ำโหที่ฝ่ายตรงข้ามพูดจาลามปามไม่ให้เกียรติเจ้าบ้านอย่างผม

     

                    แล้วมึงจะทำไม...ไหนๆ ก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้วเรียกตอนนี้มันก็ไม่เห็นเสียหาย

     

                    “แต่กูเสีย!!!”

     

                    “มึงเสียอะไร อ่อ...นี่อย่าบอกนะว่ามึงยังเวอร์จิ้นอยู่น่ะไอ้ยงกุกพูดขึ้นมาพร้อมกับมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามแบบสุดๆ มันทำเหมือนกับว่าชาตินี้ทั้งชาติผมไม่เคยผ่านสงครามบนเตียงกับสาวๆ มาก่อน และสิ่งที่มันคิดก็เป็นเรื่อง...

     

                    จริง!!! T^T

     

                    “คะ...ใครบอกมึงว่ากูเวอร์จิ้น กูนี่ฉายา ชานนี่ผู้หญิงยอมสยบแนบตีนเลยนะ มึงเคยได้ยินป่าว

     

                    พูดออกไปงั้นแหละ...ที่จริงมันไม่ใช่อย่างที่พูดเลย T^T

     

                    ให้มันจริงอย่างที่พูดเถอะ แต่ถ้าวันใดวันถึงที่กูได้ เอา มึงเมื่อไรแล้วมึงยังเวอร์จิ้นอยู่ล่ะก็...รับรองวันนั้นมึงเจอศึกหนักแน่!!!” ไอ้ยงกุกพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะเดินชนไหล่ผมพร้อมกับเข้าบ้านไปพร้อมกับคุณลุง ผมที่พอได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งหน้าชาเหมือนโดนตบด้วยสากกระเบือเปื้อนขี้จนไอ้ยองแจที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นานต้องเข้ามาสะกิดผมเพื่อเรียกสติ

     

                    ทำไมมึงไปพูดแบบนั้นว่ะ มึงก็รู้ว่าฉายาของไอ้ยงกุกมันคืออะไร

     

                    “ก็กูไม่ชอบที่แม่งพูดแบบนั้นนี่หว่า เป็นมึงมึงยอมให้แม่งพูดจาเหยียดหยามมึงไหมล่ะ

     

                    “มันก็อาจจะดีกว่าที่มึงต้องมารับศึกหนักตอนที่ได้ร่วมเตียงกับมันนะเว้ย

     

                    ผมหน้าชาอีกครั้งเมื่อไอ้ยองแจพูดถึงเรื่องที่หมอนั้นพูดไว้ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะกำมือเข้าหากันแน่นเพื่อระบายความโกรธออกมา รู้สึกโกรธตัวเองที่เผลอพูดอะไรไม่คิดออกไปจนเรื่องกลายเป็นใหญ่โตและแสนสาหัสสำหรับผม ทางที่ดีชีวิตคู่ระหว่างที่ผมอยู่กับมันผมควรจะเข้าใกล้มันให้น้อยที่สุด และสิ่งสำคัญเลยที่ผมควรจะปฏิบัติและจำใส่สมองอันชานฉลาดของตัวเองไว้ว่า...

     

                    ห้ามรักมันและร่วมบรรเลงเล่นผีใต้ผ้าห่มกับมันเด็ดขาด!!!

     

                   

                    ผมกับไอ้ยองแจเดินเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยที่ต้องออกไปเผชิญหน้ากับไอ้เหงือกบัง ยงกุกอีกครั้ง อันที่จริงมันก็ดูแต่จะมีแค่ผมคนเดียวที่กลัวมันจนขี้หดตดหาย ส่วนไอ้ยองแจน่ะหรอ...เดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าร่าเริงแบบสุดๆ ส่วนผมก็เอาแต่ทำหน้าหงกหน้างออย่างเดียว

     

                    มาแล้วหรอฮิมชานแม่ที่เห็นผมเดินเข้ามาพร้อมกับไอ้ยองแจเป็นคนแรกทักขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับข้างๆ ท่านก็มีคุณลุงที่เป็นพ่อของไอ้เหงือกนั่งอยู่ ส่วนไอ้เหงือกก็เลือกนั่งโซฟาคู่ตรงข้ามกับพวกท่านทั้งสอง ถ้าให้เดานะครับผมว่าที่มันเว้นที่ไว้ข้างๆ เพราะมันรู้แน่นอนว่าแม่และคุณลุงมีความประสงค์ต้องการให้ผมไปนั่งกับมัน

