Sakurai_Jelly
ดู Blog ทั้งหมด

เปิดความคิด-มุมมองอาชีพ "ดีเจ-วีเจทรูมิวสิค"

เขียนโดย Sakurai_Jelly
Pic_1441

คลื่นลูกใหม่ในแวดวงบันเทิงเกิดขึ้นกันอยู่ทุกวัน ยิ่งในเวลานี้เวทีประกวดต่างๆ เพื่อเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ประดับวงการก็มีมากมายจนจำแทบไม่หมด แม้แต่ในวงการดีเจ-วีเจก็ยังมีการประกวดให้เห็นมากมายเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญก็คือเมื่อเข้ามาแล้วจะทำยังไงให้ได้อยู่ในวงการนี้ได้นานๆ วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ เลยชวนบรรดารุ่นพี่ ดีเจ-วีเจจากทรูมิวสิค มาร่วมโม้ เอ๊ย!! พูดคุยแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับอาชีพนี้ นำทีมโดย 2 ดีเจ-วีเจหนุ่มหน้าใส สอง-นพเก้า โกเจริญกิจ, น็อต-อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล และ 2 หนุ่มนักล่าฝัน AF3 ที่ผันตัวเองมาเป็นดีเจ-วีเจ ตูน-ธัชพล ชุมดวง, โด่ง-ศิระ รัตนโภคาสถิต ใครที่อยากเป็นดีเจ-วีเจ รีบเงี่ยหูฟังหนุ่มๆ เค้าพูดกันได้เร้ยย์

ที่มาที่ไปของการเป็นดีเจ-วีเจ?

สอง : ผมเป็นคนที่ผู้ใหญ่เลือกให้เป็นดีเจของทรูมิวสิค 93.5 เอฟเอ็ม คนสุดท้าย แต่ว่าเป็นวีเจคนแรกของทรูมิวสิคที่เป็นผู้ชาย มาทำงานตรงนี้ได้ 2 ปีแล้วครับ

น็อต :
คือจริงๆแล้วเนี่ยน็อตเป็นพิธีกรของทรูมิวสิคมาก่อนครับ ทีนี้ผู้ใหญ่เค้าเห็นแล้วอยากให้โอกาสเค้าก็ถามว่าลองเข้ามาเทสต์มั้ย เราก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ดีก็เลยลองเทสต์ดู เทสต์อยู่ 3 วันแล้วเค้าโทรมาบอกว่าให้ขึ้นจัดรายการเลยครับ มาทำได้ประมาณ 7-8 เดือนแล้ว

ตูน :
ตอนนั้นทางช่องทรูมิวสิคจะเปิดรายการเป็นรายการสดและเป็นคอนเวอร์เจ้นต์ทั้ง 3 ช่องทาง และเรียกพวกเราเอเอฟเข้าไปแคสหลายคนเหมือนกัน พอไปแคสมาก็มีโอกาสได้มาทำครับ ที่ทำอยู่คือรายการท๊อปฮิต เป็นรายการตอนเช้า ทำมาประมาณ 2 ปีกว่าๆ ซึ่งตูนก็ทำรายการตอนเช้ามาตลอดจนถึงตอนนี้

โด่ง : เริ่มต้นคือโด่งมาจากการเป็นเอเอฟก่อน และหลังจากนั้นก็มีผู้ใหญ่ให้โอกาสมาลองแคสเป็นวีเจ ซึ่งเราเป็นคนชอบพูดชอบคุยรักสนุกด้วย และพอดีกับพี่ที่ทรูมิวสิคกำลังจะเปิดคลื่นและอยากได้ดีเจ-วีเจที่มีคาแร็คเตอร์เป็นของตัวเอง รักการพูดและเสียงเพลง เลยมีโอกาสได้เข้ามาทำครับ ตอนนี้ทำมาได้ 2 ปีกว่าๆ แล้ว เป็นรุ่นที่แก่ที่สุดในทรูมิวสิคเลยก็ว่าได้


การเป็นดีเจ-วีเจ เปิดโอกาสให้เรามากน้อยแค่ไหน?

