คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 : สับสน
..... ความมืด .....
..... สีดำ .....
.... แสงไฟ ....
.... เสียงเพลง ....
.... คาเรน ....
!!!!!!!!!!!!!!
ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้น ... ทุกอย่างสว่างจากไปหมดเพราะลืมตาเร็วเกินไป ผมต้องใช้เวลาสักพักให้สายตาเริ่มปรับตัว ... ก่อนที่ผมจะพบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง ... ทำให้ผมต้องนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อวานจำได้ว่าเมื่อวานไปผับกับไอ้เตี้ยแล้ว ...
คาเรน .....
ผมอยากจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นแค่ความฝัน ... อยากให้พระเจ้าบอกกับผมว่า ผมแค่ฝันไป ...มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็ดูพังทลายเมื่อผมหยิบโทรศัพท์ที่เจ้าของห้องวางไว้ข้างตัว ผมมาดูเวลา ...
หน้าจอโทรศัพท์ยังคงเปิดค้างอยู่ที่หน้าของเมลล์ฉบับนั้น
เมื่อวานยอมรับว่าผมทำอะไรไม่ถูก ... ทุกอย่างมันดูขาวโพลนไปหมด ผมแทบจำไม่ได้ว่าผมพูดอะไรไปบ้างแล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อไป และสิ่งที่ผมอยากรู้มากที่สุดก็คือ
ผมทำผิดอะไร?
ถ้าเรื่องเป็นเพราะผมเป็นของผมแบบนี้ เป็นคนที่ดูไม่สนใจอะไรไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบปาร์ตี้ ไม่ชอบเข้าสังคม ผมยินดีที่จะปรับตัวเข้าหาเธอขอเพียงแค่เธอกลับมา ....
ขอเพียงแค่นั้นก็พอ....
“กี่โมงแล้ววะ” เสียงที่งัวเงียเอ่ยถามผมตามมาด้วยเสียงบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยล้า ก่อนที่ผมจะตอบอะไรไป เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาเสียเองก่อนที่จะโวยวายเสียงดังลั่น “ไอ้ห่า บ่ายสามแล้วเหรอวะ”
“นี่ห้องมึงเหรอ” ผมพยายามเปิดหัวข้อสนทนา เพื่อไม่ให้ตัวเองจมอยู่กับเรื่องเมื่อวานจนเกินไป
“ห้องมึงมั้งครับแหม ออกจะรกรังหนูไปสักหน่อยนะ พอดีไม่ค่อยได้กลับบ้านว่ะ” มันกวนตีนใส่ผมพร้อมโยนอะไรบางอย่างมาให้
“นั่นเป็นชุดที่แม่กูซื้อมาให้เผื่อโตแต่กูก็เสือกไม่โตว่ะ คิดว่ามึงน่าจะใส่ได้นะ อย่างน้อยน่าจะดีกว่าใส่ชุดที่มีกลิ่นเหล้าแบบนั้น” พอมันพูดจบผมถึงเริ่มรู้สึกตัวว่าทั้งตัวผม มีแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวและไม่ได้เหนียวตัวเหมือนกับวันที่ไม่ได้อาบน้ำ
“มึงเช็ดตัวให้กูเหรอวะ” ผมเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจเท่าไรนัก “เออสิ .. ไม่ใช่กูแล้วหมาที่ไหนมันจะเช็ดให้วะ”
“ขอโทษที่ทำให้ลำบาก” เริ่มรู้สึกผิดที่สร้างภาระให้กับอีกฝ่าย .. การที่ผมต้องมาเป็นแบบนี้ มันไม่เห็นจะต้องมีส่วนมารับผิดชอบอะไรเลย
“ไอ้ห่า...ทำมาเป็นขอท่งขอโทษ ตอนกูเมามึงก็เคยแบกกูมาแล้ว กับเรื่องแค่นี้ทำมาเป็นคิดเล็กคิดน้อยไปได้” เรียวสุเกะรีบสวน ก่อนที่ผมจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ...
