คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter: 3 กลิ่นคาวของเค้กวนิลา
แทค: ตัวอะไรเกาะหลังว่ะหนักจัง!~~
Chapter: 3 กลิ่นคาวของเค้กวนิลา
เอี๊ยดดดดดด!!!!!!~~~~~~~~~~~~
ชานซองเหยียบคันเร่งจนมิดรถสปอร์ตคันหรูสร้างรอยดำจนติดพื้นถนนเสียงของแรงเสียดทานระหว่างล้อและพื้นถนนดังแสบแก้วหูทั่วบริเวณ กลิ่นเบรกไหม้ส่งกลิ่นเหม็นจนต้องอุดจมูก ชานซองลงมาดูสภาพรถตัวเองที่ตวัดเกือบชนรถอีกคันแต่ยังดีที่เขาหักหลบไปอยู่ข้างทางโดยไม่ได้ชนอะไร
ชานซองมองหาเด็กผู้ชายที่วิ่งตัดหน้ารถเขาเมื่อกี้นี้นอนเหวอตาค้างอยู่กับพื้นถนน
“บ้ารึไงวิ่งตัดหน้ารถนะห่ะ!” ชานซองที่อารมณ์เสียอยู่เดิมก็ยิ่งทวีคูณความโมโหเป็นสิบเท่า แต่แทนที่เด็กคนนั้นจะรีบลุกขึ้นมาขอโทษกลับลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีไปหน้าตาเฉย ชานซองกำลังจะวิ่งไล่ตามอย่างเอาเรื่องแต่ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งวิ่งมากจากทางเดียวกันที่เด็กผู้ชายคนนั้นวิ่งมาตัดหน้ารถเขา กำลังวิ่งตามเด็กคนนั้นไป ชานซองหัวเสียอย่างไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าไปในรถขับรถไปที่อู่เพื่อเช็คสภาพอย่างหัวเสีย
ชายหนุ่มวิ่งหนีอย่างกระเจือกกระสน เขาจะต้องวิ่งไปให้ไกลที่สุดเพื่อเอาชีวิตรอด หากเขาถูกจับได้เขาจะต้องโดนจับแล้วถูกแยกเป็นชิ้นส่วนแน่ๆ ชายหนุ่มภาวนาว่าเขาจะวิ่งหนีพ้นแต่ดูเหมือนคำขอของเขาจะไร้ผลเพราะเขาวิ่งมาเจอทางตันของซอกตึกใหญ่ กลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งตามมาจนทัน
“โอ๊ยย!~”
“มานี่! แกจะไปไหน!” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นที่มีใบหน้าเป็นแผลเป็นทางยาวจากหน้าผากด้านซ้ายไปจนสุดคางด้านขวาเดินเข้ามากระชากผมของชายหนุ่มอย่างแรง
“ปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่มีเงินใช้หรอก ได้โปรด โอ๊ยยย!~” ไอ้หน้าแผลเป็นจับชายหนุ่มกระชากแล้วผลักลงพื้นปูนเอาเท้าเหยียบเข้าที่หน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรง
“ทำไมตอนแกขอเงินนายฉันไม่เห็นบอกเลยว่ะ ว่าไม่มีเงินจ่าย ทีตอนนี้มาบอกว่าไม่มีเงินจ่าย!” มันพูดเสียงดัง
“ผมไม่ได้ขอ ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ” ชายหนุ่มร้องขอขณะที่ตัวเขาที่อยู่ใต้เท้าหนาขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้
“เห่ย! พวกแกทำอะไร!” เสียงเข้มของผู้ชายอีกคนดังมาจากทางด้านหลังของพวกกลุ่มชายฉกรรจ์ ชายหนุ่มในคราบของชุดตำรวจสีฟ้ายืนมั่นมือเตรียมแตะด้ามปืนที่เอวหากพวกกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นตุกติก
“เปล่านี่ครับคุณตำรวจ พวกผมก็เล่นละครกันส่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย” พวกมันพูดออกมาอย่างหน้าไม่อาย แต่ดูเหมือนคุณตำรวจจะเชื่อสนิทในยอมละมือจากด้ามปืนที่เอวแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเดินออกไป ชายหนุ่มที่อยู่ใต้เท้าของไอ้หน้าแผลเป็นรู้สึกชาวาบบุญมีแต่กรรมบังจริงๆ
“เหอะ! โง่จริงๆ” ไอ้หน้าแผลเป็นละสายตาจากตำรวจที่เดินหายไปแล้วหันมามองชายหนุ่มใต้เท้าตนอย่างเจ้าเล่ห์
“แกว่าใครโง่นะ!” เสียงเข้มของตำรวจคนเดิมดังมาจากทางด้านหลังของพวกกลุ่มฉกรรจ์เช่นเดิม แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่มากันทั้งโรงพักเลยก็ว่าได้ ไอ้พวกชายฉกรรจ์วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นแต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นฝีมือตำรวจไปได้
ชายหนุ่มที่ตอนนี้สภาพจิตใจหดหู่อย่างเห็นได้ชัด เขากำลังนั่งจ้องโทรศัพท์อย่างไร้จุดหมาย
“นี่ จะโทรไหม!” เสียงเข้มของตำรวจคนนั้นคนที่ช่วยเขาถามดุๆ ที่เห็นชายหนุ่มไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรสักคำตั้งแต่มาถึงโรงพักและก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์จะโทรก็ไม่โทร
