ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    。SILVER LINING 。 chanbaek | exo

    ลำดับตอนที่ #2 : 01

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 57



    (c)                      Chess theme

     
    0






                    “มาอยู่กับฉันต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉัน เข้าใจใช่มั๊ยบี”

     

     

    คำสั่งแกมบังคับที่ทำให้เด็กน้อยต้องพยักหน้าให้เป็นคำตอบ จะทำไงได้ล่ะ มากินมานอนบ้านเค้าอยู่อย่างนี้ ผู้ให้อาศัยบอกอะไรก็ต้องทำตามอยู่แล้ว ดีกว่าไปนั่งนิ่งๆให้ลมหายใจหมดไปวันๆอยู่ในตรอกแคบๆนั่น

     
     

    “ฉันเคยแล้วไม่ใช่หรอว่าพยักหน้าแล้วต้องขานรับด้วย.. จำไม่ได้รึไงว่าฉันชอบเสียงของนายมากแค่ไหนน่ะน้องบีตัวจ้อย”  ลมหายใจที่เป่ารดผิวเนื้อบางทำเอาร่างเล็กย่นคอหนีแทบไม่ทัน

     

    “ขะ เข้าใจครับ นายน้อยชาร์ล”

     

    “หึ.. น่ารัก”  รอยยิ้มที่กดมุมปากจนเห็นลักยิ้มเป็นสเหน่ห์อย่างหนึ่งที่เด็กน้อยชอบมาก หากแต่สายตาคนอื่นมองอาจจะบอกว่ารอยยิ้มนี้มันดูเจ้าเล่ห์ไปหน่อยก็เถอะ 

     

    “ถึงนายจะจำอะไรไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ ฉันจะสร้างความทรงจำใหม่ให้นายเอง”

     
     

    เด็กน้อยที่ย่นคอหนีคนที่ซุกหน้าเข้ามายังซอกคอของตนต้องแอบซี๊ดปากเบาๆเมื่อสุดท้ายก็หนีฟันคมที่ซุกไซร์เข้ามาขบกัดไม่พ้น ยามเช้าที่แสงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้ามายังไม่ทันสว่างดีแบบนี้เป็นเวลาประจำที่นายน้อยของคฤหาสถ์จะตื่นขึ้นมาและเริ่มปลุกคนที่นอนอยู่ข้างๆด้วยวิธีการนำริมฝีปากมาทาบทับกับริมฝีปากของเขา พอลืมตาขึ้นมาก็จะพูดคุยกันเล็กน้อยและเริ่มกิจกรรมขบเม้มไปทั่วเนื้อตัว เมื่อหนำใจแล้วนายน้อยก็จะจุมพิศบนหน้าผากของเขาเป็นอย่างสุดท้ายก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงเรียนและปล่อยให้เด็กน้อยได้นอนต่อ

     
     

    ถึงความสัมพันธ์จะแนบเนื้อกันขนาดนี้แล้ว แต่ก็เป็นความจริงที่ว่านายน้อยชาร์ลยังไม่เคยล่วงเกินร่างกายของบีเกินกว่าการจูบและการทำรอยไปทั่วตัวเลย 

     

     

     

     

     
     

     

     

    ..

     

     

     

     

     

    “บีถูหลังให้ฉันมาตลอดเลย วันนี้ให้ฉันถูหลังให้บีบ้างนะ”

     
     

    ถึงจะโดนคนเป็นนายเปิดเสื้อแล้วทำรอยไปทั่วตัวแล้ว แต่การที่นายน้อยชาร์ลบอกว่าจะถูหลังให้เขาก็อายเป็นเหมือนกันนะ ร่างเล็กจึงปฏิเสธคำชวนโดยการส่ายหัวรัวจนเผ้าผมยุ่งไปหมด แถมยังขืนตัวออกจากอ้อมกอดของอีกคนอย่างสุดแรง

     
     

    “อย่าดื้อสิบี”

     

    “ไม่ได้ดื้อ บีแค่อาย”

