คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1 [First Impression]
ผมได้มาเรียนต่อและอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่พฤษภาคมหลังโกลเดนวีคปีที่แล้ว นับรวมเวลาดูแล้วอีกไม่นานก็จะครบหนึ่งปี ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนเลยสักคนเดียว ไม่สิ มีอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นแต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายถึงกับเรียกว่าเพื่อนได้อย่างสนิทปากนัก หมอนั่นเป็นที่นิยม มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก เข้ากันได้กับทุกคน เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับผมที่เป็นคนเก็บตัว ขี้อาย ไม่ชอบเข้าสังคม
แม้แต่คนที่พักอาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ หรือคุณนายเจ้าของหอ ผมก็แค่ไปทักทายตามมารยาทนิดหน่อยเท่านั้น แค่จะเรียกว่าคนรู้จักยังไม่ได้เลย ชื่อแซ่ผมก็ลืมไปหมดแล้ว อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ผมก็จำไว้เพื่อใช้พิมพ์หน้าปกรายงานหรือทำงานส่งเท่านั้น เพราะผมเป็นคนที่มีการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี การประพฤติดีจึงไม่เคยถูกอาจารย์เรียกไปพบหรือคุยด้วยเลย ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น...แม้แต่อาจารย์ก็ยังแทบไม่ได้คุย
เป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ติดลบโดยสมบูรณ์
งานเลี้ยงรุ่นเอย งานนัดบอดเอย ปาร์ตี้เอย มีเพียงแค่คนที่นึกได้ว่ายังไม่ได้ชวนผมเข้ามาชวนตามมารยาทเท่านั้น ถึงผมจะไปก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่ดี เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับคนอย่างผมมาก ๆ กลับบ้านมานั่งเล่นคอมหรือดูทีวียังจะดีกว่าอีก ไม่ใช่ว่าไม่เคยไป เพราะเคยไปมาแล้วและรู้สึกไม่ต่างอะไรจากธาตุอากาศ จึงปฏิเสธคำชวนเรื่องพรรค์นั้นอยู่เรื่อยมา
ผมปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ จึงใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวราวกับสร้างกำแพงขวางกั้นผู้คนไว้ ทั้งที่จริงแล้วผมไม่ได้สร้างอะไรไว้แต่คนอื่นไม่ยอมเข้าหาผมต่างหาก ผมพร้อมจะทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ ทุกเมื่อแต่ไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาทำความรู้จักกับผมเลยสักคนเดียว
ผมคงจะเป็นคนไม่น่าคบจริง ๆ นั่นแหละ
ถามว่าเวลาผมมีปัญหาหรือเกิดเหงาขึ้นมาจะทำยังไง ก็เดินตะลอนๆล่องลอยไปทั่วเมือง เล่นกับแมวข้างหอบ้าง โทรคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คซึ่งผมใช้ติดต่อกับเพื่อนที่เกาหลี และไล่ดูอัพเดตของคนที่รู้จักผ่าน ๆ ทางโลกไซเบอร์แก้เซ็งเท่านั้น ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากัน
จากที่เล่ามา ผมกล้าพูดได้เลยว่าสมาชิกในครอบครัวของผมมีเยอะกว่าคนรู้จักที่นี่เสียอีก
แม่ผมมักจะบ่นเรื่องเพื่อนอยู่บ่อยๆ ดังนั้นผมจึงได้มาที่นี่.... ศาลเจ้าประจำเมือง
มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่กันไปมา คาดว่าน่าจะมาด้วยธุระเดียวกันแต่คนละเรื่อง ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเริ่มต้นใหม่ พวกเด็ก ๆ วัยรุ่นก็เปิดเทอม กลับไปเจอเพื่อน ๆ ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มต้นทำงาน คงจะมาขอพรกันให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยดี
อีกไม่กี่วันผมก็จะเป็นนักศึกษาปีสองแล้วแต่ยังหาเพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันไม่ได้สักคน เพื่อนเพียงคนเดียวของผมก็ดันเรียนคนละคลาสเลยไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ว่างเมื่อไรหมอนั่นก็จะแวะมาหาผมเสมอ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาคลุกคลีกับผมเลยด้วยซ้ำ มันน่าสงสัยจนผมรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไว้วางใจ
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ใครไม่รู้ได้กล่าวไว้ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นวลีที่สามารถใช้ได้กับทุก ๆ เรื่อง
ผมคิดว่าผมจะลองขอพรกับเทพเจ้าที่ศาลเจ้านี้ดู คงจะดีไม่น้อยถ้าหากมีใครเป็นตัวเป็นตนมาคอยอยู่เคียงข้างผมไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข จะว่าไปแล้ว อีกไม่กี่ปีผมก็จะกลายเป็นจอมเวทย์แล้วสิ ผมไม่อยากจะเป็นเหมือนพวกโอตาคุหรือพวกปัญหาสังคมของที่นี่หรอกนะ แต่อย่างน้อยเจ้าพวกนั้นก็ยังมีเพื่อน ๆ โอตาคุด้วยกัน....