“พ่อแม่เธอล่ะ”
“…”
“มีญาติอยู่แถวนี้รึเปล่า”
“…”
“จำเบอร์ได้ไหม”
“…”
“ทำไมถึงโดนพวกนี้ทำร้าย”
“…”
“นี่! เป็นใบ้รึไง!” ตำรวจหนุ่มตวาดใส่ชายหนุ่มที่ไม่ว่าเขาจะถามอะไรก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาสักคำ จนไอ้หน้าแผลเป็นที่อยู่ในห้องขังตะโกนกลับมาแทน
“พ่อแม่มันไม่มีหรอกครับผู้กองซึลลอง”
“แกรู้ได้ไง!” ซึลลองคือผู้กองหนุ่มที่มากฝีมือและประสบการณ์ ตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งเขาก็ได้จับไอ้พวกแก๊งเงินกู้เป็นสิบๆรายจนมาถึงไอ้หน้าแผลเป็นกับแก๊งพวกมันเป็นรายล่าสุด
“ไอ้เด็กนี่มันแม่แต่พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง แถมพ่อเลี้ยงมันกู้เงินแก๊งผมมาไม่มีปัญญาจ่ายเลยกะว่าจะเอาไอ้เด็กนี่มาขายขัดดอก” ไอ้หน้าแผลเป็นตอบฉะฉาน ผู้กองหนุ่มซึลลองมองไอ้หน้าแผลเป็นด้วยสายตาเหยียดๆ เลวจริงๆ
“เธอชื่ออะไร” ซึลลองนึกสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าที่จะต้องมีชะตากรรมอันแสนโหดร้ายแบบนี้
“…” แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมตอบ
“ฉันรับรอง ไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก ฉันจะดูแลเธอเอง ฉันชื่อซึลลอง ฉันเองก็เคยมีน้องชายเหมือนนาย” ซึลลองพยายามพูดจาอ่อนโยนเผื่อว่าเด็กหนุ่มนี่อาจจะใจหายกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่ไว้ใจใครก็ได้
“ผม….ผมชื่อ ลี จุนโฮ” ซึลลองมองยิ้มๆ ในที่สุดก็ยอมพูดเสียที
“ดีมากไอ้น้อง ไม่ต้องกลัวตอนนี้นายมีพี่ชายเป็นตำรวจแล้วจำไว้!” ซึลลองลูบหัวของจุนโออย่างเอ็นดู เขาเองก็เคยมีน้องชาย ถ้าไม่จากไปสะก่อนน้องชายเขาก็น่าจะอายุประมาณนี้ละ
หลังจากให้สอบปากคำอยู่นานก็ได้เวลาปล่อยตัวจุนโอกลับบ้าน จุนโฮเดินลงมากจากโรงพักด้วยจิตใจที่เลื่อนรอย เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างแม้แต่พ่อแม่ที่รับเลี้ยงเขาจนสุดท้ายคนพวกนั้นก็เห็นเขาเป็นแค่เศษเนื้อชิ้นหนึ่ง
“นี่ ไม่มีที่ไปเหรอ!?” ซึลลองเดินลงมาจากโรงพักในคราบที่เป็นพลเรือนทั่วไปเพราะเขาได้เวลาออกเวรแล้ว เขาสวมเพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนขาดๆสีดำและรองเท้าผ้าใบธรรมดาแทบไม่เหลือคราบของตำรวจเหลืออยู่เลย
“…” จุนโฮยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“เงียบแบบนี้แสดงว่าไม่มีที่ไป มานี่!” ซึลลองลากแขนอีกคนให้เดินตามเขาไปที่รถเก๋งของเขา จุนโฮเดินตามอย่างง่ายดาย ซึลลองอดคิดไม่ได้ว่าเด็กนี่อ่อนต่อโลกหรือใจง่ายกันแน่ที่ไม่ขัดขืนเขาเลย ก่อนที่เขาจะรีบขับรถออกไป
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงอพาร์ทเม้นท์ของซึลลอง ห้องของเขาอยู่ที่ชั้นหกเป็นห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ถูกจัดไว้เป็นส่วนๆ แต่ก็ยังคงกลิ่นตัวผู้ชายโสด
“นี่ห้องฉัน มันอาจจะแคบไปหน่อยหวังนายจะอยู่ได้นะ” ซึลลองเปิดประตูห้องให้จุนโฮเดินเข้าไปพร้อมกับวางข้าวของสัมภาระของเขาบนโต๊ะกินข้าว
“…” ถึงจุนโฮจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เขาก็ส่งสายตาเป็นนัยๆว่าพาเขามาทำไม
“นายไม่มีที่ไปใช่ไหมล่ะ มาอยู่กับฉันก่อนก็ได้ ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก ฉันเอ็นดูเธอนะ ฉันเองก็เคยมีน้องชายแต่เขาถูกพรากด้วยฝีมือคนเลวๆ น้องชายฉันตายไปแล้ว แต่ถ้าเขายังอยู่น่าจะอายุเท่าๆ นายนี่ละ เออว่าแต่นายอายุเท่าไร” ซึลลองอธิบาย
“21” จุนโฮตอบห้วนๆ
“อืมเป๊ะเลยล่ะ^^”ซึลลองตอบยิ้มๆ แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน แล้วออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้ายื่นให้จุนโฮ
“ใส่ชุดฉันไปก่อนละกัน ไม่สิเรียกพี่ดีกว่า”
“คุณไม่กลัวว่าผมจะเป็นขโมยเหรอ” อยู่ๆ จุนโฮก็ถามออกมาดื้อๆ ซึลลองยกยิ้ม
