ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic2PM:TK] ChocoNiLa มนต์รักเบเกอรี่

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter: 3 กลิ่นคาวของเค้กวนิลา

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 58









    แทค: ตัวอะไรเกาะหลังว่ะหนักจัง!~~



     

    ChocoNilaมนต์รักเบเกอรี่

    Chapter: 3 กลิ่นคาวของเค้กวนิลา

     

     

             

    เอี๊ยดดดดดด!!!!!!~~~~~~~~~~~~

     

              ชานซองเหยียบคันเร่งจนมิดรถสปอร์ตคันหรูสร้างรอยดำจนติดพื้นถนนเสียงของแรงเสียดทานระหว่างล้อและพื้นถนนดังแสบแก้วหูทั่วบริเวณ กลิ่นเบรกไหม้ส่งกลิ่นเหม็นจนต้องอุดจมูก  ชานซองลงมาดูสภาพรถตัวเองที่ตวัดเกือบชนรถอีกคันแต่ยังดีที่เขาหักหลบไปอยู่ข้างทางโดยไม่ได้ชนอะไร 

              ชานซองมองหาเด็กผู้ชายที่วิ่งตัดหน้ารถเขาเมื่อกี้นี้นอนเหวอตาค้างอยู่กับพื้นถนน

              “บ้ารึไงวิ่งตัดหน้ารถนะห่ะ!” ชานซองที่อารมณ์เสียอยู่เดิมก็ยิ่งทวีคูณความโมโหเป็นสิบเท่า แต่แทนที่เด็กคนนั้นจะรีบลุกขึ้นมาขอโทษกลับลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีไปหน้าตาเฉย ชานซองกำลังจะวิ่งไล่ตามอย่างเอาเรื่องแต่ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งวิ่งมากจากทางเดียวกันที่เด็กผู้ชายคนนั้นวิ่งมาตัดหน้ารถเขา กำลังวิ่งตามเด็กคนนั้นไป  ชานซองหัวเสียอย่างไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะตัดสินใจกลับเข้าไปในรถขับรถไปที่อู่เพื่อเช็คสภาพอย่างหัวเสีย

     

     

              ชายหนุ่มวิ่งหนีอย่างกระเจือกกระสน เขาจะต้องวิ่งไปให้ไกลที่สุดเพื่อเอาชีวิตรอด หากเขาถูกจับได้เขาจะต้องโดนจับแล้วถูกแยกเป็นชิ้นส่วนแน่ๆ  ชายหนุ่มภาวนาว่าเขาจะวิ่งหนีพ้นแต่ดูเหมือนคำขอของเขาจะไร้ผลเพราะเขาวิ่งมาเจอทางตันของซอกตึกใหญ่  กลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งตามมาจนทัน

              “โอ๊ยย!~

              “มานี่! แกจะไปไหน!” หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้นที่มีใบหน้าเป็นแผลเป็นทางยาวจากหน้าผากด้านซ้ายไปจนสุดคางด้านขวาเดินเข้ามากระชากผมของชายหนุ่มอย่างแรง

              “ปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่มีเงินใช้หรอก ได้โปรด โอ๊ยยย!~” ไอ้หน้าแผลเป็นจับชายหนุ่มกระชากแล้วผลักลงพื้นปูนเอาเท้าเหยียบเข้าที่หน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรง

              “ทำไมตอนแกขอเงินนายฉันไม่เห็นบอกเลยว่ะ ว่าไม่มีเงินจ่าย ทีตอนนี้มาบอกว่าไม่มีเงินจ่าย!” มันพูดเสียงดัง

              “ผมไม่ได้ขอ ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ” ชายหนุ่มร้องขอขณะที่ตัวเขาที่อยู่ใต้เท้าหนาขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้

    “เห่ย! พวกแกทำอะไร!” เสียงเข้มของผู้ชายอีกคนดังมาจากทางด้านหลังของพวกกลุ่มชายฉกรรจ์  ชายหนุ่มในคราบของชุดตำรวจสีฟ้ายืนมั่นมือเตรียมแตะด้ามปืนที่เอวหากพวกกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นตุกติก

    “เปล่านี่ครับคุณตำรวจ พวกผมก็เล่นละครกันส่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย” พวกมันพูดออกมาอย่างหน้าไม่อาย  แต่ดูเหมือนคุณตำรวจจะเชื่อสนิทในยอมละมือจากด้ามปืนที่เอวแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเดินออกไป ชายหนุ่มที่อยู่ใต้เท้าของไอ้หน้าแผลเป็นรู้สึกชาวาบบุญมีแต่กรรมบังจริงๆ

    “เหอะ! โง่จริงๆ” ไอ้หน้าแผลเป็นละสายตาจากตำรวจที่เดินหายไปแล้วหันมามองชายหนุ่มใต้เท้าตนอย่างเจ้าเล่ห์

     

    “แกว่าใครโง่นะ!” เสียงเข้มของตำรวจคนเดิมดังมาจากทางด้านหลังของพวกกลุ่มฉกรรจ์เช่นเดิม แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่มากันทั้งโรงพักเลยก็ว่าได้  ไอ้พวกชายฉกรรจ์วิ่งหนีกันจ้าละหวั่นแต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นฝีมือตำรวจไปได้

     

     

              ชายหนุ่มที่ตอนนี้สภาพจิตใจหดหู่อย่างเห็นได้ชัด เขากำลังนั่งจ้องโทรศัพท์อย่างไร้จุดหมาย

              “นี่ จะโทรไหม!” เสียงเข้มของตำรวจคนนั้นคนที่ช่วยเขาถามดุๆ ที่เห็นชายหนุ่มไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรสักคำตั้งแต่มาถึงโรงพักและก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์จะโทรก็ไม่โทร

