ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    EXO, KaiHo [Soleil Bouquet]

    ลำดับตอนที่ #2 : 1 [First Impression]

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 57






    ผมได้มาเรียนต่อและอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่พฤษภาคมหลังโกลเดนวีคปีที่แล้ว นับรวมเวลาดูแล้วอีกไม่นานก็จะครบหนึ่งปี ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อนเลยสักคนเดียว ไม่สิ มีอยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นแต่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายถึงกับเรียกว่าเพื่อนได้อย่างสนิทปากนัก หมอนั่นเป็นที่นิยม มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก เข้ากันได้กับทุกคน เรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับผมที่เป็นคนเก็บตัว ขี้อาย ไม่ชอบเข้าสังคม

                แม้แต่คนที่พักอาศัยอยู่ห้องข้าง ๆ หรือคุณนายเจ้าของหอ ผมก็แค่ไปทักทายตามมารยาทนิดหน่อยเท่านั้น แค่จะเรียกว่าคนรู้จักยังไม่ได้เลย ชื่อแซ่ผมก็ลืมไปหมดแล้ว อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ผมก็จำไว้เพื่อใช้พิมพ์หน้าปกรายงานหรือทำงานส่งเท่านั้น เพราะผมเป็นคนที่มีการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี การประพฤติดีจึงไม่เคยถูกอาจารย์เรียกไปพบหรือคุยด้วยเลย ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้น...แม้แต่อาจารย์ก็ยังแทบไม่ได้คุย

     

    เป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ติดลบโดยสมบูรณ์

    งานเลี้ยงรุ่นเอย งานนัดบอดเอย ปาร์ตี้เอย มีเพียงแค่คนที่นึกได้ว่ายังไม่ได้ชวนผมเข้ามาชวนตามมารยาทเท่านั้น ถึงผมจะไปก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่ดี เป็นอะไรที่น่าเบื่อสำหรับคนอย่างผมมาก ๆ กลับบ้านมานั่งเล่นคอมหรือดูทีวียังจะดีกว่าอีก ไม่ใช่ว่าไม่เคยไป เพราะเคยไปมาแล้วและรู้สึกไม่ต่างอะไรจากธาตุอากาศ จึงปฏิเสธคำชวนเรื่องพรรค์นั้นอยู่เรื่อยมา
     

    ผมปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ จึงใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวราวกับสร้างกำแพงขวางกั้นผู้คนไว้ ทั้งที่จริงแล้วผมไม่ได้สร้างอะไรไว้แต่คนอื่นไม่ยอมเข้าหาผมต่างหาก ผมพร้อมจะทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ ทุกเมื่อแต่ไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาทำความรู้จักกับผมเลยสักคนเดียว
     

    ผมคงจะเป็นคนไม่น่าคบจริง ๆ นั่นแหละ
     

    ถามว่าเวลาผมมีปัญหาหรือเกิดเหงาขึ้นมาจะทำยังไง ก็เดินตะลอนๆล่องลอยไปทั่วเมือง เล่นกับแมวข้างหอบ้าง โทรคุยกับครอบครัว หรือไม่ก็เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คซึ่งผมใช้ติดต่อกับเพื่อนที่เกาหลี และไล่ดูอัพเดตของคนที่รู้จักผ่าน ๆ ทางโลกไซเบอร์แก้เซ็งเท่านั้น ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากัน

              จากที่เล่ามา ผมกล้าพูดได้เลยว่าสมาชิกในครอบครัวของผมมีเยอะกว่าคนรู้จักที่นี่เสียอีก
     

              แม่ผมมักจะบ่นเรื่องเพื่อนอยู่บ่อยๆ ดังนั้นผมจึงได้มาที่นี่.... ศาลเจ้าประจำเมือง
     

          มีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่กันไปมา คาดว่าน่าจะมาด้วยธุระเดียวกันแต่คนละเรื่อง ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเริ่มต้นใหม่ พวกเด็ก ๆ วัยรุ่นก็เปิดเทอม กลับไปเจอเพื่อน ๆ ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มต้นทำงาน คงจะมาขอพรกันให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วยดี

               อีกไม่กี่วันผมก็จะเป็นนักศึกษาปีสองแล้วแต่ยังหาเพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันไม่ได้สักคน เพื่อนเพียงคนเดียวของผมก็ดันเรียนคนละคลาสเลยไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ว่างเมื่อไรหมอนั่นก็จะแวะมาหาผมเสมอ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาคลุกคลีกับผมเลยด้วยซ้ำ มันน่าสงสัยจนผมรู้สึกไม่ค่อยอยากจะไว้วางใจ

               ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ใครไม่รู้ได้กล่าวไว้ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นวลีที่สามารถใช้ได้กับทุก ๆ เรื่อง

    ผมคิดว่าผมจะลองขอพรกับเทพเจ้าที่ศาลเจ้านี้ดู คงจะดีไม่น้อยถ้าหากมีใครเป็นตัวเป็นตนมาคอยอยู่เคียงข้างผมไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข จะว่าไปแล้ว อีกไม่กี่ปีผมก็จะกลายเป็นจอมเวทย์แล้วสิ ผมไม่อยากจะเป็นเหมือนพวกโอตาคุหรือพวกปัญหาสังคมของที่นี่หรอกนะ แต่อย่างน้อยเจ้าพวกนั้นก็ยังมีเพื่อน ๆ โอตาคุด้วยกัน....
     

    การเงินไม่ขาดตกบกพร่อง รูปร่างหน้าตาไม่ย่ำแย่ การเรียนดี การประพฤติดี ไม่มีปัญหายกเว้นก็แต่เรื่องเดียวนี่แหละ
     

    ดีล่ะ ลองขอเรื่องความรักดูดีกว่า ถ้าเกิดเรามีแฟน เราก็จะได้รู้จักกับเพื่อนของแฟนและเพื่อนฝูงอีกมากมาย—เริ่มต้นจากการเปิดใจให้คนรัก จากนั้นมิตรสหายก็จะตามมา... โอเค เอางั้นละกันนะ

    เอ... ตามธรรมเนียมแล้ว ต้องสั่นกระดิงกี่ครั้ง ปรบมือกี่ครั้งนะ สามเหรอ สามใช่ไหม เกิดมาเป็นคนไม่มีศาสนานี่มันลำบากจริง ๆ ธรรมเนียมอะไรกับเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องเล้ย งั้นก็สามไปนั่นแหละ ไม่มีใครสนใจผมหรอก

    กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง...
     

    แปะ แปะ แปะ...
     

    ขอให้ข้าพเจ้าสมหวังในเรื่องความรักด้วยเถิด...

    อธิษฐานเป็นภาษาเกาหลีไปเทพเจ้าญี่ปุ่นจะเข้าใจไหมล่ะเนี่ย ทำไงได้ คนมันไม่ค่อยได้พูดเลยพูดไม่เป็นนี่หว่า แต่อ่านออกเขียนได้ฟังรู้เรื่องนะ ไม่งั้นก็ไม่ได้มาเรียนแบบนี้หรอก
     

    “นี่ คุณน่ะ”
     

    ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากค้อมศีรษะลงไหว้ ก็มีเสียงเรียกทักดังมาจากข้างๆพอดี
     

    นี่มันหรือว่า...
     

    “คะ-ครับ?”
     

    ผมแหงนหน้าขึ้นมองอย่างพิจารณา ผิดคาด คนที่อยู่ตรงหน้าที่ผมคิดไว้ว่าจะเป็นผู้หญิงตรงตามสเป็กผมทุกอย่างนั้น ปรากฏเป็นผู้ชายร่างสูงสมส่วน ผิวสีแทน ใบหน้าคมเข้ม ไม่มีเค้าของคนญี่ปุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว เขากำลังยิ้มให้กับผมอย่างเป็นมิตร

    เอ่อ หวังว่านี่จะไม่ใช่... ไม่เอานะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายนะ ทำไมเทพเจ้าทำกับผมแบบนี้ล่ะ

    ไม่หรอก คง...อาจจะเป็นเพื่อนของแฟนในอนาคตก็ได้ ทำความรู้จักเอาไว้หน่อยก็ไม่เสียหายล่ะมั้ง
     

    “คุณสั่นกระดิ่งกับปรบมือเกินแน่ะ เพิ่งเคยมาไหว้เทพเจ้าที่นี่รึเปล่าครับ”
     

    เขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยเสียงทุ้มนุ่มและสุภาพมาก ๆ อันที่จริงน่าจะทักว่าผมไม่ใช่คนญี่ปุ่นไปแล้ว แต่คงเป็นมารยาทที่ไม่ควรทักเรื่องเชื้อชาติเลยพูดมาแค่นั้น
     

    “อะ..เอ้อ ครับ...”
     