“ฉันเป็นตำรวจอย่าลืมสิ” คำตอบของซึลลองทำจุนโฮเองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“เรียกฉันว่าพี่นะ เธอจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรก็ได้ฉันเหงา” ซึลลองพูดยิ้มๆ ยกไหล่ จุนโฮเริ่มรู้สึกดีกับคนที่ชื่อว่าซึลลองมากขึ้น ทำให้บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง นายจะรู้บ้างไหมเนี่ยจุนโฮเวลานายยิ้มนายมีเสน่ห์ที่สุดเลย ซึลลองคิด
“ครับ ผมจะเรียกว่าพี่ซึลลอง ขอบคุณนะครับพี่” ซึลลองโค้งขอบคุณซึลลอง เขาเองก็กำลังสับวนกับชีวิตตัวเองที่อยู่ๆ ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเขา เขาจะไม่มีวันลืมเลย
เช้าของวันรุ่งขึ้น คฤหาสน์แสนใหญ่โตที่เงียบสงบอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบสงัดเข้าไปใหญ่เป็นผลเนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทของพี่น้องร่วมสายเลือกของแทคยอนและชานซองที่ตั้งแต่เมื่อวานเขาสองคนไม่มองหน้า ไม่สบตาหรือไม่พูดคุยอะไรเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง แม่บ้านเก่าแก่อย่างมินจีเองก็ทำอะไรไม่ได้
ชานซองแบกเป้ใบใหญ่กับลังกระดาษเดินลงมาจากห้องของตัวเองกำลังจะเดินออกไปจากบ้านแต่ถูกทักจากใครบางคนที่เขาเคยเห็นครั้งแรกก็รู้สึกเกลียดขี้หน้าขึ้นมาทันทีนอกสะจากแฟนสาวของพี่ชายตัวเอง ‘เจสสิกา’
“จะไปไหนเหรอชานซอง” เจ้าหล่อนถามเสียงหวานแลดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใย แต่ความจริงแล้วเจ้าหล่อนแกล้งถามให้แทคยอนแฟนหนุ่มของตนได้ยิน แล้วมันก็เป็นผลแทคยอนที่เดินตามหลังหล่อนมารีบจ้ำอ้าวมาหา
“แกจะไปไหนชานซอง!” แทคยอนถามเสียงดุ
“จะไปอยู่ที่คอนโด” ชานซองตอบห้วนๆ กำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกดื้อดึงจากพี่ชายตนเอง
“แกต้องอยู่ที่นี่ แกอยู่ในความดูแลของฉัน” แทคยอนห้ามเสียงแข็งแต่ชานซองก็ไม่ใส่ใจ ในเมื่อใจเขาอยากจะไปใครก็ห้ามเขาไม่ได้
“ถ้าไม่อยากให้ผมไป ก็เลิกกับยัยปากแดงนั่นสิ!” ชานซองทำปากพยักพเยิดไปทางเจสสิกาแล้วเป็นผล แทคยอนนิ่งเงียบ ยิ่งเจสสิก้าแล้วใหญ่แถบจะจ้องชานซองตาถลนออกมาจากเบ้า
“ทำไม่ได้ละสิ ไปละ” ชานซองรีบเดินหนีขึ้นรถแม้แทคยอนจะวิ่งไล่ตามก็ไม่เป็นผล แทคยอนตะโกนเสียงดังอย่างหัวเสียที่เขาทำอะไรหรือดูแลน้องชายตัวเองไม่ได้เลย เจสสิการีบวิ่งเข้าไปปลอบโลมแทคยอนเพื่อให้อาการเครียดเบาลงด้วยรอยยิ้มเคลือบยาพิษ ดีสะอีกอะไรๆ จะได้ง่ายขึ้นเจสสิกาคิด
ชานซองตัดสินใจขับรถแวะไปที่ร้านก่อนจะไปที่คอนโดเผื่อจะได้เจอร่างบางที่เขาคิดถึงมาตลอดทั้งคืน
“อ่าว ชานแกมาทำไมไหนคุณบอกว่าแกเคร่งอ่านหนังสืออยู่” มินจุนรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเดียวกันทักขึ้นเมื่อเห็นชานซองเดินเข้ามาในร้าน
“อืมม แต่ผมเบื่อ มาผมช่วย” ชานซองกำลังยื่นมือเข้าไปช่วยมินจุนที่กำลังเดินไปเสิร์ฟเค้กให้ลูกค้า
“เดี๋ยวสิๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป” มินจุนไล่ชานซองไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อยมาทำงาน ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปเสิร์ฟเค้กให้ลูกค้าตามปกติ
ทุกอย่างดูราบรื่นดีขณะที่ชานซองเปลี่ยนเสื้อผ้า อยู่ๆ ก็มีลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งโวยวายเสียงดังมาจากมุมหนึ่งของร้าน
“อะไรเนี่ย! รสชาติห่วยแตก แบบนี้มาเปิดร้านได้ไงวะ!” เสียงโวยวายเริ่มดังเป็นทวีคูณ มินจุนรีบวิ่งไปให้บริการกับชายผู้นั้นทันที โดยอูยองที่อยู่ก้นครัวก็ได้ยินเสียงโวยวายจึงเดินออกมาจากครัวแล้วตรงปรี่ไปที่โต๊ะของลูกค้าคนนั้น
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณลูกค้า” มินจุนรีบเข้าไปรับหน้าอย่างสุภาพ
“ก็เค้กร้านแกรสชาติห่วยแตก หมาไม่รับประทานแบบนี้! กล้าเปิดร้านได้ไงว่ะ!” เสียงโวยวายทำลูกค้าคนอื่นหันมามองเป็นตาเดียว อูยองรีบเดินมาแล้วโวยกลับ
“ฉันทำให้คนกินไม่ใช่หมากิน!”