              “พ่อแม่เธอล่ะ”

              “

              “มีญาติอยู่แถวนี้รึเปล่า”

              “

              “จำเบอร์ได้ไหม”

              “

              “ทำไมถึงโดนพวกนี้ทำร้าย”

              “

              “นี่! เป็นใบ้รึไง!” ตำรวจหนุ่มตวาดใส่ชายหนุ่มที่ไม่ว่าเขาจะถามอะไรก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาสักคำ  จนไอ้หน้าแผลเป็นที่อยู่ในห้องขังตะโกนกลับมาแทน

    “พ่อแม่มันไม่มีหรอกครับผู้กองซึลลอง”

              “แกรู้ได้ไง!” ซึลลองคือผู้กองหนุ่มที่มากฝีมือและประสบการณ์ ตั้งแต่เขาได้รับตำแหน่งเขาก็ได้จับไอ้พวกแก๊งเงินกู้เป็นสิบๆรายจนมาถึงไอ้หน้าแผลเป็นกับแก๊งพวกมันเป็นรายล่าสุด

              “ไอ้เด็กนี่มันแม่แต่พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง แถมพ่อเลี้ยงมันกู้เงินแก๊งผมมาไม่มีปัญญาจ่ายเลยกะว่าจะเอาไอ้เด็กนี่มาขายขัดดอก” ไอ้หน้าแผลเป็นตอบฉะฉาน ผู้กองหนุ่มซึลลองมองไอ้หน้าแผลเป็นด้วยสายตาเหยียดๆ เลวจริงๆ

              “เธอชื่ออะไร” ซึลลองนึกสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าที่จะต้องมีชะตากรรมอันแสนโหดร้ายแบบนี้

              “” แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมตอบ

              “ฉันรับรอง ไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก ฉันจะดูแลเธอเอง ฉันชื่อซึลลอง ฉันเองก็เคยมีน้องชายเหมือนนาย” ซึลลองพยายามพูดจาอ่อนโยนเผื่อว่าเด็กหนุ่มนี่อาจจะใจหายกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่ไว้ใจใครก็ได้

              “ผม….ผมชื่อ ลี จุนโฮ” ซึลลองมองยิ้มๆ ในที่สุดก็ยอมพูดเสียที

              “ดีมากไอ้น้อง ไม่ต้องกลัวตอนนี้นายมีพี่ชายเป็นตำรวจแล้วจำไว้!” ซึลลองลูบหัวของจุนโออย่างเอ็นดู  เขาเองก็เคยมีน้องชาย ถ้าไม่จากไปสะก่อนน้องชายเขาก็น่าจะอายุประมาณนี้ละ

     

     

     

     

              หลังจากให้สอบปากคำอยู่นานก็ได้เวลาปล่อยตัวจุนโอกลับบ้าน  จุนโฮเดินลงมากจากโรงพักด้วยจิตใจที่เลื่อนรอย เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เพราะตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรเลยสักอย่างแม้แต่พ่อแม่ที่รับเลี้ยงเขาจนสุดท้ายคนพวกนั้นก็เห็นเขาเป็นแค่เศษเนื้อชิ้นหนึ่ง

              “นี่ ไม่มีที่ไปเหรอ!?” ซึลลองเดินลงมาจากโรงพักในคราบที่เป็นพลเรือนทั่วไปเพราะเขาได้เวลาออกเวรแล้ว เขาสวมเพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนขาดๆสีดำและรองเท้าผ้าใบธรรมดาแทบไม่เหลือคราบของตำรวจเหลืออยู่เลย

              “” จุนโฮยืนนิ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

              “เงียบแบบนี้แสดงว่าไม่มีที่ไป มานี่!” ซึลลองลากแขนอีกคนให้เดินตามเขาไปที่รถเก๋งของเขา จุนโฮเดินตามอย่างง่ายดาย  ซึลลองอดคิดไม่ได้ว่าเด็กนี่อ่อนต่อโลกหรือใจง่ายกันแน่ที่ไม่ขัดขืนเขาเลย ก่อนที่เขาจะรีบขับรถออกไป

              ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงอพาร์ทเม้นท์ของซึลลอง  ห้องของเขาอยู่ที่ชั้นหกเป็นห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ถูกจัดไว้เป็นส่วนๆ แต่ก็ยังคงกลิ่นตัวผู้ชายโสด

              “นี่ห้องฉัน มันอาจจะแคบไปหน่อยหวังนายจะอยู่ได้นะ” ซึลลองเปิดประตูห้องให้จุนโฮเดินเข้าไปพร้อมกับวางข้าวของสัมภาระของเขาบนโต๊ะกินข้าว

              “” ถึงจุนโฮจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เขาก็ส่งสายตาเป็นนัยๆว่าพาเขามาทำไม

              “นายไม่มีที่ไปใช่ไหมล่ะ มาอยู่กับฉันก่อนก็ได้ ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก ฉันเอ็นดูเธอนะ ฉันเองก็เคยมีน้องชายแต่เขาถูกพรากด้วยฝีมือคนเลวๆ น้องชายฉันตายไปแล้ว  แต่ถ้าเขายังอยู่น่าจะอายุเท่าๆ นายนี่ละ  เออว่าแต่นายอายุเท่าไร” ซึลลองอธิบาย

              “21” จุนโฮตอบห้วนๆ

              “อืมเป๊ะเลยล่ะ^^”ซึลลองตอบยิ้มๆ แล้วเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน  แล้วออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้ายื่นให้จุนโฮ

              “ใส่ชุดฉันไปก่อนละกัน ไม่สิเรียกพี่ดีกว่า”

