คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รอยยิ้ม?
บทนำ
“พี่ว่า... เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมดีกว่านะซองยอล” ทันทีที่ผมรับโทรศัพท์ประโยคแรกที่ปลายสายพูดก็ทำให้ผมชะงัก ...กลับไปเป็นเหมือนเดิม
“.....” ผมเลือกที่จะเงียบแล้วรอฟังสิ่งที่ปลายสายจะพูดต่อ ถึงแม้ว่าในหัวใจของผมตอนนี้มันกำลังเจ็บก็ตาม
“พี่ยอมรับว่าพี่คุยกับเค้า และ... ถ่านไฟเก่ามันกำลังจะติด พี่พยายามที่จะดับมันแล้วแต่...” แต่พี่ก็ทำไม่ได้สินะ ผมได้แต่ต่อประโยคเงียบๆในใจ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เวลานี้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์เท่านั้น... อ่า... ดาวไปไหนหมดแล้วนะ
“พี่ลองมาคิดๆดู เราสองคนมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยเวลาทะเลาะกันมันเหนื่อยนะ” ปลายสายพูดพร้อมกันถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมคิดว่ามาตลอดว่าเวลาเราสองคนทะเลาะกันมันทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น แต่ผมเพิ่งได้รู้ว่าผมคิดผิด คิดไปเองคนเดียวอีกแล้วสินะ
“และ... ความรู้สึกของพี่ที่เสียไปมันก็เอากลับคืนมาไม่ได้ พี่รู้ว่าเราก็เสียความรู้สึกแต่เราแค่ไม่พูด” พี่จะมารู้ใจผมได้ยังไงผมได้แต่ตะโกนในใจเท่านั้น เพราะตอนนี้ลำคอของผมแห้งผาก น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เริ่มคลอที่ขอบตา
“พี่ว่าเราสองคนควรจะ...” ปลายสายเงียบไปเหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่างอยู่ เสียงสูดลมหายใจนั้นยืนยันสิ่งที่ผมคิดได้เป็นอย่างดี เค้าคงจะกำลังกลั้นน้ำตา เหมือนกับที่ผมกำลังทำ
“กลับไปเป็นเหมือนเดิม...เหมือนที่เราเคยเป็น” ผม... ไม่ไหวแล้ว น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เสียงสะอื้นที่ดังลอดออกมาจากมือที่กำลังใช้ปิดปากตัวเองอยู่ ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมร้องไห้เพราะคนคนนี้อีกแล้วผมปล่อยมือที่ปิดปากตัวเองออก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อบังคับให้เสียงตัวเองปกติมากที่สุด
“แค่พูดออกมาว่าเราเลิกกันเถอะ...” ทำไมเสียงผมถึงสั่นได้ขนาดนั้นนะ ...อ่อนแอ
“อีซองยอล...” เสียงของปลายสายก็สั่นไม่ต่างกัน ทั้งที่ยังรักแท้ๆ ทำไม...
“ผมเคยบอกแล้วนี่ ว่าถ้าพี่ต้องการจะไปผมจะไม่รั้ง เพราะฉะนั้นแค่พูดมันออกมา... ได้โปรด” น้ำตาของผมไหลออกมาอีกครั้ง ไหลลงมาอย่างเงียบ ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นใดๆ มีเพียงหัวใจที่เต้นช้าลงจนเหมือนจะหยุดเต้นในไม่ช้า เจ็บไปหมดเลยแฮะ
“ขอโทษนะซองยอล... พี่ขอโทษ” เสียงที่ดังลอดผ่านโทรศัพท์มาทำให้ผมหมดแรง ผมค่อยทรุดลงกับพื้นช้าๆ จะทิ้งกันไปแล้วแท้ๆ ทั้งที่ผิดสัญญาไปแล้วแท้ๆ...