สอง : ทำให้เราได้เจอคนเยอะ เจอแฟนคลับ เจอผู้ฟังรายการ เจอศิลปินที่เรารู้สึกว่าชอบเค้าและมีโอกาสได้สัมภาษณ์ หรือบางทีเป็นศิลปินที่เราเคยมองเค้าในแง่ไม่ดีมาก่อน พอเราไปเจอเค้า ไปคุยกับเค้าก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด มันมีหลายเหตุการณ์หลายมุมมองที่เราได้เจอครับ

น็อต : อย่างแรกเป็นโอกาสในการทำงานด้านอื่นๆ ได้ทำงานพิธีกรด้วย ต้องขอบคุณทรูมิวสิคที่มอบโอกาสดีๆแบบนี้ให้น็อตแล้วก็ความกรุณาของผู้ใหญ่หลายๆท่าน ทั้งพี่ๆสต๊าฟ พี่ๆตากล้อง พี่ๆทุกคนที่เป็นเพื่อนร่วมงาน สอนน๊อต สอนสิ่งดีๆให้กับน๊อต แล้วก็ทำให้น๊อตได้มีความสามารถเพิ่มขึ้น

ตูน : การเป็นดีเจ-วีเจ เปิดโอกาสตูนได้ความรู้เรื่องเพลงมากขึ้น อย่างเมื่อก่อนตูนไม่ค่อยฟังเพลงไทยเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ตูนก็ต้องรู้จักเพราะมันเป็นกระแส ทำให้เรารู้ความเคลื่อนไหวในวงการดนตรี ได้รู้ในด้านอื่นๆเพิ่มขึ้นด้วย

โด่ง : ผมว่าอาชีพดีเจ-วีเจ ทำให้เรามีไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าดีขึ้น ได้ฝึกฝนการพูดอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญได้พบปะกับเพื่อนๆในวงการ ได้พบปะกับศิลปิน ทำให้เราได้รู้จักนักร้องในค่ายอื่นที่ไม่ใช่แต่เอเอฟอย่างเดียว ทำให้รู้จักกับนักแสดงดาราอีกหลายคน และก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากพี่ๆ ดาราด้วย



หลายคนมักคิดว่าที่จะอยู่ตรงนี้ได้มักจะใช้เส้น ตรงนี้เราคิดยังไง?

สอง : ผมผ่านการแคสติ้งงานทุกอย่างในวงการบันเทิง ทั้งพิธีกร นักแสดง ดีเจ วีเจ อย่างที่นี่มีระบบองค์กรที่ผู้ใหญ่วางแผนไว้ในการหาดีเจ วีเจที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละที่ก็อาจจะไม่เหมือนกัน ซึ่งเส้นที่เนี่ยผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่มี เพราะว่าผมเป็นคนไม่มีเส้น ผมเป็นเด็กที่มาจากต่างจังหวัดคนนึง และผมก็ก้าวเข้ามาอยู่จุดนี้ได้เพราะเราเดินเข้ามาคัดเลือกเหมือนกับทุกๆคน

น็อต : ผมว่าถ้าไม่รู้จริงอย่าพูดดีกว่า เพราะน็อตคิดว่าเรื่องความสามารถของแต่ละคนมันอยู่ข้างใน คุณต้องลองเปิดตา เปิดใจ เปิดโอกาสให้กับเค้า คือถ้าเค้าทำได้ งั้นก็เป็นโอกาสที่ดีที่เค้าควรจะได้รับ เราเข้ามาเพราะเรามีความสามารถ ตอนแรกๆมันอาจจะดูหนักไปบ้าง แต่มันเป็นจุดเริ่มของทุกคนน่ะ ไม่ใช่ว่าเข้ามาแล้วทุกคนจะเป็นทุกอย่าง มันต้องค่อยๆสั่งสมประสบการณ์กันไปกับอาชีพนี้