     

    “จะอายทำไมหื้ม... ”

     

    “ฮื่อออ นายน้อยเอาแต่ใจจัง”

     

    “รู้ไว้ซะว่าเอาแต่ใจกับนายคนเดียว”

     
     

    ไม่ปล่อยให้บทสนทนายาวไปกว่านี้ เด็กชายอายุมากกว่าก็จับคนตัวเล็กอุ้มพาดบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ดวงตารีเล็กมองเห็นอ่างอาบน้ำที่เปิดรองน้ำไว้ครึ่งอ่างแถมยังมีฟองสบู่กลิ่นน้ำนมลอยบดบังน้ำใสๆในอ่างนั้นอยู่ด้วย

     
     

    นายน้องคงอยากถูหลังให้บีจริงๆอย่างที่พูดแหล่ะ เพราะปกติบีจะเป็นคนรองน้ำในอ่างตีฟองสบู่ให้เรียบร้อยแล้วเรียกให้คนเป็นนายมาอาบน้ำและถูหลังให้เสมอ

     
     

    เห็นความตั้งใจของนายน้อยแล้วร่างเล็กจึงยอมหยุดดิ้นแล้วอยู่นิ่งๆให้อีกคนถอดเสื้อผ้าให้ เมื่ออาภรณ์ที่ห่มกายถูกโยนไปกองกับพื้นแล้วก็แทบจะทันทีที่รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วอุ่นที่เริ่มไล้ไปตามกระดูกสันหลังของตน ร่างเล็กยืนจิกเนื้อขาตัวเองแรงขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนเริ่มระดมจูบไปทุกส่วนตามที่ปลายนิ้วลากผ่าน แต่แล้วอยู่ๆคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังก็หยุดการกระทำทั้งหมดลง มีเพียงสัมผัสแผ่วเบาที่ลูบวนอยู่ที่เดิมจนบีเริ่มนึกสงสัย

     
     

    “นี่มัน..คืออะไร”

     

    “ครับ ?”  เด็กน้อยสงสัยหนักขึ้นไปอีกจนนึกอยากจะหันหลังไปชะเง้อดูบริเวณเหนือสะโพกด้านหลังของตนที่ที่มือของผู้เป็นนายยังคงลูบอยู่อย่างนั้นไม่ละไปไหน

     

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่รอยแผลน่ะ”  ชานยอลบอกปัดไป แต่ดวงตารีเล็กนั่นก็ยังคงมองหน้าเขาเหมือนไม่เชื่อว่ามันเป็นแค่รอยแผลจริงๆน่ะหรอ เพราะนายน้อยทำหน้าเครียดคิ้วขมวดซะขนาดนั้น “ฉันก็แค่ไม่อยากเห็นผิวสวยๆของนายมีแผลแค่นั้นเอง อย่าไปสนใจเลย ไปแช่น้ำในอ่างกันเถอะ”  

     
     

    ถึงปากจะพูดให้อีกคนสบายใจแล้วอุ้มไปแช่น้ำนมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในหัวพลางคิดแต่สิ่งที่ได้เห็นไปเมื่อครู่อย่างวิตกกังวล มันไม่ใช่แค่แผลธรรมดาแน่ รอยแผลเป็นที่ปรากฏเป็นตัวอักษรราวกับใช้เหล็กรนไฟแล้วจี้เข้ากับเนื้อ

     

     

     

    BH56C1

     

     

     

     

     

     

     

     

    ..