              “คุณไม่กลัวว่าผมจะเป็นขโมยเหรอ” อยู่ๆ จุนโฮก็ถามออกมาดื้อๆ  ซึลลองยกยิ้ม

              “ฉันเป็นตำรวจอย่าลืมสิ” คำตอบของซึลลองทำจุนโฮเองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

              “เรียกฉันว่าพี่นะ เธอจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรก็ได้ฉันเหงา” ซึลลองพูดยิ้มๆ ยกไหล่  จุนโฮเริ่มรู้สึกดีกับคนที่ชื่อว่าซึลลองมากขึ้น ทำให้บนใบหน้าเขามีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง  นายจะรู้บ้างไหมเนี่ยจุนโฮเวลานายยิ้มนายมีเสน่ห์ที่สุดเลย ซึลลองคิด

              “ครับ ผมจะเรียกว่าพี่ซึลลอง ขอบคุณนะครับพี่” ซึลลองโค้งขอบคุณซึลลอง เขาเองก็กำลังสับวนกับชีวิตตัวเองที่อยู่ๆ ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเขา  เขาจะไม่มีวันลืมเลย

     

     

     

              เช้าของวันรุ่งขึ้น คฤหาสน์แสนใหญ่โตที่เงียบสงบอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบสงัดเข้าไปใหญ่เป็นผลเนื่องมาจากการทะเลาะวิวาทของพี่น้องร่วมสายเลือกของแทคยอนและชานซองที่ตั้งแต่เมื่อวานเขาสองคนไม่มองหน้า ไม่สบตาหรือไม่พูดคุยอะไรเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง แม่บ้านเก่าแก่อย่างมินจีเองก็ทำอะไรไม่ได้

              ชานซองแบกเป้ใบใหญ่กับลังกระดาษเดินลงมาจากห้องของตัวเองกำลังจะเดินออกไปจากบ้านแต่ถูกทักจากใครบางคนที่เขาเคยเห็นครั้งแรกก็รู้สึกเกลียดขี้หน้าขึ้นมาทันทีนอกสะจากแฟนสาวของพี่ชายตัวเอง เจสสิกา

              “จะไปไหนเหรอชานซอง” เจ้าหล่อนถามเสียงหวานแลดูเหมือนเป็นห่วงเป็นใย แต่ความจริงแล้วเจ้าหล่อนแกล้งถามให้แทคยอนแฟนหนุ่มของตนได้ยิน  แล้วมันก็เป็นผลแทคยอนที่เดินตามหลังหล่อนมารีบจ้ำอ้าวมาหา

              “แกจะไปไหนชานซอง!” แทคยอนถามเสียงดุ

              “จะไปอยู่ที่คอนโด” ชานซองตอบห้วนๆ กำลังจะเดินหนีแต่ก็ถูกดื้อดึงจากพี่ชายตนเอง

              “แกต้องอยู่ที่นี่ แกอยู่ในความดูแลของฉัน” แทคยอนห้ามเสียงแข็งแต่ชานซองก็ไม่ใส่ใจ ในเมื่อใจเขาอยากจะไปใครก็ห้ามเขาไม่ได้

              “ถ้าไม่อยากให้ผมไป ก็เลิกกับยัยปากแดงนั่นสิ!” ชานซองทำปากพยักพเยิดไปทางเจสสิกาแล้วเป็นผล แทคยอนนิ่งเงียบ ยิ่งเจสสิก้าแล้วใหญ่แถบจะจ้องชานซองตาถลนออกมาจากเบ้า

              “ทำไม่ได้ละสิ ไปละ” ชานซองรีบเดินหนีขึ้นรถแม้แทคยอนจะวิ่งไล่ตามก็ไม่เป็นผล  แทคยอนตะโกนเสียงดังอย่างหัวเสียที่เขาทำอะไรหรือดูแลน้องชายตัวเองไม่ได้เลย  เจสสิการีบวิ่งเข้าไปปลอบโลมแทคยอนเพื่อให้อาการเครียดเบาลงด้วยรอยยิ้มเคลือบยาพิษ ดีสะอีกอะไรๆ จะได้ง่ายขึ้นเจสสิกาคิด

     

     

     

     

              ชานซองตัดสินใจขับรถแวะไปที่ร้านก่อนจะไปที่คอนโดเผื่อจะได้เจอร่างบางที่เขาคิดถึงมาตลอดทั้งคืน

              “อ่าว ชานแกมาทำไมไหนคุณบอกว่าแกเคร่งอ่านหนังสืออยู่” มินจุนรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเดียวกันทักขึ้นเมื่อเห็นชานซองเดินเข้ามาในร้าน

              “อืมม แต่ผมเบื่อ มาผมช่วย” ชานซองกำลังยื่นมือเข้าไปช่วยมินจุนที่กำลังเดินไปเสิร์ฟเค้กให้ลูกค้า

              “เดี๋ยวสิๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไป” มินจุนไล่ชานซองไปเปลี่ยนเสื้อผ้าค่อยมาทำงาน  ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปเสิร์ฟเค้กให้ลูกค้าตามปกติ

              ทุกอย่างดูราบรื่นดีขณะที่ชานซองเปลี่ยนเสื้อผ้า อยู่ๆ ก็มีลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งโวยวายเสียงดังมาจากมุมหนึ่งของร้าน

              “อะไรเนี่ย! รสชาติห่วยแตก แบบนี้มาเปิดร้านได้ไงวะ!” เสียงโวยวายเริ่มดังเป็นทวีคูณ มินจุนรีบวิ่งไปให้บริการกับชายผู้นั้นทันที  โดยอูยองที่อยู่ก้นครัวก็ได้ยินเสียงโวยวายจึงเดินออกมาจากครัวแล้วตรงปรี่ไปที่โต๊ะของลูกค้าคนนั้น

              “เกิดอะไรขึ้นครับคุณลูกค้า” มินจุนรีบเข้าไปรับหน้าอย่างสุภาพ

              “ก็เค้กร้านแกรสชาติห่วยแตก หมาไม่รับประทานแบบนี้! กล้าเปิดร้านได้ไงว่ะ!” เสียงโวยวายทำลูกค้าคนอื่นหันมามองเป็นตาเดียว  อูยองรีบเดินมาแล้วโวยกลับ

              “ฉันทำให้คนกินไม่ใช่หมากิน!