     

                    ครับ...พอดีรถมันติดนิดหน่อยน่ะครับ

     

                    “สตอเบอร์รี่ชัดๆ เลยว่ะไอ้ยงกุกมันพูดขัดขึ้นมาเหมือนกับว่ามันต้องการจะหาเรื่องผม ส่วนผมที่กำลังจะเดินเข้าไปซัดหมัดใส่มันสักทีหนึ่งก็ต้องหยุดอยู่กับที่ด้วยฝีมือของไอ้ยองแจ

     

                    เออ...แม่ว่าลูกทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันสักแปปดีกว่านะ วันนี้เป็นวันดีของทั้งสองคนด้วย ส่วนฮิมชานลูกก็มานั่งได้แล้วแม่พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมเดินไปนั่งสักทีเอาแต่ยืนจ้องหน้าไปเหงือกด้วยความไม่สบอารมณ์และแผ่รังสีอำมหิตออกมาอยู่ตลอดเวลา

     

                    ผมหันหน้าไปหาไอ้ยองแจอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสักคน ณ ที่แห่งนี้ที่คิดจะชวนมันไปนั่งด้วย สายตาของไอ้ยองแจบ่งบอกว่ามันกำลังเสียใจที่ไม่มีใครในที่นี้สนใจมันเลยจึงได้แต่ฝืนยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

     

                    งั้น...กูกลับก่อนนะไอ้ฮิม เดี๋ยวกูค่อยโทรหามึงทีหลังก็ได้ไอ้ยองแจฝืนยิ้มและพูดด้วยสีหน้าสบายๆ ใส่ผมก่อนที่จะค่อยๆ เดินกลับไปทางเก่าที่เราสองคนเดินมา ผมเข้าใจความรู้สึกของมันนะที่อุตส่าห์มาเป็นเพื่อนผมแต่แม้แต่ของผมก็ไม่คิดที่จะชวนมันมานั่งด้วยหรือให้อยู่เป็นเพื่อนผมเลย อย่างงี้แหละครับเวลาผมไปไหนมาไหนกับครอบครัวมักจะไม่ค่อยชวนมันไปด้วย เพราะเวลาที่ผมอยู่กับพ่อและแม่ผมก็มักจะลืมมันทุกทีเลย

     

                    จะยืนอีกนานไหมวะ คนอื่นเขารอมึงอยู่นะเว้ยยย!!!”

     

                    มึงรีบหรือไงวะสัส!!!

     

                    “ขอโทดทีนะจ๊ะยงกุก ฮิมชานมานั่งได้แล้วลูกอย่าทำให้เสียเวลาไปมากกว่านี้เลยนะแม่หันไปขอโทดไอ้เหงือกที่ตอนนี้กำลังนั่งทำหน้าหงิกแบบไม่สบอารมณ์สุดๆ พร้อมกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อไม่หยุดไม่หย่อน ส่วนผมที่โดนแม่ดุและทำหน้าหงิกใส่ก็ได้แต่เดินคอตกจะไปนั่งโซฟาเดี่ยวที่ใกล้กับที่แม่นั่งอยู่ แต่จู่ๆ

     

                    กูอุตส่าห์เว้นที่ไว้ให้มึง มึงจะไปนั่งตรงนั้นทำซากมะเขือยาวอะไรวะไอ้ยงกุกรีบคว้าเอวอันบอบบางที่ไม่สมกับการเป็นชายชาตรีของผมอย่างรวดเร็วแล้วดึงให้ไปนั่งบนตักมัน ส่วนผมที่โดนฝ่ายตรงข้ามกระทำแบบนั้นก็ได้แต่ดิ้นเร่าๆ เพื่อให้มันปล่อย แต่ผลสุดท้ายผมก็ต้องหมดแรงและยอมยกธงขาวเพื่อเป็นการยอมแพ้กับแรงอันมหาศาลของมัน

     

                    งั้นแม่ขอเปิดเรื่องเลยล่ะกันนะจ๊ะ ทั้งสองคนคงทราบดีแล้วว่าแม่กับคุณลุงได้ตกลงกันไว้ว่าจะให้ลูกทั้งสองคนแต่งงานกัน แตมันดันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยที่ทั้งสองคนดันเกิดมาเป็นผู้ชาย

     

                    “มันคงไม่หน่อยแล้วล่ะครับ...คุณแม่ -*-

     