    ผมตอบกลับสั้น ๆ เสียงเบาทั้งที่ฟังออกทั้งประโยค แต่เพราะกลัวว่าจะพูดผิดหรือเผลอพูดไม่ดีไป ผมเลยไม่กล้าตอบอะไรไปมากกว่านั้น
     

    “คนที่นี่เขาสั่นกระดิ่งแค่สองครั้ง ปรบมือแค่สองครั้งแล้วก็ไหว้ก็พอแล้ว แบบนี้ครับ”
     

    ชายหนุ่มทำให้ผมดูเป็นตัวอย่าง เขาสั่นกระดิ่ง ปรบมือแล้วก็ไหว้อย่างสบายๆ ไม่มีเกร็งมือแข็งแบบผม รอยยิ้มก็สดใสเหมือนไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนใจ
     

              “คุณขอเรื่องอะไรไปบ้างครับ” ไหว้เสร็จ เขาหันมาถามผม

              “อ่า...เอ่อ...”
     

              “คงไม่ค่อยอยากจะพูดกับคนแปลกหน้าอย่างผมใช่ไหมล่ะครับ ฮะฮะ ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ”
     

               อยากคุยใจจะขาดเลยเถอะ แต่นอกจากสอบสัมภาษณ์แล้วตูพูดไม่เป็นว้อย

               ทำไมหมอนี่ถึงได้ดูสดใสขนาดนี้กันนะ ในเมื่อไม่มีเรื่องเดือดร้อนแล้วจะเข้ามาศาลเจ้าทำแป๊ะซะอะไรกัน จะว่าเข้ามาบริจาคทำบุญเฉย ๆ ก็คงไม่... หน้าตาอย่างนี้ท่าจะคาสโนว่าใช่เล่น บางทีอาจจะมาจีบมิโกะที่นี่ก็ได้ ใครจะไปรู้
     

               “แล้ว...คุณ..ขอ?”

               “อันที่จริงแล้ว...ผมขอให้พรของทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นโมฆะน่ะครับ”
     

               “โคตรเลว!
     

               “ในที่สุดก็พูดคำอื่นนอกจากเอ่อกับอ่าออกมาแล้วนะครับ”
     

    จะว่าไปแล้วผมเองก็เพิ่งนึกได้
     

    เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ได้คุยกับคนแปลกหน้านอกจากคำว่า “ขอโทษ” กับ “ขอบคุณ”
     

    เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ได้คุยกับคนแปลกหน้าคนอื่นนอกจากคนที่เผลอเดินชนโดยไม่เจตนา พนักงานร้านสะดวกซื้อแล้วก็ตอนขอทาง ถึงแม้จะเป็นคำหยาบคายที่เผลอโพล่งอุทานออกมาเป็นรีแอกชั่นก็ตาม
     

    โดนคนแปลกหน้าด่าให้แล้วยังยืนยิ้มได้แบบนี้ ถ้าไม่ใช่พ่อพระก็คงจะเป็นพวกมาโซคิสม์

               “ไม่หรอก... คุณก็รู้ว่าถ้าบอกมันจะไม่เป็นจริงใช่ไหมครับ” เขาพูดต่อ “ถ้าผมบอกคุณไปแล้วว่าขอให้ทุกคนไม่สมหวัง พรของผมก็จะไม่สมหวังยังไงล่ะครับ”

               “อะไรกันล่ะนั่น...”
     

               “ถ้าเกิดเราบอกสิ่งที่ตนปรารถนาให้คนอื่นได้รู้ มันก็จะไม่เกิดแรงจูงใจที่อยากจะทำให้มันประสบผลสำเร็จ เพราะฉะนั้นเลยมีความเชื่อว่าถ้าเราบอกสิ่งที่เราขอให้คนอื่นรู้ก็จะไม่สมหวังเลยต้องปิดเป็นความลับไงล่ะ ถ้าอยากเป็นหมอก็อย่าประกาศว่าอยากเป็นหมอให้คนอื่นได้รับรู้แบบในโฆษณาทีวีนะครับ”
     

          พูดอะไรของมันฟะ งงเฟ้ย แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย

               “...หมายความว่าไง?”
     