              “อ่อนี่แกเป็นเชฟใช่ไหม รู้ไว้สะด้วยรสชาติห่วยแตก!” ลูกค้ารายนั้นโวยวายหนัก

              “เออ ถ้าไม่อยากกินก็ไปไกลๆร้านกรูถ้าไม่อยากตาย ไป!” อูยองโวยกลับทำท่าจะต่อยลูกค้าคนนั้นแต่ถูกมินจุนจับห้ามไว้แล้วเขาก็รีบขอโทษขอพายลูกค้าอย่างสุภาพจนลูกค้าขี้โวยวายคนนั้นยอมแพ้แล้วออกจากร้านไป  อูยองเลยเดินกลับเข้าครัวอย่างไม่สบอารมณ์โดยมีมินจุนคอยให้บริการลูกค้าและเคลียร์ลูกค้าให้อยู่สภาพปกติก่อนเขาจะเดินเข้าไปในครัว

              “นี่อย่าทำแบบนั้นกับลูกค้าสิ อย่าลืมว่าลูกค้าคือพระเจ้า” มินจุนบ่น

              “แล้วไง ถ้าลูกค้าแบบนั้นฉันก็ไม่อยากได้”

              “ก็!..” มินจุนกำลังจะเถียงกลับแต่เสียงของชานซองที่เดินเข้ามาขัดขึ้นสะก่อน

              “ตั้งแต่ฉันมายังไม่เห็นคุณเลย คุณไปไหนอูยอง”ชานซองถามอูยอง

              “วันนี้คุณบอกว่าไม่สบายเลยขอลาหยุด” อูยองตามความจริง ทันทีที่ชานซองรู้ก็รีบวิ่งออกไปจากร้านทันที “อะไรวะไอ้พวกนี้ ชอบทิ้งฉันไว้อยู่ที่ร้านคนเดียวตลอด!” อูยองบ่นพึมพำ

              “ใครบอกว่าคนเดียว มีพี่อีกคนไง” มินจุนเสนอตัวหน้ายิ้มแป้นแล้น

              “คุณไม่นับ!

     

     

     

              ทันทีที่ชานซองขับรถมาถึงหน้าบ้านของนิคคุณเขาก็รีบลงจากรถกดออดหน้าบ้านเสียงดังแต่ก็ไม่มีใครเปิด หรือว่านิคคุณจะเป็นอะไรไป เขาเป็นห่วงนิคคุณมากจริงๆ

              “คุณ!  คุณ! นายอยู่รึป่าวคุณ!!” ชานซองตะโกนเสียงดังอยู่นาน แต่สุดท้ายคนในบ้านก็ยอมเปิดปากพูดออกมา แต่นิคคุณก็ยังไม่ยอมเปิดประตูบ้าน

              “กลับไปเถอะชานซอง ฉันอยากพักผ่อน” นิคคุณพูดเสียงเบากับชานซองโดยมีประตูกั้นพวกเขาทั้งสองอยู่

              “เปิดประตูสิคุณ อย่าหลบหน้าฉัน”

              “ฉันไม่ได้หลบหน้านายสักหน่อย ฉันอยากพักผ่อนจริงๆ ได้โปรดกลับไปเถอะน่ะ” นิคคุณยังยืนยันคำเดิม

              “คุณฉันขอโทษ ฉันจะไม่ทำแบบนั้นกับนายอีกคุณ ส่วนพี่แทคยอนฉันขอโทษแทนเขาเอง อย่าหลบหน้าฉันแบบนี้เลยนะคุณ” ชานซองขอร้องอ้อนวอนนิคคุณ เขาไม่อยากให้นิคคุณเมินเขา เขาอยากให้นิคคุณอยู่กับเขาตลอดเวลา

              “ฉันไม่เป็นอะไรชาน พรุ่งนี้เจอกันที่มหาลัยนะ ฉันอยากพักผ่อน”

              “คุณ!” ชานซองตะโกนเรียนนิคคุณครั้งสุดท้ายแล้วนิคคุณก็ไม่ตอบเขาอีกเลย  ชานซองตัดสินใจเดินออกมาแล้วขับรถออกไป  ชานซองรู้สึกผิดที่พี่ชายเขาพูดจาแบบนั้นกับนิคคุณ มีแต่เขาและอูยองเท่านั้นที่เข้าใจและรู้เรื่องของนิคคุณดีกว่าใคร

              นิคคุณเป็นลูกของผู้หญิงขายตัวที่ไม่มีปัญญาเลี้ยงเลยเอามาทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมารับเลี้ยงนิคคุณไป พออยู่มัธยมพ่อแม่เลี้ยงของนิคคุณเกิดหนี้ท่วมหัวตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้ ทำให้ชีวิตของนิคคุณลำบากตั้งแต่นั้นมา เขาต้องทำงานเลี้ยงดูตัวเองมาตลอด พอทำงานก็ถูกผู้จัดการร้านเอาเปรียบแล้วยัดเยียดข้อหาลักขโมยสินค้าในร้าน มันก็แค่ชะตากรรมของผู้ชายตาดำๆคนหนึ่ง เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆที่พี่ชายของเขาจะต้องไปดูถูกดูแคลนนิคคุณนักหนา

