คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2# ใกล้เวลา...หมดเงาหัว!
“เทพ...ไม่...ไม่...ไม่.....”
เสียงเอะอะโวยวายของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงดังลั่นทั่วห้องพัก จนผู้ที่ถูกเรียกขานซึ่งอยู่ในห้องน้ำต้องรีบวิ่งไปยังห้องนอนอย่างหน้าตาตื่นตะหนก
“นุชๆ ผมอยู่นี่” ตรีเทพตะโกนบอกเธอก่อนตัวจะไปถึงยังจุดหมาย ทันทีที่เปิดประตูชายหนุ่มรีบถลาโผสวมกอดร่างหญิงสาวที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง
“นุชๆ เป็นอะไร? ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้ว” เขาบอกขณะที่เธออยู่ในพันธนาการของเขา “ผมอยู่นี่แล้ว...ไม่ต้องกลัว” เขาพร่ำบอกเธอข้างๆ หูด้วยประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอเริ่มได้สติรู้ว่าเป็นชายคนรักของตัวเองจึงค่อยๆ นิ่งลง ก่อนใช้มือปาดเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
คราบน้ำตา...ไม่ใช่สิ...จะใช่คราบน้ำตาได้อย่างไร ในเมื่อเธอไม่ได้ร้องไห้ แล้วจะมีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวได้อย่างไร
มันคืออะไร... เมื่อชญานุชแบมือออกก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น...
...เลือ...ด...เลือด... มันคือเลือด...
ถึงตอนนี้หัวใจดวงน้อยของเธอเต้นรัวระทึกไม่เป็นจังหวะ
...เลือดใคร มาจากไหน มาอยู่บนใบหน้าเธอได้อย่างไรกัน.... ในเมื่อห้องนี้มีเพียงสองคนคือเขาและเธอเท่านั้น เธอตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองหาที่มาของเลือดนั้น...
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด....”
เธอร้องกรี๊ดดังลั่นเมื่อมองชายหนุ่มตรงหน้า แล้วเห็นว่า ศีรษะของเขากระโหลกแหว่งยุบเหมือนโดนของหนักหล่นใส่ ขดสมองบางส่วนทะลักไหลย้อยลงมาตามใบหน้า ขณะที่ขดสมองบางส่วนยังคงเต้นตึบๆๆ อยู่ในกระโหลก ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาบัดนี้ไหลอาบด้วยเลือด
“นุชๆๆ.... นุชๆ เป็นอะไร” ขณะที่ชายหนุ่มเรียกเธอ ดวงตากลมๆ ก็ล้นทะลักเด้งออกจากเป้าตาห้อยลงมาต๋องแต๋ง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด....”
“นุชๆๆ.... นุชๆ เป็นอะไร บอกผมสิ” ตรีเทพเขย่าร่างของหญิงสาว เพื่อเรียกสติเธอกลับคืนแต่ไม่ได้ผล เธอยังคงกรีดร้องด้วยอาการตกใจกลัวสุดขีด ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงก่อนจะหมดสติแน่นิ่งไป
“นุชๆๆ” เขาพร่ำเรียกเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนพยุงร่างของเธอนอนลงบนเตียง
...นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงตกใจกลัว เธอเห็นอะไรกัน... เขาถามตัวเองในใจพลางกวาดสายตามองรอบๆ ห้อง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ก็เสียงร้องขึ้นทำเอาเขาตกใจสะดุ้งโหยง... ใครนะเข้าใจโทรมาเวลานี้... เบอร์โทรที่โทรเข้ามาไม่โชว์ชื่อและไม่คุ้นด้วย ใครกันนะ...
