คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 : พี่สาว & คู่ควง
“บอกไว้ก่อนว่าไม่หรูนะ” ผมย้ำกับยูโตะเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้หลังจากที่ อาสาเป็นเจ้ามือ พามันไปเลี้ยงข้าวในฐานะที่ให้ที่พักแก่คนเมาและอุตส่าห์ขับรถเอาโทรศัพท์มือถือมาคืน แต่อย่างว่าแหละพาคนรวยมาเลี้ยงข้าวทีก็ต้องย้ำไว้ก่อน ไม่รู้ว่าอาหารธรรมดาแบบนี้ มันจะเคยกินรึเปล่านะสิ
“กูกินได้” มันก็ย้ำกับผมเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้เหมือนกัน
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงพนักงานร้านเอ่ยต้อนรับเสียงใส .. ร้านที่ผมพามาก็เป็นร้านกิวด้งเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากแมนชั่นผมมากนัก รวมทั้งบรรยากาศร้านที่ไม่ค่อยพลุกพล่านนัก เพราะร้านนี้คน จะเริ่มเยอะช่วงหัวค่ำเสียมากกว่า
“เคยมาร้านแบบนี้รึเปล่า” ผมถามคนที่กำลังเปิดดูเมนูอย่างสนใจ
“ไม่” คำตอบของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไรนัก ลูกคนรวยก็อย่างนี้แหละนะจะเคยมาทาน ร้านแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ
“อืม..งั้นก็เลือกไอ้ที่คิดว่าดูน่ากินที่สุดละกัน” ผมว่าพร้อมกับกดกริ่งเรียกพนักงาน
“ไม่มีอะไรแนะนำหน่อยเหรอ” คนที่ยังคงเปิดเมนูไปมาเอ่ยถามขึ้นมา
“ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง สั่งได้เลย” ตอบมันไปก่อนที่จะหันไปสั่งเมนูประจำกับพนักงานที่มารับออเดอร์ ร้านนี้ผมมาทานบ่อยจนไม่ต้องเปิดเมนูแล้วล่ะครับ
“แล้วทำไมคนน้อยจังวะ” ยูโตะถามขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบๆร้าน ..
“กูคิดว่ามึงจะเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายซะอีก” ผมอดสงสัยไม่ได้ ก็จริงนี่ครับขนาดตอนไปนั่งกินเหล้าครั้งก่อนก็นั่งเงียบซะขนาดนั้น...
“กูดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ” มันยักคิ้วถามผม ..
“ก็ใช่น่ะสิ .. แล้วนี่จะสั่งได้ยังล่ะ” ผมว่าพร้อมยืนเมนูอีกเล่มให้มันเผื่อเล่มนั้นตัวอักษรไม่ชัดเลยทำให้คุณชายเขาใช้เวลาเลือกนาน -*-
“เอาอันนี้ขนาดพิเศษครับ” มันชี้ไปที่ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นเมนูที่ผมเคยชอบทานมากๆ แต่ตอนนี้ผมมีลูกรักเป็นอย่างอื่นแทนแล้วล่ะครับ
“มากินบ่อยเหรอ?” ยูโตะถามหลังจากที่พนักงานเดินออกไปแล้ว
“อือ .. ถึงกลางวันคนจะน้อยไปหน่อย แต่ช่วงเย็นๆคนเยอะมากเลยนะ คงเพราะคนไม่ค่อยนิยมกินกิวด้งเป็นมื้อกลางวันเท่าไรมั้ง?” ผมอธิบายให้คนตรงหน้าฟัง
“อ่อออ อย่างนั้นเองเหรอ” ไอ้คุณชายทำหน้าเหมือนจะเข้าใจ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเข้าใจจริงรึเปล่า
“แล้วปกติที่บ้านมึงเค้ากินอะไรกันวะ” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง .. ก็ในเมื่อมันไม่เคยกินร้านกิวด้งแบบนี้ ผมก็อยากรู้สิครับว่ากิจวัตรคุณชายอย่างมันได้กินร้านหรูขนาดไหน
“กูเรียนโฮมสคูล ดังนั้นส่วนใหญ่มื้อกลางวันก็ได้กินข้าวที่บ้าน พอขึ้นมหาลัยก็ไปเรียนต่อ ต่างประเทศ ที่นั่นก็ก็มีร้านอาหารคล้ายๆแบบนี้เหมือนกันนะแต่เป็นอาหารฝรั่งน่ะ” มันอธิบายให้ผมฟัง
“เรียนโฮมสคูลไม่เหงาเหรอวะ” ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดโฮมสคูลคือการเรียนเองที่บ้านแล้วสอบเทียบใช่ไหม? แบบนั้นก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิ?