     

     

     

              ชานซองหักพวงมาลัยรถเลี้ยงเข้าไปที่ลานจอดรถของซุปเปอร์มาเกตแห่งหนึ่งก่อนจะไปที่คอนโดนเขาจะต้องซื้อของกินของใช้และเครื่องดื่มเอาไปไว้ติดห้องสักหน่อย  ระหว่างที่เขากำลังเลือกซื้อสินค้าอย่างเพลิดเพลินสายตาอันแหลมคมของเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนที่เขายังไม่ลืม

     

     

              “นายอยากกินอะไร อยากได้อะไรก็หยิบตามสบายเลยนะ” ซึลลองที่กำลังเข็นรถเข็นในซุปเปอร์มาเกตบอกอีกคนให้เลือกสินค้าตามใจชอบ

              “ครับ^^” ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความสุขดีแต่ทว่าความสุขสงบจะหดหายไปเมื่อมีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาทักอย่างบุ่มบ่าม

              “นี่นาย! เรายังคุยกันไม่จบนะ!!” ชานซองเดินเข้ามาทักจุนโฮแล้วยังพูดจาหาเรื่องใส่จนซึลลองมายืนบังตัวจุนโฮให้ไปอยู่ด้านหลังของเขาไว้

              “นายเป็นใคร!”ซึลลองถาม

              “ก็ลองถามคนข้างหลังนายสิ รู้ไหมว่ารถฉันเกือบจะยกเครื่องใหม่น่ะห่ะ ค่าซ่อมบำรุงมันไม่ใช่ถูกๆนะ บ้ารึเปล่าที่วิ่งมาตัดหน้ารถฉันอยากตายก็ไปตายที่อื่นสิอย่ามาเดือดร้อนคนอื่นเขา!”ชานซองโวยเป็นชุดสาดใส่หน้าซึลลองที่ยืนบังจุนโฮอยู่  ซึลลองงุนงงกับอีกคนเลยหันไปมองจุนโฮแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น  จุนโฮไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่เดินเข้าไปใกล้กับชานซองแล้วขอโทษ

              “ผมขอโทษครับ” จุนโฮโค้งขอโทษอย่างสุภาพ  แต่ดูเหมือนชานซองจะยังไม่พอใจ

              “ขอโทษอย่างเดียวเนี่ยนะ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”

              “” ซึลลองเห็นท่าไม่ดีจึงพูดแทรก

              “นายก็ดูรวยดีนี่ รถนายก็แค่เกือบพังยังไม่พังสักหน่อยนิ อย่ามาหาเรื่องเลยพ่อหนุ่ม”

              “แล้วนายเกี่ยวอะไรด้วย!” ชานซองสวนกลับ

              “เกี่ยวสิ ฉันเป็นพี่ชายเขา! แล้วก็เป็นตำรวจด้วยถ้าไม่อยากมีเรื่องเข้าคุกก็อย่ามาทำตัวลุ่มล่ามกับน้องฉันจำไว้!” ซึลลองตัดสินใจเดินลากจุนโฮหนีชานซองไป  ชานซองยืนมองอย่างเหยียดๆ

              “เหอะ! อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่ายๆ ก็อิแค่ตำรวจกระจอกๆ”

     

     

              แทคยอนเหนื่อยเหลือเกินที่จะต้องดูแลทุกอย่างของครอบครัวแม้กระทั่งเรื่องน้องชายตัวเอง ลังแค่เรื่องธุรกิจที่บริษัทก็หนักอกหนักใจเขามาเกือบทั้งชีวิต นี่เขาจะต้องมาหนักใจกับเรื่องน้องชายตัวเองอีก ชีวิตนี้เขาแทบจะหาความสุขที่แท้จริงเลยไม่ได้ด้วยซ้ำ

              แทคยอนตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนของน้องชายตัวเองที่ตอนนี้เก็บข้างเก็บของย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดหนีเขาไปเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่เขาเดินไปกะว่าจะเดินสำรวจห้องน้องชายตัวเองก็ต้องชะงกลงเพราะเท้าของเขากลับไปเหยียบอะไรบางอย่างที่น้องชายเขาทำตกหล่นเอาไว้  เขาก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาจากปลายเท้า มันคือภาพถ่ายพิธีจบการศึกษาของชานซอง  ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นรูปคู่ของชานซองและนิคคุณที่ยิ้มล่ากับการจบมัธยม งานที่เขาไม่ได้ไปร่วมยินดีกับน้อยชายตัวเองเพราะเขาติดประชุมที่ต่างประเทศกับพ่อ มันไม่แปลกที่ชานซองจะไม่ชอบขี้หน้าเขากับพ่อเพราะเขากับพ่อไม่เคยมีเวลาให้ชานซองเลย

              ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของชานซองมันทำให้เขายิ้มได้  โดยเฉพาะยิ้มบางนั่นมันดูอ่อนโยนและน่าหลงใหล รอยยิ้มนี้สินะที่ทำให้น้องชายเขาหลงใหลแม้แต่เขาเองที่เผลอยิ้มตาม  แทคยอนสะบัดความคิดเมื่อกี้นี้ทิ้งไปก่อนจะพลิกดูด้านหลังภาพถ่าย  หลังภาพถ่ายมีข้อความบางอย่างที่ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของน้องชายเขา

              ถ้าไม่มีนายฉันคงจะเรียนไม่จบแน่คุณ ^^’ มันเป็นข้อความที่เอ็นดู 

              แทคยอนหยิบมือถือของตนเองขึ้นมาแล้วกดเบอร์คนสนิทก่อนจะกดโทรออก

              [ครับนาย]