                    แต่แม่กับคุณลุงตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะยังไงก็จะให้ทั้งสองคนแต่งงานกันแน่นอน เพราะฉะนั้นแม่ก็กะว่าจะให้วันพรุ่งนี้เป็นวันหมั้นของทั้งสองคนและแม่กะว่าจะเซอร์ไพรส์ฮิมชานด้วย แต่ลูกดันรู้ซะก่อนแม่ก็เลยโทรไปบอกคุณลุงว่าให้ทั้งสองคนหมั้นกันวันนี้เลย

     

                    “อย่างที่คุณนายคิมบอกไป ลุงว่าเราสองคนก็โตๆ กันแล้วก็น่าจะแต่งงานกันได้แล้ววันนี้ลุงก็เลยเตรียมแหวนหมั้นมาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนใบจดทะเบียนสมรสคงจะตามมาทีหลังคุณลุงพูดพร้อมกับยื่นกล่องแหวนเงินสองวงมาทางผมกับไอ้เหงือกที่ตอนนี้ผมกำลังนั่งบนตักมันอยู่โดยมีมันส่วมกอดมาจากทางด้านหลังแล้วเอาคางของมันมาเกยไหล่ผม ส่วนได้แต่ทำหน้าเหย่เกใส่มันด้วยความขยะแขยงและยื่นมือไปรับกล่องแหวนทั้งสองมาถือไว้

     

                    แม่ยังไม่ด่วนตัดสินจะให้ทั้งสองคนส่วมแหวนให้กันก่อนหรอกนะ เพราะถือว่าทั้งสองคนพึ่งเคยเจอกันครั้งแรก

     

                    และเป็นศัตรูกันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก - -*

     

                    “เลยอยากให้ทั้งสองคนลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปก่อน แม่เตรียมคอนโดไว้ให้ทั้งสองคนแล้วและก็ย้ายข้าวของไปไว้ให้แล้วด้วย ยังไงซะ...คืนนี้ก็ขอให้อยู่กันอย่างมีความสุขนะจ๊ะ ^^”

     

                    ผมอึ๋งตะลึงตาค้างทันทีกับสิ่งที่แม่พูดออกมา ผมว่าการที่ให้เราสองคนหมั้นกันทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันแล้วรู้จักกันมาก่อนมันแย่มากพอแล้วนะ แต่นี่ต้องไปอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลยมันแย่หนักกว่าเก่าอีกนะเนี่ย!!! นี่แม่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย

     

                    แม่ครับ...ผมยังไม่อยากเสียเว่อร์จิ้นตอนนี้นะครับบบ TOT

     

     

                    Yongjae

                    ผมเดินออกมาจากบ้านของไอ้ฮิมชานด้วยความห่อเหี่ยวใจที่ไม่มีใครในที่นั้นสนใจผมเลยสักคน มันก็จริงอยู่ที่ว่าผมเป็นคนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับพิธีมงคลของมัน แต่อย่างน้อยผมก็อยากทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับไอ้ฮิมชานว่าผมจะอยู่เป็นเพื่อนมันและคอยช่วยเหลือมันเวลามันเดือดร้อน

     

                    เท่าที่ผมสังเกตดูจากสีหน้าและสายตาของไอ้ฮิมชานตอนมองมาที่ผมแล้วผมก็รู้สึกได้เลยว่ามันก็อยากให้ผมอยู่ด้วยตอนที่มันกำลังจะหมั้นกับยงกุก แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องจำใจยอมเดินออกมาเพราะว่าไม่มีใครในนั้นตอนรับผมเลยสักคน แม้กระทั่งคุณแม่ที่ผมคิดว่าผมสนิทกับท่านพอๆ กับที่สนิทกับฮิมชาน

     

                    ยิ่งคิดแล้วยิ่งเศร้า ฮือๆๆๆ TOT

     

                    พลั่ก!!!

