ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คืนหนาวดอกรักบาน

    ลำดับตอนที่ #3 : #3

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 54


    ลัดาขับรถกลับไปที่สำนักพิมพ์อีกครั้ง ความจริงแล้วเธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องกลับมาอีกหนหรอก เพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะสี่โมงเย็นใกล้เวลาจะเลิกงานแล้ว แต่เธอเป็นประเภทที่ไม่ชอบปล่อยให้งานพอกหางหมู หรือไฟลนก้นมากกว่า ชอบเคลียร์งานให้เสร็จ ๆ ไป
    บางครั้งยังโดนพี่หนังแซวเลยว่า
    “จะรีบไปตาม-ที่ไหน? เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรทำหรอก”
    คำพูดถ้อยคำออกจะรุนแรง หรือหยาบคายอย่างนี้ เธอไม่สะทกสะท้านหรอก ถ้าเป็นคนอื่นอารมณ์คงฟังคงขุ่น พุ่งโพลง กระโดดต่อยพี่หนังล้มตึงไปแล้ว และอย่าคิดด้วยว่าเธอจะหน้าด้านหรือหนังหนาเกินจะรู้สึกได้ หากแต่เป็นเพราะว่าเธอกับพี่หนังเป็นพี่น้องร่วมสถานบันเดียวกัน คณะเดียวกันมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มักจะมีการเล่นหัว เล่นลิ้น เล่นตากันบ่อย ๆ ระหว่างสองคนนี้
     
    แสงสุดท้ายของตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปทีละน้อย ปล่อยให้แสงจันทร์สลัว ๆ เข้ามาแทนที่บ้าง แต่ก็ดูจะบดบังรัศมีแสงไปโดยสิ้นเชิง เมื่อราตรีมาเยือนท้องฟ้าในกรุงเทพฯ ก็สว่างไสว ไปด้วยแสงสีต่าง ๆ ทำให้บดบังความมืด บดบังแสงนวล ๆ ของดวงจันทร์ ต่างกับท้องฟ้าในชนบทที่แสงจันทร์ยังทำหน้าที่ได้เฉกเช่นเคย....
     
    พอค่ำหน่อย รถราบนท้องถนนในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็เริ่มหนาแน่นขึ้น ขณะบนทางด่วนยังติดยาวเป็นพรืด จนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นทางด่วนแล้วในขณะนี้ และเป็นความเคยชินของคนกรุงเทพฯเสียงแล้ว ที่ได้เห็นสภาพอย่างนี้ทุกวี่ทุกวัน ที่จะต้องนั่งแกร่ว หรือยืนแกว่งห้อยโหนโตงเตงอยู่บนรถประจำทางเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ตัวลัดาเองก็เช่นกันก็ต้องนั่งแกร่วอยู่ในรถเก๋งของตนเป็นชั่วโมง ๆ จนรู้สึกหงุดหงิด ต้องเปิดเพลงฟังให้ผ่อนคลายอารมณ์บ้าง... ไม่งั้นเป็นบ้าตายแหง ๆ
    ………………….
     
    ในขณะเดียวกันชายหนุ่มสองคนกำลังพูดคุย โซ้ยเบียร์กัน....
    “ข้าถามแกจริง ๆ เถอะว่ะ ไปรู้จักยายดาได้ไง” คนถาม ถามพลางกระดกแก้วเบียร์เข้าปาก พร้อมหยิบกับแกล้มตามลงไปในคอ
    “ก็ไม่ได้รู้จักอะไรมากมายหรอก เพียงแต่เคยติดต่อกันก็เท่านั้น” คนตอบ ตอบเสียงเรียบ
    “แล้วเป็นเพื่อนกับยายดาสมัยไหนล่ะ” หนังถามต่อ
    “สมัยนี้ล่ะ”
    “มันยังไงของแกว่ะ ข้างงไปหมดแล้ว ช่วยเล่าให้ละเอียดทีสิ งงว่ะ” คนถามท่าทางจะงงปวดหัวจริง ๆ เพราะเห็นเกาหัวยิก ๆ
    รวินยิ้ม และเล่าเรื่องที่อีกฝ่ายอยากรู้ด้วยเสียงเรียบ....
    ………………….
    “เรื่องของแกมันเน่าจริง ๆ ว่ะ ยังกะนิยายรักสิบสตางค์น่ะ” หนังพูดปนหัวเราะ “มา- ชนแก้วกันหน่อย”
    น้ำสีเหลืองทองถูกรินเข้าปากอย่างง่าย รสชาดมันปาดคอชวนให้ลิ้มลองรสอยู่เสมอ ๆ....
    “แล้วทำไมแกไม่บอกยายดาล่ะว่า แกมากรุงเทพฯ ทำไมจะต้องไปปก ๆ ปิด ๆ อะไรด้วย” หนังยังไม่วายถามต่อ
    “กะจะมาเซอร์ไพร์สหน่อย”
    “อืมก็ดี – จะเซอร์ไพร์สหรือกินแห้วว่ะ”
    “พูดอย่างนี้หมายความว่าไงว่ะ.... เธอมีแฟนแล้วหรือว่ะ”
    “เท่าที่เห็น ๆ ไม่มีหรอก จะไปมีใครกล้าเป็นแฟนยายดา – ตอนสมัยเรียนน่ะ ขณะรุ่นพี่ปี 4 พูดเล่นพูดแซวด้วยนะ ยายดายังด่ากลับมาซะไม่เป็นผู้เป็นคนเลย.... ยังมีอีกนะ เมื่อตอนยายดาอยู่ปี 2 มีหนุ่มวิศวะมาจีบโว้ย!... แต่มันเป็นคนปากปีจอไปหน่อย เลยโดนยายดาต่อยซะปากฉีกปากแหกกลับบ้านแทบไม่ทัน...”
    จบประโยค ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะทำได้ขณะนั้น ท่าทางเธอเท่าที่เขาเห็นกอปรกับถ้อยคำที่ได้อ่านในจดหมายอล้วเธอไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย....
    ‘ยังไงก็เว้นเราไว้สักคนก็แล้วกัน’ เขาบอกกับตัวเองในใจ ก่อนจะคิดต่อว่า
    ‘ถ้าเธอมีแฟนแล้วจริง ๆ ล่ะ จะทำไงดี?’
    ………………….
     