“เออ..เย็นนี้มึงว่างปะวะ” จู่ๆไอ้เตี้ยก็ถามผมขึ้นมา “อืม .. เล่นนอนยาวขนาดนี้คงเข้าออฟฟิศไม่ได้แล้วล่ะ” ปกติแล้วผมต้องเข้าออฟฟิศทุกวันจันทร์เพื่อไปเคลียร์เอกสาร หรือบางครั้งก็ต้องอยู่ร่วมประชุม กับคณะผู้บริหาร แต่นี่ก็ปาไปตั้งสามโมงเย็นแล้วขืนเข้าออฟฟิศตอนนี้ก็ได้เป็นที่นินทาแก่ลูกน้องเป็นแน่ ...
“ดีเลย..วันนี้บ้านเคโตะมีปาร์ตี้ กูว่าจะชวนมึงไปซะหน่อยนะ”
“ปาร์ตี้?” ผมถามมัน
“เออปาร์ตี้ ! ยังไงซะอยู่กับเพื่อนเยอะๆก็ดีกว่าอยู่คนเดียวล่ะนะ” มันพยายามงัดตัวผมออกจากที่นอน ก่อนที่จะดันผมออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ ..
“นี่เรียวสุเกะ...” ผมหันไปเรียกคนที่กำลังดันผมออกจากห้อง
“มีอะไร?”
“ขอบใจนะ”
=== [Z][E][R][O]===
“ดูสิ ... วันนี้เรียวสุเกะมันพาใครมาด้วยล่ะ” เสียงไอ้ฟุกกะทักขึ้นหลังจากที่ผมขับรถมาถึงบ้านเพื่อนไอ้เตี้ย ที่ชื่อเคโตะอะไรนั่น เหมือนวันนี้จะเป็นวันรวมแก๊งค์มันล่ะมั้ง พวกที่ไปนั่งบาร์วันนั้นมากันหมดเลย ...
“ว้าววว โคนิกเซกก์ซะด้วย ไม่เบานะเฮ้ยครั้งที่แล้วขนาดพาคาเรนจังมายังเอามาแค่มินิเลย” เพื่อนไอ้เตี้ยคนหนึ่งกำลังจะเอ่ยถึงคาเรนแต่โดนไอ้เตี้ยวิ่งไปตะครุบปากเสียก่อน เหมือนพวกมันจะกระซิบอะไรกันเล็กน้อยแต่ก็คงไม่พ้นเรื่องผมกับคาเรนหรอก อีกฝ่ายถึงได้ขอโทษขอโพยผมซะขนาดนี้
“มึงไม่ต้องเศร้าไปเว้ย โบราณว่าอันนารีมีมากเหมือนฝูงลิง แล้วหล่อๆอย่างมึงน่ะ เดินเช็คเรทติ้งแปบเดียวฝูงลิงก็วิ่งตามแล้ว” ฟุกกะที่เหมือนจะรู้เรื่องแล้วเดินมาตบบ่าปุๆ ก่อนที่จะพูดอะไรแปลกๆออกมา “หรือถ้าไม่ถูกใจฝูงลิง ก็ลองเอาหมูแบบเรียวสุเกะก็น่าสนนะเว้ย”
“สัด หุบปากไปเลย !” เหมือนเจ้าตัวจะได้ยินเลยด่าสวนไอ้ฟุกกะกลับมา “ก็เดี๋ยวนี้มึงติดยูโตะมากกว่าพวกกูซะอีก นี่ถ้ายูโตะไม่อกหักมึงก็คงไม่มา...ใช่สิ ได้ผัวจนลืมเพื่อนไปแล้วนิ” ไอ้ฟุกกะยังคงแกล้งประชดไม่หยุดจนโดนไอ้เตี้ยโบกหัวไปหนึ่งที