ตูน : มีเส้นมั้ยคงไม่มีอะครับ คือหลายคนอาจจะบอกว่าดูแล้วคนนี้ไม่เห็นเก่งเลยเข้ามาทำได้ไง ความจริงคนที่เข้ามาทำอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง แต่เป็นคนที่มีอะไรโดนตาโดนใจของกรรมการ ที่ถ้าเลือกมาแล้ว มันต้องมีอะไรในตัวแหละ อยู่ที่ว่ามันจะออกมาเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

โด่ง :
สำหรับผม ผมตอบได้ 100% ว่าไม่มีการยัดตังค์หรือว่าใช้เส้นเข้ามาแน่นอน แล้วที่บ้านผมไม่เคยมีใครทำอาชีพในวงการบันเทิง ครอบครัวผมเกิดมาจากตระกูลค้าขายมาโดยตลอด อย่างการเขยิบมาเป็นดีเจ วีเจ พวกผมทุกคนก็ต้องผ่านการแคสติ้ง ผ่านการแคสหน้ากล้องเหมือนกันทุกคน ไม่มีแบบอยู่ดีๆจะได้เข้ามาจัด ถึงแม้จะได้เป็นศิลปินเอเอฟแล้วก็ยังต้องมาแคสอยู่ครับ

คิดยังไงที่บางครอบครัวมักจะไม่อยากให้ลูกมาอยู่ตรงนี้ เพราะมองว่าเป็นงานที่ฉาบฉวย เสียคนได้ง่าย?

สอง : อยากบอกว่าสิ่งที่คุณคิดให้กับบุตรหลานมันอาจจะไม่เป็นไปตามที่คุณคิดเสมอไป เพราะคุณก็ไม่ได้เป็นคนที่รู้อนาคตว่าลูกคุณจะไปในทางทิศไหน และที่สำคัญถ้าลูกคุณชื่นชอบในสิ่งที่เค้าเป็นอยู่และไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมาย ผมว่าสนับสนุนเค้าเถอะครับ

น็อต : จริงๆแล้วต้องออกตัวก่อนเลยว่าบ้านน๊อตก็เป็นอย่างนั้น คือไม่เชิงสนับสนุนและก็ไม่เชิงกีดกัน แต่เค้าบอกว่าดูดีๆละกันนะลูก ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับตัวเองว่าจะเดินก้าวต่อไปหรือเปล่า หรือจะทำยังไงกับโอกาสที่ได้มา น็อตว่าลองทำดูก่อน ถ้าไม่ชอบหรือมันไม่ดียังไงค่อยเปลี่ยนใจก็ได้ เพราะฉะนั้นน๊อตคิดว่าถ้าเราได้โอกาสแล้วเราควรที่จะทำมันให้ดีที่สุดครับ

ตูน : ก็ยอมรับว่างานตรงนี้มันฉาบฉวยจริง มาไวไปไว แต่ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองด้วย อยากให้คุณพ่อคุณแม่สอนเค้าให้ดีว่าต้องทำตัวยังไง ให้มันอยู่ได้ยาว ทำยังไงให้เป็นเด็กน่ารัก มีความรับผิดชอบ ตูนคิดว่ามันต้องมีการฝึกลูกๆมากกว่านะครับ และงานตรงนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ถ้าใครมาทำงานตรงนี้ก็จะก้าวได้ไวกว่าคนอื่นมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความคิดความอ่าน ก็คือมันจะโตกว่าคนในวัยเดียวกัน โตกว่าคนที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานครับ

โด่ง : ผมว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าเราดูแลตัวเราเอง มีจิตใจที่ดี ทำงานด้วยความรักจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะสนับสนุนน้องๆในสิ่งที่เค้าทำ ผมคิดว่าอาชีพนี้มันมีข้อดีข้อเสียเหมือนทุกอาชีพ ไม่มีอาชีพไหนดี 100% แต่ถ้าเราเข้ามาในวงการนี้ เราก็เลือกแต่สิ่งที่ดีๆ เราก็เลือกดีเจ วีเจ ที่ประพฤติตัวดีมาเป็นแบบอย่าง ผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับสายอาชีพ ถ้าจิตใจเราคิดดีทำดี รักและมีความสุขกับงานที่เราทำ คิดว่าพ่อแม่ก็น่าจะเข้าใจครับ