“สวัสดีครับ” เขากรอกเสียงลงไป แต่ไม่มีเสียงตอบจากปลายสาย “สวัสดีครับ
” มีเพียงเสียงลมหายใจครืนๆ ดังเล็ดลอดเข้ามาเท่านั้น
“ใครครับ...” หรือจะเป็นพวกโรคจิต หรือพวกที่ชอบโทรป่วนชาวบ้าน “ถ้าไม่พูด ผมจะวางสายนะครับ” ไร้วี่แวว เขาจึงตัดสินใจจะกดปุ่มวางสาย
“เดี๋ยวๆ เทพ...” เสียงปลายสายดังเล็ดลอดขณะที่เขาจะกดปุ่มวางสาย
“...ฤดี...” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาต่างกับเมื่อครู่ราวกับกลัวคนที่นอนอยู่บนเตียงจะได้ยิน
“ค่ะ ฤดีเอง”
ตรีเทพมองดูหญิงสาวบนเตียง เมื่อแน่ใจว่าเธอจะยังไม่ตื่นตอนนี้ เขาจึงรีบเดินออกมาทางริมระเบียงห้อง
“มีอะไร” เขาถามเสียงห้วนจนอีกฝ่ายนึกน้อยใจ
“ฤดีคิดถึงเทพ เราไม่ได้เจอกันเกือบสองอาทิตย์แล้วนะ เทพไม่โทรหาฤดีเลย”
“ผม...” เขาอ้ำอึ้งชั่วครู่ก่อนโกหกไปว่า “ผมติดอบรมต่างจังหวัด เพิ่งจะกลับมาเมื่อเช้า”
“งั้นคืนนี้มาหาฤดีนะ ฤดีจะคอยที่เดิม” เขานิ่งเงียบ ลังเล พลางมองดูหญิงสาวบนเตียง
“นะๆๆๆ”
ฤดีรัตน์พยายามออดอ้อนอีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่า...หากใช้ลูกไม้นี้เขาต้องยอมเธอทุ"กครั้ง
“....เทพ...เทพ...” แล้วอยู่ๆ หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงก็ละเมอเรียกชื่อเขาเบาๆ แต่ก็พอทำให้เขาได้ยิน
“ก็ได้ แค่นี้ก่อนนะ ผมเพลียมากอยากพักผ่อน” เขารีบพูดแล้วรีบวางสายทันที ก่อนเดินกลับเข้ามาในห้องมาดูหญิงสาวคนรักที่นอนละเมอเพ้อเรียกชื่อเขา
“เทพ... เทพ...”
“ผมอยู่นี่ที่รัก”
หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างสะลืมสะลือ มองดูเขาก่อนสำรวจลูบคลำศีรษะและใบหน้าของคนรักทันที “เทพ...เทพ...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“จริงๆ นะ แต่นุชเห็น...เห็นเทพ...” ยังไม่ทันที่ชญานุชจะอธิบายภาพที่เห็น เขาก็เอ่ยตัดบท
“สองสามวันนี้นุชคงเพลียมาก เลยเก็บนู่นเก็บนี่ไปฝันร้าย ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก”
“แต่นุช...”
“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก ผมอยู่นี่แล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” เขากุมมือเธอไว้แน่นเพื่อให้เธอคลายกังวล
“ผมว่าตอนนี้นุชไปอาบน้ำดีกว่านะ วันนี้เรามีนัดไปโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ แต่เอ๊ะ..ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องไปตรวจสุขภาพก็ได้นะ”
“ไม่ได้ ถ้าเทพอยากแต่งงานก็ต้องไปตรวจสุขภาพกันก่อน เข้าใจไหม?” ชญานุชบีบจมูกอีกฝ่าย “เผื่อเทพไปติดโรคอะไรมา แล้วเดี๋ยวมาติดนุชกับลูกจะทำอย่างไร”
“นั่นแน่...ยังไม่ทันไร อยากมีลูกกับผมแล้วเหรอ” ตรีเทพยื่นหน้าเกือบชิดใบหน้านวลอีกฝ่าย
“ใครบอก...” แล้วชญานุชก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว “นุชกลัวว่าเทพจะตายก่อนต่างหาก...” ทันทีเมื่อหันหลังกลับมาบอกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนรักไม่มีหัว!
... เป็นไปไม่ได้... ชญานุชขยี้ตามองดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนหายใจทั่วปอดเมื่อรู้ว่า...เธอตาฝาดไปเอง...
......
...อบรมต่างจังหวัดนั่นเหรอ.. เห็นชัดๆ ว่าเขาโกหกเธอ
ถ้าฤดีรัตน์ไม่จ้างนักสืบให้สืบเรื่องตรีเทพ เธอก็คงหลงเชื่อเขาไปแล้ว แต่ภาพถ่ายในมือที่นักสืบให้มาเป็นหลักฐานอย่างดีที่บอกว่าเขาโกหกเธอ... ซ้ำร้ายกว่านั้น...ภาพเขากับหญิงสาวที่กำลังลองชุดแต่งงานในภาพถ่ายนั้นยังบอกเธออีกว่า...กำลังสูญเสียเขาไปให้คนอื่น... ไม่ใช่คนอื่นสิ... หากแต่เป็นเพื่อนรักเธอต่างหาก
“ทำไมต้องเป็นแกด้วยนังนุช ทำไมแกต้องแย่งเขาไปจากฉันด้วย” ฤดีรัตน์ก่นว่าอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยม พลางสายตายังคงจ้องมองภาพถ่ายนั้นอย่างไม่ละสายตา
“ทำไม ทำไม” เธอพูดพร่ำคนเดียวก่อนขย้ำภาพถ่ายแน่นคามือ แล้วปาทิ้งด้วยความโมโหโกรธแค้น
“อย่าหวังว่าแกจะได้เขาไปเลย ในเมื่อฉันไม่ได้ แกก็อย่าหวังว่าจะได้
” สิ้นเสียงคำรามฤดีรัตน์ก็คิดอุบายวางแผน เพื่อให้ได้ตัวตรีเทพและกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจอย่างชญานุช
....