“ถ้าตอนเรียนก็มีบ้างแหละ เพราะเรียนคนเดียวนี่หว่า แต่แม่เขาก็กลัวว่ากูจะเป็นพวกเด็กขาดสังคม เลยพาไปรู้จักลูกหุ้นส่วนบ้างหรือไม่ก็ลูกคู่ค้าบริษัทบ้าง อย่างฟุกกะก็เป็นลูกเจ้าของบริษัท ที่มารับเหมารีสอร์ทกู” มันเอ่ยถึงทัตสึยะเพื่อนในกลุ่มผม ผมเล่าไปรึยังครับว่า ทัตสึยะมันก็รวยเหมือนกัน การที่มันไม่เรียนต่อแล้วไปช่วยกิจการทางบ้านไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีเงินนะครับ แค่ตอนนี้กิจการที่บ้านมันวุ่นวายมาก ก็เลยต้องไปช่วยคุมกิจการจนไม่มีเวลาเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ถ้าทุกอย่างลงตัวเมื่อไรมันก็คงเรียนต่อเองแหละ แต่ถึงจะไม่เรียนมันก็สบายไปทั้งชาติแล้ว
“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ” เสียงของพนักงานเสิร์ฟเอ่ยขัดจังหวะการสนทนาพร้อมกับเสิร์ฟอาหาร
“ก็คล้ายๆกับที่แม่ครัวที่บ้านทำให้กินอยู่นะ” มันว่าพร้อมกับจะคีบเนื้อในถ้วยกิน
“เดี๋ยวก่อน ... ข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นมันต้องกินแบบนี้” ผมว่าพร้อมเอื้อมไปหยิบถ้วยไข่ ที่วางอยู่ข้างๆราดใส่ถ้วยข้าวหน้าเนื้อ ... พร้อมกับใช้ตะเกียบจิ้มตัวไข่ให้ส่วนของไข่แดง ไหลลงบนข้าวหน้าเนื้อ
“ถ้าไม่ราดแล้วมันจะเป็นข้าวหน้าเนื้อไข่ออนเซ็นได้ยังไงล่ะ” มันมองผมด้วยหน้าหล่อๆปนเอ๋อๆของมัน ก่อนที่จะคีบกินเป็นรอบที่สอง
“อร่อยว่ะ” ไอ้คุณชายทำหน้าตาตื่นตกใจราวกับเจอสิ่งมหัศจรรย์ อย่างว่าแหละตอนผมมากินร้านนี้ ครั้งแรกก็คงทำหน้าฟินไม่ต่างกับมันหรอก
“เห็นไหมล่ะ” ผมว่าพร้อมจัดการกับเมนูตรงหน้าของตัวเองบ้าง .. เห็นมันกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วท้องผมเองก็เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ..