แล้วที่บางคนมักคิดว่าการทำงานตรงนี้สบาย แค่แต่งตัวแต่งหน้าหล่อๆสวยๆ มาพูดๆ ให้จบๆ ไป เราคิดยังไง?

สอง : คิดง่ายๆเลยนะครับ การที่จะมาเป็นดารา นักแสดง หรือวีเจ ดีเจ ทุกคนเห็นหน้าคุณ คุณจะอ้วนไม่ได้เพราะฉะนั้นคุณต้องดูแลตัวเอง ต้องออกกำลังกายหนักกว่าคนอื่น ต้องระมัดระวังเรื่องการรับประทาน แล้วการเป็นดีเจวีเจนั้นจะต้องรักษาภาพลักษณ์ เพราะเดี๋ยวนี้ดีเจไม่ได้อยู่หลังไมค์อย่างเดียวแล้ว อยากให้เปลี่ยนทัศนคติสักหน่อยว่า การมีอาชีพนี้ก็เป็นอีกหน้าที่นึงที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน ซึ่งคุณก็มีหน้าที่รับผิดชอบของคุณนะครับ เพราะฉะนั้นมันคนละแบบกัน อย่าไปคิดอย่างนั้นเลยนะครับ

น็อต : ลองมาทำครับ แล้วจะรู้ว่ามันไม่ใช่หล่อสวย ไม่ใช่แค่พูดได้ก็ทำได้ คุณต้องเตรียมเรื่อง ต้องมีความรู้เรื่องเพลง ต้องคิดว่าจะแก้สถานการณ์เฉพาะหน้ายังไง ต้องรู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นยังไง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คุณไม่รู้อยู่แล้ว ซึ่งคุณจะต้องพยายามรับสถานการณ์ให้ได้ ต้องทำการบ้านอยู่ตลอด เชื่อว่าถ้าคนที่ได้เข้ามาลองทำแล้วเนี่ยจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่มายืนพูดมายืนหล่อยืนสวยอย่างเดียวเท่านั้น การบ้านเยอะครับ

ตูน : จริงๆ มันเหนื่อยนะ บางคนอาจคิดว่ามาถึงก็พูดเฉยๆ สคริปต์ก็มีให้ แต่เราไม่ได้อ่านตามสคริปต์อย่างเดียว เราก็ต้องมีสไตล์ของเรา ต้องจัดรายการให้ต่างกัน ซึ่งมันไม่ง่ายนะ อย่างการจัดวิทยุก็ต้องเรียนรู้ทั้งการจัด การใช้เครื่องมือ ส่วนการจัดทางทีวีก็ต้องมีไหวพริบที่ไวมากเพราะกล้องจับอยู่ตลอด แล้วสิ่งที่เห็นคือสคริปต์ที่ขึ้นอยู่บนข้างหน้า มีหลายครั้งที่เค้าเปิดสคริปต์ผิดแต่เราก็ต้องรันต่อไป ตรงนี้แหละที่ใช้ความสามารถในการแก้ปัญหา ซึ่งคนที่แก้ปัญหาได้เก่งมากๆถึงจะทำได้ครับ

โด่ง : อาจดูเหมือนว่าพวกเราได้เงินมาง่ายๆ แต่ความจริงพวกเราทุกคนต้องหาข้อมูล พวกผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ทุกวันนี้ยังต้องเรียนรู้ในการจัดรายการดีเจ-วีเจอยู่เลย ต้องพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วต้องดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา ต้องหัดอัพเดตข่าวสาร ไม่ใช่อยู่ดีๆก็ขึ้นไปพูดอย่างที่ทุกคนคิด อีกทั้งต้องทำตัวดีทั้งในงานและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับแฟนคลับด้วยครับ

การทำงานตรงนี้เราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอยู่เป็นประจำ มีวิธีรับมือกันยังไงบ้าง?