การเงินไม่ขาดตกบกพร่อง รูปร่างหน้าตาไม่ย่ำแย่ การเรียนดี การประพฤติดี ไม่มีปัญหายกเว้นก็แต่เรื่องเดียวนี่แหละ
ดีล่ะ ลองขอเรื่องความรักดูดีกว่า ถ้าเกิดเรามีแฟน เราก็จะได้รู้จักกับเพื่อนของแฟนและเพื่อนฝูงอีกมากมาย—เริ่มต้นจากการเปิดใจให้คนรัก จากนั้นมิตรสหายก็จะตามมา... โอเค เอางั้นละกันนะ
เอ... ตามธรรมเนียมแล้ว ต้องสั่นกระดิงกี่ครั้ง ปรบมือกี่ครั้งนะ สามเหรอ สามใช่ไหม เกิดมาเป็นคนไม่มีศาสนานี่มันลำบากจริง ๆ ธรรมเนียมอะไรกับเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องเล้ย งั้นก็สามไปนั่นแหละ ไม่มีใครสนใจผมหรอก
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง...
แปะ แปะ แปะ...
ขอให้ข้าพเจ้าสมหวังในเรื่องความรักด้วยเถิด...
อธิษฐานเป็นภาษาเกาหลีไปเทพเจ้าญี่ปุ่นจะเข้าใจไหมล่ะเนี่ย ทำไงได้ คนมันไม่ค่อยได้พูดเลยพูดไม่เป็นนี่หว่า แต่อ่านออกเขียนได้ฟังรู้เรื่องนะ ไม่งั้นก็ไม่ได้มาเรียนแบบนี้หรอก
“นี่ คุณน่ะ”
ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากค้อมศีรษะลงไหว้ ก็มีเสียงเรียกทักดังมาจากข้างๆพอดี
นี่มันหรือว่า...
“คะ-ครับ?”
ผมแหงนหน้าขึ้นมองอย่างพิจารณา ผิดคาด คนที่อยู่ตรงหน้าที่ผมคิดไว้ว่าจะเป็นผู้หญิงตรงตามสเป็กผมทุกอย่างนั้น ปรากฏเป็นผู้ชายร่างสูงสมส่วน ผิวสีแทน ใบหน้าคมเข้ม ไม่มีเค้าของคนญี่ปุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว เขากำลังยิ้มให้กับผมอย่างเป็นมิตร
เอ่อ หวังว่านี่จะไม่ใช่... ไม่เอานะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนะ ทำไมเทพเจ้าทำกับผมแบบนี้ล่ะ
ไม่หรอก คง...อาจจะเป็นเพื่อนของแฟนในอนาคตก็ได้ ทำความรู้จักเอาไว้หน่อยก็ไม่เสียหายล่ะมั้ง
“คุณสั่นกระดิ่งกับปรบมือเกินแน่ะ เพิ่งเคยมาไหว้เทพเจ้าที่นี่รึเปล่าครับ”
เขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยเสียงทุ้มนุ่มและสุภาพมาก ๆ อันที่จริงน่าจะทักว่าผมไม่ใช่คนญี่ปุ่นไปแล้ว แต่คงเป็นมารยาทที่ไม่ควรทักเรื่องเชื้อชาติเลยพูดมาแค่นั้น
“อะ..เอ้อ ครับ...”