     

     

     

     

     

     

    “ได้เรื่องยังไงก็รีบมารายงานด้วยนะ”  

     
     

    หลังจากวางสายที่ต่อตรงหาคนสนิทเรียบร้อยแล้ว ดวงตากลมโตของนายน้อยแห่งคฤหาสถ์เอเดน ชาร์ล ทอดมองไปยังคนตัวเล็กที่ยืนเกาะหน้าต่างดูธรรมชาติภายนอกอย่างสนอกสนใจ เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเด็กคนนี้ผ่านในสิ่งแวดล้อมแบบไหนกันนะ สิ่งก่อสร้างต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างตึกรามบ้านช่องหรือแม้กระทั่งธรรมชาติเป็นผู้สร้างอย่างต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้หรือแม้กระทั่งต้นหญ้าก็สามารถทำให้แววตาเล็กๆนั่นตื่นตระหนกและเต็มไปด้วยความอยากรู้ได้เสมอราวกับเป็นสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตที่ไม่เคยได้พบเห็น

     
     

    “บี...”

     

    “ครับ” 

     
     

    ได้ยินเสียงเรียกท่ามกลางความเงียบก็รีบขานรับแล้ววิ่งเยาะๆมาหาทันที แล้วยังจะมายืนยิ้มตาหยีให้อีก.. แล้วคนที่หมั่นเขี้ยวความน่ารักของเด็กไร้เดียงสาคนนี้อยู่แล้วมีหรอที่จะอดใจไหว

     
     

    “ขึ้นมานั่งตักฉันเร็ว”   พยักหน้าน้อยๆก่อนจะรีบปีนขึ้นไปนั่งตักอย่างว่าง่าย

     

    “วันนี้อารมณ์ดีอะไร เห็นยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ตั้งนาน” 

     

    “ก็บีไม่เคยเห็น”

     

    “อะไรที่ว่าไม่เคยเห็น”  

     

    “นายน้อยตามบีมานี่สิ” เพิ่งจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักได้แปปเดียวก็กระถดตัวลงจากคนขายาวกว่าแล้วดึงยื้อให้อีกคนลุกจากเก้าอี้และตามตนเองไปที่ริมหน้าต่างบานใหญ่ในห้องทำการบ้านของนายน้อยที่อยู่ชั้นสองของตัวคฤหาสถ์

     

    “นั่นคืออะไรหรอครับ บีไม่เคยเห็น”  นิ้วเรียวเล็กชี้จนปลายนิ้วติดกระจก เมื่อดวงตากลมโตมองไปทางที่นิ้วเรียวนั้นชี้ก็เห็นว่าบนท้องฟ้ามีบอลลูนลูกหนึ่งลอยอยู่ใกล้ๆ

     

    “เค้าเรียกว่าบอลลูน”

     

    “แล้วทำไมมีคนอยู่ข้างในนั้นด้วย”

     

    “ก็เค้าเช่าบอลลูนลอยขึ้นไปสูงๆเพื่อที่จะได้มองวิวของเมืองนี้ได้ไง”

     

    “วิวของเมืองนี้หรอ.. เมืองที่ผมอยู่มันใหญ่มากขนาดไหนหรอครับนายน้อยชาร์ล”

     

    “อยากรู้หรอ”  ปากเล็กยู่ลงทันทีที่นายน้อยไม่ตอบคำถามแล้วยังย้อนถามคำถามกลับมาอีก ก้มหน้าก้มตาทำปากยื่นอยู่เกือบนาทีจนนายน้อยต้องเอื้อมมือไปบิดปากแดงๆนั่นด้วยความหมั่นไส้   “อ้อนฉันสิจะได้พาไปดู”

     

    “นายน้อยชาร์ลย่อตัวมาหาบีหน่อยสิ”   เมื่อย่อตัวนั่งลงจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ริมฝีปากเล็กนั่นก็ยื่นหน้าเข้ามาประกบกับริมฝีปากของเขาทันที 

     
     

    ถึงจะแค่ปากชนปากเฉยๆไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่นายน้อยเอเดน ชาร์ล ชานยอล ก็ใจเต้นระรัวอยู่เกือบสองนาที

     

     

     

     

     

     
     

    ..