แน่นอนว่าในระหว่างกินก็ต้องมีชวนคุยกันบ้าง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าคนตรงหน้าก็ไม่ได้ดูเงียบ ไปหมดซะทุกเรื่องหรอก ยิ่งถ้าผมเปิดประเด็นเรื่องที่มันสนใจอย่าง รถยนต์ กลอง หรือไม่ก็กล้องถ่ายรูปขึ้นมาแล้วละก็นะ .. กลายเป็นผมนี่แหละที่ต้องนั่งเงียบฟังเล่านู้นนั่นนี่ ซึ่งหลายอย่างผมก็ไม่ได้รู้เรื่องนักหรอก
โดยเฉพาะเรื่องกล้องฟิล์ม ที่เห็นว่าเพิ่งหัดเล่นได้ไม่นาน มันเล่าว่าวันก่อนไปล้างรูปที่ถ่ายมา ก็บ่นว่ายังถ่ายภาพกลางคืนยังไม่ค่อยสวย ยังกะขนาดรูรับแสง สปีดชัตเตอร์และ ค่าความไวแสง(ISO) ยังไม่สัมพันธ์กันเท่าไรนัก รวมทั้งเลนส์ที่ใช้เป็นแบบมือหมุน(manual lens) เลยทำให้ยังกะอะไรไม่ค่อยแม่นสักเท่าไรนัก
แล้วทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วยล่ะกับอีแค่ภาพๆเดียวใช้อะไรถ่ายก็เหมือนกันนั่นแหละ ผมเคยถามเรื่องนี้กับเคโตะนะ เพราะมันก็เล่นกล้องเหมือนกับไอ้คุณชายนี่แหละ มันก็ตอบมาแค่ว่าคนไม่เล่นกล้องไม่มีวันเข้าใจหรอก
หลังจากที่เปลี่ยนจากเรื่องกล้องกลับมาที่รถยนต์อีกรอบ มันก็เล่าเรื่องลูกรักของมันบ้าง ซึ่งคราวนี้ผมก็พอคุยกับมันได้อยู่เพราะผมก็ชอบเรื่องรถเหมือนกัน .. ก็คุยกันไปเรื่อยๆจนข้าว สลัดและน้ำหมด เลยกดกริ่งเรียกพนักงานเพื่อขอเมนูสั่งของหวาน ก็จัดไปที่พุดดิ้งคนละชิ้น คุยอะไรอีกนิดหน่อย ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายจ่ายเงินแล้วก็เดินกลับแมนชั่นและแยกย้ายกันไป
โดยก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะแลกเบอร์โทรศัพท์กันเอาไว้ด้วย .. เผื่อวันไหนว่างๆชวนมันมานั่งกินเหล้า กับกลุ่มเพื่อนผมอีกถึงแม้ดูมันจะค่อยชอบความวุ่นวายหรือคนพลุกพล่านเท่าไร แต่ก็ดูเป็นคนที่ตามใจคนดีนะ เป็นเพื่อนที่น่าคบคนหนึ่งเลยล่ะ
ทันทีที่ถึงห้องผมกระโจนตัวลงโซฟาแทบทันที ... อิ่มมากและเหนื่อยโคตร ถึงแม้ว่าจะได้นอนเต็ม อิ่มมาจากที่แมนชั่นไอ้คุณชายมันแล้วก็ตาม แต่ท้องอิ่มๆแอร์เย็นๆแบบนี้ก็อดไม่ได้ ที่จะทำให้หนังตามันหย่อยอีกรอบล่ะนะ
เกือบจะหลับอยู่แล้วเชียว ถ้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงไม่สั่นขึ้นมานะ ผมล้วงมันขึ้นมาเพื่อดูหน้าจอเบอร์โทรเข้า
(Chihiro) ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก พี่สาวผมเองล่ะ -*-
“อือ” ถ้าเป็นคืนอื่นผมอาจจะวางทิ้งไว้แล้วนอนต่อ แต่สำหรับยัยนี่ไม่ได้เลยล่ะ ถ้าผมไม่รับโทรศัพท์เธอขึ้นมาละก็....