ถนนหนทางยามเช้าหนาแน่นเฉกเช่นทุกวัน โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วนและยิ่งเป็นวันจันทร์ด้วยแล้วร้องเพลงรอหรือดูหนังได้สบาย... กว่ารถเก๋งคันงามของตรีเทพและชญานุชจะฝ่ามาถึงหน้าโรงพยาบาลใช้เวลาไม่น้อย...
เมื่อหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลได้ ตรีเทพก็หยุดรถให้ชญานุชลงทันที
“นุชไปขึ้นบัตรก่อนล่ะกัน จะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวผมวนไปหาที่จอดรถก่อน”
ที่จอดรถโรงพยาบาลเต็มทุกช่องไม่เว้นแม้แต่บริเวณหัวเลี้ยวถนน จอดซ้อนสองเรียงแถวยาวจนอดนึกว่ามีมหกรรมลดแลกแจกแถม คนขับรถนอกจากจะต้องมีสติแล้วยังจะต้องมีสายตายาวไกลเพื่อมองหาพื้นที่ว่างให้รถตัวเองเบียดซุกจอดได้ด้วย
ตรีเทพวนรถอยู่หลายรอบกว่าจะหาที่จอดรถได้ เมื่อจอดรถเสร็จเขารีบเดินจ้ำอ้าวไปหาคนรักทันทีแต่แล้วต้องสะดุดชนเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งอย่างจังบริเวณโถงทางเดินไปแผนกอายุกรรม
“...ขอโทษครับหมอ” ตรีเทพชิงขอโทษเสียก่อนเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด “พอดีผมรีบไม่ทันได้มอง ขอโทษด้วยนะครับ”
นายแพทย์หนุ่มที่ถูกชนถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่าย
ใช่...เขาแน่ๆ ผู้ชายในภาพของพิมพา... สุธีร์จำได้แม่นไม่ผิดเพี้ยนแน่
“ยังไงก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ” พูดจบตรีเทพก็เดินจากไปปล่อยทิ้งให้นายแพทย์หนุ่มยืนมองคล้อยตามหลัง
พิม...พี่เจอเค้าแล้ว... อีกไม่นานพิม...พี่สัญญา...
ที่หน้าห้องแผนกอายุรกรรม มีทั้งผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วมากมาย บ้างก็นั่งบนเก้าอี้ บ้างก็นั่งกับพื้น บ้างก็ยืนรออยู่แถวนั้น เดี๋ยวนี้วันๆ หนึ่งคนป่วยเข้าโรงพยาบาลเยอะเชียวเหรอ หรือว่า...เป็นเพราะสภาพอากาศแปรเปลี่ยนวันละหลายฤดู เช้าอากาศเย็น บ่ายอากาศร้อน ตกเย็นฝนตก... แต่สุดท้ายแล้วต้นเหตุก็มาจากน้ำมือของมนุษย์นั่นเอง... ที่พัฒนาเทคโนโลยีจนโลกรุดเจริญก้าวหน้าจนลืมคิดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนั้น...
“โห...คนเยอะจัง กว่าจะได้ตรวจสงสัยปาไปเกือบเที่ยงแน่เลย” ตรีเทพกระซิบบอก
“ผมว่าหาอะไรกินรองท้องก่อนดีกว่า นุชจะกินอะไร”
และแล้วก็หนีไม่พ้น ‘แฮมเบอร์เกอร์ กับชีสไบท์’ ของโปรดที่หาซื้อได้ง่ายในร้านสะดวกซื้อ
น่าแปลก... ระหว่างที่ยืนรอพนักงานอุ่น ‘แฮมเบอร์เกอร์ กับชีสไบท์’ ตรีเทพรู้สึกเหมือนกับมีสายตาของใครบางคนจ้องมองอยู่ข้างหลังตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะขยับตัวเดินไปไหน สายตาคู่นั้นก็เคลื่อนตามอย่างไม่ลดละ เขาต้องการอะไร... ตรีเทพตัดสินใจหันกลับไปมองทางด้านหลังของตัวเอง
แต่ไม่มี... ไม่มีใครสักคน เขาหายไปแล้ว เขาเป็นใคร เขาต้องการอะไรกันแน่?
