โลกเปลี่ยน แปลง....หรือเราเปลี่ยนมุม - โลกเปลี่ยน แปลง....หรือเราเปลี่ยนมุม นิยาย โลกเปลี่ยน แปลง....หรือเราเปลี่ยนมุม : Dek-D.com - Writer

    โลกเปลี่ยน แปลง....หรือเราเปลี่ยนมุม

    " อารมณ์ " เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อคนเรามาก มันเป็นตัวการสำคัญทีเดียวที่จะทำให้คนมองโลกด้วยความ " อคติ "

    ผู้เข้าชมรวม

    622

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    622

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 มิ.ย. 53 / 19:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น





    ของสิ่งเดียวกัน สถานการณ์อย่างเดียวกัน
    หากมองด้วยอารมณ์ที่ต่างกันแล้ว
    สิ่งเหล่านั้นจะแตกต่างกันได้ขนาดไหน
    ในสายตาของคนเพียงคนเดียว





    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ....โลกที่ฉันมองเห็นวันนี้ดูสดใสงดงาม....


      ฉันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเปาะแปะดังที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายังมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาสาย

      พรุ่งนี้ฉันมีนัดกับเขาในตอนบ่าย....ฉันเห็นไปมองสายฝนโปรยข้างนอกแล้วยิ้ม ให้กับตัวเอง ....แม้แต่พระพิรุณก็ยังมาอวยพรให้ฉันมีความสุข....

      ลมเย็นพัดเข้ามาทำให้ฉันรู้สึกสบายยิ่งขึ้น เสียงนกกระจอกดังจิ๊บจั๊บระงมเซ็งแซ่ดังเช่นทุกวัน ราวกับพวกมันกำลังร้องเพลงให้ฉันฟัง ฉันลุกจากเตียงเข้าห้องน้ำไปทำกิจวัตรด้วยความกะปรี้กะเปร่า....ออกไปเดิน เที่ยวเล่นสักหน่อยคงจะดี



      ฉันเดินออกจากห้องพักด้วยความสดใส ฝนใกล้จะหยุดตกแล้ว เมฆหายลับไปจากเบื้องบนเผยให้เห็นฟ้าสีครามสวย อะไรๆก็ดูดีไปหมดในวันนี้

      สุนัขตัวโตของเพื่อนบ้านในซอยส่งเสียงเห่าทักทายลั่นอึงมาอย่างทุกทีที่ฉัน เดินผ่าน ฉันยิ้มให้พวกมันน้อยๆรับการทักทายนั้นแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นอีก นั่น รถเมล์สายที่ฉันต้องขึ้นกำลังจะออกไปแล้ว

      ไอร้อนสีดำลอยผ่านหน้าพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่แว่วไกลออกไป ฉันยืนหอบก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน ....เอาน่ะ เหลือเวลาอีกเยอะแยะ นั่งรอก่อนจะเป็นไรไป.... ฉันคิดพลางมองหยดน้ำไหลร่วงลงมาจากหลังคาของเพิงทีละหยดๆ ทำให้เงาของฉันที่สะท้อนในแอ่งน้ำผิดรูปไปตามจังหวะดูตลกแปลกตาไปอีกแบบ

      ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้น ตรงข้ามกับเม็ดฝนที่อันตธานหายไป ฟ้าสดใสด้วยแดดจ้า ขณะที่ฉันนึกย้อนไปถึงเมื่อวาน

      เสียงสดใสของเขายังคงดังกระจ่างชัดก้องอยู่ในโสต รอยยิ้มของเขาตราตรึงชัดอยู่ในความทรงจำ

      ฉันยิ้มนึกกับตัวเองอย่างมีความสุขราวกับมีดอกไม้ผลิบานอยู่เต็มใจ ....เขาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตฉัน....

      รถเมล์มาแล้ว ฉันลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง เบียดเสียดเหล่าผู้คนขึ้นไปจับจองที่ของตัวอย่างสบายๆ



      ณ ที่หมาย ฉันยกนาฬิกาขึ้นดู พบว่ามีเวลามากพอให้ฉันเดินเที่ยวเล่นตามอารมณ์ จึงขยับเยื้องย่างออกจากจุดที่ยืนอยู่

      ภาพสองข้างทางที่ผ่านไป มีแต่ผู้คนเป็นคู่ ....เห็นแล้วก็อดนึกถึงเขาไม่ได้.... คิดพลางหัวเราะคิกคักอยู่ในใจ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้คู่ของเราก็จะได้ร่วมเดินกันบ้าง พร้อมทั้งดวงใจที่มีความคนึงหาถึงกัน

      เท้าก้าวสืบไปตามทาง สายตาส่ายสอดมองทั่ว แม้เป็นทิวทัศน์ที่คุ้นเคย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากได้อยู่กับเขาฉันคงเห็นมันสวยงามขึ้นจากเดิม

      ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้ง เกือบถึงเวลานัดหมายแล้ว ฉันหันมองโดยรอบเพื่อหาทางลัดไปยังจุดนัดพบ ....และทันใดฉันก็ได้เหลือบไปเห็น.....เขา....

      เขายังคงมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเคย เสียงหัวเราะทุ้มเสนาะหูยังคงดังกังวานใสเช่นทุกครั้งที่มีให้

      หากแต่ที่ผิดแผกไปคือข้างกายเขามีสาวแปลกหน้าคนหนึ่งยืนเคียงคู่ แย้มยิ้มตอบโต้การกระทำของเขา

      หญิงสาวคนอื่น ที่ไม่ใช่ฉัน



      ราวกับโดนน้ำสาด ฉันรู้สึกหนาวเยือก ประสาทสัมผัสทั้งหมดด้านชาราวกับถูกปิดลง คล้ายกับว่าเป็นระบบป้องกันตัวของฉันที่ต้องการให้จิตใจได้รับความเสียหาย น้อยที่สุด

      จิตใต้สำนึกสั่งการแทนฉัน ให้พาตนเองออกไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด....ให้พาตนเองไปยังที่ๆน่าจะ ปลอดภัยที่สุด.....



      เมื่อรู้สึกตัวอีกที ฉันพบว่าตัวเองอยู่ที่ห้องอันคุ้นเคยของฉันแล้ว ความด้านชาหายไป และรู้สึกได้ถึงความนุ่มของฟูกเตียงที่ได้พาร่างของตนไปหยุดอยู่....หากแต่ ความคิดของฉันหาได้หยุดไปด้วยไม่....

      เธอคนนั้นเป็นใคร?.....เธอคนนั้นเป็นใคร?

      ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมกับเขามากนัก? ทำไมเขาจึงยิ้มให้เธอ? ทำไมเขาจึงหัวเราะกับเธอ?

      ฟ้าอับแสง แต่ก็ไร้ดวงดาวกระจ่างฟ้า....สายฝนเริ่มโปรยลงมาเงียบๆอีกครั้ง พร้อมกับฉันที่ค่อยๆจมดิ่งลงไปในกองน้ำตา





      ############################





      ....โลกที่ฉันมองเห็นวันนี้ดูหม่นหมองมืดมัว....


      ฉันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเปาะแปะดังที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายังมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาสาย

      วันนี้ฉันมีนัดกับเขาในตอนบ่าย....ฉันเห็นไปมองสายฝนโปรยข้างนอกแล้วทอด อาลัยให้กับตัวเอง แม้แต่ท้องฟ้ายังร่ำไห้ไปกับฉัน

      ลมเย็นพัดเข้ามาบาดผิวของฉัน เสียงนกกระจอกดังจิ๊บจั๊บระงมเซ็งแซ่ดังเช่นทุกวัน ราวกับพวกมันกำลังหัวเราะเยาะความโง่เง่าของฉันที่ไม่รู้อะไร ฉันลุกจากเตียงเข้าห้องน้ำไปทำกิจวัตรอย่างสะโหลสะเหล....ออกไปทำให้มันจบไป ในวันนี้คงจะดี



      ฉันเดินออกจากห้องพักด้วยความหม่นหมอง ฝนใกล้จะหยุดตกแล้ว เมฆหายลับไปจากเบื้องบนเผยให้เห็นฟ้าสีหมอง อะไรๆก็แย่ไปหมดในวันนี้

      สุนัขตัวโตของเพื่อนบ้านในซอยเห่าเสียงขรมอย่างทุกทีที่ฉันเดินผ่าน ฉันถอดหายใจรับเสียงการกร่นด่านั้นแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นอีก นั่น รถเมล์สายที่ฉันต้องขึ้นกำลังจะออกไปแล้ว

      ไอร้อนสีดำลอยผ่านหน้าพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่แว่วไกลออกไป ฉันยืนหอบก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน ....ช่างเถอะ รุดรีบไปก็ใช่ว่าเขาจะรอฉัน เสียเวลาอีกสักหน่อยเป็นอะไรไป.... ฉันคิดพลางมองหยดน้ำไหลร่วงลงมาจากหลังคาของเพิงทีละหยดๆ ทำให้เงาของฉันที่สะท้อนในแอ่งน้ำผิดรูปไปตามจังหวะดูบูดเบี้ยวไม่น่ามอง

      ผู้คนเริ่มหนาตาขึ้น ตรงข้ามกับเม็ดฝนที่อันตธานหายไป ฟ้าเริ่มเปิดด้วยแดดแรงแยงตา ขณะที่ฉันนึกย้อนไปถึงเมื่อวาน

      เสียงสดใสของเขายังคงดังกระจ่างชัดก้องอยู่ในโสต รอยยิ้มของเขาตราตรึงชัดอยู่ในความทรงจำ

      ฉันแค่นยิ้มกับตัวเองอย่างมีหดหู่ราวกับดอกไม้ในใจเหี่ยวเฉาโรยรา ....เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่หักหลังฉัน....