//ไฮ ! เรียวสุเกะ// ปลายสายทักทายอย่างร่าเริง
“โทรมามีอะไร?” ผมถามอย่างงัวเงีย ลองนึกถึงสภาพคนใกล้หลับแล้วโดนปลุกละกันครับ ว่าจะเป็นอย่างไร
//คิดถึง..// อีกฝ่ายตอบมาแบบนี้
“เชื่อตายล่ะ เอาจริงๆมีอะไร” ปกติร้อยวันพันปีไม่เคยมาหาผมหรอก นอกจากมีเรื่องอะไรให้ช่วยน่ะ
//อาทิตย์หน้าฉันมีปาร์ตี้// นั่นไงล่ะ ผิดปากผมซะที่ไหน
“แล้วไง? จะชวนเพื่อนคนไหนผมไปอีกล่ะ นี่เจ้เล่นควงไปหมดสต๊อกแล้วนะหรือจะควงผมไปมะ =*=” ผมพูดประชดใส่ปลายสาย
//ถ้าจะควงแกสู้ฉันตัดผมแล้วควงผู้หญิงคนอื่นไปดีกว่ามะ หน้าเหมือนกันขนาดนี้ เพื่อนฉันคงเชื่อหรอกย่ะ// ปลายสายหวีดเสียงสูง
ก็เล่นไปหลอกเพื่อนในวงปาร์ตี้ว่าเป็นคาสโนวี่ ทั้งที่จริงๆแล้วยังไม่เคยคบผู้ชายเป็นตัวเป็นตนเลยสักคน แล้วก็เดือดร้อนผมที่ต้องหาเพื่อนในกลุ่มไปให้จิฮิโระควงเล่น
ตอนแรกเพื่อนผมก็ยินดีกันหมดแหละได้ควงผู้หญิงสวยทั้งที แต่พอตอนหลัง จะโทรชวนใครก็ปฏิเสธทุกราย ... อ้างไม่ว่างบ้าง ป่วยบ้าง ติดธุระครอบครัว มีหลายเหตุผลแม้กระทั่งหมาที่บ้านตาย(แต่ผมได้ยินเสียงเห่าจากปลายสายมาเป็นระยะๆ = =)
แต่อย่างว่าแหละ ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกมันนะ ก็เป็นพี่น้องกันมา 20 ปีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าผู้หญิงคนนี้น่ากลัวขนาดไหน
//เงียบทำไม? จะไม่ช่วยฉันเหรอ? ^^// น้ำเสียงของปลายสายทำเอาผมขนลุกขึ้นมาดื้อๆ
“แต่เพื่อนในกลุ่มผมเจ้ก็ควงไปหมดแล้วนะ”
//แล้วชีวิตนี้แกไม่คิดจะเพื่อนใหม่เลยรึไง ? อ้อใช่! ... ได้ข่าวว่าเมื่อวานไปนอนแมนชั่นเพื่อนใหม่มานี่// ใครมันคาบข่าวไปบอกเจ้วะครับ ข่าวไวชะมัด
“ยูโตะมันมีแฟนแล้วนะ”
//ยืมควงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง แฟนไม่รู้หรอกน่าหรือว่าจะเก็บไว้กินเองรึไง? ต๊ายย!!!เดี๋ยวนี้น้องชายฉัน เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอยะ// คุณเธอหวีดร้องเสียงสูงอีกแล้ว เคยมีใครทักไหมว่ามันแสบแก้วหูน่ะ -*-
แต่อย่างว่าคงไม่มีใครกล้าทักหรอก = ____ = !!!
“ตลกละ .. ผมก็เพิ่งรู้จักกับมันเมื่อวานเอง” ผมแก้ตัวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ดูไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องตกใจอะไรเลย ในเมื่อผมเป็นผู้ชายและยูโตะก็เป็นผู้ชาย ที่สำคัญก็มีแฟนแล้ว
ทั้งคู่ จะมากลัวประเด็นอะไรแบบนี้ทำไมกันล่ะ
//เก็บไว้กินเองจริงๆด้วย – 0 -...// เหมือนอีกฝ่ายยังคงไม่ยอมแพ้นะ
“บอกว่าไม่ได้กินเองไงล่ะ" อธิบายด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น ..
//มีเขินด้วย....- v -// ซึ่งแน่นอนว่าไม่ฟังจริงๆด้วย = =
“โว้ยยย ! ก็ได้! ก็ได้ ! เดี๋ยวผมลองโทรชวนมันนะ แต่ไม่รับปากนะว่าจะได้” คือไม่ได้หงุดหงิดที่โดนแซวนะ
แต่รำคาญเสียมากกว่าคือต่อให้ผมยืนยันอะไรไปคุณเธอก็ดันทุรังให้ผมรับปากให้ได้อยู่ดีนั่นแหละ
//ถ้าไม่รับปากฉันจะถือว่าแกหวงอยากได้เอง ^^// นั่นไงผิดจากที่ผมพูดซะที่ไหน
“รับปากก็ได้ T^T”
//น่ารักที่สุดเลยน้องชายฉัน แล้วจะรอนะจ๊ะ J // พูดเสร็จตัดสายทิ้งเลย ... เจ้เคยรู้ไหมว่าสิ่งที่เจ้ทำมันเป็นภาระผมขนาดไหนน่ะ T T
แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย !!!