     

     

     

     
     

     

    ลอนดอนอาย (London Eye) หรือที่รู้จักกันในชื่อมิลเลเนียมวีล (Millennium Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป และนายน้อยชาร์ลก็เลือกพาเด็กตัวน้อยมานั่งชมวิวกรุงลอนดอนแทนที่จะไปเช่าบอลลูนพวกนั้นที่ไม่ค่อยจะปลอดภัยเสียเท่าไหร่

     

     

    “ว้าวววว” 

     

    “ทำไมเมืองนี้ใหญ่จังเลย”

     

    “นั่นอะไรหรอครับ”

     

    “สวยจัง”

     

     

    ถึงแม้บางประโยคจะเป็นประโยคคำถามแต่นายน้อยตระกูลเอเดน ชาร์ล ก็ไม่ได้ตอบคำถามเหล่านั้นกลับไปสักประโยคเพราะรู้ดีว่าเด็กน้อยคงไม่สนใจคำพูดของเขาในเวลานี้สักเท่าไหร่ ถึงแม้กระเช้าจะสามารถจุคนได้ยี่สิบสามสิบคนต่อหนึ่งกระเช้า แต่นายน้อยก็ยอมเหมาให้ทั้งกระเช้ามีเพียงแค่เขาและบีเพียงสองคน

     
     

    ยืนพิงผนังกระจกมองดูอีกคนวิ่งไปมุมนั้นทีมุมโน้นทีด้วยสีหน้าตื่นเต้นปนมีความสุขก็สามารถเรียกร้อยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนโครงหน้าหล่อของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดได้แล้ว เด็กน้อยวิ่งอยู่พักนึงสุดท้ายก็นั่งกองกับพื้นแล้วทอดสายตามองวิวยามพลบค่ำของกรุงลอนดอนแทน

     

    “เหนื่อยล่ะสิเห็นวิ่งไม่หยุดเลย”  นั่งลงข้างหลังร่างเล็กจ้อยที่หอบน้อยๆด้วยความเหนื่อย ก่อนจะจับเอวเล็กแล้วอุ้มให้มานั่งบนตักของตน

     

    “ยิ่งสูงยิ่งสวยเน๊อะนายน้อยชาร์ล”  ร่างบนตักเอนพิงอกเขาอย่างสบายใจ รอยยิ้มยามทอดมองทิวทัศน์ของกรุงลอนดอนก็ยังคงตราตรึงอยู่บนหน้าโดยไม่หายไปไหน

     

    “ใช่ สวยมาก”  ลอนดอนน่ะอยู่มาตั้งแต่สามขวบ เห็นบ้านเมืองนี้มาจนเบื่อแล้ว ที่บอกสวยน่ะไม่ใช่อารยธรรมที่มนุษย์เป็นคนสร้างขึ้นหรอก แต่เป็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของคนที่นั่งตักอยู่นี่ตังหาก ชานยอลยอมรับเลยว่าไม่ผิดหวังเลยจริงที่เก็บเด็กคนนี้มารับเลี้ยง ความสะอาดบริสุทธิ์อย่างนี้หายากนักในยุคสมัยที่โลกก้าวไปไกลจนทำให้ด้านมืดต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการดำรงชีวิตด้วยได้อย่างปกติ

     
     

    ชิงช้าสวรรค์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวจนในที่สุดก็ถึงจุดสูงสุดของสถานที่ชมวิวแห่งนี้ กระเช้าที่ค้างอยู่บนตำแหน่งสูงสุดพอดีเนื่องจากหยุดให้คนได้เข้าออกอยู่เบื้องล่าง เอเดน ชาร์ล อาศัยจังหวะนี้รั้งคออีกคนให้มาอยู่ในองศาที่พอดีและกดจูบอย่างรวดเร็ว ขบเม้มริมฝีปากที่แม้มแน่นให้เปิดออกและสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดดูดดึงอย่างเอาแต่ใจ มือเล็กกำเสื้อเชิ๊ตบริเวณหน้าอกของเขาจนยับยู่ยี่ เสียงครางของคนตัวเล็กยามที่อากาศเริ่มหมดปอดทำให้คนคุมเกมต้องยอมละออกจากริมฝีปากบางเล็กจิ้มลิ้มนั่น ใบหน้าขาวที่มีสีแดงขึ้นเป็นริ้วทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะขโมยความหอมจากแก้มยุ้ยไปอีกฟอดใหญ่ๆ

     

     
     

    “เป็นเด็กดีของฉันตลอดไปนะบี”

     

     


     

     

     

     

     .