     

                    จู่ๆ ขณะที่ผมกำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ อยู่จนไม่ได้มองทางข้างหน้าว่ามีสิ่งกรีดขวางอะไรบ้างก็เดินชนเข้าให้กับใครสักคนหนึ่งจนผมนั้นล้มลงไปนั่งจุ้มปุ้กตูดกระแทกพื้นอย่างแรงอยู่ที่พื้น ส่วนไอ้คนที่มันเดินชนผมแต่ผมไม่รู้ว่ามันเป็นใครก็เอาแต่ยืนเกาหัวแรกๆ ด้วยความมึนงง

     

                    นี่คือในใจมึงไม่คิดจะช่วยพยุงกูให้ลุกขึ้นจากพื้นใช่ป่ะ

     

                    เออ...คือ...เป็นอะไรหรือป่าวครับสุดท้ายแล้วมันที่ยืนเกาหัวอยู่นานสองนานก็นั่งยองๆ ข้างๆ ผมแล้วค่อยๆ ช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงสั่นๆ

     

                    “ฉันอาจจะเป็นมากกว่านี้ก็ได้ถ้านายไม่ยอมเข้ามาช่วยสักทีผมตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะค่อยๆ เงยหน้ามองคู่กรณีที่บังอาจเดินมาชนผม (หรือผมชน?) อย่างเอาเรื่อง แต่พอผมเงยหน้าขึ้นไปมองมันเท่านั้นล่ะ...

     

                    แม่งโครตหล่อเลยวุ้ยยยย!!!

     

                    เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงที่อายุถ้าให้เดาน่าจะน้อยกว่าผมแน่นอน เส้นผมสีควันบุหรี่น่าดึงดูดและน่าหลงไหลปัดเป๋ไปข้างหนึ่ง ไปหน้าใสไร้ริ้วรอยได้ๆ ทั้งสินเท่าที่ดูแล้วน่าจะผ่านการดูแลมาอย่างดี ริมฝีปากบางรูปกระจับน่าสัมผัสรับกับจมูกโด่งเป็นสันสวย ดวงตาคมมนรับกับคิ้วเรียวได้รูป

     

                    ณ จุดๆ นี้...ยอมรับว่าเคลิ้มกันเลยทีเดียว -.,-

     

                    เออ...คุณครับ...ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?ผมหลุดออกจากภวังค์ความคิดทันทีเมื่อได้ยินเสียงชายนิรนามคนเดินถามขึ้นอีกรอบและก็ต้องรู้สึกว่าหน้านั้นเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ และขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อชายตรงหน้ายื่นมือมาจับใบหน้าของผม

     

                    อย่ามายุ่งกับกู!!!” และเพราะอารมณ์ไหนของผมอีกก็ไม่รู้จึงตัดสินใจตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงเพื่อให้ชายตรงหน้ายอมปล่อยมือจากใบหน้าของผม และดูเหมือนว่าเขาจะตกใจเป็นอย่างมากเมื่อผมตะโกนออกไปแบบนั้นจึงรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็วและยืนขึ้นเตรียมพร้อมที่จะเดินจากไป

     

                    มึงไม่คิดจะขอโทดกูเลยใช่ป่ะผมถามออกไปด้วยความเคืองเล็กน้อยที่หมอนั้นลุกขึ้นและกำลังจะเดินหนีผมไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ขอโทดที่เดินชนผมเมื่อกี้

     

                    ผมไม่จำเป็นที่จะต้องขอโทดคุณมึงนี่ครับ ในเมื่อตัวของมึงเองก็ยังเดินมาชนกูได้เลยมันเริ่มเปลี่ยนสรรพนามทันทีเมื่อเห็นว่าผมไม่คิดที่จะพูดดีกับมันด้วย แถมยังปรับน้ำเสียงให้เข้มขึ้นแล้วหันมามองหน้าผมอย่างคาดโทษ

     

                    “…”

     

                    “เหอะ!!! ขนาดมึงยังขอโทดกูไม่ได้แล้วเรื่องอะไรที่กูจะต้องไปขอโทดมึงไม่ทราบครับ

     

                    ผมได้แต่ยืนกำหมัดแน่นกับสิ่งที่แม่งพูดออกมาแต่ก็ไม่สามารถโต้เถียงมันได้เพราะผมเองก็มีส่วนผิดของเรื่องนี้เหมือนกัน แต่จู่ๆ มันก็พูดประโยคถัดไปจนผมต้องเงยหน้ามองด้วยความตะลึงก่อนที่แม่งจะเดินจากไป

     

                    หวังว่าเร็วๆ นี้เราคงจะได้เจอกันอีกนะครับ เมีย จ๋า ^^”

     

                    ไอ้เชี่ยยยยย!!! ใครเมียมึงวะ!!!