              “นายช่วยไปสืบประวัติเด็กนั่นมาใหม่อย่างละเอียด แล้วรีบส่งมาให้ฉันด้วย” แทคยอนกดสายทิ้งแล้วกลับทำหน้าเครียดเช่นเดิม

              “ฉันจะหาวิธีทำให้น้องชายฉันไม่อยากเหยียดกายเข้าใกล้นายอีก นิคคุณ”

     

     

     

     

     

             

              เป็นอีกวันหนึ่งที่ชานซองไม่มีกระจิดกระใจเรียนหรือไม่มีกระจิดกระใจจะทำอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่นิคคุณทำตัวเย็นชาใส่เขาแถมหลบหน้าเขาอีก  ไหนบอกว่าเจอกันที่มหาลัยไงตอนนี้ยังไม่เห็นหัว ชานซองบ่นในใจเพราะตอนนี้เขาเข้าห้องมานั่งเรียนแล้วแต่ยังไม่เห็นร่างบางมาเรียนเลย      

              “คุณมาสายนะนักศึกษา ผมคงจะต้องหักคะแนนจิตพิสัยคุณ”

              “ครับ” อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องเตือนนักศึกษาคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องเรียนสายซึ่งกินเวลาไปเกือบสี่สิบนาที ชานซองหันไปมองว่าเป็นใครก็ทำให้ตาเขาลุกวาว  นิคคุณกล่าวขอโทษอาจารย์หน้าห้องแล้วรีบเดินมานั่งข้างๆ ชานซองทันที  รอยยิ้มบางที่คุ้นเคยถูกส่งมายังชานซองเหมือนเดิมตามปกติ

              “นายมาสาย” ชานซองดุใส่ นิคคุณเงียบไม่ตอบเขาแต่หันหน้ามายิ้มให้อย่างทะเล้น

              “เรียนคาบนี้เสร็จไปหาไอติมกินกันเหอะ” นิคคุณเอ่ยปากชวนมีหรือชานซองจะไม่ตกลง เขาดีใจเหลือเกินที่นิคคุณยังส่งรอยยิ้มแสนสดใสนั่นให้เขาเหมือนเคย

     

     

              “เอิ๊ก!~ แหะๆ”

              “อี๋ น่าเกลียด~” ชานซองโวยใส่นิคคุณที่นั่งเรอหลังจากสวาปามไอติมไปตั้งสามถ้วยกับขนมปังอีกสองก้อนแล้วก็โกโก้เย็นอีกแก้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่านิคคุณจะทำแบบนี้

              “แหม ทำเป็นรังเกียจ” นิคคุณแลบลิ้นปริ้นตามส่เรียกรอยยิ้มจากปากหนาได้ไม่ยาก

              “ฉันดีใจมากกว่า”

              “หืม ดีใจเรื่องอะไร” นิคคุณตาโตถามชานซอง

              “ดีใจที่นายยังเป็นปกติไม่หลบหน้าฉันไง” ชานซองเอ่ยน้ำเสียงน้อยใจใส่ นิคคุณนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มบางให้ชานซอง

              “ช่างมันเถอะ วันนี้นายก็ไปเรียนพิเศษหรือไปอ่านหนังสือสะล่ะ เดี๋ยวฉันจะไปช่วยงานที่ร้านก่อน ไว้เสาร์อาทิตย์จะติวให้”

              “ไม่!

              “

              “เห็นฉันแบบนี้ฉันเรียนเก่งนะ ฉันจะกลับไปทำงานที่ร้านเหมือนเดิมส่วนเรื่องที่นายติวให้ฉันวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังเหมือนเดิม” ชานซองปฏิเสธเสียงแข็งคะยั้นคะยอว่าเขาจะไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่เหมือนเดิม  เขาอยากใช้เวลาอยู่กับนิคคุณให้มากที่สุดก่อนที่จะไม่มีโอกาส

              “ก็แล้วแต่ มื้อนี้นายเลี้ยงนะ ^^” นิคคุณยิ้มแล้วเดินปรี่ออกไปจากร้านปล่อยให้ชานซองต้องรีบเช็คบิลแล้วตามร่างบางไป

     

     

              “อืม จ๊ะไม่ต้องห่วง อืมแค่นี้นะ” นิคคุณกดวางสายหลังจากปลายสายพึ่งโทรมาบอกเขาว่าเข้าร้านไม่ได้เพราะมีเรียนทั้งวัน เลยทำให้ที่ร้านตอนนี้ไม่มีเชฟอยู่มีแต่พนักงานอย่างเขา ชานซองและพี่มินจุน

              “อูยองว่าไง” ชานซองถามขณะปัดกวาดเช็ดถูร้าน ตอนนี้ลูกค้ายังไม่เข้าสักราย

              “บอกว่ามีเรียนทั้งวันน่ะ แต่ก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะเค้กที่อูยองทำก็มีมากพออยู่แล้ว” นิคคุณอธิบายก่อนจะไปช่วยชานซองอีกแรง

              “พี่มินจุน ตอนนี้ชานซองจะกลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว พี่ไม่ต้องมาก็ได้นะครับ” นิคคุณบอกมินจุนที่กำลังจัดเค้กในตู้

              “ไม่ล่ะ พี่เหงาอยู่กับพวกนายสนุกดีแถมได้เงินเดือนด้วย ฮะๆ”

              “อยู่กับพวกผมสนุกดีหรือทะเลาะกับอูยองสนุกกันแน่พี่” ชานซองเอ่ยแซว เพราะเขาเห็นว่ามินจุนชอบทะเลาะกับอูยองอยู่บ่อยๆ ก็ไม่แปลกเพราะอูยองกับมินจุนนิสัยต่างกันสุดขั้วคนหนึ่งก็ร้ายไม่ยอมใครอีกคนหนึ่งก็สุขุมนุ่มลึกไม่แปลกที่จะทะเลาะกัน