“อ่อนี่แกเป็นเชฟใช่ไหม รู้ไว้สะด้วยรสชาติห่วยแตก!” ลูกค้ารายนั้นโวยวายหนัก
“เออ ถ้าไม่อยากกินก็ไปไกลๆร้านกรูถ้าไม่อยากตาย ไป!” อูยองโวยกลับทำท่าจะต่อยลูกค้าคนนั้นแต่ถูกมินจุนจับห้ามไว้แล้วเขาก็รีบขอโทษขอพายลูกค้าอย่างสุภาพจนลูกค้าขี้โวยวายคนนั้นยอมแพ้แล้วออกจากร้านไป อูยองเลยเดินกลับเข้าครัวอย่างไม่สบอารมณ์โดยมีมินจุนคอยให้บริการลูกค้าและเคลียร์ลูกค้าให้อยู่สภาพปกติก่อนเขาจะเดินเข้าไปในครัว
“นี่อย่าทำแบบนั้นกับลูกค้าสิ อย่าลืมว่าลูกค้าคือพระเจ้า” มินจุนบ่น
“แล้วไง ถ้าลูกค้าแบบนั้นฉันก็ไม่อยากได้”
“ก็!..” มินจุนกำลังจะเถียงกลับแต่เสียงของชานซองที่เดินเข้ามาขัดขึ้นสะก่อน
“ตั้งแต่ฉันมายังไม่เห็นคุณเลย คุณไปไหนอูยอง”ชานซองถามอูยอง
“วันนี้คุณบอกว่าไม่สบายเลยขอลาหยุด” อูยองตามความจริง ทันทีที่ชานซองรู้ก็รีบวิ่งออกไปจากร้านทันที “อะไรวะไอ้พวกนี้ ชอบทิ้งฉันไว้อยู่ที่ร้านคนเดียวตลอด!” อูยองบ่นพึมพำ
“ใครบอกว่าคนเดียว มีพี่อีกคนไง” มินจุนเสนอตัวหน้ายิ้มแป้นแล้น
“คุณไม่นับ!”
ทันทีที่ชานซองขับรถมาถึงหน้าบ้านของนิคคุณเขาก็รีบลงจากรถกดออดหน้าบ้านเสียงดังแต่ก็ไม่มีใครเปิด หรือว่านิคคุณจะเป็นอะไรไป เขาเป็นห่วงนิคคุณมากจริงๆ
“คุณ! คุณ! นายอยู่รึป่าวคุณ!!” ชานซองตะโกนเสียงดังอยู่นาน แต่สุดท้ายคนในบ้านก็ยอมเปิดปากพูดออกมา แต่นิคคุณก็ยังไม่ยอมเปิดประตูบ้าน
“กลับไปเถอะชานซอง ฉันอยากพักผ่อน” นิคคุณพูดเสียงเบากับชานซองโดยมีประตูกั้นพวกเขาทั้งสองอยู่
“เปิดประตูสิคุณ อย่าหลบหน้าฉัน”
“ฉันไม่ได้หลบหน้านายสักหน่อย ฉันอยากพักผ่อนจริงๆ ได้โปรดกลับไปเถอะน่ะ” นิคคุณยังยืนยันคำเดิม
“คุณฉันขอโทษ ฉันจะไม่ทำแบบนั้นกับนายอีกคุณ ส่วนพี่แทคยอนฉันขอโทษแทนเขาเอง อย่าหลบหน้าฉันแบบนี้เลยนะคุณ” ชานซองขอร้องอ้อนวอนนิคคุณ เขาไม่อยากให้นิคคุณเมินเขา เขาอยากให้นิคคุณอยู่กับเขาตลอดเวลา
“ฉันไม่เป็นอะไรชาน พรุ่งนี้เจอกันที่มหาลัยนะ ฉันอยากพักผ่อน”
“คุณ!” ชานซองตะโกนเรียนนิคคุณครั้งสุดท้ายแล้วนิคคุณก็ไม่ตอบเขาอีกเลย ชานซองตัดสินใจเดินออกมาแล้วขับรถออกไป ชานซองรู้สึกผิดที่พี่ชายเขาพูดจาแบบนั้นกับนิคคุณ มีแต่เขาและอูยองเท่านั้นที่เข้าใจและรู้เรื่องของนิคคุณดีกว่าใคร
นิคคุณเป็นลูกของผู้หญิงขายตัวที่ไม่มีปัญญาเลี้ยงเลยเอามาทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมารับเลี้ยงนิคคุณไป พออยู่มัธยมพ่อแม่เลี้ยงของนิคคุณเกิดหนี้ท่วมหัวตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้ ทำให้ชีวิตของนิคคุณลำบากตั้งแต่นั้นมา เขาต้องทำงานเลี้ยงดูตัวเองมาตลอด พอทำงานก็ถูกผู้จัดการร้านเอาเปรียบแล้วยัดเยียดข้อหาลักขโมยสินค้าในร้าน มันก็แค่ชะตากรรมของผู้ชายตาดำๆคนหนึ่ง เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆที่พี่ชายของเขาจะต้องไปดูถูกดูแคลนนิคคุณนักหนา
ชานซองหักพวงมาลัยรถเลี้ยงเข้าไปที่ลานจอดรถของซุปเปอร์มาเกตแห่งหนึ่งก่อนจะไปที่คอนโดนเขาจะต้องซื้อของกินของใช้และเครื่องดื่มเอาไปไว้ติดห้องสักหน่อย ระหว่างที่เขากำลังเลือกซื้อสินค้าอย่างเพลิดเพลินสายตาอันแหลมคมของเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนที่เขายังไม่ลืม
“นายอยากกินอะไร อยากได้อะไรก็หยิบตามสบายเลยนะ” ซึลลองที่กำลังเข็นรถเข็นในซุปเปอร์มาเกตบอกอีกคนให้เลือกสินค้าตามใจชอบ