     

     

     

                    Zelo

                    พอผมพูดประโยคเด็ดที่คาดว่าพระเอกนิยายส่วนใหญ่น่าจะพูดใส่นางเอกหรือคนที่เราชอบออกไปแล้วก็รีบเดินออกมาจากจุดๆ นั้นทันที เพราะหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามได้ยินในสิ่งที่ผมพูดออกไปแล้วก็คงจะอารมณ์เสียและหงุดหงิดแน่นอน และผมคงไม่อยากโดนเขาด่าต่ออีกอย่างแน่นอน

     

                    แน่นอนว่าที่ผมกล้าไปเรียก ยู ยองแจว่าเมียเป็นเพราะว่าผมเคยเจอเขามาก่อนหน้านี้ที่มหาลัยน่ะครับ เขาเป็นคนคนแรกที่สามารถทำให้ผมตกหลุมรักได้ตั้งแต่แรกเห็น ผมไม่รู้หรอกนครับว่าสิ่งที่ผมทำมันเรียกว่าโรคจิตรึป่าว แต่ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมก็คอยแอบตามเขามาตลอดจนสืบมาได้ว่าเขาเรียนอยู่คณะเดียวกันกับผมและอายุมากกว่าผมด้วย แถมยองแจยังเป็นเพื่อนในกลุ่มของฮิมชานฮยองและกำลังจะหมั้นกับยงกุกฮยองเร็วๆ นี้

     

                    ผมเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ และยิ้มออกมาตลอดทางที่เดินมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของยองแจฮยอง ถึงเขาจะทักทายกับผมครั้งแรกด้วยความหยาบคายและผมเผลอหยายคายตอบกลับ แต่สำหรับผมแล้วผมว่ามันก็ถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มันก็อาจจะดีเหมือนกันนะเวลาที่เราเจอกันที่มหาลัยแล้วผมไม่กล้าเข้าไปทักยังไงซะฮยองเขาก็คงจะเข้ามาทักผมด้วยความเกลียดชังเองล่ะ และอีกอย่างและเวลาผมตามจีบพี่เขามันอาจจะง่ายขึ้นก็ได้

     

                    แต่มันอาจจะง่ายกว่านี้ถ้าฮยองเขาไม่ได้ไปอยู่กลุ่มเดียวกันกับฮิมชานฮยอง T^T

     

                    ก็เพราะว่ากลุ่มของผมที่ประกอบไปด้วย ผม ยงกุกฮยองและไอ้จงออบ ดันไม่ถูกกับกลุ่มของยองแจฮยอง มันเลยอาจจะทำให้ลำบากเป็นอย่างมากที่ผมจะเข้าไปจีบพี่เขาแล้วไม่โดยยงกุกฮยองไล่กระทืบกลับมา T^T

     

                    แต่ถึงยังไงซะในเมื่อผมตัดสินใจแบบนั้นไปแล้วไม่มีทางที่ผมจะกลับใจเด็ดขาด คนอย่างผมอยากได้อะไรก็ต้องได้ และผมไม่มีทางที่จะปล่อยให้ยูยองแจไม่เป็น เมีย ของใครเด็ดขาด!!!

     

     

     

                    Yonggok

                    ปล่อยกูนะโว้ยยยยยย!!!” หลังจากที่คุณนายคิมและพ่อตกลงเรื่องการหมั้นของผมกับไอ้เหยินเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็ได้ทำการบักไอ้ห่านี้ขึ้นพาดบ่าทันทีเพื่อพามันไปดูเรือนหอของเราสองคน ที่ผมต้องแบกมันก็เป็นเพราะว่าตอนที่พ่อบอกให้ผมกับห่านี้ไปดูเรือนหอด้วยกันมันไม่ยอมท่าเดียวแถมยังประกาศเสียงแข็งด้วยว่า ให้ตายกูก็ไม่มีทางไปกับมึงแน่นอนทำให้ผมที่ความอดทนยิ่งต่ำๆ อยู่ต้องแบกมันพาดบ่าและเดินออกมาจากบ้านแบบเท่ๆ ทันที ส่วนไอ้ตัวเจ้าปัญหาที่อยู่บนบ่าผมแม่งก็เอาแต่ทุบหลังผมไม่หยุดไม่หย่อนจนผมโมโหจนเกือบจะทุ้มตัวแม่งลงกับพื้นไปหลายรอบ

     

                    มึงเลิกทุบกูสักทีจะได้ไหมวะไอ้เชี่ยเหยิน!!!”

     

                    “ปล่อยกูลงก่อนดิว่ะ

     

                    “มึงอย่าเรื่องมากได้ป่ะ

     

                    “ก็ปล่อยกูสักทีสิวะ!!”