“เชี่ย ! ทำเป็นมาว่ากู แล้วน้องอะไรนะ ... ที่อยู่โรงเรียนเดียวกับเราอะที่หน้าตาเรียบร้อยๆหน่อยอะ” ไอ้เตี้ยเริ่มเปิดประเด็นของฟุกกะบ้าง มันติดเด็กเหรอวะไม่ยักรู้ เห็นทีเรื่องนี้คงต้องแจมสักหน่อยละ
“น้องอาเบะน่ะเหรอ” เพื่อนในกลุ่มที่ชื่ออะไรนะ ? วาตานาเบ้ โชตะ รึเปล่า? ตอบขึ้นมาอย่างรู้ทัน
“เบะ เบอะพ่อมึงดิ .. นั่นรุ่นน้องเฉยๆไม่มีอะไรเว้ย” ฟุกกะแหวใหญ่ ผมว่าเรื่องนี้มันต้องมีอะไรแล้วล่ะ
“เหรอครับไอ้คุณฟุกาซาว่า .. สายกูบอกมาว่า เห็นรถมึงอยู่แถวโรงเรียนน่ะ” คนที่ชื่อโชตะ เหมือนจะไม่ยอมแพ้
“สาขาย่อยบริษัทกูอยู่แถวนั้น กูแค่บังเอิญขับรถผ่านไปเฉยๆ อย่าว่าแต่กูเหอะ มึงกับไอ้คนข้างๆมึงได้กันไปกี่รอบแล้ววะ” เหมือนจะเข้าตาจนฟุกกะมันเลยถามย้อนกลับ ข้างๆคนที่ชื่อโชตะก็มีไอ้เตี้ย กับอีกคนตาตี่ๆหน้าคล้ายๆบีเวอร์ชื่ออะไรนะ เรียวตะรึเปล่า?
“ด...ได้กันพ่อมึงดิ .. ก็เพื่อนกันทั้งนั้น” มีเสียงตะกุกตะกักด้วยแหะแปลว่าเรื่องนี้ ก็ชักจะไม่ธรรมดาอีกเหมือนกันนั่นแหละ
“อ๋อเหรอออ...บ้านก็อยู่ใกล้กัน เรียนก็เรียนที่เดียวกันตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยขนาดนี้ แถมตอนนี้ก็ยังนั่งติดกันอีกอะนะ” ตอนนี้เหมือนจะเริ่มเข้าสู่มหกรรมการแฉแล้วครับ
“พอเลยพวกมึงน่ะ ยูโตะก็มาด้วยเดี๋ยวเขาก็เข้าใจผิดว่ากลุ่มเราแม่งเกย์กันยกแก๊งค์หรอก” เหมือนคนที่ชื่อโชตะพยายามเบี่ยงประเด็นมาที่ผมนะครับ เอ่อ....แล้วผมจะพูดอะไรดีล่ะ?
“เอ่อ....” ผมก็เลยพูดไปแค่นั้น
“ทำเป็นหงิมนะมึงน่ะ เชื่อปะเห็นมันนิ่งๆแบบนี้แม่งพูดมากกว่ากูอีก” คราวนี้ฟุกกะแฉผมบ้าง นี่ถ้าผมอยู่ในโหมดที่ร่าเริงกว่านี้มันคงได้กินตีนแทนเหล้าแน่ๆ -*-
“เดี๋ยวกูเตะปากแตกเลยสัดนี่” ผมตอบกลับไปดูเหมือนคนอื่นจะทำหน้าตาตื่นตกใจที่ผมพูดออกไปเมื่อกี้ “เชี่ยมันพูดได้เว้ย แม่งไม่ได้เป็นใบ้วะ” เหมือนมีใครสักคนหนึ่งกลุ่มเนี่ยแหละพูดขึ้น หลังจากนั้นก็ยาวล่ะครับ...พูดไม่หยุด....