              “เชิญคุณลูกค้าครับผม^^” นิคคุณเห็นลูกค้าเดินเข้ามาร้านก็รีบวิ่งไปต้อนรับอย่างอารมณ์ดี  ลูกค้าเป็ยหนุ่มสูงโปร่งสีผิวตัดกับเสื้อผ้าสีฟ้าที่เขาสวมแต่ยิ่งมองก็ยิ่งดูอบอุ่น

              “เอ่อที่นี่รับห่อกลับบ้านรึเปล่าครับ” ลูกค้าหนุ่มที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจเอ่ยถามนิคคุณอย่างสุภาพ

              “ครับ ต้องการอะไรบอกได้เลยครับทางร้านเราอร่อยทุกอย่างครับ^^”นิคคุณรีบพาคุณลูกค้าไปที่ตู้เค้กเพื่อให้ลูกค้าเลือกเค้กได้ตามใจชอบ  ชายหนุ่มเลือกเค้กวนิลาสุดคลาสสิคและบลูเบอรี่ชีสเค้กให้นิคคุณห่อกลับบ้าน  นิคคุณรับบริการลูกค้าอย่างเต็มใจด้วยรอยยิ้มบางตลอดเวลา

              “คุณน่ารักดีนะครับ” ลูกค้าหนุ่มเอ่ยปากชมนิคคุณ นิคคุณเพียงยิ้มขอบคุณกับคำชม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับคำชมจากปากผู้ชายด้วยกัน

              “ผมรู้สึกคุ้นเคยกับคุณจัง ผมเคยรู้จักคุณหรือเปล่าครับ”

              “ไม่นี่ครับ ได้แล้วครับ” นิคคุณปฏิเสธก่อนจะยื่นกล่องที่บรรจุเค้กให้ลูกค้าตำรวจคนนั้น

              “แต่ผม….” แต่ดูเหมือนลูกค้าตำรวจจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนอยากจะรู้ให้ได้ว่าเขาเคยรู้จักมักคุ้นกับร่างบางหรือเปล่าแต่ก็ถูกอีกคนขัด

              “มุกนี้เก่าล่ะคุณตำรวจ!อ่ะนี่นาย!” ชานซองขัดขึ้นเพราะได้ยินมานานล่ะ จะจีบนิคคุณฉันก็ใช้มุกที่ใหม่กว่านี้ก็ไม่ได้เขาเลยจัดการเดินเข้ามาขัดสักหน่อย แต่ก็ต้องชะงักเพราะคนที่เข้ามาจีบนิคคุณคือคนเดียวกับที่บอกเขาที่ซุปเปอร์มาเกตว่าเป็นตำรวจและเป็นพี่ชายของเด็กที่วิ่งตัดหน้ารถเขาในวันนั้น

              “อ่าวนาย!” ซึลลองเองก็แปลกใจที่เห็นชานซองเช่นกัน

              “เป็นตำรวจแล้วมาเที่ยวไล่จีบคนอื่นเขาแบบนี้มันไม่ดีนะครับคุณตำรวจ” ชานซองหาเรื่อง

              “ฉันไม่ได้จีบ! แต่ฉันเหมือนเคยเห็นเขาจริงๆ!” ซึลลองเถียง

              “เอ่อ พอก่อนๆ นี่เงินทอนครับ” นิคคุณเห็นจนทนไม่ไหวกลัวว่าชานซองจะไปมีเรื่องกับลูกค้าก็เลยขัดแล้วยื่นเงินทอนไปให้ซึลลอง

              “ครับ ไว้ผมจะแวะมาใหม่นะ” ซึลลองเองก็ไม่อยากมีเรื่องจึงรับเงินทอนมาแล้วรีบเดินออกไป  ชานซองเห็นแล้วแถบปรี่เข้าไปมีเรื่องอีก

              “นี่ เขาเป็นตำรวจเลยนะชานซอง” นิคคุณบ่นที่เพื่อนตัวเองชอบหาเรื่องไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งตำรวจหรือลูกค้า

              “ตำรวจแบบนี้น่าหมันไส้นัก นายเองก็ระวังไว้นะ ถ้ามันมาเมื่อไรรีบเรียกฉันเข้าใจไหม!” ชานซองกำชับเพราะเขาไม่ไว้ใจตำรวจคนนี้ก่อนจะเดินไปเช็ดกระจกตามเดิม นิคคุณมองชานซองแล้วส่ายหัวที่เห็นชานซองเหมือนเด็กหวงของไม่มีผิด

     

     

     

              พอลูกค้าในร้านเริ่มบางตาเพราะตอนนี้เวลาก็ปาไปสามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้ว มินจุนเลยขอตัวออกมาสูดอากาศข้างนอกร้านพร้อมกับสูบบุหรี่กลิ่นมิ้นท์ไปพลางๆ

              “ไงพี่ เหงาปากเหรอไม่มีคนทะเลาะด้วย” ชานซองเดินออกมาสูดอากาศเช่นกันเอ่ยทักมินจุน

              “อืม จะว่างั้นก็ได้ แล้วแกก็อย่าไปบอกล่ะว่าฉันเป็นใคร” มินจุนกำชับชานซองว่าห้ามไปบอกตัวตนที่แท้จริงของเขาให้อูยองฟังเด็ดขาด

              “รู้แล้วน่า แต่ก่อนอื่นพี่ต้องไม่สูบบุหรี่ให้อูยองมันเห็นล่ะ” ชานซองยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วหยิบบุหรี่ของมินจุนออกจากปากทิ้งลงพื้นแล้วเอาเท้าขยี้

              “เห่ยทำไรเนี่ย!” มินจุนตกใจ

              “มันไม่ชอบคนสูบบุหรี่ มันเห็นทีไรน่ะ มันก็กระโดดถีบปากทุกรายไป” ชานซองบอกยิ้มๆ

              “ทำไมวะ!?