สอง : โดยส่วนตัวผมเจอเป็นประจำ ซึ่งยอมรับว่าแรกๆผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วฟีตแบคกลับมาไม่ดีเลย มันแย่มากที่ดีเจอารมณ์เสียใส่คนฟัง ซึ่งบอกได้เลยว่ามันเป็นเรื่องไม่ถูกต้องและผิดจรรยาบรรณ ผมโชคดีที่มีผู้ใหญ่ที่คอยดูแล มีรุ่นพี่ดีเจที่คอยสั่งสอน ตอนนี้ถ้าผมเจออย่างนี้ผมใช้วิธีเนียนไป พูดไปในทางไกล่เกลี่ยให้ดีให้เนียนที่สุด หรือไม่ก็ต้องใช้วิธีตัดให้เร็วที่สุดในการพูดกับเค้า

น็อต : จริงๆแล้วน๊อตคิดว่าอยู่ที่สถานการณ์ตรงนั้นมากกว่าว่ามันจะเข้ามายังไง แต่ถ้าเป็นน็อต น็อตจะพยายามไก่ลเกลี่ยให้มันโอเคที่สุด ให้เค้าก็โอเคแล้วเราก็โอเคด้วย

ตูน : ส่วนใหญ่ก็จะส่งซิกให้ตัดสายทิ้งไปเลย แล้วจะฟอร์มว่าสายหลุดว่าอะไรก็ว่าไป เพราะถ้านานเกินไปคนฟังเค้าจะรำคาญและรู้สึกว่าทำไมไม่ตัดสายทิ้งซะที (ไม่กลัวเค้าว่าเราใจร้ายเหรอ?) ไม่ครับ บางทีเราพยายามพูดแล้วแต่มันเกินเยียวยาครับ คือถ้าคนที่คิดว่าเราใจร้ายในความคิดตูนคือมีคนเดียวคือคนโทรเข้ามา แต่ถ้าเราดึงไว้ยาวกว่านี้คนที่ฟังอยู่ทั่วประเทศจะรำคาญเราแล้วจะไม่ฟังเราอีกเลยครับ

โด่ง : เราก็ต้องทำให้คนที่เราสนทนาอยู่ด้วยเนี่ยซอฟต์ลงมาให้ถึงจุดๆนึงที่สามารถให้คุณผู้ฟังรับฟังได้ ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้ภาษาที่ปลอบประโลมใจ และใช้คำพูดที่ดึงดูดใจหลายๆอย่างเพื่อให้รายการดำเนินต่อไปได้ และถ้าคุยไม่รู้เรื่องจริงๆเราจะต้องเป็นคนที่เฉียบขาด ตัดสาย เพื่อที่จะให้ตัดเข้าสู่เพลงได้ครับ



คิดว่าเราจะทำตรงนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน?

สอง : ผมขอบคุณผู้ใหญ่ที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ส่วนในอนาคตก็เป็นเรื่องทางเบื้องบนว่าเค้าจะไว้วางใจเราแค่ไหน โดยส่วนตัวแล้วก็ยังรักอาชีพนี้ ถ้าเค้าให้โอกาสก็ยังทำต่อไปเท่าที่เค้าจะไว้ใจให้เราทำ ก็จะทำให้ดีที่สุดครับ

น็อต : อนาคตเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ แล้วน๊อตก็คิดว่าตอนนี้มีงานทำอยู่ น็อตก็คิดว่าจะทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน แล้วถ้าสมมติว่าผู้ใหญ่คนไหนเห็นว่าเรามีความสามารถแล้วก็อยากให้โอกาสเรา เราก็ยินดีครับ