=== [Z][E][R][O] ===
“โทษทีว่ะ แต่เรื่องนี้กูช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ” ทัตซึยะเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบบ่าแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
เจ้ทำวันว่างของผมวุ่นวาย !! T T
เจ้เอาเวลานอนของผมคืนมาาาา
เจ้อยากควงผู้ชาย เจ้ก็ไปหาเองเซ่ !!!!!!!!!!!!
คิดว่าผมจะกล้าไปพูดแบบนี้กับจิฮิโระหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่ ผมถึงได้ต้องถ่อมาที่แมนชั่นทัตซึยะเพื่อขอคำปรึกษาจากมัน และผลที่ได้ก็เป็นอย่างที่เห็นคือการตบบ่าสองสามทีซึ่งหมายความว่า ... ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งเรื่องนี้มันไม่สามารถช่วยอะไรผมได้จริงๆ
“มึงไม่มีเพื่อนที่เหมือนยูโตะเลยเหรอวะ” แน่นอนว่าผมยังไม่อยากตาย .. เลยพยายามหาช่องทาง ที่เป็นไปได้มากที่สุด T T
“ไม่มี .. ยูโตะหล่อสุดแล้ว” มันว่า
“แล้วหล่อรองจากมันนิดนึงล่ะ”
“ก็กูไง” ขอบคุณนะ T _____ T
“ที่ไม่ใช่มึงอะ T [] T”
“ไม่มี .. ลูกเพื่อนพ่อส่วนใหญ่ก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว บางคนก็เรียนต่อนอกอะ” ทัตซึยะว่า
TTT ____ TTT <<< หน้าผมในตอนนี้
“กูควรทำไงดีวะ” ผมยังคงขอความคิดเห็น ซึ่งหวังว่าคงจะไม่ใช่ตบบ่าแบบเมื่อกี้อีกนะ
“มึงก็เล่าให้ยูโตะฟังตรงๆ ให้มันปฏิเสธแล้วมึงก็ไปบอกเจ้มึง” ผมว่ามันไม่ต่างจากตบบ่าเมื่อกี้สักนิด เผลอๆเลวร้ายกว่า....
“มึงก็รู้ว่ามันไม่ได้จบแค่นั้น” ผมโอดควรญ หลังจากที่ทุกคนกลายเป็นเหยื่อให้เจ้ควงหมดแล้ว ก็เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนผมว่ายามาดะ จิฮิโระเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมากถึงมากที่สุด .. แน่นอนว่าและถ้าผมพูดแบบนั้นไปล่ะก็นะ
ไม่ตายก็คงพิการ หรือไม่ก็นอนโรงพยาบาลไปหลายวัน
ถ้าถามว่าน่ากลัวขนาดไหน...ก็เคยมีคนนิยามเอาไว้ว่า
ยามาดะ จิฮิโระ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถฆ่าควาย ด้วยมือเปล่าได้น่ะ = =
โว้ยยย !! แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย !!!!
.
.
.
[TBC]
Talk : ร้านกิวด้ง = ร้านที่ขายพวกข้าวหน้าเนื้อเป็นเมนูหลักน่ะค่ะ อย่างบ้านเราก็จะมีพวก สุคิยะ โยชิโนยะ ประมาณนี้น่ะค่ะ ..
ส่วนเรื่องกล้อง .. เราเคยเห็นยูโตะบ่นใน JUMPaper ว่า คนไม่ค่อยรู้เรื่องกัน .. ซึ่งก็จริงนะถ้าคนไม่เล่นกล้องก็จะงงๆกับสิ่งที่ยูโตะเล่าให้ฟังมาก .. เราก็มีกล้องฟิล์มอยู่ตัวหนึ่งนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้แล้วล่ะ (หลังจากที่รู้จักกล้องcompact , กล้องมือถือ แล้วก็ DSLR) แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากล้องฟิล์มอุปกรณ์หรือภาพต่างๆที่ได้มันมีความคลาสสิกมากๆเลยล่ะค่ะ ว่าแล้วก็อยากไปหยิบมาถ่ายอีกจัง – v –
เจอกันในตอนหน้านะคะ
ปล. 2-3 ตอนนี้ดูเอื่อยๆหน่อยนะคะ แต่คิดว่าตอนหน้านี่แหละค่ะที่จะเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องแล้ว
ความคิดเห็น