“ครับ^^” ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความสุขดีแต่ทว่าความสุขสงบจะหดหายไปเมื่อมีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาทักอย่างบุ่มบ่าม
“นี่นาย! เรายังคุยกันไม่จบนะ!!” ชานซองเดินเข้ามาทักจุนโฮแล้วยังพูดจาหาเรื่องใส่จนซึลลองมายืนบังตัวจุนโฮให้ไปอยู่ด้านหลังของเขาไว้
“นายเป็นใคร!”ซึลลองถาม
“ก็ลองถามคนข้างหลังนายสิ รู้ไหมว่ารถฉันเกือบจะยกเครื่องใหม่น่ะห่ะ ค่าซ่อมบำรุงมันไม่ใช่ถูกๆนะ บ้ารึเปล่าที่วิ่งมาตัดหน้ารถฉันอยากตายก็ไปตายที่อื่นสิอย่ามาเดือดร้อนคนอื่นเขา!”ชานซองโวยเป็นชุดสาดใส่หน้าซึลลองที่ยืนบังจุนโฮอยู่ ซึลลองงุนงงกับอีกคนเลยหันไปมองจุนโฮแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น จุนโฮไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่เดินเข้าไปใกล้กับชานซองแล้วขอโทษ
“ผมขอโทษครับ” จุนโฮโค้งขอโทษอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนชานซองจะยังไม่พอใจ
“ขอโทษอย่างเดียวเนี่ยนะ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
“…” ซึลลองเห็นท่าไม่ดีจึงพูดแทรก
“นายก็ดูรวยดีนี่ รถนายก็แค่เกือบพังยังไม่พังสักหน่อยนิ อย่ามาหาเรื่องเลยพ่อหนุ่ม”
“แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย!” ชานซองสวนกลับ
“เกี่ยวสิ ฉันเป็นพี่ชายเขา! แล้วก็เป็นตำรวจด้วยถ้าไม่อยากมีเรื่องเข้าคุกก็อย่ามาทำตัวลุ่มล่ามกับน้องฉันจำไว้!” ซึลลองตัดสินใจเดินลากจุนโฮหนีชานซองไป ชานซองยืนมองอย่างเหยียดๆ
“เหอะ! อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่ายๆ ก็อิแค่ตำรวจกระจอกๆ”
แทคยอนเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องดูแลทุกอย่างของครอบครัวแม้กระทั่งเรื่องน้องชายตัวเอง ลังแค่เรื่องธุรกิจที่บริษัทก็หนักอกหนักใจเขามาเกือบทั้งชีวิต นี่เขาจะต้องมาหนักใจกับเรื่องน้องชายตัวเองอีก ชีวิตนี้เขาแทบจะหาความสุขที่แท้จริงเลยไม่ได้ด้วยซ้ำ
แทคยอนตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนของน้องชายตัวเองที่ตอนนี้เก็บข้างเก็บของย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดหนีเขาไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เขาเดินไปกะว่าจะเดินสำรวจห้องน้องชายตัวเองก็ต้องชะงกลงเพราะเท้าของเขากลับไปเหยียบอะไรบางอย่างที่น้องชายเขาทำตกหล่นเอาไว้ เขาก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาจากปลายเท้า มันคือภาพถ่ายพิธีจบการศึกษาของชานซอง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นรูปคู่ของชานซองและนิคคุณที่ยิ้มล่ากับการจบมัธยม งานที่เขาไม่ได้ไปร่วมยินดีกับน้อยชายตัวเองเพราะเขาติดประชุมที่ต่างประเทศกับพ่อ มันไม่แปลกที่ชานซองจะไม่ชอบขี้หน้าเขากับพ่อเพราะเขากับพ่อไม่เคยมีเวลาให้ชานซองเลย
ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของชานซองมันทำให้เขายิ้มได้ โดยเฉพาะยิ้มบางนั่นมันดูอ่อนโยนและน่าหลงใหล รอยยิ้มนี้สินะที่ทำให้น้องชายเขาหลงใหลแม้แต่เขาเองที่เผลอยิ้มตาม แทคยอนสะบัดความคิดเมื่อกี้นี้ทิ้งไปก่อนจะพลิกดูด้านหลังภาพถ่าย หลังภาพถ่ายมีข้อความบางอย่างที่ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของน้องชายเขา
‘ถ้าไม่มีนายฉันคงจะเรียนไม่จบแน่คุณ ^^’ มันเป็นข้อความที่เอ็นดู
แทคยอนหยิบมือถือของตนเองขึ้นมาแล้วกดเบอร์คนสนิทก่อนจะกดโทรออก
[ครับนาย]
“นายช่วยไปสืบประวัติเด็กนั่นมาใหม่อย่างละเอียด แล้วรีบส่งมาให้ฉันด้วย” แทคยอนกดสายทิ้งแล้วกลับทำหน้าเครียดเช่นเดิม