              “มันบอก มันเหม็น”

              “” ชานซองตอบยิ้มๆ แล้วเดินเข้าร้านไป มินจุนกระตุกยิ้มตามแล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมา คนบ้าอะไรจะฮาร์ดคอร์ขนาดนั้นว่ะ

     

     

     

              “แน่ใจนะคุณ” ชานซองที่เอาแต่คะยั้นคะยอร่างบางว่าจะขับรถไปส่งที่บ้านแต่ร่างบางก็ไม่ยอมปฏิเสธอยู่ตลอด

              “มันดึกแล้วนะ อันตราย” ชานซองหาสารพัดเหตุผลที่จะทำให้เขาไปส่งนิคคุณให้ได้ เขาเป็นห่วงนิคคุณจริงๆ แต่นิคคุณก็ไม่วายที่จะปฏิเสธเขาอีกรอบแล้วรอบเล่า  จนสุดท้ายชานซองก็ต้องขับรถของตัวเองออกไปแล้วทิ้งนิคคุณปิดร้านเป็นคนสุดท้าย

              ร่างบางสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆที่เขาใส่ไปเรียนกับสะพายกระเป๋าเป้สีแดงคู่ใจเดินจากหน้าร้านเบเกอรี่ที่เพิ่งปิดไปของตัวเองพร้อมๆ กับเดินคิดไปด้วยว่าจะเดินกลับหรือจะนั่งรถแท็กซี่กลับดี แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินกลับเพราะบ้านก็ไม่ได้ไกลมากนักแถมค่ารถแท็กซี่ก็แพง  ร่างบางได้ยินเสียงข้อความเข้าในมือถือแล้วหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นข้อความของชานซอง

              กลับบ้านดีๆล่ะ มีอะไรก็รีบโทรมา

              ร่างบางยิ้มบางให้กับโทรศัพท์ตัวเองแล้วเก็บมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดังเดิม  ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยมืดเปลี่ยวที่เป็นทางไปบ้านของเขา ไฟสองข้างทางแทบจะไม่ได้ช่วยให้ทางสว่างขึ้นเลยเพราะหลอดไฟที่เก่าแก่เกินไป แต่ร่างบางก็ไม่พยายามคิดมากแล้วรีบเดินต่อไป

              “อ๊ะ!!” อยู่ๆ ก็มีมือหนาที่เหม็นกลิ่นสาบเข้ามาปิดปากแล้วกระชากร่างบางเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง

              “อื้อ อื้อ อื้อ!!!” นิคคุณดิ้นพล่านพยายามส่งเสียงร้องแต่ก็ไม่เป็นผล ชายแปลกหน้าที่มีรอยแผลเป็นอยู่เต็มหน้ามองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง

              “หุบปากถ้าไม่อยากตาย!” แต่นิคคุณไม่ยอมแพ้เขายังคงดิ้นและพยายามส่งเสียงร้องแม้ว่าปากเขาจะถูกปิดอยู่ ชายคนนั้นทนไม่ไหวจัดการต่อยเข้าที่หน้าท้องและจัดการตบหน้าขาวจนเป็นรอยแดง  ร่างบางทรุดฮวบลงกับพื้นเพราะความจุกและความเจ็บปวด น้ำตาที่เอ่ออยู่ในเบ้าตากำลังไหลลงอาบแก้ม

              ชายแปลกหน้าคนนั้นเดินเข้ามาประชิดกับร่างบางที่นั่งทรุดอยู่กับพื้นก่อนจะจับและบีบคางแหลมให้เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วจัดการให้ร่างบางลุกขึ้นยืนเอาหลังพิงกับต้นไม้ข้างทาง ตากลมโตเหลือกขึ้นด้วยความเจ็บที่แรงบีบ

              “เหยื่อของฉันวันนี้สวยจริงๆ” มันพูดขึ้นก่อนจะสัมผัสจูบน่ารังเกียจที่ปากบาง ร่างบางดิ้นไปมา ลิ้นเล็กพยายามหลบหนีลิ้นน่ารังเกียจ น้ำตาอุ่นๆไหลพรากอาบแก้มแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำอันสกปรกได้

              “อ๊า!” ชายแปลกหน้าไม่อยากเสียเวลากับแรงดึงดันของร่างบางจัดการผลักร่างบางให้ล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงก่อนจะนั่งคร่อมทับแล้วก็เริ่มจูบปากบางอีกครั้งก่อนจะไล่ลงมาจูบคลึงที่ซอกคอขาวจนเป็นรอยแดงช้ำไปมด

              ร่างบางภาวนาขอให้มีคนมาเห็นหรือเข้ามาช่วย ขอให้เรื่องที่เกิดกับเขาเป็นแค่ความฝัน อย่าให้มันเป็นความจริง เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยเขารังเกียจตัวเองที่อ่อนแอเกินไป ร่างบางขอให้การสัมผัสน่ารังเกียจนี้หยุดลง ขอให้มันเป็นแค่ความฝันด้วยเถิด

     

    พลั่ก!!! ตุบ! ตุบ! ปึก!!

             

              “คุณ! คุณ! คุณ! เป็นอะไรรึเปล่าคุณ!

     

     

    แหม่พ่อคุณแม่คุณชีวิตอะไรจะรันทดขนาดนี้ - -* (เพราะใครล่ะย่ะ)

     

    เอาเป็นว่าโปรดติดตามตอนต่อไปนะเจ้าค่ะ อิอิ

     

     

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×