.....
ตรีเทพและชญานุชใช้เวลาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอยู่ร่วมสองชั่วโมงกว่าจะตรวจครบทุกรายการ จากนั้นจึงไปจัดการธุระงานแต่งงานต่อ กว่าจะกลับถึงคอนโดฯ ของชญานุชก็เลยพลบค่ำแล้ว
“คืนนี้ผมมีงานต้องสะสาง นุชอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม”
“ไม่ได้” ชญานุชตอบเสียงแข็งจนอีกฝ่ายสะดุ้งเฮือกกับน้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ตรีเทพอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“โธ่... นุชล้อเล่นค่ะ ไม่ต้องห่วงนุชหรอก นุชอยู่ได้ ถ้าไม่ได้เดี๋ยวนุชโทรตามยายเขมมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตรีเทพก็รู้สึกดีขึ้น หมดห่วง เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบตอนเช้าอีก
“งั้นผมไปนะ หลับฝันดีครับ”
ตรีเทพยื่นหน้าเข้าใกล้ชญานุช แต่เธอเอี่ยวตัวหลบได้ทันเสียก่อน
“หลับฝันดีคะ” แล้วเธอก็เปิดประตูรถก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอีกฝ่าย
สีสันของค่ำคืนวันใหม่กำลังเริ่มต้น ท้องฟ้ากลางกรุงที่เริ่มมืดมิดส่องสว่างขึ้นอีกหน แต่ทว่าทางเดินที่ทอดยาวบนชั้นเก้ากลับดูวังเวงพิกล จนชญานุชรู้สึกเสียววาบสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าเหมือนมีใครเดินตาม ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่าวูบไปวูบมาอยู่ข้างหลัง หญิงสาวรีบสาวเท้าเดินให้ถึงห้องอย่างไว เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องจึงรีบเปิดประตูแล้วเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองตามทางเดิน เพราะกลัวจะเจอกับสิ่งที่ไม่อยากเจอ...
‘อุ๊ย!’
ชญานุชสะดุ้งเฮือกแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นเงาของใครตะครุ่มอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อได้สติก็คิดได้ทันทีว่าเป็นเงาของตัวเองที่สะท้อนบนกระจกในห้องรับแขก
‘ท่าจะประสาทแล้วเรา’
และแล้ววินาทีที่ชญานุชเดินผ่านกระจกบานนั้นเพื่อไปเปิดไฟ เธอเหลือบมองเห็นเงาของใครคนหนึ่งแวบผ่านหางตา เธอหันมอง...เงาตัวเองนั่นเอง... แต่ทำไมสีหน้าและแววตาของเงานั้นช่างดูน่ากลัว เงานั้นยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติงแม้เธอจะขยับตัวขยับหน้าก็ตาม
มันไม่ใช่เงาของเธอ...
ตอนนี้ชญานุชรับรู้ได้ถึงวิญญาณว่ามีอยู่จริง และมันก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม... อยู่ๆ อากาศรอบตัวก็เย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง ความหวาดกลัวถาโถม จู่โจมเธอจนแทบยืนไม่อยู่ ขนลุกวาบเย็นชาไปทั้งตัว
เงานั้นแสยะยิ้มให้เธออย่างน่าเกลียดน่ากลัว ก่อนใช้เล็บมือทั้งสองข้างจิกลงตรงหน้าอกข้างซ้าย แล้วค่อยๆ แหกแหวะให้เห็นก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆๆๆๆๆ ชญานุชพยายามจะเบือนหน้าหนีไม่อยากเห็นว่ามันจะทำอะไรต่อ แต่เหมือนมีมนต์สะกดทำให้เธอขยับตัวไม่ได้ เลือดสีแดงสดที่ไหลเป็นทางจากรอยแยกแหวะถูกนำมาป้ายที่ลิ้นของมันอย่างสะอิดสะเอียน แล้วมันก็ล้วงกระชากหัวใจออกมาเต้นตุบๆๆๆ อยู่ในมือ ยื่นส่งให้เธอ
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด”
ชญานุชแผดเสียงร้องราวกับคนเสียสติ แล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบ
ความคิดเห็น