    ภายในห้องนอนนั้น เครื่องปรับอากาศกำลังหน้าที่กระจายความเย็นทั่วห้อง ขณะที่ลัดาเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เมื่อผิวกายมาสัมผัสกับอากาศในห้องที่เย็นฉ่ำก็ชวนให้ขนตั้งชันได้เหมือนกัน
    เธอนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกพลันสายตามองไปเห็นกล่องเพลงบนหัวเตียง กล่องที่มาจากแดนไกล มาจากคนละฟากฟ้า เธอไขลานมัน ก่อนจะอดคิดถึงคนให้ไม่ได้....
    เธอเปิดลิ้นชักหัวเตียงออก หยิบซองจดหมายแอร์เมล์....ซึ่งเคยอ่านมาแล้วหลายรอบขึ้นมาอ่านใหม่อีกหนในวันนี้ เธอยังคงจำได้ดีถึงวันแรกที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้....
    ‘...ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนชาวไทยเช่นกันครับ ผมชอบเมืองไทยม๊าก...มาก....’
    เกริ่นนำมาก็ดูสุภาพเรียบร้อยดีหรอก....
    ‘ยิ่งโดยเฉพาะสาวไทยเค้าว่าสวยมาก’
    ดูเอาเถอะ... ยังไม่ทันไรก็ส่อเค้าว่าเป็นคนเจ้าชู้เสียแล้ว-เธอนึกค่อนอยู่ในใจ
    ‘ที่สำคัญอากาศในเมืองไทย มีตั้งสามฤดู นึกอิจฉาจัง’
    ไม่เห็นจะน่าอิจฉาเลย... ใครน่ะบอกว่ามีสามฤดู เห็นก็เพียงสองฤดูเท่านั้นเอง ไม่ฤดูร้อน ก็ร้อนมาก...
     
    ท้องฟ้าเบื้องนอกมืดมิดสนิท อากาศรอบตัวเริ่มเย็นจับกาย เธอวางจดหมายฉบับแรกลง แล้วขยับตัวมานั่งผิงหัวเตียง โดยเอาหมอนหนุนหลังไว้ ก่อนจะหยิบซองจดหมายฉบับต่อไปอ่านต่อ....
    ‘...ฉบับนี้ผมส่งรูปมาให้คุณไว้ดูต่างหน้าด้วย... เผื่อคุณจะได้เก็บไว้แอบคิดถึงกันบ้าง-’
    ใครกันอยากจะเก็บไปคิดถึงด้วย- เธอนึกค่อนในใจ
    รูปที่นายคนนี้ส่งมา – เห็นจะอายุประมาณสักห้าขวบเห็นจะได้ ก็ดูดีหรอกนะ... หลังจากนั้นเธอเองก็ส่งรูปตอนเด็ก ๆ ไปให้เช่นกัน ไม่อยากให้นายคนนี้มาว่าหรอกว่า.... คนไทยชอบเอารัดเอาเปรียบ....
     
    จดหมายฉบับต่อ ๆ ไปถูกกางออก จนมาถึงฉบับสุดท้าย
    ‘...วีคเอ็นหน้านี้ผมต้องย้ายไปอยู่นิวยอร์ก... ไม่รู้จะมีเวลาเขียนจดหมายมาหาคุณอีกไหม เพราะคงเรียนหนักน่าดู’
    และข่าวคราวของเขาทางจดหมายก็ขาดหายไปเลย ทำให้เธอรู้สึกน้อยใจบ้างเหมือนกัน เธอจด ๆ จ้อง ๆ ปากกาและกระดาษเขียนจดหมายอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่รู้จะส่งไปที่ไหน ในเมื่อเขาย้ายไปอยู่นิวยอร์กแล้ว เธอเลยต้องจำตัดใจเอาว่า.... เขาคงจะตัดความสัมพันธ์กับเธอไปแล้ว – แล้วทำไมเธอถึงจะตัดความสัมพันธ์นั้นกับเขาบ้างไม่ได้...
     
    เธอเผลอคิดไปจนผล็อยหลับไปในที่สุด
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×