“เราเลิกกันเถอะ” ทั้งที่เป็นคนขอร้องให้อีกฝ่ายพูดแท้ๆ... แต่ทำไมน้ำตามันกลับไหลลงมามากกว่าเดิม
“อืม ยังไงก็โชคดีนะครับ ขอบคุณ แล้วก็ขอโทษสำหรับสิ่งที่ผ่านมาทุกอย่าง” ผมพูดพร้อมกับจุดยิ้มบางๆบนใบหน้า ใช่ผมกำลังยิ้ม... ยิ้มให้กับความเสียใจครั้งนี้ยังไงล่ะ
“ขอบคุณนะ แล้วก็ขอโทษจริงๆ ขอโทษที่รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ไม่ได้ ขอโทษ...” เสียงปลายสายในตอนท้ายแผ่วลงไปจนแทบไม่ได้ยิน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็แค่นี้นะครับ รักกันนานๆล่ะ” ผมยิ้มใส่โทรศัพท์อีกครั้งก่อนจะกดตัดสายไป น้ำตาที่เหมือนจะหยุดไหลไปแล้ว กลับไหลลงมาเหมือนเขื่อนแตก เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หายไปหมด ผมเสียเค้าไปแล้วจริงๆ ผมเสียเค้าไปแล้ว มีเพียงความคิดนี้ที่วนเวียนในหัวพร้อมกันคำถามมากมายที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยน้ำตา ตอนนี้อีซองยอลไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบๆอยู่ที่ระเบียงห้องพักของตัวเอง กายบางสั่นสะท้านเพราะลมที่พัดผ่านอย่างแผ่วเบา แต่ก็ไม่ได้ทำให้น้ำตาของร่างบางหายไปแต่อย่างใด ความทรงคำมากมายผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ราวกับจะตอกย้ำตัวเขาเองว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีก
ผ่านไปหลายชั่วโมง ร่างบางหยุดร้องไห้ไปพักใหญ่แล้ว แต่เขาก็ยังเลือกที่จะนั่งอยู่ข้างนอก เพราะมีคำถามมากมายตีกันในหัวเต็มไปหมด สายลมเย็นๆทำให้เค้าสงบลงบ้าง แต่ก็ช่วยได้แค่นิดเดียวเท่านั้น
ผมเหลือบมองนาฬิกาบนสมาร์ทโฟนของตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เวลาแบบนี้ผมควรจะหลับสนิทอยู่บนเตียงแล้วสิผมควรจะเข้าไปนอนได้แล้วสินะ ผมค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น แล้วเลื่อนกระจกเปิดก่อนจะตรงไปยังห้องนอน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคืนนี้ผมจะข่มตาลงได้ตอนไหนก็ตาม
ติ๊ด!ติ๊ด!ติ๊ด!ติ๊ด!ติ๊ด!ติ๊ด!
ร่างบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงเอื้อมมือไปปิดนาฬิกาปลุกที่อยู่บนหัวเตียงตามความเคยชิน ก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์ที่อยู่โต๊ะตรงหัวเตียงขึ้นมาเพื่อเปิดดูไลน์ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกแล้ว... คำว่าอรุณสวัสดิ์พร้อมกันถ้อยคำหวานๆพวกนั้น เขาไม่จำเป็นต้องส่งมันไปให้ ‘ใครคนนั้น’อีกแล้ว นั้นคือเรื่องที่เขาต้องยอมรับ และทำตัวให้ชินให้เร็วที่สุด ร่างบางยันตัวขึ้นนั่งก่อนจะลุกขึ้นไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
“ย๊าส์!!! อีซองยอล!” ร่างบางเจ้าของชื่อค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงเรียกที่ดังขึ้นเหนือหัวและแรงตบเบาๆที่เกิดขึ้นบริเวณไหล่เมื่อครู่ เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงค่อยๆเลื้อยไปนอนฟุบกับโต๊ะเรียนตามเดิม
“อ... อ... อีซองยอล ไม่สบายเหรอ? เป็นอะไรหรือเปล่า? เมื่อเช้ากินยาแล้วลืมกลืนใช่ไหมฮะ?”นัมอูฮยอนเขย่าแขนร่างบางที่ฟุบอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะพยายามเอามือไปอังหน้าผากเพื่อนสนิทตัวเองที่ปกติจะต้องโวยวายเสียงดังจนอีกสามห้องถัดไปได้ยินถ้าเค้าแกล้งเล่นแบบนี้ แล้วก็ไล่ตีเค้าแบบที่เด็กประถมทำเวลาต้องการจะแค้น แต่วันนี้ทำไมถึงได้แค่มองหน้าเขาแล้วฟุบลงไปเหมือนเดิมล่ะ?เว!เว!เว! คนหล่อไม่เข้าใจครับ!