           “สรุปก็คือ ถ้าความเชื่อนั้นไม่ผิด การที่ผมบอกคุณว่าผมขอให้ไม่สมหวังนั่นจะทำให้คุณสมหวังยังไงล่ะครับ”
     

                แปลกคนจริงๆ หมอนี่...จะเรียกว่าเป็นคนดีหรือคนเลวดีล่ะเนี่ย ขอให้ทุกคนไม่สมหวังแต่มาบอกกับผมเพื่อให้พรที่ขอไม่สมหวังเนี่ยนะ แล้วก็พูดซ้ำไปซ้ำมาให้คนฟังกลายเป็นคนโง่ไปเลยเงี้ย หมอนี่ท่าจะดูอินเซปชั่นมากเกินไป

               ผมยืนนิ่งเหมือนคนโง่ไปชั่วขณะ ชายคนเดิมยิ้มขำนิดหน่อยเป็นการเว้นจังหวะแล้วก็พูดต่อ

    “ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามผมได้เลยนะครับ ผมมาที่นี่บ่อย ถึงจะไม่ใช่คนท้องถิ่นแถวนี้ก็เถอะ”
     

                “หือ? นายมาจากที่ไหนงั้นเหรอ”
     

                “ผมมาจากเกาหลีน่ะครับ ผมมาเรียนที่นี่”
     

                 “จริงดิ!
     

                 ผมร้องออกมาเป็นภาษาเกาหลีด้วยความดีใจจนลืมตัว ชายคนนี้ดูตกใจไปเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือเข้ามาจับมือผมเขย่าพร้อมกับยิ้มกว้าง
     

                “คุณเองก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกันเหรอ? ดีใจจังเลย!
     

                “คะ-ครับ ผมก็มาเรียนต่อที่นี่เหมือนกัน”
     

                บอกตามตรง ตั้งแต่อยู่ที่ญี่ปุ่นมาผมเพิ่งจะโดนจับมือนี่แหละ เป็นครั้งแรกในแผ่นดินนี้เลยนะจะบอก ไม่ได้จับนานๆแล้วพอมาจับอีกทีเกร็งไปหมดเลยแฮะ เราต้องทำอะไรตอบเขารึเปล่านี่?
     

                แต่ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็ปล่อยมือผมแล้วเกาแก้มแก้เขิน ส่วนผมได้แต่ยืนติดสตันทำตัวไม่ถูกต่อไป
     

                 “อ๊ะ ขอโทษทีครับ ผมดีใจน่ะ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนเกาหลีเท่าไร พอได้มาเจอคนบ้านเดียวกันอีกคนแล้วมันก็ดีใจจนลืมตัวไปเลยน่ะครับ แหะๆ ได้กลับมาพูดภาษาบ้านเกิดตัวเองแบบนี้ดีจังเลยน้า~”
     

                 “อ-โอ้... ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็...”
     

                  “เฮ้ กัมจง กลับอ๊ะยา~ง”
     

                  ไม่ทันจะได้ตอบกลับไป ก็มีชายกลุ่มหนึ่งโบกมือตะโกนแทรกขึ้นมา ซึ่งคงจะเป็นเหล่าสหายของชายคนนี้ เพราะเขาหันไปขานรับและโบกมือกลับไป

                   มีเพื่อนมาตามด้วยแหละ... ดีจังเลยน้อ...
     

                  “ผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้างั้น...ไว้เจอกันนะครับ”
     

                  ชายหนุ่มออกตัววิ่งโดยไม่ลืมที่จะหันหลังกลับมาโบกมือลาผมจนลับสายตาไปกับเพื่อน ๆ ผมก็ได้แต่ยืนโบกมือไปมาจนเขาหายลับสายตาไปเช่นกัน
     

                  ไว้เจอกันนะ งั้นเรอะ?
     

                  คิดว่าโลกนี้มันแคบมากเลยรึไงกันหมอนี่ จะโลกสวยไปไหน คนเราที่บังเอิญได้มาคุยกันอย่างนี้น่ะแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว จะไปหวังอะไรกันเล่า

                   ว่าแต่ว่า...ลืมถามชื่อเสียงเรียงนามเจ้าเด็กนั่นไปเลยแฮะ เพื่อนเรียกว่าอะไรนะ กัมจงเหรอ? นายดำเนี่ยนะ?

                   แต่ช่างมันเถอะ รู้ไปก็เท่านั้น เราคงได้คุยกันแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นแหละ
     

             โอ๊ะ ได้เซียมซีมหาโชคล่ะ









     

    ทำไมพอก๊อปจากเวิร์ดมาลงนี่แล้วต้องมาจัดย่อหน้าใหม่หมดเลยวะ แย่จริงๆ
    ขี้เกียจแปะธีมตกแต่งจัง แต่แบบนี้ก็สบายตาดีเหมือนกันแฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×