     

                    “ถ้ามึงยังดื้อดึงจะไม่ไปลูกเดียวและเอาแต่ทุบหลังกูไม่หยุดแบบนี้นะ กูขอไม่รับประกันความปลอดภัยเวอร์จิ้นของมึง!!!”

     

                    “….”

     

                    “มึงคงรู้นะว่าเวลาที่กูอยากได้อะไร...ผมเดินไปนั่งตรงม้านั่งแถวๆ นั้นกอดที่จะปล่อยตัวไอ้ห่านี้ลงแล้วยกตัวมันมาคร่อมไว้กับตัวผมและหันหน้ามันเข้าหาผมก่อนที่จะยกมือขึ้นไล้ไปตามแก้มนิ่มเนียนของมันลากผ่านปากและมาหยุดอยู่ตรงที่ลำคอทำเอาคนที่กำลังคร่อมผมอยู่นั้นหน้าขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอายทันที

     

                    ไม่ว่าจะที่ไหน...กูก็สามารถ เอา มึงได้ทั้งนั้น!!!” พอพูดจบผมก็ลุกขึ้นยืนจนเกือบทำให้ไอ้ฮิมชานล้มหัวฟาดพื้นตายและรีบยื่นมือไปจับข้อมือของมันแล้วออกแรงกระชากอย่างแรงเพื่อให้มันเดินตามผมมา แต่ก็ไม่วายมันก็ยังคงโวยวายผมเหมือนเดิมแต่ก็ดูเหมือนว่าจะยอมเดินตามผมมาดีๆ

     

                    ผมขึ้นมานั่งบนแลมเบอร์กินี่สีเขียวมันาวลูกรักเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ต้องไม่ลืมที่จะหันไปมองไอ้ตัวแสบที่นั่งอยู่ตรงเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับที่เอาแต่นั่งทำหน้าบูดบึ้งไม่เลิกจนผมนั้นที่พอเห็นมันเอาแต่ทำหน้าตาแบบนั้นก็อดที่จะอารมณ์เสียไม่ได้ เห็นแล้วแม่งขัดลูกหูลูกตาจริงๆ

     

                    มึงช่วยทำหน้าทำตาให้มันดีๆ กว่านี้ไม่ได้ไงวะ ทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้เวลาที่ไม่ได้ดั่งใจก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนเมนส์หมดยังไงยังงั้น

     

                    “เมนส์พ่อมึงสิ กูไม่ขำ กูไม่อยากไป และกูก็เกลียดมึง!!!”

     

                    “แล้วมึงคิดว่ากูชอบมึงนักหรือไงวะ!!!”

     

                    “แล้วมึงจะลากกูขึ้นรถมึงทำไมล่ะในเมื่อมึงก็ไม่ชอบกู!!!”

     

                    “หึ!!! มึงคิดว่าในเมื่อแม่มึงยกมึงให้กูขนาดนี้แล้วมึงจะรอดจากกูง่ายๆ หรอวะ ฝันไปเถอะไอ้เหยิน!!!” ผมพูดก่อนที่จะหยักคิ้วแบบกวนตีนให้มันไปทีหนึ่ง ส่วนไอ้เหยินที่ไม่สามารถโต้ตอบผมกลับได้ก็ได้แต่จิปากด้วยความไม่พอใจและรีบสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่จ้องหน้ามัน

     

                    ผมมองมันอยู่ครู๋หนึ่งก่อนที่จะหันมามองพวงมาลัยแล้วรีบสตาร์ทรถและขับออกไปจากลานจอดรถของบ้านมาดามคิมทันที ผมยอมรับนะว่าตอนแรกที่เห็นมันผมก็แอบเผลอใจไปให้แม่งเพราะว่ามันน่ารัก น่าฟัด น่าจับกดและน่าเอาอย่างที่พ่อผมบอกจริงๆ แต่พอได้เหตุธาตุที่แท้จริงที่หยิ่งและปากหมาผมก็รีบเปลี่ยนความคิดของตัวเองแทบจะทันที คนห่าไรวะบ่นแม่งไม่หยุดแทบยังชอบมาทำตัวมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งยังกับผู้หญิงอีก ผมเห็นท่าทางดัจจริตของมันแบบนั้นแล้วยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่ แต่ยังไงในเมื่อผมได้มันมาครอบครองแล้วไม่ว่าจะยังไงไม่ว่าจะเป็นหัวใจของมันหรือว่าร่างกายก็ต้องเป็นของผมแค่คนเดียว..

     

                    แค่กูคนเดียวเท่านั้น!!!!

     

     

     

     


    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×