ผมตอบกลับสั้น ๆ เสียงเบาทั้งที่ฟังออกทั้งประโยค แต่เพราะกลัวว่าจะพูดผิดหรือเผลอพูดไม่ดีไป ผมเลยไม่กล้าตอบอะไรไปมากกว่านั้น
“คนที่นี่เขาสั่นกระดิ่งแค่สองครั้ง ปรบมือแค่สองครั้งแล้วก็ไหว้ก็พอแล้ว แบบนี้ครับ”
ชายหนุ่มทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง เขาสั่นกระดิ่ง ปรบมือแล้วก็ไหว้อย่างสบายๆ ไม่มีเกร็งมือแข็งแบบผม รอยยิ้มก็สดใสเหมือนไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ
“คุณขอเรื่องอะไรไปบ้างครับ” ไหว้เสร็จ เขาหันมาถามผม
“อ่า...เอ่อ...”
“คงไม่ค่อยอยากจะพูดกับคนแปลกหน้าอย่างผมใช่ไหมล่ะครับ ฮะฮะ ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ”
อยากคุยใจจะขาดเลยเถอะ แต่นอกจากสอบสัมภาษณ์แล้วตูพูดไม่เป็นว้อย
ทำไมหมอนี่ถึงได้ดูสดใสขนาดนี้กันนะ ในเมื่อไม่มีเรื่องเดือดร้อนแล้วจะเข้ามาศาลเจ้าทำแป๊ะซะอะไรกัน จะว่าเข้ามาบริจาคทำบุญเฉย ๆ ก็คงไม่... หน้าตาอย่างนี้ท่าจะคาสโนว่าใช่เล่น บางทีอาจจะมาจีบมิโกะที่นี่ก็ได้ ใครจะไปรู้
“แล้ว...คุณ..ขอ?”
“อันที่จริงแล้ว...ผมขอให้พรของทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นโมฆะน่ะครับ”
“โคตรเลว!”
“ในที่สุดก็พูดคำอื่นนอกจากเอ่อกับอ่าออกมาแล้วนะครับ”
จะว่าไปแล้วผมเองก็เพิ่งนึกได้
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ได้คุยกับคนแปลกหน้านอกจากคำว่า “ขอโทษ” กับ “ขอบคุณ”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ได้คุยกับคนแปลกหน้าคนอื่นนอกจากคนที่เผลอเดินชนโดยไม่เจตนา พนักงานร้านสะดวกซื้อแล้วก็ตอนขอทาง ถึงแม้จะเป็นคำหยาบคายที่เผลอโพล่งอุทานออกมาเป็นรีแอกชั่นก็ตาม
โดนคนแปลกหน้าด่าให้แล้วยังยืนยิ้มได้แบบนี้ ถ้าไม่ใช่พ่อพระก็คงจะเป็นพวกมาโซคิสม์
“ไม่หรอก... คุณก็รู้ว่าถ้าบอกมันจะไม่เป็นจริงใช่ไหมครับ” เขาพูดต่อ “ถ้าผมบอกคุณไปแล้วว่าขอให้ทุกคนไม่สมหวัง พรของผมก็จะไม่สมหวังยังไงล่ะครับ”
“อะไรกันล่ะนั่น...”
“ถ้าเกิดเราบอกสิ่งที่ตนปรารถนาให้คนอื่นได้รู้ มันก็จะไม่เกิดแรงจูงใจที่อยากจะทำให้มันประสบผลสำเร็จ เพราะฉะนั้นเลยมีความเชื่อว่าถ้าเราบอกสิ่งที่เราขอให้คนอื่นรู้ก็จะไม่สมหวังเลยต้องปิดเป็นความลับไงล่ะ ถ้าอยากเป็นหมอก็อย่าประกาศว่าอยากเป็นหมอให้คนอื่นได้รับรู้แบบในโฆษณาทีวีนะครับ”
พูดอะไรของมันฟะ งงเฟ้ย แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย
“...หมายความว่าไง?”