“ฉันจะหาวิธีทำให้น้องชายฉันไม่อยากเหยียดกายเข้าใกล้นายอีก นิคคุณ”
เป็นอีกวันหนึ่งที่ชานซองไม่มีกระจิดกระใจเรียนหรือไม่มีกระจิดกระใจจะทำอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่นิคคุณทำตัวเย็นชาใส่เขาแถมหลบหน้าเขาอีก ไหนบอกว่าเจอกันที่มหาลัยไงตอนนี้ยังไม่เห็นหัว ชานซองบ่นในใจเพราะตอนนี้เขาเข้าห้องมานั่งเรียนแล้วแต่ยังไม่เห็นร่างบางมาเรียนเลย
“คุณมาสายนะนักศึกษา ผมคงจะต้องหักคะแนนจิตพิสัยคุณ”
“ครับ” อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องเตือนนักศึกษาคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องเรียนสายซึ่งกินเวลาไปเกือบสี่สิบนาที ชานซองหันไปมองว่าเป็นใครก็ทำให้ตาเขาลุกวาว นิคคุณกล่าวขอโทษอาจารย์หน้าห้องแล้วรีบเดินมานั่งข้างๆ ชานซองทันที รอยยิ้มบางที่คุ้นเคยถูกส่งมายังชานซองเหมือนเดิมตามปกติ
“นายมาสาย” ชานซองดุใส่ นิคคุณเงียบไม่ตอบเขาแต่หันหน้ามายิ้มให้อย่างทะเล้น
“เรียนคาบนี้เสร็จไปหาไอติมกินกันเหอะ” นิคคุณเอ่ยปากชวนมีหรือชานซองจะไม่ตกลง เขาดีใจเหลือเกินที่นิคคุณยังส่งรอยยิ้มแสนสดใสนั่นให้เขาเหมือนเคย
“เอิ๊ก!~ แหะๆ”
“อี๋ น่าเกลียด~” ชานซองโวยใส่นิคคุณที่นั่งเรอหลังจากสวาปามไอติมไปตั้งสามถ้วยกับขนมปังอีกสองก้อนแล้วก็โกโก้เย็นอีกแก้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่านิคคุณจะทำแบบนี้
“แหม ทำเป็นรังเกียจ” นิคคุณแลบลิ้นปริ้นตามส่เรียกรอยยิ้มจากปากหนาได้ไม่ยาก
“ฉันดีใจมากกว่า”
“หืม ดีใจเรื่องอะไร” นิคคุณตาโตถามชานซอง
“ดีใจที่นายยังเป็นปกติไม่หลบหน้าฉันไง” ชานซองเอ่ยน้ำเสียงน้อยใจใส่ นิคคุณนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มบางให้ชานซอง
“ช่างมันเถอะ วันนี้นายก็ไปเรียนพิเศษหรือไปอ่านหนังสือสะล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยงานที่ร้านก่อน ไว้เสาร์อาทิตย์จะติวให้”
“ไม่!”
“…”
“เห็นฉันแบบนี้ฉันเรียนเก่งนะ ฉันจะกลับไปทำงานที่ร้านเหมือนเดิมส่วนเรื่องที่นายติวให้ฉันวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังเหมือนเดิม” ชานซองปฏิเสธเสียงแข็งคะยั้นคะยอว่าเขาจะไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่เหมือนเดิม เขาอยากใช้เวลาอยู่กับนิคคุณให้มากที่สุดก่อนที่จะไม่มีโอกาส
“ก็แล้วแต่ มื้อนี้นายเลี้ยงนะ ^^” นิคคุณยิ้มแล้วเดินปรี่ออกไปจากร้านปล่อยให้ชานซองต้องรีบเช็คบิลแล้วตามร่างบางไป
“อืม จ๊ะไม่ต้องห่วง อืมแค่นี้นะ” นิคคุณกดวางสายหลังจากปลายสายพึ่งโทรมาบอกเขาว่าเข้าร้านไม่ได้เพราะมีเรียนทั้งวัน เลยทำให้ที่ร้านตอนนี้ไม่มีเชฟอยู่มีแต่พนักงานอย่างเขา ชานซองและพี่มินจุน
“อูยองว่าไง” ชานซองถามขณะปัดกวาดเช็ดถูร้าน ตอนนี้ลูกค้ายังไม่เข้าสักราย
“บอกว่ามีเรียนทั้งวันน่ะ แต่ก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะเค้กที่อูยองทำก็มีมากพออยู่แล้ว” นิคคุณอธิบายก่อนจะไปช่วยชานซองอีกแรง
“พี่มินจุน ตอนนี้ชานซองจะกลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว พี่ไม่ต้องมาก็ได้นะครับ” นิคคุณบอกมินจุนที่กำลังจัดเค้กในตู้
“ไม่ล่ะ พี่เหงาอยู่กับพวกนายสนุกดีแถมได้เงินเดือนด้วย ฮะๆ”
“อยู่กับพวกผมสนุกดีหรือทะเลาะกับอูยองสนุกกันแน่พี่” ชานซองเอ่ยแซว เพราะเขาเห็นว่ามินจุนชอบทะเลาะกับอูยองอยู่บ่อยๆ ก็ไม่แปลกเพราะอูยองกับมินจุนนิสัยต่างกันสุดขั้วคนหนึ่งก็ร้ายไม่ยอมใครอีกคนหนึ่งก็สุขุมนุ่มลึกไม่แปลกที่จะทะเลาะกัน