“หรือว่าทะเลาะกับพี่แปะตาตี่มาอีกแล้วใช่หรือเปล่า?เฮ้ย! ไม่เป็นอะไรนะเว้ย! เดี๋ยวตาแปะ..”
“เลิกแล้ว...” เสียงที่หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้าแผ่วเบาแต่นัมอูฮยอนกลับได้ยินมันชัดเจน ...ว่าไงนะเลิกแล้ว งั้นเหรอ?
“อะไรนะซองยอล?”
“ก็บอกว่าเลิกกันแล้วไง~ แต่ก็ดีนะมึงจะได้ไม่ต้องมาหนักใจแทนกูเวลาทะเลาะกับพี่เขาไง อีกอย่างนะ แบบนี้มันก็ดีแล้วล่ะ อยู่ไกลกันขนาดนี้ ให้เค้ามีคนใหม่ที่ดูแลเค้าได้ดีกว่า” ซองยอลเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะก่อนจะกอดคออูฮยอนเอาไว้แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เสียงกลับไม่มั่นคงเหมือนเคย
“มึง... ไหวนะ?”
“อีซองยอลซะอย่าง ยังไงก็ไหวหน่า~” เสียงหวานเอ่ยก่อนจะยักคิ้วหลิ่วตาให้คนที่มองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว เพื่อให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นไรจริงๆ
“คิดว่ากูจะเชื่อ?เออ! จะพยายามเชื่อมึงก็แล้วกัน มึงยังมีกูนะ”
“ครับที่รัก~ กูรู้แล้วครับ~”ซองยอลขยี้หัวอูฮยอนอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนจะหัวเราะเบาๆเพื่อคลายความกังวลใจของอีกฝ่ายที่ถูกส่งออกมาผ่านแววตา
“อะแฮ่ม! จะทำอะไรก็เกรงใจลูกตาเพื่อนหน่อยนะครับพวกมึงสองคนน่ะ”
“เกรงใจทำไมวะ คนรักกันทำแบบนี้มันก็ปกติไม่ใช่หรือยังไง”อูฮยอนพูดก่อนจะล็อคคอซองยอลแล้วเอาแก้มแนบแก้มอีกคน ทำเอาพ่อหมีสิม่วงที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆซองยอลถึงกับต้องเบ้ปากแล้วยื่นมือไปผลักหัวบีไลน์ด้วยความหมั่นไส้
“ได้กันเมื่อไหร่อย่าลืมมาบอกกูนะ”โฮย่า
“ทำไมพวกกูได้กันแล้วต้องบอกมึงไม่ทราบครับ”อูฮยอน
“ก็เห็นว่ารักกันนักนี่!”โฮย่า
“ย๊าส์~ อีโฮวอนน้อยใจเราสองคนล่ะครับที่รัก”ซองยอล
“อ่า.. โฮวอนอา~ ไว้เราสองคนจะได้กันตอนไหนจะเรียกนายแล้วกันนะ”เมื่ออูฮยอนพูดจบบีไลน์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นห้อง ส่วนพ่อหมีก็ตะโกนด่าอีกสองคนอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง อย่างน้อยมันก็ทำให้อีซองยอลลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นไปชั่วขณะ แล้วถูกเติมเต็มด้วยรอยยิ้มแทน
ความคิดเห็น