ก็ดีอยู่กับพวกมันนี่ก็ทำให้ผมลืมอะไรๆไปได้พักหนึ่งเหมือนกันล่ะ
ระหว่างที่รอเนื้อย่างพวกผมก็นั่งกินเบียร์แกล้มถั่วแระทอดไปพลางๆ จากตอนแรกวงที่ดูเงียบๆ ก็เริ่มคุยกันเสียงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ดังลั่นบ้านแล้วครับเรื่องที่คุยก็มีตั้งแต่ ความหลังสมัยเรียน แฉกันไปมาบ้าง กวนตีนใส่กันบ้าง หรือบางทีก็หันมาถามผมในเรื่องสัพเพเหระ เป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนถึงแม้ผมจะพอมีเพื่อนบ้าง แต่ส่วนใหญ่ ก็เป็นพวกที่คุยกันแบบเป็นการเป็นงานก็มีแต่ไอ้ฟุกกะนี่แหละครับที่ผมสามารถคุยได้อย่างสนุกสนานน่ะ อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณมันด้วยแหละที่ทำให้ผมได้มาเจอกับเพื่อนกลุ่มนี้ของมัน
ไม่นานเตาพร้อมชุดเนื้อย่างก็ถูกเสิร์ฟ .. เนื่องจากคนรวมกันก็ปาไป 8 คนแล้ว เลยต้องตั้งเตาบนโต๊ะญี่ปุ่นแล้วใช้ระบบแย่งกันคีบแทน ก็สนุกดีครับแย่งกันกินไปคุยกันไปแบบนี้น่ะ
“กินเหล้าแบบนี้ มันต้องมีเล่นเกมส์สักหน่อยไม่งั้นไม่มันส์” จู่ๆไดกิ (ซึ่งตอนนี้ผมจำชื่อได้ครบทั้งกลุ่มแล้วล่ะ) เสนอขึ้นหลังจากที่เรากินเนื้อย่างกันจนอิ่มแล้ว
“เล่นอะไรดีอะ ? นับเลข? ทอยลูกเต๋า?” ฟุกกะถามขึ้นมา
“โหยยย เกมส์พรรค์นั้นเล่นกี่ทีๆก็แพ้ไอ้เรียวตะ ไม่เบื่อหรือไงวะ” คราวนี้เป็นยูริที่โวยขึ้นมา
“งั้นเอางี้ไหม เล่นหมุนขวดถ้าไปตกอยู่ที่ใครก็ให้เลือกเอาว่า จะตอบคำถามหรือจะหมดแก้ว” ผมเสนอพวกมันขึ้นมา “เออเข้าท่าว่ะ .. งั้นกูคนแรก” ฟุกกะเห็นด้วยกับความคิดผม ก่อนที่จะหยิบเบียร์ขวดเล็กขึ้นมาหมุนกลางโต๊ะ ....
“เชี่ยยยยยย !!!” ปลายขวดหันไปทางโชตะที่ร้องโวยวายขึ้น ซึ่งเฮกันทั้งกลุ่มล่ะครับงานนี้ แต่ถ้าให้ผมเดามันคงเลือกที่จะดื่มหมดแก้วแหละครับ ขืนเลือกที่จะตอบคำถามก็คงรู้อยู่ล่ะครับ ว่าจะโดนถามอะไรและก็เป็นไปตามนั้นมันรีบคว้าแก้วดื่มรวดเดียวจนหมดเลยล่ะ
“โด่ ! ปอดนี่หว่า” ไอ้เตี้ยโอดครวญอย่างผิดหวัง ซึ่งทั้งโต๊ะก็อารมณ์เดียวกันหมดรวมถึงผมด้วย
หลังจากโชตะก็เป็นคนหมุนขวด และปลายขวดก็นหันไปหาไดกิ .. ก็เรียกเสียงเฮได้ไม่แพ้กัน
“กูเลือกตอบคำถาม” คราวนี้เสียงเฮก็ดังกว่าเดิมอีก “มึงกับน้องสาวรุ่นพี่อิโนโอะนี่ตกลงยังไงวะ” โชตะเปิดประเด็นถามขึ้นมา
“กูก็ตามจีบน้องเขาอยู่น่ะสิ ถามได้” ไดกิตอบกลับโดยแทบไม่คิดเลยครับ
“ฮี้ววววววว” เสียงโห่ดังขึ้นทั้งวงเลยครับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ยักไหล่เล็กน้อย
ต่อไปตาไดกิหมุนขวดบ้าง ... ซึ่งปลายขวดหมุนไปทางเรียวสุเกะครับ
“กูเลือกถาม” ไอ้เตี้ยตอบแบบรวดเร็วมากครับ .. เหมือนไดกิจะนิ่งไปเพื่อนึกคำถามสักพัก ก่อนที่จะถามขึ้นมา “มึงได้กับฮารุกะรึยังวะ?” ทั้งวงทำหน้าตาอยากรู้มากครับ ซึ่งไอ้เตี้ยก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วไม่แพ้ตอนเลือกที่จะตอบคำถามเลย
“ยังว่ะ คุณหนูแม่หวงขนาดนั้นจะไปได้อะไร”
“กูว่าเขาก็ให้ท่าบ่อยออก แต่มึงไม่เอาเองมากกว่าว่ะ ...ฮ่าๆ สู้ยูโตะก็ไม่ได้ ได้กับคาเรนจังไม่รู้จะกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว” เหมือนฟุกกะจะเอ่ยชื่อต้องห้ามออกมา ทำเอาทั้งวงเงียบกริบเลยครับรวมถึงผมด้วย คำพูดของมันทำให้ภาพเหตุการณ์เมื่อวาน มันย้อนกลับเข้ามาทั้งที่ผมไม่ได้อยากจะนึกถึงมันแม้แต่นิดเดียว ....