ตูน : ก็ต้องแล้วแต่ทางผู้ใหญ่จะให้โอกาส แล้วก็ตัวเราเองยังไหวอยู่ด้วยนะครับ เพราะว่าที่ตูนทำมันก็ค่อนข้างเช้า กินพลังงานเหมือนกัน ตอนนี้ก็ทำไปเรื่อยๆ ครับ

โด่ง : ถ้าฝึกทักษะทางด้านการพูดการฟัง พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา อัพเดทข้อมูลข่าวสาร หาอะไรสนุกๆ มาจัดให้คนฟังคนดูไม่เบื่อ ทำให้เค้ามีความสุขได้ ผมว่าอาชีพนี้น่าจะเป็นอาชีพที่เราอยู่กับมันได้ไปอีกนานทีเดียวครับ

ตอนนี้มีคลื่นลูกใหม่เข้ามาทำตรงนี้ก็เยอะ แล้วจะทำยังไงถ้าวันนึงไม่ได้ทำตรงนี้แล้ว?

สอง : ตรงนี้เราต้องยอมรับว่ามันเป็นวัฏจักร ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ผมเองอาจจะไปทำตามความฝันของผมซึ่งมันมีอีกหลายๆอย่างที่ผมอยากจะทำ? ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรืออาจจะไปทำกิจการส่วนตัวกิจที่บ้านผม ซึ่งบอกได้เลยว่าผมกลับไปอยู่บ้านผมสบาย ผมไม่ต้องดิ้นรนอะไรเลย แต่ผมบอกได้เลยว่าผมไม่ภูมิใจ ผมอยากหาเองด้วยพละกำลังและมันสมองที่มีอยู่ และด้วยผู้ใหญ่ให้โอกาส ณ ตรงนี้ครับ

น็อต : เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วจนถึงวันๆนึงที่คลื่นลูกใหม่มาแรงกว่า เราก็โอเค ถือว่าหมดยุคของเราแล้ว จริงๆน็อตคิดว่าชีวิตของเรามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำงานหรือต้องยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไป ไม่ใช่แค่ว่าอาชีพนี้อย่างเดียว อาชีพอื่นก็เป็น น็อตคิดว่าการเรียนหรือการมีความรู้อยู่ในตัวเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา มันจะทำให้เราทำอะไรก็ได้ สมมติว่าเราทำงานทางด้านนี้ไม่ได้แล้ว เราเคยเรียนอะไรมา เราอาจจะไปทำงานด้านนั้น หรือว่าเราชอบอะไร เราก็อาจจะไปอย่างนั้น

ตูน : ทุกคนต้องมีแพลนกับชีวิตไว้แล้วว่าจากนี้ไปจะทำอะไร เพราะคงไม่มีใครจัดรายการได้จนแก่จนเฒ่า อย่างตูนก็คิดว่าอาจจะไปเรียนต่อหรือทำธุรกิจ ถ้ามีคนมาใหม่ตูนก็ไม่เสียใจเพราะเป็นเรื่องปกติ เพราะย้อนกลับไปวันแรกที่เราเข้าไป คนที่อยู่ก่อนหน้าเราเค้าก็ต้องออกไปเพราะเราเข้ามาเหมือนกัน ก็ไม่คิดมากครับ เราก็หาอะไรอย่างอื่นทำก็เท่านั้นเอง

โด่ง : จริงๆ อาชีพในวงการบันเทิงเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เราต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด ขอแค่เราทำเต็มความสามารถ และเรามีความสุขกับมัน เมื่อถึงจุดๆนึงที่มันเต็มที่แล้ว เราก็เฟดตัวออกแล้วก็ไปหาอะไรที่เรารักและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวเราในอนาคตต่อไปได้ ก็เคยคุยกับพี่ๆ ที่เจอกันอย่างพี่นัส (อานัส ฬาพานิช) ว่าอยากเปิดร้านอาหาร แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ขอเป็นวีเจที่สร้างแต่สิ่งดีๆไว้ให้คนพูดถึงครับ

สิ่งสำคัญในการทำงานดีเจ-วีเจ?