     

     

     
     

                                                    

     

     

     
     

     


     

     

     

     

    นายน้อยชาร์ลไม่อนุญาติให้บีออกไปบริเวณนอกบ้านเด็ดขาดถ้านายน้อยชาร์ลไม่ได้เป็นคนพาออกไป

     
     

    เคยมีครั้งนึงที่เด็กน้อยบีเบื่อการนั่งๆนอนๆอยู่แต่ในห้อง มองออกไปยังสนามหญ้าข้างคฤหาสถ์เห็นลูกสุนัขพันธ์ไซบีเรียฮัสกี้สองสามตัววิ่งเล่นกันอยู่ นึกอยากเข้าไปร่วมเล่นกับพวกมันด้วยเลยก้าวเท้าออกจากตัวคฤหาสถ์คนเดียวเป็นครั้งแรก เล่นกับลูกหมาได้สักพักแม่เจ้าไซบีเรียก็มาร่วมวงเล่นด้วย ก็เป็นภาพที่ดูน่ารักดีที่หนึ่งคนกับหมาสี่ตัวนอนกลิ้งกันอยู่บนสนาม นายน้อยชาร์ลยืนมองภาพนั้นอยู่สักพักก่อนจะสังเกตว่าคนตัวเล็กแปลกๆไป  อกบางที่เริ่มหายใจเข้าออกถี่ขึ้นราวกับหายใจไม่ออก ตามแขนเริ่มมีผืนแดงๆขึ้น  จามจนน้ำมูกน้ำตาไหลจนน่าสงสาร ยืนตะลึงไปพักนึงก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าไปช่วยร่างเล็กนั่นออกจากสัตว์สี่ขาเหล่านั้น

     
     

    คุณหมอประจำตระกูลถูกเรียกตัวมาอย่างด่วนและได้ข้อสรุปว่าน้องบีแพ้ขนสัตว์และอาจจะมีอาการแพ้อย่างอื่นอีกด้วยต้องรอผลตรวจเลือดในอีกสองวัน และผลก็ออกมาว่าคนตัวเล็กแพ้แทบทุกอย่างจนต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด คุณหมอเควินบอกเจ้าตัวจ้อยที่นอนป่วยอยู่บนเตียงแค่นั้นก่อนจะขอคุยกับนายน้อยชาร์ลเป็นการส่วนตัวต่อ

     
     

    เด็กน้อยไม่รู้ว่าคุณหมอและนายน้อยไปคุยเรื่องอะไรกันต่อ แต่หลังจากวันนั้นนายน้อยก็สั่งห้ามบีออกไปไหนเด็ดขาดถ้าไม่มีนายน้อยอยู่ด้วยหรือเป็นคนพาออกไป 

     
     

    และตอนที่นายน้อยชาร์ลพูดคำสั่งนี้ออกมาก็ขมวดคิ้วน่ากลัวไปหมด เด็กน้อยจึงไม่กล้าขัดคำสั่งใดๆจึงได้แต่นั่งๆนอนๆดูทีวีไปเรื่อยๆในห้องนอนของตนเอง(ที่นายน้อยมักจะเข้ามานอนด้วยทุกคืน)

     
     