“เชิญคุณลูกค้าครับผม^^” นิคคุณเห็นลูกค้าเดินเข้ามาร้านก็รีบวิ่งไปต้อนรับอย่างอารมณ์ดี ลูกค้าเป็ยหนุ่มสูงโปร่งสีผิวตัดกับเสื้อผ้าสีฟ้าที่เขาสวมแต่ยิ่งมองก็ยิ่งดูอบอุ่น
“เอ่อที่นี่รับห่อกลับบ้านรึเปล่าครับ” ลูกค้าหนุ่มที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจเอ่ยถามนิคคุณอย่างสุภาพ
“ครับ ต้องการอะไรบอกได้เลยครับทางร้านเราอร่อยทุกอย่างครับ^^”นิคคุณรีบพาคุณลูกค้าไปที่ตู้เค้กเพื่อให้ลูกค้าเลือกเค้กได้ตามใจชอบ ชายหนุ่มเลือกเค้กวนิลาสุดคลาสสิคและบลูเบอรี่ชีสเค้กให้นิคคุณห่อกลับบ้าน นิคคุณรับบริการลูกค้าอย่างเต็มใจด้วยรอยยิ้มบางตลอดเวลา
“คุณน่ารักดีนะครับ” ลูกค้าหนุ่มเอ่ยปากชมนิคคุณ นิคคุณเพียงยิ้มขอบคุณกับคำชม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมจากปากผู้ชายด้วยกัน
“ผมรู้สึกคุ้นเคยกับคุณจัง ผมเคยรู้จักคุณหรือเปล่าครับ”
“ไม่นี่ครับ ได้แล้วครับ” นิคคุณปฏิเสธก่อนจะยื่นกล่องที่บรรจุเค้กให้ลูกค้าตำรวจคนนั้น
“แต่ผม….” แต่ดูเหมือนลูกค้าตำรวจจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนอยากจะรู้ให้ได้ว่าเขาเคยรู้จักมักคุ้นกับร่างบางหรือเปล่าแต่ก็ถูกอีกคนขัด
“มุกนี้เก่าล่ะคุณตำรวจ!อ่ะนี่นาย!” ชานซองขัดขึ้นเพราะได้ยินมานานล่ะ จะจีบนิคคุณฉันก็ใช้มุกที่ใหม่กว่านี้ก็ไม่ได้เขาเลยจัดการเดินเข้ามาขัดสักหน่อย แต่ก็ต้องชะงักเพราะคนที่เข้ามาจีบนิคคุณคือคนเดียวกับที่บอกเขาที่ซุปเปอร์มาเกตว่าเป็นตำรวจและเป็นพี่ชายของเด็กที่วิ่งตัดหน้ารถเขาในวันนั้น
“อ่าวนาย!” ซึลลองเองก็แปลกใจที่เห็นชานซองเช่นกัน
“เป็นตำรวจแล้วมาเที่ยวไล่จีบคนอื่นเขาแบบนี้มันไม่ดีนะครับคุณตำรวจ” ชานซองหาเรื่อง
“ฉันไม่ได้จีบ! แต่ฉันเหมือนเคยเห็นเขาจริงๆ!” ซึลลองเถียง
“เอ่อ พอก่อนๆ นี่เงินทอนครับ” นิคคุณเห็นจนทนไม่ไหวกลัวว่าชานซองจะไปมีเรื่องกับลูกค้าก็เลยขัดแล้วยื่นเงินทอนไปให้ซึลลอง
“ครับ ไว้ผมจะแวะมาใหม่นะ” ซึลลองเองก็ไม่อยากมีเรื่องจึงรับเงินทอนมาแล้วรีบเดินออกไป ชานซองเห็นแล้วแถบปรี่เข้าไปมีเรื่องอีก
“นี่ เขาเป็นตำรวจเลยนะชานซอง” นิคคุณบ่นที่เพื่อนตัวเองชอบหาเรื่องไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งตำรวจหรือลูกค้า
“ตำรวจแบบนี้น่าหมันไส้นัก นายเองก็ระวังไว้นะ ถ้ามันมาเมื่อไรรีบเรียกฉันเข้าใจไหม!” ชานซองกำชับเพราะเขาไม่ไว้ใจตำรวจคนนี้ก่อนจะเดินไปเช็ดกระจกตามเดิม นิคคุณมองชานซองแล้วส่ายหัวที่เห็นชานซองเหมือนเด็กหวงของไม่มีผิด
พอลูกค้าในร้านเริ่มบางตาเพราะตอนนี้เวลาก็ปาไปสามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้ว มินจุนเลยขอตัวออกมาสูดอากาศข้างนอกร้านพร้อมกับสูบบุหรี่กลิ่นมิ้นท์ไปพลางๆ
“ไงพี่ เหงาปากเหรอไม่มีคนทะเลาะด้วย” ชานซองเดินออกมาสูดอากาศเช่นกันเอ่ยทักมินจุน
“อืม จะว่างั้นก็ได้ แล้วแกก็อย่าไปบอกล่ะว่าฉันเป็นใคร” มินจุนกำชับชานซองว่าห้ามไปบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้อูยองฟังเด็ดขาด
“รู้แล้วน่า แต่ก่อนอื่นพี่ต้องไม่สูบบุหรี่ให้อูยองมันเห็นล่ะ” ชานซองยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วหยิบบุหรี่ของมินจุนออกจากปากทิ้งลงพื้นแล้วเอาเท้าขยี้
“เห่ยทำไรเนี่ย!” มินจุนตกใจ
“มันไม่ชอบคนสูบบุหรี่ มันเห็นทีไรน่ะ มันก็กระโดดถีบปากทุกรายไป” ชานซองบอกยิ้มๆ
“ทำไมวะ!?”