      รถเมล์มาแล้ว ฉันลุกขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เบียดเสียดเหล่าผู้คนขึ้นไปจับจองที่ของตัวอย่างลำบากลำบน



      ณ ที่หมาย ฉันยกนาฬิกาขึ้นดู พบว่ามีเวลามากพอให้ฉันเดินเที่ยวเล่นปลดปล่อยอารมณ์ จึงขยับเยื้องย่างออกจากจุดที่ยืนอยู่

      ภาพสองข้างทางที่ผ่านไป มีแต่ผู้คนเป็นคู่ ....เห็นแล้วก็อดนึกถึงเขาไม่ได้.... คิดพลางร้องไห้อยู่ในใจ เพราะเดี๋ยวคู่ของเราคงจะได้ร่วมเดินกันบ้าง แม้ว่าดวงใจจะมิได้มีความคนึงหาถึงกัน

      เท้าก้าวสืบไปตามทาง สายตาส่ายสอดมองทั่ว แม้เป็นทิวทัศน์ที่คุ้นเคย แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าในวันนี้มันช่างดูหม่นหมองอึมครึมต่างจากทุกที

      ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้ง เกือบถึงเวลานัดหมายแล้ว ฉันหันมองโดยรอบเพื่อหาทางลัดไปยังจุดนัดพบ ....และทันใดฉันก็ได้เหลือบไปเห็น.....เขา....

      เขายังคงมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเคย เสียงหัวเราะทุ้มเสนาะหูยังคงดังกังวานใสเช่นทุกครั้งที่มีให้

      หากแต่ที่ชวนแปลกใจคือข้างกายเขายังคงมีสาวแปลกหน้าคนนั้นเคียงคู่ แย้มยิ้มตอบโต้การกระทำของเขา

      หญิงสาวคนนั้น ที่ไม่ใช่ฉัน



      ราวกับโดนไฟสุม ฉันรู้สึกร้อนในอก ประสาทสัมผัสทั้งหมดตื่นตัวราวกับถูกเปิดขึ้น คล้ายกับว่าเป็นระบบต่อสู้ของฉันที่ต้องการให้จิตใจที่สับสนได้รับคำอธิบาย

      เธอคนนั้นเป็นใคร?.....เธอคนนั้นเป็นใคร?

      ทำไมเขาถึงยิ้มให้เธอ?....ทำไมเขาถึงยังอยู่กับเธอ?....แล้วทำไมเขาถึงให้ เธอมาเจอกับฉัน?

      เสียงนุ่มทุ้มดังกระทบโสต ราวกับดวงอาทิตย์ที่แหวกเมฆออกไปจากใจฉัน ขับไล่ความคิดขุ่นมัวของสายฝนให้ได้เห็นรุ้งกินน้ำซึ่งฉันไม่ทันสังเกต

      " เอ้า เจอกันพอดีเลย มาสิ มารู้จักกับพี่สาวของผมหน่อย "





      ############################








      Talk
      จากวันที่ของไฟล์ในคอมล่าสุด ( ก่อนแก้ไขเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆเพื่อนำมา
      โพสในบล็อกเมื่อปีที่แล้ว) บอกไว้ว่านี่เป็นเรื่องสั้นที่แต่งเอาไว้เมื่อต้นกุมภาพันธ์พ.ศ. 2549

      น่าจะเป็นเรื่องสั้นที่หัดแต่งส่งในวิชาเขียนเรื่องสั้น แต่รู้สึกจะไม่เคยโพสลงเน็ตเนื่องด้วยอายสำนวนหรืออะไรซักอย่าง....แต่พอได้กลับอ่านดูแล้วก็คิดว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แก้ไขนิดๆหน่อยๆก็เอาลงได้แล้วแฮะ ถึงจะยังมีส่วนแปลกๆอยู่บ้างก็เถอะ

      ได้กลับไปอ่านก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ใส่ความคิดของตนเองได้ชัดเจนดี


      ถ้าคนอ่านได้เก็บตกสิ่งที่ต้องการจะสื่อไปได้ก็จะยินดีสุดๆเลย : D

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×