“เฮ้ยๆ เปลี่ยนเกมส์กันดีกว่า” ฟุกกะเหมือนจะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดจึงหัวเราะแก้เก้อ ก่อนที่จะเปลี่ยนเกมส์เล่นกัน ผมก็ได้แต่ยิ้มให้เล็กน้อยแล้วก็โบกมือบอกพวกมันไม่เป็นไร .. ทำให้ทุกคนดูจะเบาใจลงได้บ้าง
หลังจากที่เปลี่ยนเกมส์ไปเรื่อยๆ คั่นด้วยการคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ ก็ปาไปเกือบตีสองกว่าสมควรแก่การเลิกราแล้ว ซึ่งพวกมันก็รบเร้าให้ผมนอนค้างที่นี่ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องเสื้อผ้า ... ผมก็ไม่ได้กลัวเรื่องเสื้อผ้าอะไรหรอก แต่สภาพจิตใจผมมากกว่าน่ะสิ ผมรู้สึกว่ามันเหนื่อยและอ่อนล้ามาก แต่จากสายตาอ้อนวอนของพวกมันทำเอาผมลำบากใจที่จะปฏิเสธ ก็เลยตกลงที่นอนค้างที่นี่
“ยังคิดมากเรื่องคาเรนอยู่ล่ะสิ” ไอ้เตี้ยเปิดประตูกระจกเดินมาหาผมที่ยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยตรงระเบียง
“ก็นิดนึงน่ะ แล้วคนอื่นล่ะ?” ผมตอบอีกฝ่ายไปตามตรง
“หลับกันหมดละ พรุ่งนี้มีเรียนบ่ายเลยต้องรีบนอนอะ”
“แล้วทำไมมึงยังไม่นอนอีกล่ะ?” ผมถาม
“มึงสภาพแบบนี้กูคงหลับลงหรอก ... ยังไงก็ขอโทษแทนทัตซึยะมันด้วยนะเว้ย” ผมนิ่งไปไม่ได้แปลว่าผมไม่ได้ยกโทษให้ฟุกกะหรอกครับ ผมรู้จักมันมานานแล้วก็พอรู้นิสัยมันอยู่ ถึงมันจะพูดอะไรไม่ค่อยคิดไปสักหน่อยแต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งเลยล่ะ
“กูรักคาเรนมากนะ...หลายครั้งที่กูเองก็รู้สึกว่าเราค่อนข้างที่จะต่างกันในหลายๆอย่าง ...” จู่ๆผมก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนที่จะพูดต่อ “หลายครั้งที่กูก็พยายามปรับตัวเข้าหาเธอเหมือนกัน .. แต่มันอาจจะส่งไปไม่ถึงก็เลยเป็นแบบนี้” ผมพยายามฝืนยิ้มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
“พ่อกูเขาเคยบอกว่า ถ้าเวลาไหนรู้สึกอยากร้องไห้สุดๆให้เงยหน้ามองท้องฟ้าให้น้ำตามันไหลย้อนกลับไป..”