“มันบอก มันเหม็น”
“…” ชานซองตอบยิ้มๆ แล้วเดินเข้าร้านไป มินจุนกระตุกยิ้มตามแล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมา คนบ้าอะไรจะฮาร์ดคอร์ขนาดนั้นว่ะ
“แน่ใจนะคุณ” ชานซองที่เอาแต่คะยั้นคะยอร่างบางว่าจะขับรถไปส่งที่บ้านแต่ร่างบางก็ไม่ยอมปฏิเสธอยู่ตลอด
“มันดึกแล้วนะ อันตราย” ชานซองหาสารพัดเหตุผลที่จะทำให้เขาไปส่งนิคคุณให้ได้ เขาเป็นห่วงนิคคุณจริงๆ แต่นิคคุณก็ไม่วายที่จะปฏิเสธเขาอีกรอบแล้วรอบเล่า จนสุดท้ายชานซองก็ต้องขับรถของตัวเองออกไปแล้วทิ้งนิคคุณปิดร้านเป็นคนสุดท้าย
ร่างบางสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆที่เขาใส่ไปเรียนกับสะพายกระเป๋าเป้สีแดงคู่ใจเดินจากหน้าร้านเบเกอรี่ที่เพิ่งปิดไปของตัวเองพร้อมๆ กับเดินคิดไปด้วยว่าจะเดินกลับหรือจะนั่งรถแท็กซี่กลับดี แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินกลับเพราะบ้านก็ไม่ได้ไกลมากนักแถมค่ารถแท็กซี่ก็แพง ร่างบางได้ยินเสียงข้อความเข้าในมือถือแล้วหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นข้อความของชานซอง
‘กลับบ้านดีๆล่ะ มีอะไรก็รีบโทรมา’
ร่างบางยิ้มบางให้กับโทรศัพท์ตัวเองแล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดังเดิม ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยมืดเปลี่ยวที่เป็นทางไปบ้านของเขา ไฟสองข้างทางแทบจะไม่ได้ช่วยให้ทางสว่างขึ้นเลยเพราะหลอดไฟที่เก่าแก่เกินไป แต่ร่างบางก็ไม่พยายามคิดมากแล้วรีบเดินต่อไป
“อ๊ะ!!” อยู่ๆ ก็มีมือหนาที่เหม็นกลิ่นสาบเข้ามาปิดปากแล้วกระชากร่างบางเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง
“อื้อ อื้อ อื้อ!!!” นิคคุณดิ้นพล่านพยายามส่งเสียงร้องแต่ก็ไม่เป็นผล ชายแปลกหน้าที่มีรอยแผลเป็นอยู่เต็มหน้ามองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง
“หุบปากถ้าไม่อยากตาย!” แต่นิคคุณไม่ยอมแพ้เขายังคงดิ้นและพยายามส่งเสียงร้องแม้ว่าปากเขาจะถูกปิดอยู่ ชายคนนั้นทนไม่ไหวจัดการต่อยเข้าที่หน้าท้องและจัดการตบหน้าขาวจนเป็นรอยแดง ร่างบางทรุดฮวบลงกับพื้นเพราะความจุกและความเจ็บปวด น้ำตาที่เอ่ออยู่ในเบ้าตากำลังไหลลงอาบแก้ม
ชายแปลกหน้าคนนั้นเดินเข้ามาประชิดกับร่างบางที่นั่งทรุดอยู่กับพื้นก่อนจะจับและบีบคางแหลมให้เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วจัดการให้ร่างบางลุกขึ้นยืนเอาหลังพิงกับต้นไม้ข้างทาง ตากลมโตเหลือกขึ้นด้วยความเจ็บที่แรงบีบ
“เหยื่อของฉันวันนี้สวยจริงๆ” มันพูดขึ้นก่อนจะสัมผัสจูบน่ารังเกียจที่ปากบาง ร่างบางดิ้นไปมา ลิ้นเล็กพยายามหลบหนีลิ้นน่ารังเกียจ น้ำตาอุ่นๆไหลพรากอาบแก้มแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำอันสกปรกได้
“อ๊า!” ชายแปลกหน้าไม่อยากเสียเวลากับแรงดึงดันของร่างบางจัดการผลักร่างบางให้ล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงก่อนจะนั่งคร่อมทับแล้วก็เริ่มจูบปากบางอีกครั้งก่อนจะไล่ลงมาจูบคลึงที่ซอกคอขาวจนเป็นรอยแดงช้ำไปมด
ร่างบางภาวนาขอให้มีคนมาเห็นหรือเข้ามาช่วย ขอให้เรื่องที่เกิดกับเขาเป็นแค่ความฝัน อย่าให้มันเป็นความจริง เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยเขารังเกียจตัวเองที่อ่อนแอเกินไป ร่างบางขอให้การสัมผัสน่ารังเกียจนี้หยุดลง ขอให้มันเป็นแค่ความฝันด้วยเถิด
พลั่ก!!! ตุบ! ตุบ! ปึก!!
“คุณ! คุณ! คุณ! เป็นอะไรรึเปล่าคุณ!”
แหม่พ่อคุณแม่คุณชีวิตอะไรจะรันทดขนาดนี้ - -* (เพราะใครล่ะย่ะ)
เอาเป็นว่าโปรดติดตามตอนต่อไปนะเจ้าค่ะ อิอิ
ความคิดเห็น