    หลังจากที่พาบีเข้ามาอยู่ในคฤหาสถ์ นายน้อยชาร์ลไม่ให้ใครเข้าใกล้เด็กน้อยคนนี้เลยสักคน ถึงจะขออนุญาติคนเป็นพ่อเรียบร้อยแล้วแต่บีก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายตระกูลชาร์ลเลยสักครั้ง นายน้อยเคยบอกว่าพ่อกับแม่ของนายน้อยไม่ค่อยอยู่กับที่หรอก บินไปประเทศนั้นประเทศนี้ไปเรื่อย ปีนึงเจอหน้ากันนับครั้งได้ และนายน้อยชาร์ลยังบอกอีกว่าคนใกล้ตัวใช่ว่าจะไว้ใจได้ เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นถึงจะเป็นคนคอยรับใช้ที่คฤหาสถ์มาแล้วหลายสิบปีก็เถอะ ด้วยเหตุนี้ร่างจ้อยเลยได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในห้องรอนายน้อยของตนกลับจากโรงเรียน

     

     

    “ดูอะไรอยู่หรอบี”

     

     

    คนที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนเห็นคนตัวเล็กมัวแต่ตั้งใจฟังทีวีไม่ยอมหันมาหาตนเองพร้อมกับถามว่า กลับมาแล้วหรอครับ เหมือนทุกครั้งก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้แล้วเริ่มอยากรู้ว่าในทีวีนั่นมันมีอะไรน่าสนใจมากกว่าตัวเขานักหนา

     
     

    “โคลนนิ่งคืออะไรหรอครับนายน้อยชาร์ล ผมฟังแล้วไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

     

     

    การโคลนนิ่งงั้นหรอ....

     

     

    “อืมม มันซับซ้อนนะ ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้นายเข้าใจดี”   ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างเด็กขี้สงสัยที่ยังคงนั่งมองหน้าเขาตาแป๋วราวกับรอคำตอบอยู่

     

    “เอาง่ายๆแล้วกัน การโคลนนิ่งก็เหมือนการก๊อบปี้แหล่ะ เหมือนมีตัวนายสองคนไง มีหนึ่งคนที่เป็นต้นแบบและอีกหนึ่งคนที่ถูกทำเลียนแบบขึ้นมาให้เหมือนกับตัวจริงทุกประการ เค้าเรียกก๊อบปี้สิ่งมีชีวิตว่าการโคลนนิ่ง”

     
     

    นายน้อยชาร์ลบอกให้คนตรงหน้ารับรู้ข้อมูลเพียงแค่นั้น เขาไม่ได้บอกต่ออีกว่าโลกในปัจจุบันเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคมืดอันน่ากลัวแล้ว การโคลนนิ่งคนเมื่อก่อนเป็นสิ่งผิดกฏหมายแต่ตอนนี้กลับมีการทำโคลนนิ่งในตลาดมืดกันอย่างมากมายโดยที่กฏหมายเล่านั้นทำอะไรไม่ได้เลย อำนาจเงินทั้งนั้นที่เป็นปัจจัยหลักในการดำเนินสิ่งผิดกฏหมายเล่าให้นี้เดินหน้าไปได้ และการโคลนนิ่งก็ไม่ได้สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นทุกครั้ง แน่นอนว่าส่วนประกอบที่ทำให้ร่างโคลนนิ่งเหล่านั้นสมบูรณ์คงหนีไม่พ้นอวัยวะจริงๆของมนุษย์

     

     

    เพราะมีธุรกิจด้านการโคลนนิ่งเกิดขึ้น ธุรกิจการค้าอวัยวะของมนุษย์จึงเกิดขึ้นตามไปด้วย

     

     

    ชานยอลก็รู้ว่าตระกูลเอเดน ชาร์ล คือหนึ่งในกลุ่มผู้ค้ามนุษย์รายใหญ่ที่ท้าทายกับกฏหมายอย่างไม่เกรงกลัวและถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดธุรกิจหลายพันล้านของตระกูลเพียงคนเดียว แต่ชานยอลก็บอกตัวเองมาตลอดว่าจะไม่มีวันก้าวเข้าไปพัวพันกับธุรกิจครอบครัวที่น่าขยะแขยงเหล่านี้เป็นอันขาด

     

     

    ค้ามนุษย์ด้วยกัน ต่ำช้าสิ้นดี...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    .

    .

    TBC

     

    #ฟิคซวลน

               :')

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×