“ไม่เห็นจะต้องทำแบบนั้นเลย อยากร้องก็ร้องออกมาดิวะ มีกฎข้อไหนที่มันบอกว่า เป็นผู้ชายแล้วห้ามร้องไห้กัน .. ผู้ชายมันก็คนนะรู้สึกได้และเจ็บเป็นเหมือนกันนะเว้ย” เรียวสุเกะเถียงผมขึ้นมา
“นั่นสินะ” ผมยิ้มบางๆก่อนที่จะเอาหน้าซบไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเสียงเบา
“ขอกูอยู่อย่างนี้สักพักนะ....”
ที่บ้านผมสอนมาตลอดว่าเป็นเกิดเป็นผู้ชายต้องอย่าร้องไห้ให้ใครเห็น แม้กระทั่งในเวลาที่เราเจ็บปวดที่สุดก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเลือกที่จะร้องไห้กับคนๆนี้ก็ไม่รู้สิ ...
ทั้งที่มันก็แค่คนๆหนึ่งที่รู้จักกันผ่านเพื่อนของตัวเองและบังเอิญสนิทกันในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน ถึงแม้มันจะเป็นคนพูดมากและบ้าบอไปสักหน่อยแต่ผมกลับรู้สึกสบายใจและเลือกที่จะเปิดใจกับมันได้อย่างประหลาดและน่าแปลกตรงที่ น้ำตาที่ไม่ได้ไหลมาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วกำลังเปียกชื้นอยู่บนไหล่ ของคนที่รู้จักกันเพียงอาทิตย์กว่าๆตรงหน้านี้
นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งความรู้สึกที่หนักหน่วงใจค่อยๆเบาลงจนน้ำตาหยุดไหลไปเองผมถึงเงยหน้าขึ้นมา
“สบายใจขึ้นบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ...” ดวงตาสีน้ำตากลมโตที่เต็มไปด้วยความจริงใจนั่นมองมาทางผม .. และน่าแปลกที่มันสะกดผมได้อย่างแปลกประหลาดจนผมเผลอขยับหน้าเข้าไปใกล้และทำบางสิ่งบางอย่างแบบไม่รู้ตัว ...
ริมฝีปากที่แตะริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เพียงแค่นั้นเลือดในกายมันก็สูบฉีดไปทั่ว เสียงหัวใจที่นิ่งสงบจู่ๆก็เต้นโครมครามอย่างห้ามไม่ได้ สัมผัสไม่ได้รุกล้ำใดๆไปกว่านั้นแต่กลับสร้างความรู้สึกประหลาดบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ....
TBC
Talk : ถ้าผู้ชายอกหักก็ต้องก๊งเหล้ากันอย่างเดียวละนะ เพื่อนเราผู้ชายก็โดนแฟนบอกเลิก
ด้วยสาเหตุที่คล้ายๆยูโตะกับคาเรนจังแบบนี้แหละ จากนั้นมันก็ไปกินเหล้ากับเพื่อนม.ปลายบ้าง
เพื่อนมหาลัยบ้างสลับๆกันไป แล้วเมื่อก่อนก็ต้องคอยคุย msn กับมันเพื่อไม่ให้มันคิดฟุ้งซ่าน
ตอนนั้นถึงได้รู้ว่า ผู้ชายอกหักก็ไม่ต่างจากผู้หญิงอกหักสักเท่าไรเลย เฮิร์ตหนักพอๆกัน
Talk 2 : ยอดวิวรวมเพิ่มขึ้นถึง 200 กว่าแล้ว ยอดวิวแต่ละตอนก็เพิ่มขึ้นด้วย
ขอบคุณที่ยังอ่านฟิคกากๆเรื่องนี้นะคะ นึกว่าจะเป็นแบบมียอดวิวแค่ตอนแรกซะอีก ฮา
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
PS : ตอนหน้ายามะจังจะเป็นยังไงนะ ?
PS 2 : ยังก็ขอโทษนะคะที่ตอนนี้มันออกจะสั้นไปสักหน่อย T T
ความคิดเห็น