“สรุปก็คือ ถ้าความเชื่อนั้นไม่ผิด การที่ผมบอกคุณว่าผมขอให้ไม่สมหวังนั่นจะทำให้คุณสมหวังยังไงล่ะครับ”
แปลกคนจริงๆ หมอนี่...จะเรียกว่าเป็นคนดีหรือคนเลวดีล่ะเนี่ย ขอให้ทุกคนไม่สมหวังแต่มาบอกกับผมเพื่อให้พรที่ขอไม่สมหวังเนี่ยนะ แล้วก็พูดซ้ำไปซ้ำมาให้คนฟังกลายเป็นคนโง่ไปเลยเงี้ย หมอนี่ท่าจะดูอินเซปชั่นมากเกินไป
ผมยืนนิ่งเหมือนคนโง่ไปชั่วขณะ ชายคนเดิมยิ้มขำนิดหน่อยเป็นการเว้นจังหวะแล้วก็พูดต่อ
“ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามผมได้เลยนะครับ ผมมาที่นี่บ่อย ถึงจะไม่ใช่คนท้องถิ่นแถวนี้ก็เถอะ”
“หือ? นายมาจากที่ไหนงั้นเหรอ”
“ผมมาจากเกาหลีน่ะครับ ผมมาเรียนที่นี่”
“จริงดิ!”
ผมร้องออกมาเป็นภาษาเกาหลีด้วยความดีใจจนลืมตัว ชายคนนี้ดูตกใจไปเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือเข้ามาจับมือผมเขย่าพร้อมกับยิ้มกว้าง
“คุณเองก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกันเหรอ? ดีใจจังเลย!”
“คะ-ครับ ผมก็มาเรียนต่อที่นี่เหมือนกัน”
บอกตามตรง ตั้งแต่อยู่ที่ญี่ปุ่นมาผมเพิ่งจะโดนจับมือนี่แหละ เป็นครั้งแรกในแผ่นดินนี้เลยนะจะบอก ไม่ได้จับนานๆแล้วพอมาจับอีกทีเกร็งไปหมดเลยแฮะ เราต้องทำอะไรตอบเขารึเปล่านี่?
แต่ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ปล่อยมือผมแล้วเกาแก้มแก้เขิน ส่วนผมได้แต่ยืนติดสตันทำตัวไม่ถูกต่อไป
“อ๊ะ ขอโทษทีครับ ผมดีใจน่ะ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเกาหลีเท่าไร พอได้มาเจอคนบ้านเดียวกันอีกคนแล้วมันก็ดีใจจนลืมตัวไปเลยน่ะครับ แหะๆ ได้กลับมาพูดภาษาบ้านเกิดตัวเองแบบนี้ดีจังเลยน้า~”
“อ-โอ้... ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็...”
“เฮ้ กัมจง กลับอ๊ะยา~ง”
ไม่ทันจะได้ตอบกลับไป ก็มีชายกลุ่มหนึ่งโบกมือตะโกนแทรกขึ้นมา ซึ่งคงจะเป็นเหล่าสหายของชายคนนี้ เพราะเขาหันไปขานรับและโบกมือกลับไป
มีเพื่อนมาตามด้วยแหละ... ดีจังเลยน้อ...
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้างั้น...ไว้เจอกันนะครับ”
ชายหนุ่มออกตัววิ่งโดยไม่ลืมที่จะหันหลังกลับมาโบกมือลาผมจนลับสายตาไปกับเพื่อน ๆ ผมก็ได้แต่ยืนโบกมือไปมาจนเขาหายลับสายตาไปเช่นกัน
ไว้เจอกันนะ งั้นเรอะ?
คิดว่าโลกนี้มันแคบมากเลยรึไงกันหมอนี่ จะโลกสวยไปไหน คนเราที่บังเอิญได้มาคุยกันอย่างนี้น่ะแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว จะไปหวังอะไรกันเล่า
ว่าแต่ว่า...ลืมถามชื่อเสียงเรียงนามเจ้าเด็กนั่นไปเลยแฮะ เพื่อนเรียกว่าอะไรนะ กัมจงเหรอ? นายดำเนี่ยนะ?
แต่ช่างมันเถอะ รู้ไปก็เท่านั้น เราคงได้คุยกันแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นแหละ
โอ๊ะ ได้เซียมซีมหาโชคล่ะ
ทำไมพอก๊อปจากเวิร์ดมาลงนี่แล้วต้องมาจัดย่อหน้าใหม่หมดเลยวะ แย่จริงๆ
ขี้เกียจแปะธีมตกแต่งจัง แต่แบบนี้ก็สบายตาดีเหมือนกันแฮะ
ความคิดเห็น