สอง : อย่างแรกเลยต้องเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีครับ แล้วก็เป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์ดี คือดูแลเทคแคร์คุณผู้ฟังคุณผู้ชม ง่ายๆคือเวลาเราจัดรายการเนี่ยคุณผู้ฟังก็คือเพื่อนเรา น้องเรา ผมคิดว่าการเอาใจใส่และทัศนคติมองโลกในแง่ดีคือคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่มีอยู่แล้ว อย่างอื่นเป็นสิ่งที่เราสามารถพัฒนาได้ครับ

น็อต : ต้องมีความรู้เรื่องเพลง ต้องพยายามรับสถานการณ์ต่างๆให้ได้ครับ สมมติวันนี้คุณต้องจัดกับดีเจที่คุณไม่เคยจัดด้วยมาก่อน คุณจะหาท็อปปิกยังไงมาคุยกับเค้า คิดว่าเค้าเป็นคนยังไง ต้องทำการบ้านอยู่ตลอดครับ

ตูน : ก็อยากให้ตรงต่อเวลามากๆ เพราะการทำรายการจัดรายการเนี่ยมันสดทุกอย่าง จะอ้างว่ารถติดอะไรก็ไม่ได้ คือรักษาเวลาเนี่ยดีที่สุด แล้วก็ขอให้มีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพตัวเองครับ

โด่ง : ผมว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ต้องหาข้อมูล ทำการบ้าน ต้องดูแลสุขภาพ ต้องดูแลตัวเองด้วย เป็นอาชีพที่เรียนรู้กับข้อมูลข่าวสารที่ต้องอัพเดทตลอดเวลา และต้องประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยครับ



ฝากถึงคนที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของวงการนี้?

สอง : อยากฝากถึงคนที่มีความฝันว่าอยากเป็นดีเจ-วีเจ ก็ทำให้เต็มที่ ทำความฝันของตัวเองให้ดีที่สุด คอยฝึกฝนตัวเอง พอจังหวะตรงนั้นมาถึงคุณก็จะได้รับโอกาสนั้น ชีวิตคือการฝึกฝน ชีวิตคือการเรียนรู้ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้คนที่มีความฝันที่อยากจะทำงานตรงนี้ครับ

น็อต :
ถ้าได้โอกาสมาแล้วก็ควรรับโอกาสจากตรงนั้น ค่อยๆคิดค่อยๆทำการบ้าน ใช้ใจทำ ใส่ใจมุ่งมั่นกับมัน เต็มที่กับมัน ทำการบ้านเยอะๆ มันก็จะทำให้เราภูมิใจแล้วล่ะว่าเราก็ได้ทำเต็มที่แล้ว ทำสุดความสามารถของเราแล้ว และอย่างน้อยทุกคนก็รู้ว่าเราใช้ใจทำ

ตูน : งานดีเจ-วีเจเป็นงานที่สนุกครับ เพราะเราจะได้ใช้ตัวตนที่ของเราออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างบางคนบอกว่าผมพูดไม่เก่ง ผมลิ้นไก่สั้น ผมอย่างนู้นอย่างนี้ ผมบอกว่าต้องลองดูก่อน อาจจะมีคนชอบในสิ่งที่คุณเป็นก็ได้ใครจะไปรู้ อยู่ที่ว่าคุณโดนใจเค้าแค่ไหนมากกว่าครับ

โด่ง : ใครที่มีความฝันผมอยากให้เดินตามความฝันของตัวเองไปเรื่อยๆ ขอแค่เรารู้จักเริ่มต้น อย่ามัวแต่นั่งรอโอกาส อย่างผมตอนที่เข้าเอเอฟ ผมก็ไม่ได้รอโอกาส ขอแค่เราเริ่มต้นที่จะเปิดโอกาสให้กับตัวเอง เดินเข้าไปหามัน แล้วก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เครดิต : http://www.thairath.co.th/content/ent/1441 ค่ะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
พี่น็อตน่ารักมากเลย